2 พฤษภาคม 2554 00:56 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๑
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วิดีทัศน์เลขที่ ๖๓๘
เราจะคาดหวังให้คู่ของเราเป็นอย่างนี้หรือเป็นอย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้นหรือทำอย่างนี้ และเมื่อพวกเขาไม่ทำ เราก็จะผิดหวัง เมื่อพวกเขาไม่เป็นอย่างที่เราชอบ เราก็จะผิดหวังและเจ็บปวดใจและอะไรๆ อย่างนั้น แล้วเราก็จะร้างราจากความสัมพันธ์นั้น แต่ความสัมพันธ์ไม่ได้มีไว้ให้เธอคาดหวังให้อีกคนหนึ่งทำในสิ่งที่เธอต้องการ มันมีไว้เพื่อให้เธอทำสิ่งที่เธอเองอยากทำ เพื่อเป็นผู้ที่เธออยากเป็น เพื่อแสดงว่าเธอเป็นอะไร ว่าเธอดีอย่างไร ว่าเธออยากเป็นอย่างไร และว่าเธออยากเป็นคนประเภทไหนในความสัมพันธ์หรือการแต่งงานกันนั้น เธออาจอยากเป็นภรรยาที่ดี “ภรรยามหัศจรรย์” หรือผู้มีน้ำอดน้ำทน หรือซื่อสัตย์ มันคือเรื่องว่าเธออยากเป็นอะไรในบทบาทของเธอและไม่ใช่คาดหวังอยู่ตลอดเวลาว่าสามีจะเป็นอย่างไร ว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธออย่างไร และว่าเขาจะพูดกับเธออย่างไร
แต่นั่นคือปัญหาของการแต่งงาน เธอเข้าใจผิดไปทั้งหมด เธอคิดว่า “ดีละ บัดนี้เราคบกับเขาหรือกับหล่อนแล้ว และชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไป ยอดเยี่ยมไปเลย เขาหรือหล่อนจะทำให้เรามีความสุข” นี่ไม่เป็นความจริง! เป็นตัวเธอต่างหากที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขหรือไม่ ในความสัมพันธ์นั้น แต่โดยมากแล้ว เราจะหวังให้คู่ของเราทำให้เรามีความสุข ให้เป็นคนนั้นที่เราชอบในภาพของเรา และนั่นคือปัญหา เราลืมไปที่จะเป็นสิ่งที่เราอยากเป็น เราลืมที่จะจัดวาระในอุดมคติให้กับตัวเราเอง ในทางกลับกัน เราจัดวาระให้กับคู่ของเรา เป็นคล้ายกับกำหนดการหรือภาพเพื่อให้คู่ของเราจัดตนเองลงไป และทั้งคู่ก็จะคาดหวังอย่างเดียวกันและนั่นคือเหตุ ที่อะไรๆ ก็แตกแยกกันไป
เราเข้าใจกันผิดไปหมด ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม เราจะต้องตรวจสอบแต่ตัวเองเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้เราควรทำอย่างไร? เราจะวางตัวเป็นอะไร? เราต้องการจะแสดงอะไร? เราต้องการนำเสนอส่วนดีส่วนใดให้กับคู่ของเราหรือกับโลก? มันไม่ใช่คู่ของเราที่จะต้องนำเสนออะไรให้กับเรา ไม่ว่าเขาหรือหล่อนอยากจะเสนออะไร นั่นคือเรื่องของเขา เรื่องของเรามีแต่ตัวเราเอง เป็นตัวเราเองเสมอ แต่คนส่วนมาก เมื่อแต่งงานไปแล้วหรือเมื่อมีคู่หรือเพื่อน พวกเขาจะตั้งเป้าความสนใจไปสู่อีกส่วนหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งหมดเลยและตรวจสอบว่า “โอ เขาทำผิด หล่อนทำผิด” หรือ “หล่อนไม่ดี เขาไม่ดี” จงลืมไปเสีย! เราจะต้องตรวจสอบตัวเราเอง เป็นเราที่มีความสำคัญ ทุกความสัมพันธ์ ทุกสถานการณ์มีไว้ให้เราเรียนรู้ ไม่ใช่มีไว้ให้อีกคนหนึ่งนั้น อีกคนหนึ่งนั้นเป็นพียงตัววัด เป็นข้ออ้างให้เราได้ฝึกปรือพลังของเราและจินตนาการของเราเกี่ยวกับตัวเราเอง
