ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ บริสเบน ออสเตรเลีย วันที่ 22 มีนาคม 2536 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) ถ: ท่านอาจารย์ มีอยู่คำถามหนึ่งที่ทำให้ผมกังวลใจมาเป็นเวลานานแล้ว คือเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ผมมีความรู้เพียงจำกัดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ จึงไม่ทราบว่าจะตอบคำถาม ของนักเรียนซึ่งเรียนกับผมมาเป็นเวลาหลายปีแล้วว่าอย่างไร คำถามของผมคือว่า ชีวิตบนโลกเคยมีมาเป็นหลายรูปแบบและวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน หรือว่า พระเจ้าได้สร้างทั้งหมดขึ้นในเวลาเดียวกัน? ผมรู้สึกสับสนมากระหว่างความรู้ทางศาสนากับทางวิทยาศาสตร์ ถ้าผมยืนหยัดอยู่กับความเชื่อทางศาสนาผมก็จะบอกว่า พระเจ้าสร้างขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เราก็จะกลับบ้านไปนอน ไม่มีคำถามใดอีก แต่ถ้าผมอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ ผมก็จะบอกว่า เราทั้งหมดมีบรรพบุรุษเดียวกันแล้วแตกสาขาออกมาดั่งเช่นที่ชาร์ล ดาร์วิน ได้เสนอไว้ ดังนั้นด้วยความรู้อันจำกัดของผม ผมมิอาจจะตอบได้ ผมได้บอกนักเรียนของผมว่า ผมจะต้องรอให้อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีความรู้แห่งสวรรค์มาเสียก่อน บางทีเมื่อนั้นครูจะสามารถอธิบายให้พวกเธอฟังได้ในภายหลัง อ: คือว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ไม่ได้ขัดแย้งกันเพียงแต่ใช้ศัพท์ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง และบางครั้งวิทยาศาสตร์ มิได้ชี้แจงหรือยังไม่ค้นพบหลักการที่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น วิทยาศาสตร์จะบอกว่าจะมีอณูแบบเดียวกันอยู่ในตัวเธอ ตัวฉัน และทุกสิ่งทุกอย่าง ในพืชและไม้และทั้งหลายเหล่านั้น ในทางศาสนา ตัวอย่างเช่น ศาสนาคริสต์จะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาจากสสารเดียวกันคือจากพระเจ้า และศาสนาพุทธก็จะบอกว่า ตัวตน ทุกอย่างมีธรรมชาติแห่งพุทธะ และทางเต๋าจะบอกว่า เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียว แต่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับการที่ทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า อณูต่างๆ ในตัวฉันและตัวเธอก็มีปรากฎในพืชและต้นไม้ ทั้งหลายเหล่านั้น แต่แล้วอะไรทำให้อณูของเราเคลื่อนไหว พูด แล้วคิดได้เล่า? อณูเหล่านั้นมิได้ทำให้พืชและต้นไม้พูดได้ และถ้าหากเรามีอณูที่เหมือนกันอยู่ในทุกสิ่ง เมื่อนั้นแน่นอน เราจะต้องใช้พลังอันเดียวกันเพื่อความเคลื่อนไหวนี้ ถูกต้องไหม? ใช่แล้ว! ดังนั้นแท้จริงแล้วเราทุกคนถูกสร้างจากพระเจ้า เธอสามารถเรียกมันว่าพระเจ้าหรือพลังจักรวาล ไม่มีปัญหาอะไร ในเบื้องต้นมีเพียงพลังจักรวาล อย่าเรียกว่าพระเจ้า หรือธรรมชาติพุทธะเลย มันทำให้คนจำนวนมากเกินไปสับสน เราจะคุยในศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เดิมทีพลังจักรวาล พักอยู่อย่างสงบพร้อมกับเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา และเมล็ด พันธุ์แห่งมวลสารทั้งหลายซึ่งสามารถขยายออกไปและเติบโต ครั้นเมื่อพลังจักรวาลคล้ายกระตุ้นภายในตน เมื่อนั้นเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายก็ผลิออกมาและกลายเป็นทุกสิ่งที่มีอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้นเราสามารถเรียกสิ่งนั้นว่าพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะ หากเราไม่ทราบต้นกำเนิดตัวตนของเรา เมื่อนั้นเราจะมิได้ใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของจักรวาล ซึ่งนั่นจะก่อปัญหาให้กับเรา ดังนั้นเราจะต้องทำสมาธิและไตร่ตรอง พยายามค้นหาแหล่งของเชาว์ปัญญาทั้งหมดนี้ แล้วเมื่อเรากลับเข้าหามันหรืออย่างน้อยตั้งคลื่นให้ตรงกับมัน ชีวิตของเราจะกลมกลืนกับจักรวาลทั้งหมดมากขึ้นและด้วยเหตุนี้เราจะมีความสุข! เราไร้สิ่งใดมาขัดขวาง เราจะไม่ขับรถฉวัดเฉวียนทั่วไปหมด แต่จะขับในเลนที่ถูกต้อง ด้วยความเร็วที่ถูกต้อง ซึ่งการนี้มิได้ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด หากแต่บางทีวิทยาศาตร์ มิได้เน้นถึงพลังที่ขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง วิทยาศาสตร์เพียงกล่าวถึงสสาร ถึงอณูซึ่งอยู่ในเธอและอยู่ในฉัน และอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ในเรื่องนี้พวกเขาได้ค้นพบมากมายหลายอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่เขาจะใช้กรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อค้นพบสิ่งซึ่งไร้มวลสารได้อย่างไร? มันก็คือพลังจักรวาลนั่นเอง ซึ่งเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง และเราซึ่งเรียกกันว่าวิญญาณทั้งหลาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน ส่วนหนึ่งของพลังจักรวาลนี้ สิ่งทั้งปวงซึ่งเกิดมีตัวตนขึ้นมาจะแตกต่างกัน ตามแต่ว่ามันห่างจากจุดกึ่งกลาวงของวังวนพลังจักรวาลนี้มากเพียงใด ณ เวลาที่เกิดการกระตุ้นการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นเราจึงแตกต่างกันในรูปทรง ขนาด พลังงาน ปัญญา และความสามารถที่จะเคลื่อนไหวและใช้ความคิด (เสียงปรบมือ) ดังนั้น ทุกสิ่งจะกลับสู่ศูนย์กลางพลังนั้น และจากนั้นก็จะวิวัฒนาการ หากพวกเขาประสงค์จะมาใกล้เข้าพวกเขาจะต้องมีปัญญามากขึ้น เพราะ ณ จุดกึ่งกลางคือปัญญา ดังนั้นเขาจึงวิวัฒน์ขึ้น นั่นคือสาเหตุให้เกิดวิวัฒนาการ เข้าใจไหม เขาจะต้องวิวัฒน์ มีปัญญามากขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น มีปัญญามากขึ้น แล้วเมื่อนั้นเขาจะสามารถเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้น เพราะศูนย์กลางมีพลังแม่เหล็กมหาศาล เพื่อดึงดูดทุกสิ่งกลับเข้าไปและหลังจากนั้น ก็ผลักมันออกไปอีกครั้ง วิวัฒนาการตลอดเวลา แต่บางครั้งพลังจักรวาลนี้ก็จะพักผ่อนและทุกสิ่งก็จะหยุดลง แล้วจากนั้นมันก็จะตื่นขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งก็จะเริ่มทำงาน นั่นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลามากมายหลายชั่วกัปกัลป์ เป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับฉันที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ แต่ลองพยายามเข้าใจที่ฉันพูดดูก็แล้วกัน ถ: หากพระเจ้าได้สร้างจักรวาลและโลก จักรวาลเกิดขึ้นก่อนหรือ ณ เวลาเดียวกันกับโลก? อ: ในจักรวาลมีตั้งมากมายหลายโลก เรามิได้เป็นโลกเพียงใบเดียว เธอสามารถหาเวลาไปเยี่ยมได้! ดังนั้นเราจึงเห็นจานบินและอะไรเหล่านั้นมากมาย เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีจริง ยังมีอยู่หลายโลกซึ่งดูคล้ายโลกเรา มีผู้คนและมีชีวิต บางแห่งนักวิทยาศาสตร์ได้เห็นสักแวบหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้นำมันมาเปิดเผย เพราะขาดหลักฐานเพียงพอ และดวงดาวเหล่านั้นไกลเกินไป พวกเขาไม่แน่ใจว่า อะไรคืออะไร บางดาวก็คล้ายโลกมากกว่า มีผู้คนเช่นเดียวกับเรา พร้อมทำการเกษตรมากมายและทั้งหลายเหล่านั้น ยังมีดาวอื่นๆ ที่ไม่เหมือนโลกเหล่านี้เป็นดาวที่พัฒนาทางจิตวิญญาณมากกว่า ที่นั่นมีคน แต่พวกเขาเสมือนเทวดาและมิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ด้วยตาของนักวิทยาศาสตร์ และด้วยตาของกล้องส่องทางไกลทั้งหลาย ดังนั้นเราจะต้องไปเยี่ยมเขาในร่างทางจิตวิญญาณของเราและใช้ตาปัญญาเพื่อติดต่อหรือเห็นพวกเขา สิ่งเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์มิอาจจะทำได้ ดังนั้นตัวอย่างเช่น เมื่อวานนี้และเมื่อวานซืน คนจำนวนมากกล่าวว่า พวกเขาเห็นสถานที่สวยงาม มีปราสาท และมีผู้คน แต่มิใช่อยู่บนโลก เราสามารถเดินทางในพริบตาสู่ดาวดวงใดๆ หากเราฝึกฝนเพียงพอ อย่างไรก็ตาม นั่นมิใช่จุดมุ่งหมายอันแท้จริงของเรา อะไรก็ตามเราไม่มีความต้องการในสิ่งใดๆ เป็นพิเศษ ถ: เราจะทราบจุดมุ่งหมายของเราได้อย่างไร จะแน่ใจได้อย่างไรว่า จุดหมายของเราคืออะไร? หากมีผู้อื่นถามเรา สามารถช่วยให้เขาทราบจุดมุ่งหมายในชีวิตของพวกเขาได้หรือไม่? เรามีงานหน้าที่ใดเป็นส่วนตัวให้ต้องทำที่นี่หรือ? อ: ฉันเคยเอ่ยไว้แล้วที่ใดที่หนึ่งว่า เรามาที่นี่เพื่อให้พรกับโลกและเพื่อทราบความยิ่งใหญ่ของเรา เมื่อเราทราบความยิ่งใหญ่ของเรา เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพลังจักรวาลทั้งมวลแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาติดต่อกับเราก็จะได้รับพรจากพลังจักรวาลนี้ โลกนี้ก็จะพัฒนาขึ้น เมื่อมีคนเช่นเราจำนวนมากขึ้นบำเพ็ญและอวยพรโลกอย่างเงียบๆ ด้วยบุญ และปัญญาทางจิตวิญญาณของเรา นั่นคือจุดมุ่งหมายของเรา มิฉะนั้นแล้วเธอคิดว่าจะเป็นอะไรเล่า? เรามาที่นี่เพียงเพื่อรับประทานอาหารวันละ 2 - 3 มื้อ มีลูกสัก 2 - 3 คน จากนั้นก็ตายไปเช่นนั้นหรือ? นั่นมิใช่จุดมุ่งหมายแท้จริงอยู่แล้ว! มันไม่เป็นเหตุเป็นผลสักเท่าใด ถ้าพระเจ้าต้องรับความวุ่นวายมากมายเพื่อสร้างเรา จากนั้นจับเรามาที่นี่เป็นเวลาไม่กี่ 10 ปีแล้วปล่อยให้เราตายในความทุกข์ บางครั้งก็ตายด้วยโรคมะเร็ง ด้วยความทรมาน ด้วยภัยพิบัติ ด้วยแผ่นดินไหว และอื่นๆ นี้ไม่เป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นจุดมุ่งหมายของชีวิตมนุษย์คือเพื่อรู้จักพระเจ้า การรู้จักพระเจ้าหมายความว่า รู้จักความยิ่งใหญ่ของเราเอง รู้จักพลังจักรวาลทั้งหมดซึ่งเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ถึงแม้ว่าเราจะกล่าวว่าเป็นส่วนหนึ่ง มันก็เป็นทั้งหมดเข้าใจไหม ตัวอย่างเช่น หากนิ้วฉันถูกตัดทิ้งไป มันเป็นเพียงนิ้วหนึ่ง แต่เมื่อมันถูกนำมาติดกับร่างกายฉัน มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายฉัน มันเป็นของร่างกายฉัน ถึงแม้ว่าฉันกล่าวว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายฉัน แท้จริงแล้วมันก็เป็นทั้งส่วนของร่างกายฉัน ดังนั้นเราเป็นส่วนหนึ่งของพลังจักรวาล แต่ก็เป็นทั้งหมดด้วย หากเราถูกติดต่อกับมันอีกครั้งช่องว่างเล็กๆ ระหว่างเรากับพลังนี้ได้นำกลับมาเชื่อมต่อ ณ เวลาการประทับจิต เราหันกลับเข้าภายใน เราตั้งคลื่นเข้าภายในเราเสียบปลั๊กแล้ว จากนั้นเราจะเป็นทั้งส่วนกับจักรวาล ดังนั้นเราจะให้พรใครก็ตามที่มารายรอบเราโดยไม่ต้องเอามือวางลงบนตัวเขาหรือทำอะไรก็ตามกับเขา ใครก็ตามที่เราเห็นอกเห็นใจหรือเกี่ยวดองกันทางสายเลือด เขาจะได้รับการช่วยเหลือหรือ ได้รับพรในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ขึ้นอยู่กับกรรมของเขาและความรักที่เรามีต่อเขา...