นั่นคือปัญหา นั่นคือเหตุ ที่ชีวิตแต่งงานมักไม่ได้ผล ดังนั้นให้ตรวจสอบชีวิตแต่งงานของเธอดูและปรับปรุงเสียใหม่ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสามีของเธอหรือภรรยาของเธอ แต่เกี่ยวกับตัวเธอเองว่า เธออยากเป็นคนประเภทไหนและว่าเธออยากแสดงอะไรให้เขาหรือหล่อนเห็นในความสัมพันธ์นี้ และหากเขามีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาดีกับการแสดงออกของเธอ ก็ดีไป หากเขาหรือหล่อนมีปฏิกิริยาไม่ดีกับการแสดงออกของเธอ เธอก็ทำอะไรไม่ได้มาก แต่ให้ตรวจสอบดูว่า เธอยังคงจิตใจอยู่ได้ไหม ว่าเธอยังไปได้ดีอยู่หรือเปล่า และว่าเธอยังดีอยู่หรือเปล่า และหากเขาอยู่กับเธอต่อไป ก็คือเขาอยู่ หากเขาจากไป ก็คือเขาไป เธอทำอะไรไม่ได้มาก เธอไม่สามารถให้ความสนใจเขาไปหมดแล้วก็เสียความเป็นตัวของตัวเองไป ลืมตัวเองไป ยิ่งเธอให้ความสนใจเขาหรือหล่อนมากเท่าใด เธอก็จะยิ่งทำผิดพลาดมากเท่านั้น แล้วเขาหรือหล่อนก็จะยิ่งวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น แล้วสถานการณ์ก็จะแย่ลง!
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
1 พฤษภาคม 2554 01:42 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, สวนสายรุ้ง, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
๒๒ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๖ (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
อาจารย์อยู่ท่านหนึ่งซึ่งฝึกลูกศิษย์ของเขาให้มีปัญญา ใช้ปัญญา มีบางคนมาหาอาจารย์ท่านนี้ และอยากจะฝึกเรื่องปัญญา ดังนั้นเขาจึงบอกว่า “แน่นอนแล้ว, การที่จะเป็นอาจารย์ในอนาคต เป็นพุทธะในอนาคต เราต้องมีพรสวรรค์หรือมีคุณสมบัติประจำตัวอย่างน้อยสองอย่าง คุณสมบัติสำคัญที่จะเป็นพุทธะในอนาคตมีอยู่หลายอย่าง แต่มีคุณสมบัติที่สำคัญอยู่สองอย่างที่เราจะต้องมีเพื่อจะได้บำเพ็ญได้ก้าวหน้าเร็วๆ”
ลูกศิษย์ทั้งหลายจึงถามเขาว่า “มันคืออะไรหรือ? อะไรคือคุณสมบัติสองข้อนี้?”
อาจารย์ก็บอกว่า “ข้อแรกคืออำนาจในการอดทน การอดทนหมายถึงเธอทนได้ทุกอย่างที่คนอื่นทนไม่ได้ ไม่ว่าอะไร ข้อที่สองคืออำนาจในการสังเกต...ดู, ดู, ดู”
เพื่อเป็นการสาธิต อาจารย์คนนั้นจึงบอกให้คนใกล้ชิดไปนำชามที่ใส่ของสกปรกโสโครกหลายอย่างมาให้ทันที เป็นของที่แค่ได้กลิ่นเธอก็อยากจะอาเจียนแล้ว แต่ว่าอาจารย์คนนั้นไม่หวั่นไหวเลย เขาจุ่มนิ้วของเขาลงในชามที่ใส่ของโสโครก น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงมากมายที่เธอไม่อยากจะมองดูด้วยซ้ำไป.... บางทีอาจจะเพิ่งเอามาจากห้องส้วมก็ได้ เขาจุ่มนิ้วของเขาลงไป แล้วก็เอามือออกมาแล้วก็เอานิ้วใส่ปาก ใบหน้าของเขาไม่ได้มีความหวั่นไหวอะไรเลยสักนิด นิ่งเฉยเหมือนกับฝาผนังข้างหน้าเธอหรือฉันนี้
เหล่าพุทธะในอนาคตทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ตัวเขาก็อยากจะพยายามแสดงให้อาจารย์เห็นว่าพวกเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นลูกศิษย์ของเขา ทุกคนจึงเข้ามาแล้วก็เอานิ้วจุ่มลงไปในชามแล้วก็เอาใส่ปาก และก็สามารถทำหน้าตาไร้ความรู้สึกได้ ไม่แสดงอาการรังเกียจขยะแขยงหรืออะไรเลย
อาจารย์คนนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ขอแสดงความยินดีด้วย พวกเธอผ่านการทดสอบได้อย่างหนึ่งแต่ว่าไม่ใช่ทั้งสองข้อ การทดสอบที่เธอผ่านจริงๆ ก็คือการทดสอบเรื่องความอดทน แต่การทดสอบข้อที่สองพวกเธอสอบตกเพราะว่า พวกเธอไม่มีอำนาจในการสังเกต ไม่รู้จักสังเกต”
ลูกศิษย์ก็ถามว่า “ทำไมล่ะ?”
อาจารย์ก็บอกว่า “ฉันจุ่มนิ้วนี้ลงในชาม แต่ว่าฉันเอานิ้วอีกนิ้วใส่ปาก”
เขาเอานิ้วชี้จุ่มลงในชามของโสโครกนั้น แต่เอานิ้วกลางยัดใส่ปาก (คนหัวเราะ) ลูกศิษย์มองไม่เห็น พวกเขาเอานิ้วเดียวกันที่จุ่มในชามนั้นใส่ปาก
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วนะว่ามันเป็นอย่างไร พวกนี้เป็นลูกศิษย์ที่โง่ ลูกศิษย์หลายๆ คนเป็นแบบนี้ พวกเขาได้แต่ลอกเลียนแบบอาจารย์ ลอกเลียนหมดทุกอย่างไม่ว่าอะไร แล้วก็ทำให้ตัวเองเป็นตัวตลก นั่นคือเรื่องลำบาก เพราะฉะนั้นเราอย่าลอกเลียนแบบใคร แม้แต่ผู้เป็นอาจารย์ก็จะไม่ลอกแบบใคร ถ้าเราอยากจะเป็นเหมือนผู้เป็นอาจารย์ เราก็อย่าลอกเลียนแบบใคร ทุกสิ่งเป็นของแท้ดั้งเดิมไม่เหมือนใคร เพราะว่าแต่ละคนก็มีพลังของความสามารถสร้างสรรค์ ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างไปตามความสามารถและความโน้มเอียงทางศิลปะของเขาหรือหล่อน
เราไม่ต้องลอกแบบใคร รวมทั้งพระพุทธเจ้า, อาจารย์หรือสังฆปรินายกของทั้งโลก เธอจึงเห็นว่าอาจารย์หลายท่านดูไม่เหมือนคนอื่นๆ ท่านสังฆปรินายกฮุ่ยเหนิงดูไม่เหมือนพระพุทธเจ้า และไม่ได้ทำตนเหมือนพระพุทธเจ้า พระเยซูไม่ได้ทำตัวเหมือนเหลาจื้อ เหลาจื้อก็ไม่ได้ทำอะไรคล้ายกฤษณะ ฯลฯ เพราะฉะนั้นถ้าเราลอกเลียนแบบผู้เป็นอาจารย์หรือเราคาดหวังว่าอาจารย์จะดูเหมือนผู้ที่เราเคยอ่านมาในไบเบิล หรือผู้ที่เรานึกภาพเอาไว้แล้วในหัว เราก็ไม่มีทางจะหาอาจารย์พบ เราไม่ควรหาของที่เลียนแบบ เราต้องหาของแท้ดั้งเดิม ผู้เป็นอาจารย์จะเป็นสิ่งที่เป็นของแท้ดั้งเดิมเสมอ เราไม่อยากได้ของเลียนแบบ ไม่ใช่หรือ?