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, สมาธิกลุ่มที่อาศรมออสติน สหรัฐอเมริกา 14 สิงหาคม 1994 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) เรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งอาจจะเป็นคนญี่ปุ่น เขาไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับภรรยาของท่านเจ้าเมืองหรืออะไรทำนองนี้ และแล้วเรื่องราวก็ถูกเปิดเผย เขาจึงถูกสถานการณ์บังคับให้ฆ่าผู้เป็นสามี และพาภรรยาหลบหนีไป ตอนนี้ทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นคนร้ายไป แต่หญิงที่เป็นชู้กับเขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความละโมบ จึงทำให้ชายผู้นี้เกิดความรู้สึกรังเกียจเธอและผละจากไปในที่สุด เขาไปยังที่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้ลักลอบทำความผิดสิ่งใดอีก แต่กลายเป็นเพียงแค่ขอทานคนหนึ่ง ในตอนกลางวันเขาก็จะออกไปขออาหารบางอย่างนอกบ้าน และในตอนกลางคืนเขาก็จะกลับบ้าน และเริ่มลงมือขุดเจาะภูเขา เนื่องจากมีทางผ่านเพียงสายเดียวซึ่งอันตรายมาก ผู้คนมากมายต้องตายลงที่นั่น เขาพยายามที่จะทำในสิ่งที่ดีๆ บ้างก่อนที่เขาจะตาย เพราะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่เลวมาก บัดนี้ไม่เพียงแต่เขาจะสำนึกถึงความผิดของตนเองเท่านั้น แต่ยังพยายามที่จะชดเชยความผิดเหล่านั้นด้วยการทำในสิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่แค่เพียงพูดว่า "โอ ฉันเสียใจ... ฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว" แล้วก็จบ แต่เราจะต้องแสดงออกมาแทนเพื่อชดเชยในสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นชายผู้นี้จึงลงมือขุดทางผ่านภูเขาหามรุ่งหามค่ำคนเดียวตามลำพัง และแล้ววันหนึ่งบุตรชายของเจ้าเมืองซึ่งถูกฆ่าก่อนหน้านี้ ได้ตามมาพบเขาและต้องการที่จะฆ่าเขาเสีย ชายผู้กำลังทำการขุดจึงจึงพูดขึ้นว่า "ฉันเต็มใจที่จะมอบชีวิตให้กับท่าน ท่านจะฆ่าฉันก็ได้ แต่ขอให้ฉันทำสิ่งนี้ สิ่งที่ดีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตของฉัน เสร็จสิ้นลงก่อน แล้วท่านค่อยฆ่าฉัน" เด็กหนุ่มตอบว่า "ตกลง" แล้วเขาก็หยุดพักอยู่บริเวณนั้น เตร็ดเตร่ไปมาแล้วก็รอคอย แต่เขาก็เกิดเบื่อขึ้นมา ในเมื่อไม่มีอะไรจะทำ เขาจึงช่วยชายคนนั้นขุดทางผ่านภูเขาด้วยกัน หลังจากเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง อุโมงค์ลอดภูเขาก็แล้วเสร็จ และทุกคนก็สามารถข้ามผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ชายผู้เป็นมือสังหารพูดกับบุตรเจ้าเมืองว่า " เอาล่ะ ตอนนี้ท่านก็ฆ่าฉันได้แล้ว" แต่บุตรชายของผู้เป็นศัตรูกลับคุกเข่าลง ร่ำไห้และพูดกับชายคนนั้นว่า "ฉันจะฆ่าท่านได้อย่างไร ท่านได้กลายเป็นครูของข้าพเจ้าไปแล้ว" เพราะในระหว่างช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาทำงานขุดอุโมงค์ด้วยกันนั้น บุตรเจ้าเมือง เด็กหนุ่มได้กลับกลายเป็นเกิดความประทับใจต่อคุณสมบัติที่ดีของชายผู้ที่เขาต้องการที่จะฆ่า และเป็นผู้ที่น่าจะเป็นศัตรูของเขาเมื่อก่อนนี้ แต่บัดนี้เขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เขาคิดถึงแต่เพียงในสิ่งที่ดีและสิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น คิดถึงการให้ การเสียสละ โดยที่ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดเลย เป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้ เดิมทีเดียวเขาอาจจะเป็นคนดี แต่อาจจะเป็นเพราะถูกล่อลวงโดยหญิงชั่วคนนั้น และเป็นเพราะนาง เขาจึงได้ทำสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ลงไป และเนื่องจากเขาเป็นคนดี ดังนั้นเขาจึงรูว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีจึงได้ผละจากนาง และได้กลับกลายมาเป็นตัวของตัวเองดังเดิม ฉะนั้นไม่สำคัญว่าเขาจะเคยเลวมาขนาดไหน ไม่สำคัญว่าเขาจะเคยเลว หรือว่าแรกเริ่มเดิมทีเขาจะเป็นคนดี แต่เป็นเพราะว่าเขาสำนึกเสียใจ และปรารถนาอย่างที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและต้องการที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้กับส่วนรวม ทำเพื่อผู้อื่น ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำให้ศัตรูของเขา ผู้ที่ประสงค์จะฆ่าเขาเกิดความประทับใจ และไม่เพียงแต่จะมีผลต่อความคิดเห็นของศัตรูเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงให้ศัตรูกลายเป็นผู้ที่อหิงสาอีกด้วย ไม่สำคัญว่าบุตรเจ้าเมืองจะเป็นคนดีเพียงใด แต่หากว่าเขาต้องการที่จะฆ่าชายคนนั้น เขาก็จะต้องตกอยู่ในความลำบาก