เพราะฉะนั้นในการบำเพ็ญของเรา เราต้องรอบคอบระมัดระวังเสมอ ผู้เป็นอาจารย์จะทำอะไรต่างๆ ผิดแผกออกไป บางครั้งก็ต่างออกไปมากๆ เราเพียงแต่มองดูเห็นอย่างนั้น แล้วเราก็คิดว่า เราสามารถทำอย่างนั้นก็ได้ เช่นแตะศีรษะ, แตะทั่วร่าง เหมือนอย่างที่ฉันบอกเธอไปเมื่อวานนี้ มองดูตา, ให้ขนมลูกอม....ลูกอมนั้นเราสามารถซื้อเพิ่มขึ้นเยอะกว่านี้ก็ยังได้ อะไรทำนองนั้น มันไม่ใช่การแสดงออกภายนอกที่เราจะดูจากสิ่งนั้นแล้วมาตัดสินว่า บุคคลนั้นเป็นอาจารย์หรือไม่ มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายใน...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
1 พฤษภาคม 2554 01:23 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
เมื่อวันที่ ๕-๗ สิงหาคม ๒๕๓๔
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)
ชายคนหนึ่งติดตามอาจารย์บำเพ็ญ เขาขยันบำเพ็ญมาก อาจารย์ให้รูปปั้นพระกษิติครรภโพธิสัตว์ และสอนให้เขาสวดมนต์หลุดพ้น แล้วบอกให้เขากราบไหว้พระกษิติครรภโพธิสัตว์วันละหลายพันครั้ง สวดวันละหลายหมื่นเที่ยว อาจารย์บอกว่า ถ้าบำเพ็ญตามที่เขาสอน จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
ชายผู้นั้นจึงได้หมั่นเพียรในการปฏิบัติ แต่ว่าหลังจากนั้น ๑ ปี ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีประสบการณ์ เขาจึงไปหาอาจารย์ : “ท่านอาจารย์ ขอความกรุณาให้ท่านสอนบทคาถาใหม่ ให้รูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่มีพลังและเมตตา ข้าพเจ้าไม่ต้องการพระกษิติครรภโพธิสัตว์อีกแล้ว ข้าพเจ้าไหว้เขามาเป็นเวลา ๑ ปีแล้ว สวดคาถาจนคอแห้ง ท่านก็ไม่ได้ให้พรข้าพเจ้าเลยและไม่มีประสบการณ์ด้วย ข้าพเจ้าไม่อยากไหว้ต่อไป ขอให้ท่านอาจารย์ให้พระโพธิสัตว์ที่ดีกว่าได้ไหม?” อาจารย์ตอบว่า “ได้! ตอนนี้ข้าพเจ้าจะสอนคาถาสวดเพื่อหลุดพ้นของพระอมิตาภพุทธ แล้วเจ้าจงไปไหว้พระอมิตาภพุทธต่อไป พระอมิตาภพุทธท่านมีความเมตตาสูง ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้มากมาย มีบุญสัมพันธ์กับสรรพสัตว์มาก เจ้าไปไหว้ท่าน จะต้องมีประโยชน์”
เขาเชื่อคำพูดของอาจารย์ นำเอารูปปั้นพระอมิตาภพุทธองค์เล็กๆ กลับไป แล้วเริ่มสวดบทคาถาให้หลุดพ้น เขาได้สวดคาถาหลุดพ้นกับสวดพระนามของพระอมิตาภพุทธตลอดกาลและจริงจัง แต่พอเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี ก็ไม่ได้ผล ดังนั้นเขาจึงได้ต่อว่าอาจารย์ “อาจารย์พระอมิตาภพุทธไม่ศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่ได้ให้ประสบการณ์ข้าพเจ้า ขอความกรุณา! อย่าทดลองข้าพเจ้าอีกต่อไป โปรดประทับจิตให้กับข้าพเจ้าด้วย สอนวิธีบำเพ็ญที่ดีกว่านี้ให้กับข้าพเจ้าเถิด มิฉะนั้น ข้าพเจ้าบำเพ็ญเช่นนี้คงไม่สำเร็จแน่!”
อาจารย์ทราบดีว่า ลูกศิษย์คนนี้มีความตั้งใจจริง ดีมาก จึงพูดยิ้มๆ กับเขาว่า เขาจะต้องรู้แจ้งในครั้งนี้แน่นอน แต่ต้องไปบำเพ็ญเอง รู้แจ้งเอง และกล่าวต่อไปว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าให้พระโพธิสัตว์กวนอิมเจ้าไป พระโพธิสัตว์กสนอิมท่านมีความเมตตาสูง ใครกราบไหว้ท่าน ก็จะมีประสบการณ์ เจ้าไปกราบไหว้ท่าน จะต้องมีประสบการณ์อย่างแน่นอน” ลูกศิษย์คนนี้เชื่อฟังอาจารย์มาก เมื่อได้ฟังอาจารย์พูด ก็ดีใจ ตั้งใจว่า เมื่อกลับไปแล้ว จะตั้งใจไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมและสวดพระนามของท่านทุกคืนวัน
วันนั้นเมื่อเขากลับไป ได้จุดธูปหอมที่หอมมากแล้วกราบไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิม เขาวางพระกษิติครรภโพธิสัตว์กับพระอมิตาภพุทธไว้บนหิ้งหนังสือและไม่สนใจอีกต่อไป เมื่อมีฝุ่นมาเกาะ ก็ไม่สนใจ เพราะเขาคิดว่า ท่านทั้งสองไม่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่กราบไหว้อีก วางท่านทั้งสองไว้บนหิ้งหนังสือเพื่อ “พักผ่อน” แล้วกราบไหว้พระโพธิสัตว์กสนอิมต่อไป
ขณะที่กราบไหว้อยู่ เห็นควันธูปลอยไปเข้าจมูกของพระอมิตาภพุทธ จึงคิดในใจว่า “ไม่ได้! ข้าพเจ้าไหว้แต่พระโพธิสัตว์กวนอิมเท่านั้น พระรูปนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะมีคุณสมบัติรับกลิ่นหอมนี้ได้อย่างไร?” (ทุกคนหัวเราะ) ดังนั้นจึงเอาพระอมิตาภพุทธลงมา แล้วใช้สก๊อตเทปพันจมูกพระอมิตาภพุทธไว้ ไม่ให้ท่านได้กลิ่นธูปอีก ทันใดนั้น รูปปั้นพระอมิตาภพุทธก็หายไป แล้วตัวจริงของท่านก็ปรากฏออกมา ชายผู้นั้นตกใจมาก! ก็คุกเข่าลง ขอให้ท่านไว้ชีวิต พระอมิตาภพุทธกล่าวว่า “ข้าพเจ้าพอใจกับความตั้งใจและความจริงใจมาก ขณะนี้เจ้าต้องการอะไร ข้าพเจ้าจะให้เจ้าสมใจคิด” ชายคนนั้นบอกว่า “ได้เห็นท่าน ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว ไม่ทราบว่าจะขออะไรกับท่าน แต่ว่าขอให้ท่านอธิบายว่า ทำไมต้องให้ข้าพเจ้าปิดจมูกท่าน ท่านจึงได้ปรากฏออกมา? มันหมายความว่าอะไร?
พระอมิตาภพุทธตอบว่า “เพราะว่าแต่ก่อนเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าเป็นเพียงพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้ วันไหนอยากจะไหว้ จึงไหว้ ไม่อยากไหว้ ก็วางไว้ข้างๆ เมื่อเจ้าชอบข้าพเจ้าก็มาไหว้ข้าพเจ้า เมื่อเจ้าไม่ชอบ ก็ไม่จุดธูป เวลาเจ้ามีงานยุ่ง ก็ไม่สนใจข้าพเจ้า มันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ขณะนี้ความคิดของเจ้าได้เปลี่ยนไป คิดว่าข้าพเจ้าเป็นพุทธที่แท้จริง ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะปิดจมูกข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลัวจมูกจะถูกเจ้าพันไว้ จึงได้แปลงร่างออกมา” (อาจารย์หัวเราะ)
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
1 พฤษภาคม 2554 01:15 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
สิงคโปร์ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