เขาจะมีความรู้สึกผิดของการฆ่าติดอยู่ภายในใจตลอดเวลาและมันก็จะไม่เป็นการดีต่อผู้ใดเลย ฉะนั้นเขาได้เปลี่ยนแปลงคนผู้นั้นให้กลายเป็นคนดีอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงตนเองเท่านั้น แต่เขาเปลี่ยนแปลงศัตรูและแปรเปลี่ยนความเกลียดชังระหว่างสองตระกูลให้เป็นความสัมพันธ์อันดีงามและมิตรภาพ นี่จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นเธอก็เห็นแล้วว่าการพัฒนาฝึกฝนตนเองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก และเป็นวิธีเดียวเดียวอย่างแท้จริงถ้าหากว่าเราต้องการที่จะสร้างสรรค์โลกนี้ หากว่าเราต้องการที่จะช่วยเหลือโลกนี้ เราก็จะต้องอุทิศตนฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง ไม่มีหนทางอื่น ดังนั้นวิธีที่เราปฏิบัติต้องไปด้วยกันทั้งภายนอกและภายใน ภายในเราติดต่อกับพลังอันยิ่งใหญ่โดยผ่านทางธรรมวิถีกวนอิม โดยผ่านทางแสงและเสียงทุกๆ วัน แล้วเราก็จะสามารถมีพลังเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยภายนอกและความเคยชินภายนอกซึ่งเราสะสมเอาไว้ ไม่ใช่แค่เพียงตั้งแต่แรกเกิดเท่านั้น แต่สะสมมาตั้งแต่ที่เรามาเกิดเป็นหลายร้อยหลายพันครั้ง นี่เป็นสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างมากจริงๆ ดังนั้นเราจึงต้องใช้พลังจากภายในและความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก ฉันรู้ แต่เราก็ต้องทำ ถ้าเราไม่ลงมือทำในชาตินี้ เราก็จะต้องกลับมาและก็ทำมันอีกในชาติต่อไป ชาติต่อไปยังไม่ลงมือทำ ก็จะต้องกลับมาอีก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ทนทุกข์ทรมานต่างๆ นานา ถ้าตอนนี้เธอขี้เกียจและไม่อยากที่จะปฏิบัติบำเพ็ญกับฉันกับวิธีการที่ฉันได้สอนเธอไปก็ดี มันก็แล้วแต่เธอ เธอจะกลับมาอีกหลายๆ ครั้งก็ได้ไม่เป็นไรด้วยความยินดี ฉันไม่ต้องการที่จะกลับมาอีก ฉันมีสิ่งอื่นที่จะต้องทำ...
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 9 มีนาคม 2537 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์เลขที่ 409 เธอเป็นผู้ใหญ่และฉลาดมาก ไอคิวของเธอก็สูงมาก (ทุกคนหัวเราะ) และเธอก็รู้หลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งฉันไม่รู้ เพราะฉะนั้นทำไมฉันจะต้องบอกเธอทุกสิ่งทุกอย่างล่ะ? ฉันสามารถบอกเธอได้สิ่งเดียวเท่านั้นคือ เธอจะต้องมีชีวิตชีวาให้มากขึ้น และอะไรก็ตามที่เธอต้องการทำ ก็จงทำมันเสีย! อะไรที่สนุกสำหรับเธอ ตราบใดที่เธอไม่ทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นถ้าหากเธอต้องการรู้จักดาราหนัง ก็ให้ไล่ตามเขา! ถ้าหากเธอต้องการพบประธานาธิบดี ก็ให้เขียนถึงท่าน หากสิ่งที่เธอต้องการ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือสังคมโลก ก็นับว่ายากหน่อย แต่เมื่อพูดถึงการมักใหญ่ใฝ่สูงของเธอหรือความสนุกของเธอแล้ว มันก็ไม่ยากนักหรอก จริงๆ นะ ขอให้ทำมันด้วยความจริงใจทั้งหมดของเธอและความปรารถนาทั้งหมดของเธอที่จะประสบความสำเร็จ แล้วเธอก็จะได้รับมัน ส่วนใหญ่เราเป็นทุกข์ เพราะเราไม่ประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่เราต้องการทำ และเพราะเรามีความกลัว บางครั้งเธอรักคนคนหนึ่ง แต่เธอพูดว่า "โอ เขาหล่อเกินไปสำหรับฉัน" ใครจะไปรู้ล่ะ? บางทีเธออาจจะสวยเกินไปสำหรับเขาก็ได้! เธอไม่มีวันรู้ ฉันไม่ได้สนับสนุนให้เธอไล่จีบผู้ชาย แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราและเราไม่ลองดู มันง่ายมาก ตัวอย่างเช่น ตอนที่ฉันเป็นเด็กเล็กมาก ฉันมองพวกที่ทำงานในสถานีโทรทัศน์ หรือผู้ที่เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ หรือสถานีวิทยุด้วยความชื่นชม อย่างกับว่า พวกเขาเป็นพระเจ้าหรือที่ 2 รองจากพระเจ้า แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่า มันไม่มีอะไรเลย ฉันสามารถทำมันได้ ฉันสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ฉันสามารถแม้กระทั่งซื้อมันก็ได้ มันง่ายมากและไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะว่าถ้าเธอไม่หาว่า ผู้คนดำเนินกิจการสถานีกันอย่างไร เธอก็จะคิดว่า พวกเขาเป็นพระเจ้า แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย ตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียนมัธยม ฉันก็อาศัยอยู่ติดๆ กับสถานีวิทยุไซ่ง่อน มันเป็นสถานีวิทยุที่ใหญ่ ฉันอยู่ติดกับมันทุกๆ วัน และฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นฉันจึงบูชานักร้องทั้งหลายที่มาเข้าๆ ออกๆ ขึ้นๆ ลงๆ และบุคคลทั้งหลายที่ผ่านบ้านฉันไป เข้าไปยังสถานีที่ใหญ่โตเหมือนอย่างพระเจ้าและฉันก็เอาแต่นั่งฝันว่า สักวันหนึ่งฉันอาจจะร้องเพลงหรือท่องบทกวีในสถานีนั้น ฉันเพียงแต่ฝันในเรื่องนั้น และฉันไม่คิดว่า มันจะเกิดขึ้น แต่บางครั้งผู้คนในสถานีวิทยุก็จะมีการแข่งขันอะไรบางอย่าง อย่างเช่น เธอจะเขียนบทกวีหรือตอบคำถามบางอย่าง อย่างเช่น เธอจะเขียนบทกวีหรือตอบคำถามบางอย่าง แล้วพวกเขาก็จะให้รางวัลกับเธอ ฉันก็ได้ลองดู แล้วฉันก็ชนะ! เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ฉันไม่เคยคิดว่า ฉันจะชนะได้ ฉันคิดว่า มันไกลเกินเอื้อมสำหรับฉัน แต่อันที่จริงแล้ว ฉันเพียงแต่ลองดูครั้งเดียวเท่านั้น แล้วฉันก็ชนะ หลังจากนั้น ฉันก็ย้ายไปยังอีกตำบลหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถานีวิทยุอีกต่อไป ฉันอยู่ที่นั่น อาจจะแค่ 1 หรือ 2 ปีเท่านั้น แต่นั่นก็นับว่านานพอดู ฉันสามารถที่จะเข้าไปข้างใน และพูดกับคน และบอกพวกเขาว่าฉันต้องการร้องเพลงหรือท่องบทกวีก็ได้ ฉันท่องได้ดีมาก แล้วทำไมฉันจะไม่ทำมันล่ะ ก็เพราะไม่มีใครบอกฉัน แบบที่ฉันกำลังบอกให้เธอทำอย่างไรล่ะ (เสียงปรบมือ) แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรที่ฉันไม่ได้กลายเป็นนักร้อง ในที่สุดฉันก็จะเป็นอยู่ดีนั่นแหละ แต่ฉันอาศัยอยู่ในช่วงนั้น ที่ตรงนั้น ยืนอยู่รอบสถานีโดยไม่ทำอะไรที่ฉันต้องการทำ ฉันสามารถที่จะทำได้ แล้วฉันก็จะสนุกสนาน แต่บางทีพระเจ้าอาจจะไม่ต้องการให้ฉันทำก็ได้ มันก็นับว่าโอเคเหมือนกัน สิ่งที่ฉันหมายความก็คือ เธอควรที่จะทำมัน ฉันไม่คิดว่า พวกเธอทั้งหมดจะกลายเป็นอาจารย์ เพราะฉะนั้นทำไมไม่สนุกสนานกันล่ะ! (เสียงหัวเราะ) บางทีพระเจ้าอาจจะต้องการให้ฉันกลายเป็นอาจารย์ ดังนั้นฉันจึง "ป้องกัน" ฉันป้องกันนักร้องและศิลปินที่มีความสามารถพิเศษสุดของโลกในเวลานั้น (เสียงปรบมือ) แต่ไม่มีอะไรที่จะป้องกันเธอจากสิ่งที่เธอต้องการจะทำและให้สำเร็จสมดั่งความหวังของเธอ ขอให้สนุกเป็นครั้งสุดท้าย ความจริงฉันก็ต้องพยายามที่จะสนุกเหมือนกัน ฉันลองทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตัวฉันอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นแล้วไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นฉันจะทำอะไรได้ล่ะ ผู้คนเฝ้าถามฉันตลอดเวลาว่า "ทำไมท่านจึงแต่งหน้า? ทำไมท่านจึงใส่ชุดสวย" และอะไรแบบนั้น ก่อนที่ฉันจะกลายมาเป็นอนุตราจารย์ชิงไห่ ฉันก็เป็นแบบนี้ (ท่านอาจารย์ชี้ไปที่เสื้อผ้าธรรมดาของท่าน) จากนั้นฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้มาเป็นเวลานาน แล้วตอนนี้ฉันก็เป็นแบบนี้อีก ดังนั้นมันจึงทำให้ฉันงุนงงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่มีอะไรน่าฉงน ก็เหมือนกับเมื่อคนแก่เริ่มแก่ตัวลง เขาก็กลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันอาจจะกำลังเกิดขึ้นกับฉันก็ได้ มันง่ายมาก ก็เหมือนกับเรื่องที่ฉันได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับพระราชา ซึ่งจะออกไปข้างนอกและทำตัวเป็นคนโง่ในที่ๆ มีฝุ่น ในที่สาธารณะ และบางครั้งในภัตตาคารที่สกปรกหรือถนนที่สกปรก พระองค์จะเดินคนเดียวพร้อมกับผู้ติดตาม 2-3 คนเท่านั้น เพียงเพราะว่า พระองค์ต้องการเป็นอิสระ อิสระจากเกียรติยศ อิสระจากการปกป้องคุ้มครอง อิสระจากความกลัวในการเดินบนท้องถนนในฐานะที่เป็นพระราชา เธอคงรู้ว่าฉันหมายความว่าอะไรนะ ขอเพียงแค่เป็นอิสระ ฉันก็ต้องการเป็นอิสระจากนักบุญ แล้วตอนนี้ฉันก็ได้รับการหลุดพ้น! (เสียงปรบมือ) ฉันป่วย ฉันเป็นโรค ป่วยจากการนั่งสมาธิหรือเป็นโรคอาจารย์ มันทำให้คนรู้ว่าฉันเป็นอาจารย์ แต่ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว อาการเจ็บป่วยก็คงจะหายไปแล้ว ดังนั้นบางครั้ง เราบำเพ็ญไปได้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วเราก็เจ็บป่วย นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า "โรคนักบุญ" แต่เธอจะต้องรักษาตัวเธอเอง ร่องรอยแห่งความเป็นนักบุญอะไรก็ตามที่เธอสวมอยู่บนใบหน้าของเธอ หรือบนจมูก หรือข้อเท้าของเธอ หรือซ่อนอยู่ในหัวใจของเธอ - เธอควรที่จะรักษามันเป็นอย่างๆ ไป จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับเธอ ตอนนี้ฉันจำได้ถึงเรื่องที่จะอธิบายให้เธอฟังครั้งเดียวและตลอดไป เพราะว่าทุกคนชอบที่จะถามฉันว่า ทำไมฉันจึงสวมใส่ชุดแบบนี้ แทนที่จะถามฉันว่า ฉันกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งได้อย่างไร พวกเขาเฝ้าถามคำถามมากมายกับฉัน แล้วในที่สุดพวกเขาก็ต้องพูดว่า "ว้าว ฉันมีเพียงคำถามเดียว แต่ฉันไม่กล้าถามท่าน ฉันจะ..." แล้วในที่สุดแมวก็ออกมาจากถุง "ทำไมท่านจึงสวมใส่ชุดนี้?" มันเป็นแบบนั้นแหละ ในทิเบต มีคนมากมายที่ฝึกบิน พวกเขาทำกันอย่างไร? ก็เหมือนกับในประเทศจีน พวกเขาฝึก ชินกุง (เป็นวิทยายุทธของจีนชนิดหนึ่งที่ฝึกให้ผู้ฝึกตัวเบามาก) เธอสามารถที่จะบิน เธอสามารถที่จะกระโดดขึ้นลงบนหลังคาได้สูงมากหรือไกลมาก ผู้คนยังฝึกกันแบบนี้ในประเทศจีน บางครั้งเธอได้เห็นกังฟูที่ไม่ใช่เป็นของจริง แต่มันเป็นสิ่งที่แทนความจริงในสมัยเก่า เมื่อคนยังสามารถบินได้ ในปัจจุบันนี้ คนบางคนในทิเบตยังสามารถบินได้ เนื่องจากสภาพอันยากลำบากในทิเบต พวกเขาจึงไม่มีรถยนต์ พวกเขามีแต่ภูเขาเท่านั้น ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปีในบางครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเดินทางไกลมากโดยปราศจากอาหารมากนัก หรือไม่ก็ไม่มีภัตตาคารมารกนัก หรืออะไรในระหว่างการเดินทาง พวกเขาต้องห่อของชิ้นเล็กๆ ติดตัว