พวกเราอาจทำให้นรกเป็นเหมือนสวรรค์หรือความดีก็ได้ ฉันหมายความถึงพลังงานบวกที่ให้พลังงาน ในจักรวาลนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกสร้างมาจากพลังงานทั้งสิ้น และที่เรียกว่า “พลังแห่งการสร้าง” หรืออาจเรียกว่า “ผู้สร้าง” เพราะพลังงานได้อยู่กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ขณะนั้นพลังงานทั้งหมดได้แพร่กระจายไปทั่วทุกสถานที่ในจักรวาล และทำให้เกิดโลกที่แตกต่างกันและสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันด้วย สิ่งมีชีวิตก็จะมีสภาวะของความคิดและระดับสติสัมปชัญญะต่างกันและเนื่องจากการปฏิบัติซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดพลังงานชนิดใหม่ขึ้นอีก
พลังงานชนิดนี้ เราแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกเราเรียกว่า “พลังบวก” หรืออาจหมายถึงธรรมชาติของพระเจ้า อำนาจแห่งสวรรค์หรือธรรมชาติแห่งพุทธะ ประเภทที่สองเราเรียกว่า “พลังลบ” ความชั่วร้าย หรืออำนาจมืด หรือตรงกันข้ามกับความดี ขณะนี้ความดีและพลังบวกได้อยู่เคียงข้างกับพลังลบ เมื่อไรก็ตาม ที่สิ่งมีชีวิต เทวทูต เทวดา นางฟ้า หรือมนุษย์ในโลกนี้ ได้ทำความดีงาม มีความอดทนอดกลั้น มีความรักความเมตตาเกิดขึ้น และให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน พลังงานนี้ก็จะเป็นด้านดี เป็นอำนาจของพระเจ้าหรือพลังบวก ถ้าเราคิดดีมากขึ้น ความดีทั้งหลายก็เกิดมากขึ้น พลังบวกที่อยู่ในบรรยากาศของเรา ในโลกของเราก็เพิ่มมากขึ้นด้วย เมื่อเรามีความคิดรู้สึกเกลียดขึ้นมา มีความคิดไม่ดี หรือมีคำพูด หรือการกระทำที่เป็นแง่ลบ เท่ากับเราไปเพิ่มปริมาณพลังงานลบในบรรยากาศนั้น ซึ่งเราเรียกว่า อำนาจแห่งความชั่วร้าย อำนาจนี้จะทำให้เกลียดมากขึ้น ทำให้เกิดสงครามมากขึ้น และไม่กลมกลืนกับโลกของเรามากขึ้น หรือโลกใดๆ ก็ตามที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
ดังนั้น มันเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องสร้างความดีให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความคิด การกระทำ เพราะในความคิด การกระทำ หรืออะไรอีกนะ ใช่แล้ว การพูดด้วย เพื่อรักษาความดีที่เราได้เพาะมันขึ้นมา ดังในคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า “หว่านพืชเช่นใด ก็ได้ผลเช่นนั้น” และในพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณกระทำความดี คุณย่อมได้รับผลดี ถ้าคุณกระทำความชั่ว คุณย่อมได้รับผลชั่ว” คัมภีร์ส่วนมากจะกล่าวไว้เหมือนกัน เพื่อจะก้าวไปสู่สวรรค์ มันเป็นความจริงเช่นนั้น ตอนนี้พวกเราก็ได้ทราบแล้วว่า ต้องหันหน้ากระทำแต่ความดีเพื่อเข้าสู่ส่วนที่เป็นบวกของโลก ยิ่งเราก้าวสู่ความดีมากเท่าไร เราก็ใกล้กับความดีมากเท่านั้น ยิ่งเราทำตนให้มีคุณสมบัติเป็นชาวสวรรค์มากเท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใกล้สวรรค์มากขึ้นเท่านั้น แม้พลังลบจะปรากฏกับเพื่อนบ้านของเรา แต่จะไม่มีผลต่อเราเลย ตัวอย่างเช่น เราเปิดไฟไว้ในบ้าน ส่วนข้างนอกบ้านก็จะมืด แต่ถ้าเราก้าวเข้าไปในบ้านและอยู่ในนั้น เราก็สามารถที่จะอ่านหนังสือได้ ทำงานได้ เล่นได้ เราสามารถมองเห็นสิ่งที่เรารักที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้ ความมืดที่อยู่ภายนอกไม่สามารถจะเข้ามาในบ้านได้เลย นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ และเป็นคำอธิบายขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับความดีและความชั่ว นรกและสวรรค์
ถ้าหากพลังลบมีความรุนแรงมากๆ มันก็จะสร้างบรรยากาศที่เข้มข้นขึ้นมาชนิดหนึ่ง ซึ่งใครก็ตามที่จมดิ่งลงไปโดยการกระทำของเขาหรือเธอเอง เขาก็จะได้รับประสบการณ์ที่เรียกว่า “ตกนรก” ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับความทุกข์ทรมานมาก ทำให้รู้สึกสำนึกผิด จนกว่าพวกเขาจะสลัดความคิดและการกระทำชั่วที่เคยทำไว้ได้ พวกเราควรหลีกเลี่ยงออกมา หลีกเลี่ยงจากห้วงแห่งความทุกข์ทรมาน ซึ่งเรียกว่า “นรก” แล้วกลับตัวมาสร้างความดีตั้งแต่บัดนี้
สวรรค์มีอยู่ ๒ ชนิด ชนิดแรกคือสวรรค์แบบชั่วคราว และชนิดที่สองคือสวรรค์แบบถาวร สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ชั่วคราวนั้นคือการกระทำความดี ละเว้นความชั่ว และฝึกบำเพ็ญเพื่อล้างบาปทางศาสนา หรือมีความเชื่อในศาสนา หรือมีศรัทธาต่อพระเจ้า โดยการสวดมนต์ อ่านคัมภีร์ และพยายามใช้ชีวิตให้เหมาะสมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ส่วนสวรรค์อีกแบบหนึ่ง หรืออาณาจักร หรือที่เราเรียกว่า อาณาจักรชั่วนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นแบบถาวร ชั่วนิรันดร ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งต้องการความพยายามมากกว่า และต้องการความกรุณาของพระเจ้า ธรรมชาติแห่งพระเจ้า หรือพระเจ้าที่อยู่ภายในของเรา...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
30 เมษายน 2554 17:30 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai ฟอร์โมซา
๓๐ สิงหาคม ๑๙๘๙ (เดิมเป็นภาษาจีน)
มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง ในอินเดียมีคนคนหนึ่งได้ปฏิบัติดีมาก อยู่มาวันหนึ่งเขาลงไปในนรกและเห็นปีศาจถูกเผาอย่างทุกข์ทรมานด้วยไฟนรก บุคคลนั้นได้ถามพระกษิติครรภโพธิสัตว์ว่า “ทำไมเขาจึงอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานอย่างนั้น ทำไมเขาจึงถูกเผาอย่างรุนแรงด้วยไฟนรก ซึ่งเผาเท่าไรก็ไม่ตายสักที จะเป็นอย่างนี้เป็นร้อยๆ ครั้งของชีวิต” พระกษิติครรภโพธิสัตว์กล่าวว่า “ความดุร้ายภายในจิตใจจะต้องถูกเผาผลาญให้หมด เพื่อความดีในตัวเขาจะได้เปิดเผยออกมาได้” เมื่อเห็นว่าปีศาจยังเยาว์วัยและถูกลงโทษอย่างสาหัสมาก ผู้บำเพ็ญคนนี้ก็รู้สึกสงสารมากและพูดว่า “ขอให้ฉันดูแลเขาที่บ้าน เขาจะไม่ต้องการอะไรอีกถ้าเขาอยู่ใกล้ๆ ฉัน เพราะว่าฉันจะให้เขาทุกอย่าง ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่ทำสิ่งที่เลวร้ายแน่นอน หัวใจที่กระหายด้วยความโลภของเขาจะไม่ออกมาและไม่มีความปรารถนาใดๆ ขอให้ฉันได้ลองดูเถอะ” เขาขอร้องพระกษิติครรภโพธิสัตว์อย่างจริงใจที่จะให้ปล่อยปีศาจและอนุญาตให้เขานำเจ้าปีศาจกลับไปดูแลที่บ้าน “ตกลง” พระกษิติครรภโพธิสัตว์ตอบ “ที่จริงฉันไม่อยากทำอย่างนี้หรอก