ห่อของชิ้นเล็กมากๆ ติดตัวไปด้วย บางครั้งก็ไม่มีแม้กระทั่งม้า หรือพวกเขาก็มีแต่เพียงสิ่งที่เรียกว่ายักษ์ (วัวหิมาลัยตัวใหญ่ มีขนสีน้ำตาลเข้ม) แล้วพวกเขาก็ต้องเดินทางไปกับสิ่งที่พวกเขามี พวกเขาไม่สามารถเสียเวลานานๆ ได้ บางครั้งพวกเขาต้องไปอย่างรวดเร็วสำหรับธุระที่ด่วนบางเรื่อง ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกการบินชนิดนี้ แล้วบางคนก็ฝึกหนักมากจนไม่เคยมาแตะพื้นอีกครั้งเลย พวกเขาบินอยู่ในอากาศตลอดเวลา เธอสามารถหาอ่านได้จากหนังสือของมาดามอเล็กซานดร้า เดวิด - นีล เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นความจริงทั้งหมด แต่ฉันต้องอ้างอิงถึงหล่อน เพื่อว่าเธอจะได้รู้ว่า ฉันไม่ได้กำลังพูดเรื่องเหลวไหลอยู่ เธอจะได้ทราบว่า คนเขียนถึงเรื่องนี้ และเธอจะได้มีข้อพิสูจน์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาบินอยู่ในอากาศตลอดเวลาก็คือว่า พวกเขาจะต้องลงมาบ้างเป็นบางครั้ง ฉันหมายความว่าอย่างน้อยก็เพื่อเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำ (เสียงหัวเราะ) หลังจากที่บินเป็นเวลานานเกินไป พวกเขาก็มีกลิ่นด้วยเหมือนกัน! ดังนั้นพวกเขาก็ต้องลงมา พวกเขาจะต้องใส่โซ่เหล็กที่หนักมากเป็นจำนวนมากไว้รอบๆ ตัวของพวกเขา เพื่อที่จะได้สามารถควบคุมและทำให้การขึ้นและลงมาของพวกเขาสมดุล นั่นคือ สิ่งที่พวกเขาทำ ดังนั้นบางครั้งถ้าเธอไปทิเบตและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอก็จะเห็นอะไรบางอย่างแบบนั้น และเธอจะคิดว่าพวกเขากำลังทรมานตนเองโดยพันโซ่ไว้รอบตัวและอื่นๆ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องทำ ถ้าเขาบินสูงเกินไป และเขาตัวเบาเกินไป ถ้าพวกเขาบินนานหรือตัวเบาเกินไป พวกเขาก็จะต้องทำให้ตัวหนักขึ้นเพื่อที่จะได้ร่อนลงพื้นและอยู่บนพื้นนานเท่าที่ต้องการ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาก็จะบินอยู่ในอากาศตลอดเวลา ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราเริ่มบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ หลังจากระยะเวลาหนึ่ง เราก็จะกลายเป็นนักบุญหรือพุทธะ และพูดว่า "โอ ฉันไม่เชื่อเรื่องนั้น ฉันไม่มองสิ่งนั้น ฉันไม่พูดกับคนคนนั้น ฉันไม่ใส่เสื้อผ้าชนิดนั้น" นั่นคือเวลาที่ความเจ็บป่วยของเธอนั้นเข้าขั้นสาหัสที่สุด (เสียงหัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นสักพักหนึ่ง เธอก็เป็นนักบุญเกินไป แล้วเธอต้องรักษาตัวเธอเอง เธอจะต้องดึงตัวเธอให้ลงมาติดพื้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมและทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความรู้ของเธอ ความเป็นนักบุญของเธอ หรือปัญญาของเธอ เพราะผู้คนเป็นจำนวนมากต้องการเธอ เธอไม่สามารถที่จะนอนอยู่ในนิพพานตลอดเวลา มันก็ไม่ดีสำหรับเธอด้วยเหมือนกัน ในขณะที่เธออยู่ที่นี่ ถ้าหากฉันอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ฉันก็จะไม่สนใจในเรื่องอะไร ฉันจะอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ฉันหมายถึงเป็นสภาพ ไม่ใช่ว่าฉันจะต้องบินอยู่ในท้องฟ้า แต่แล้วฉันก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ และฉันก็จะไม่มีวันเข้าใจว่า เธอทุกข์ทรมานอย่างไร ฉันจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องจิตใจของเธอ ฉันจะไม่รู้อะไรเลย ฉันจะไม่เข้าใจความทุกข์ทรมานของเธอ หรือความรักของเธอ ความเกลียดชังของเธอ ความล้มเหลวหรือบุญของเธอ ฉันจะไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉันจะเป็นนักบุญเกินไป บริสุทธิ์เกินไป: บ - ริ - สุ - ท - ธิ์ (เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ) ดังนั้นสิ่งเหล่านี้คือโซ่ตรวน ไม่สำคัญว่าสีอะไร มันเป็นเพียงฝุ่นละอองเท่านั้น ฝุ่นละอองสีเหลือง ฝุ่นละอองสีฟ้า สีขาว เพราะฉะนั้นจะไปใส่ใจมันทำไม? ผู้คนเหล่านั้นที่วิจารณ์ฉันเป็นนักบุญ พวกเขาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนักบุญ ดังนั้นทันทีที่พวกเขาออกมา พวกเขาก็จะจดจำได้ พวกเขาจะเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง และเราสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้ เพราะฉะนั้นอย่าได้เป็นห่วง การเป็นนักบุญเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน เราหลุดออกจากความเป็นจริง และเราก็จะไม่สมดุล ก็เหมือนกับคนในทิเบตที่บินอยู่ในท้องฟ้าเสมอและไม่สามารถลงมาเข้าห้องน้ำได้ ขอให้แน่ใจว่า ถ้าพวกเขาไม่มีโซ่ ก็อย่าไปอยู่ใต้พวกเขา (เสียงหัวเราะ) เธออาจจะตกอยู่ในความเดือดร้อน การเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอไม่สะดวกเสมอไปนักในสภาพอากาศที่หนาวและสูงขนาดนั้น อย่าพูดนะว่าฉันไม่ได้เตือนเธอ!......
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai แก่เพื่อนประทับจิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ฌานสามในยุโรป ปี 1995 (เดิมเป็นภาษาจีน) คนบางคนได้เห็นนิรมาณกายของฉันแล้วก็ยังไม่พอใจ เลยยังต้องมาพบกับฉันอีก ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เป็นแบบนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะกายเนื้อนั้นหาได้ยากมาก และผู้ที่รู้แจ้งแล้วทุกคนจะมีนิรมาณกายกัน (คนหัวเราะ) การที่จะเห็นนิรมาณกายนั้นมันง่าย แต่จะเป็นการยากกว่าที่จะได้เห็นตัวจริงซึ่งจะมีอยู่ก็ต่อเมื่ออาจารย์ผู้รู้แจ้งนั้นยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หลังจากอาจารย์ผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะมีนิรมาณกายเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ แน่นอนที่จะน่ายินดีมากกว่าที่จะได้เห็นทั้งนิรมาณกายและได้เห็นตัวจริง ผู้รู้แจ้งธรรมดาทั่วไปมีแต่นิรมาณกาย แต่ไม่มีกายเนื้อจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยเหลือสรรพสัตว์ไม่ได้ อย่างเช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังคงมีนิรมาณกายของท่าน แต่ท่านไม่สามารถจะประทับจิตให้แก่เราหรือว่าช่วยเหลืออะไรเราได้ บางทีท่านอาจจะสามารถชี้นำเราให้ไปพบกับอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งมีกายเนื้ออยู่เพื่อที่เราจะได้รับการประทับจิต ทุกคนชอบร่างที่เป็นกายเนื้อเพราะว่ามันหาได้ยาก! นิรมาณกายทั้งหลายนั้นมีอยู่เยอะแยะมาก ในจักรวาลเต็มไปด้วยนิรมาณกายของผู้ที่รู้แจ้งแล้วซึ่งอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่กายเนื้อนั้นหายาก มีอยู่ไม่กี่ร่าง ต่อเมื่อมีผู้รู้แจ้งมา สรรพสัตว์จึงจะสามารถมองเห็นกายเนื้อจริงๆของพวกเขาได้ การที่จะปรากฏร่างมาในร่างที่เป็นกายเนื้อนั้น จะต้องมีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน ต้องมีการรวบรวมอะไรต่างๆ หลายด้านภายในจักรวาล ได้แก่ ความเป็นเหตุเป็นผล, พรบุญของสรรพสัตว์ทั้งหลายและพระประสงค์ของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ดังนั้นมันจึงยากมากกว่าที่จะได้เห็นตัวจริงมากกว่าที่จะได้เห็นนิรมาณกาย อย่างไรก็ตาม คำพูดของฉันนี้พูดสำหรับให้พวกเธอฟังเท่านั้น อย่าไปบอกคนอื่นล่ะ (คนหัวเราะ) ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกเธอฟังในวันนี้ ซึ่งปกติไม่ควรจะนำมาบอก! คนที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้อาจจะคิดว่าพวกเธอเย่อหยิ่งมาก สรรเสริญยกย่องกายเนื้อและดูถูกนิรมาณกาย เวลาที่เธอเข้าถึงโลกภายในขณะที่กำลังทำสมาธิ เธอจะสามารถเห็นนิรมาณกายมากมาย ไม่ใช่แค่นิรมาณกายของอาจารย์เท่านั้น แต่ยังเห็นนิรมาณกายของอมิตาภพุทธะหรือของกวนอิมโพธิสัตว์ด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเธอไปถึงระดับไหน เธอก็จะได้เห็นนิรมาณกายของผู้ที่รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย การที่จะได้เห็นกายเนื้อจริงๆ นั้นยากมาก ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงกล่าวว่ามันยากอย่างสุดแสนที่จะได้เห็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ตัวจริง การที่จะคงรักษาร่างกายเนื้อของตนเองก็ยากมากอยู่แล้ว แต่จะยากมากกว่านั้นอีกที่จะได้เห็นร่างกายของอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่ง ด้วยเหตุนี้คนถึงได้อยากเห็นกายเนื้อของอาจารย์ผู้รู้แจ้งมาก มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ไม่ใช่เฉพาะในสมัยนี้หรอก ถ้าเธอสังเกตเห็นใครที่มีคนอยากจะเห็นกันมาก คนคนนั้นจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่ได้บรรลุสัจธรรมแล้ว ไม่สำคัญว่าเขาจะมีหน้าตาอย่างไร หรือพูดภาษาอะไร หรือว่าเขาจะเทศน์สอนหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเขาจะแตะตัวอวยพรเธอหรือให้อะไรเธอหรือไม่ก็ตาม ถ้าทุกคนยังอยากจะได้เห็นเขา แบบนั้นเขาก็ต้องเป็นผู้ที่บรรลุสัจธรรมแล้ว! ในหนังสือของจวงจื้อมีกล่าวไว้ว่า : วันหนึ่ง, มีศิษย์คนหนึ่งของท่านขงจื้อถามเขาว่า "ในที่แห่งหนึ่ง, มีคนคนหนึ่งที่พิการหลังค่อม แต่เขาก็มีลูกศิษย์มากพอๆ กับท่าน ในชีวิตประจำวันของเขา, เขาไม่เคยพูดไม่เคยสอนอะไรเลย แต่ทุกคนก็อยากจะอยู่กับเขา ผู้ชายอยากจะเป็นเพื่อนของเขา ส่วนผู้หญิงก็อยากจะเป็นภรรยาของเขา ทุกๆ คนรักเขา ท่านช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าทำไม, ท่านอาจารย์? " ท่านขงจื้อก็ตอบว่ามันเป็นเพราะบุคคลคนนั้นบรรลุเต๋าแล้ว.... ไข่มุกแห่งปัญญา ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, ปีนัง, มาเลเซีย 23 กุมภาพันธ์ 1992 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) เวลาที่เราคิดว่าเราเก่งมาก ยอดเยี่ยมมาก เราอาจจะถูกหลอกโดยสมองของเรา สมองของเราชอบความรุ่งโรจน์, คำสรรเสริญ, จินตนาการอันสวยหรู และคิดว่าเราเก่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง สมองก็ดูถูกตัวเราหรือลดชั้นตัวเราเองด้วย มันอาจจะจมอยู่ในความหดหู่เศร้าหมองและความรู้สึกมีปมด้อย รวมทั้งหลอกเราเกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของเราด้วย มันอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองทาง
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, ศูนย์ซีหู , ฟอร์โมซา 11 กุมภาพันธ์ 1996 (เดิมเป็นภาษาจีน) ถึงอย่างไรเราก็สวยงาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็จะสวย ตอนฉันยังเล็กๆ ฉันไม่เคยคิดว่าฉันหน้าตาน่ารัก ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้สึกว่าฉันหน้าตาน่ารัก บางครั้งเวลาฉันส่องกระจก ฉันจะรู้สึกว่าตาของฉันมันเล็กไป (คนหัวเราะ) จมูกก็สั้นไป พอเห็นคนอื่นฉันก็จะคิดว่า "โอ! จะเยี่ยมสักแค่ไหนถ้าฉันจะมีจมูกแบบเธอ ผิวแบบเธอ หรือตาแบบเธอ! " ฉันเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ ทุกวัน ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันหน้าตาไม่สวย ความจริงแล้ว, เราไม่ต้องไปสนใจสิ่งเหล่านี้หรอก ตัวเราก็ใช้ได้อยู่แล้ว มีชายคนหนึ่งซึ่งไม่มีเงินจะซื้อรองเท้าและก็รู้สึกหงุดหงิดคับข้องใจมาก วันหนึ่ง, ตอนที่เขาออกจากบ้าน เขาก็ได้เห็นผู้ชายที่มีความสุขมากคนหนึ่งกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับผู้คน แถมยังร้องเพลงและเต้นรำไปด้วย พอเขาตั้งใจดูดีๆ ก็พบว่าชายคนนี้ไม่มีเท้า! เท้าทั้งสองข้างของเขาหายไป เขาจึงไม่ต้องซื้อรองเท้าใส่ (อาจารย์หัวเราะ) บางทีแบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่เขาถึงได้มีความสุขมาก นับจากวันนั้น, เขาจึงไม่รู้สึกหงุดหงิดอีกต่อไปที่ไม่มีเงินจะซื้อรองเท้าใส่ ที่จริงแล้ว, ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องดูเหมือนๆกัน กุหลาบมันก็สวยดี แต่ถ้าทั้งโลกปลูกแต่กุหลาบ พวกเธอจะคิดอย่างไร? ไม่น่าเบื่อหรอกหรือ? (คนตอบ : น่าเบื่อ) บางคนจึงไม่ชอบกุหลาบ พวกเธอชอบกุหลาบกันทุกคนและบอกว่ากุหลาบสวยที่สุด แต่ว่าฉันไม่ชอบกุหลาบ! ฉันชอบดอกกุหลาบพอๆ กับที่ชอบดอกเบญจมาศ บางครั้งฉันก็ชอบดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่ชื่อว่า "ความใจร้อน" เพราะว่าฉันไม่ต้องดูแลมัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันบานทุกวัน แม้แต่วันที่ฝนตก ตอนฤดูหนาวหรือตอนที่มีลมหนาวพัดแรงมันก็ยังบานรวมทั้งในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงด้วย เธอเพียงแต่รดน้ำมันบ้างขณะที่ร้องเพลงไปด้วย มันก็โตแล้ว แม้แต่เธอจะไม่ได้ให้น้ำมันเลย มันก็ยังโตได้ด้วยน้ำฝนนิดหน่อย ฉันเพียงแต่หวังว่าเราจะเป็นเหมือนกับดอก "ใจร้อน" ได้! เราไม่จำเป็นต้องเป็นดอกกุหลายหรอก มันบอบบางและก็ทำความลำบากให้มาก มันออกดอกเพียงปีละครั้งหรือสองครั้งและก็มีหนามเยอะแยะ แปลกนะ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพียงเพราะมันสวยน่ารักดี มันก็เลยเย่อหยิ่งมาก ถ้าเธอไปแตะต้องมัน เธอก็จะเลือดไหล ทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้? ไม่ได้หมดทุกทุกคนหรอกนะที่จะชอบดอกกุหลาบ มันอาจจะสวย แต่คนอาจจะไม่ชอบมัน ฉันชอบดอกบัว มันเติบโตในโคลนตมที่สกปรก แต่ว่ามันมีกลิ่นหอมและสะอาดมาก เวลามันบาน น้ำหวานในดอกของมันจะใสสะอาดเหมือนกระจกเงา สวย, ใสและบริสุทธิ์มาก ไม่มีผึ้งมาตอมดูดน้ำหวาน ไม่มีแมลงวันเข้ามาใกล้ มันสะอาดมาก ฉันได้ยินว่าดอกบัวมาจากระดับชั้นที่สูงมากเบื้องบน นานมาแล้ว มีผู้ขโมยมันมาปลูกที่นี่ ตอนนี้มันถึงได้กลายมาดูน่าเกลียดมาก (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ดอกบัวที่อยู่ข้างบนเหนือขึ้นไปนั้นสวยกว่านี้อีก บางดอกก็เล็ก บางดอกก็ใหญ่ ดูเหมือนหยกใสๆ สวยมาก พอเธอเหยียบบนดอกบัว มันก็จะเริ่มบินลอยไป! ไม่ว่าเธอจะอยากไปไหน เพียงแต่คิดเท่านั้นมันก็จะพาเธอไปที่นั่น เธอไม่ต้องสั่งมันเลยว่า "เฮ้! คนขับ...." (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เธอไม่ต้องบอกมันเลยว่า "ฉันอยากจะไปไทเป" เพียงแต่ขึ้นไปยืนบนนั้น มันก็จะรู้ว่า เธออยากจะไปหาอมิตาภพุทธะหรือกวนอิมโพธิ์สัตว์ มันจะพาเธอไปไม่ว่าที่ใดที่เธออยากจะไป ในโลกเบื้องบน, เมฆก็ทำหน้าที่แบบเดียวกันนี้เหมือนกัน ทันทีที่เธอขึ้นไปบนเมฆก้อนหนึ่ง มันก็จะพาเธอไป! พอเธออยากจะหยุด ก็เพียงแต่คิด หรือแม้แต่ก่อนที่เธอจะคิด มันก็จะรู้และก็จะหยุดทันที ไม่มีการจราจรติดขัดวุ่นวายเหมือนกับที่เรานั่งรถแท็กซี่ที่นี่! ในโลกระดับที่สูงขึ้นไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่ตอนที่เมฆก้อนหนึ่งชนกับเมฆอีกก้อน ไม่จำเป็นต้องมีกฎจราจร ก้อนเมฆและดอกบัวเพียงแต่ลอยไปมาอย่างอิสระเสรีสบายมาก! พวกเธอบำเพ็ญให้มากขึ้นแล้วจะได้เหาะไปบนดอกบัวและก้อนเมฆได้ ถ้ากรรมของเธอหนักมากไป เธอก็จะตกลงมา เรื่องนี้ฉันต้องเตือนเธอไว้ก่อน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันรู้ว่าใครกรรมหนักเกินไป มันรู้ว่าเธออยากจะไปไหนและเมื่อไรจึงจะหยุด มันยังรู้อีกด้วยว่าใครไม่สมควรจะโดยสารไป เมฆและดอกบัวเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งทางวัตถุ ฉะนั้นถ้าเรายังมีด้านที่เป็นวัตถุอยู่ภายใน เราจะเข้ากับคุณสมบัติของมันไม่ได้ แล้วเราก็จะตกลงมาเองถ้าเราพยายามจะโดยสารไปบนมัน (คนหัวเราะและปรบมือ)