เพราะเธอจะทำให้ตัวเองลำบาก เมื่อเธอมีความจริงใจ ฉันจะให้เธอพาเขากลับบ้าน” ในวันสองวันแรก หลังจากที่กลับบ้านแล้ว ก็ไม่มีปัญญหาอะไร เพราะว่าอาจารย์ได้บอกให้เจ้าปีศาจน้อยช่วยเขาทำงานมากมาย ปีศาจน้อยมีความสุขมากและไม่สร้างความเดือดร้อนมาให้ตราบเท่าที่มันยังมีงานทำ อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาเป็นผู้บำเพ็ญและไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเองมากนัก ประกอบกับเจ้าปีศาจน้อยมีพลังมาก มีเวทมนต์คาถาที่จะเคลื่อนย้ายสิ่งของได้อย่างรวดเร็ว สามารถทำงานให้เสร็จได้ในเวลาเพียง ๒-๓ วัน เมื่อไม่มีอะไรจะทำ มันก็เฝ้าคอยอยู่ที่นั่นและถามอาจารย์ว่า มีงานอะไรให้ทำอีกบ้าง ถ้าไม่มีงานให้ทำละก็ มันอยากจะฆ่าอาจารย์เสีย ทั้งนี้เพราะมันมีพลังมาก ถ้าไม่มีอะไรทำ มันก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมพลังไว้ได้อย่างไร เจ้าปีศาจน้อยทะเลาะกับอาจารย์และอยากจะฆ่าเขา อาจารย์ก็วิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดลงไปที่นรกและขอให้พระกษิติครรภโพธิสัตว์ช่วย
พระกษิติครรภโพธิสัตว์กล่าวกับเขาว่า “เราได้บอกเธอแล้วว่าความดุร้ายของเขายังไม่ได้ถูกขับออกไป เขามีความดีน้อยเหลือเกิน เธอก็ยังนำเขาไปบ้าน ก็แน่นอน เธอก็จะลำบากเอง” แต่ถึงอย่างไรพระกษิติครรภโพธิสัตว์ก็ยังบอกวิธีที่จะควบคุมปีศาจน้อยนี้ให้ ท่านบอกว่า “เมื่อเธอกลับบ้าน จงให้มันสร้างหอคอยที่สูงมาก ให้มีบันไดที่ยาวและสูงมากๆ “ หลังจากที่สร้างหอคอยเสร็จ เจ้าปีศาจน้อยก็ของานทำอีก เมื่ออาจารย์คิดไม่ออก เจ้าปีศาจก็คอยไล่ตามอาจารย์จนกระทั่งอาจารย์วิ่งหนีลงไปในนรกเพื่อพบพระโพธิสัตว์อีก พระกษิติครรภโพธิสัตว์ก็บอกว่า “เธอจงกลับไปบอกให้เจ้าปีศาจวิ่งทุกๆ วัน จากบันไดขั้นล่างไปบันไดขั้นบนสุด แล้วก็วิ่งลงมาจากข้างบนสุด แล้วก็วิ่งจากข้างล่างอีก บอกให้มันวิ่งทุกๆ วัน แล้วมันจะไม่รบกวนเธออีก”
สมองของเราก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะให้งานอะไรมันทำ มันก็จะทำได้ดีตราบเท่าที่ยังมีงานทำ ถ้าไม่มีงานก็จะทำให้คิดเรื่องที่ไร้สาระ อย่างไรก็ตามสมองของเรานั้นดีและก็ฉลาดปราดเปรื่องมาก มันจะเปล่าประโยชน์ถ้าเราใช้ให้มันทำเรื่องเล็กเกินไป เราควรจะรู้คุณค่าของเรา แล้วไม่ทำให้สมองไร้ประโยชน์ คนจำนวนมากทำผิดเพราะว่าเขาไม่รู้จักหางานที่เหมาะสมกับสิ่งที่เรียกว่าปัญญา เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้สึกเสียอารมณ์และออกไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย เพื่อที่จะสนองต่อความสามารถภายในที่ปราดเปรื่องของเขา การที่มีความสามารถแต่ใช้มันไม่ได้ เป็นเรื่องที่ทำให้เสียอารมณ์จริงๆ อย่างที่เรามักจะพูดเปรียบว่า “วีรบุรุษไร้สนาม” เพราะฉะนั้นถ้าเรามีโอกาสเลือกงานในอนาคต เราควรจะเลือกงานที่ได้รับใช้สังคม เราคิดว่าสถานที่ที่ไร้ค่ามักจะมีทางออก อย่ารีบร้อนเกินไป อย่าเลือกสิ่งที่ผิด อย่าทำในสิ่งที่ไร้สาระที่จะทำให้เราสิ้นเปลืองความสามารถและพลังของเราเอง....
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet