7 พฤษภาคม 2554 03:29 น.
คีตากะ
จากโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ตอนที่ ๑๑๖
การดำรงอยู่ของวิญญาณเป็นเรื่องโกหกหรือไม่? วิญญาณยังคงมีอยู่หลังจากการตายใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมที่จะมี “ชีวิต” อีกหลังจากกายเนื้อได้ตายไปแล้ว? นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายๆ คนได้เพียรพยายามตอบคำถามเหล่านี้มานานหลายปี บางคนกล่าวว่าการศึกษาเรื่องของชีวิตหลังความตายโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ทางเดียวที่อาจจะสำเร็จก็คือการให้คนที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกเพื่อตอบคำถาม แพทย์บางคน เช่น ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้ ดร.เคนริง และดร.บรูซ เกรย์สัน พวกเขามีคนไข้หลายคนที่ทำเช่นนั้นได้ คือฟื้นกลับมาหลังจากตายไปแล้ว หลังจากมีหลักฐานบันทึกประสบการณ์ของคนไข้เหล่านี้ แพทย์เหล่านี้ปัจจุบันก็ยินยอมเชื่อว่าพวกเขามีข้อมูลพิสูจน์ในเรื่องการมีอยู่ของวิญญาณ และชีวิตหลังความตาย
รูดอล์ฟ สเตนเนอร์ ผู้เขียนเรื่อง “ชีวิตเหนือความตาย” ไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นกลุ่มองค์ประกอบทางกายภาพของอวัยวะทั้งหลาย เขากล่าวว่าร่างกายเนื้อคือธาตุต่างๆ ของอสูร และกิจกรรมของอัตตา ซึ่งก่อตัวเป็นรูปร่างและเคลื่อนไหวได้ เขายังกล่าวว่าวิญญาณและจิตทำงานร่วมกันกับอวัยวะของร่างกาย และแปรรูปออกมาเป็นภาพของจักรวาลทางจิตวิญญาณ จากสิ่งนี้วิญญาณจึงจุติลงมาในครรภ์
คำอธิบายนี้มาจากมุมมองทางจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนหันมาเชื่อในเรื่องการมีอยู่เหนือกายภาพโดยผ่านวิธีการทางฟิสิกส์ควอนตัม (Quantum Physics) วิธีการนี้อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดที่ว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กันและกันและสามารถส่งผลกระทบถึงกันและกันด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วของแสง และจิตสำนึกนั้นกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวของข้อมูลที่เกือบเป็นทางจิตวิญญาณ บางคนกล่าวว่าทฤษฎีนี้เป็นการเริ่มต้นทางวิทยาศาสตร์ในการทำความเข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องความลึกลับ และเรื่องทางผีสางบางอย่าง นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในเรื่องของชีวิตหลังความตายนั้นมาจากประสบการณ์ของคนใกล้ตาย (NDEs)
ประสบการณ์ในระหว่างใกล้ตายของคนที่ตายทางร่างกาย บางครั้งในระหว่างการผ่าตัดหรือหัวใจวาย หัวใจของพวกเขาหยุดเต้น และหยุดหายใจ แต่หลังจากผ่านไปหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง หัวใจของพวกเขาก็เริ่มทำงาน และพวกเขาเริ่มหายใจอีกครั้ง คนที่มีประสบการณ์เหล่านี้พยายามอธิบายประสบการณ์การออกจากร่าง และความรู้สึกของการเริ่มเข้าไปในโลกของจิตวิญญาณ มีแพทย์หลายคนได้ทำการรวบรวมข้อมูลคนไข้ที่รายงานเรื่องของประสบการณ์ประเภทนี้มากว่า ๓๐ ปี นักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนมากเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้นเอง แต่ลักษณะพิเศษหลายๆ อย่างของประสบการณ์ใกล้ตายนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแนวคิดที่ว่าพวกมันเป็นเพียงภาพหลอน
มีการวิจัยชิ้นหนึ่ง คนขับรถบรรทุกอายุ ๕๕ ปี ชื่อ อัล ซัลลิแวนตายในขณะทำการผ่าตัดครั้งที่สาม เมื่อเขาพบกับแม่และน้องเขยที่ตายไปแล้วในระหว่างที่เขาใกล้ตาย ซัลลิแวนกล่าวว่าแม่ของเขาบอกเขาให้กลับไปและให้บอกเพื่อนบ้านของเขาว่าลูกชายของพวกเขานั้นเป็นโรคความบกพร่องของการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อน้ำเหลือง (Lymphoma) จะหายป่วย เป็นที่น่าสังเกตุว่า อัล ซัลลิแวนก็พูดได้แม่นยำว่าศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเขาได้พับแขนของเขาให้มืออยู่ใต้รักแร้ ขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเพียงภาพหลอน ดร.เกรย์สัน ผู้ทำการศึกษาในเรื่องนี้กล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ข้อมูลที่แม่นยำเหลือเชื่อและพิสูจน์ได้นี้ เป็นผลมาจากประสบการณ์ของคนใกล้ตาย?”
มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตายจะนำข้อมูลอันลึกซึ้งจากอีกโลกหนึ่งนั้นกลับมา บางครั้งข้อมูลนั้นก็เป็นทางกายภาพมาก และบางครั้งก็เป็นทางจิตวิญญาณมาก ประสบการณ์ระหว่างที่ใกล้ตายของสุภาพบุรุษที่ชื่อว่าเมลเลน โธมัส เบเนดิกท์ เขามีผลงานทางวิทยาศาสตร์ด้านไบโอ โฟตอนนิค (Bio-Photonics คือชีววิทยาด้านการสร้าง การควบคุมและการตรวจจับโฟตอน) การสื่อสารด้วยเซลลูล่าร์ (Cellular Communication) ชีววิทยาควอนตัม (Quantum Biology) และดีเอ็นเอ (DNA) เขาได้รับสิทธิบัตร ๖ แขนงเมื่อเร็วๆ นี้ ประสบการณ์ใกล้ตายบางเรื่องได้เกิดขึ้นกับคนที่ตายไปแล้วหลายวัน มีชายคนหนึ่งชื่อโรโดเนีย ผู้ป่วยทางระบบประสาท เขาอยู่ในภาวะใกล้ตาย ๓ วัน เขาออกจากร่างไปในขณะที่แพทย์เริ่มทำการผ่าตัด ก่อนหน้าที่เขามีประสบการณ์ เขาเคยเป็นคนไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เนื่องจากประสบการณ์ของเขาทางจิตวิญญาณในอีกโลกหนึ่งนั้นลึกซึ้งมาก หลังจากนั้นมาเขาก็ทำปริญญาเอกใบที่สองทางด้านจิตวิญญาณและศาสนา และกลายเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ข้อพิสูจน์เรื่องวิญญาณหลังความตายอีกอันหนึ่งที่เชื่อถือได้เป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย มีการวิจัยชิ้นหนึ่ง คือกลุ่มเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ตายหมู่ขณะทำการดับไฟป่า พวกเขาต่างรายงานว่าในขณะที่อยู่ในภาวะใกล้ตายพวกเขาเห็นกันและกันลอยอยู่เหนือร่างกายที่ไม่มีชีวิตของพวกเขา และทั้งหมดก็รอดชีวิตมาได้ในที่สุด
“ประสบการณ์ใกล้ตาย” แต่งโดย ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้ ในหนังสือ “ชีวิตหลังจากชีวิต” ดร.มูดดี้ยังเป็นนักประพันธ์หนังสือขายดี ๑๑ เล่ม ซึ่งขายไปแล้วทั่วโลกกว่า ๑๓ ล้านเล่ม และเขายังเขียนบทความอีกมากมายในสถานศึกษาและหนังสือทางวิชาการอย่างเช่น “ประสบการณ์ใกล้ตาย” “ความตายที่สง่างาม” และ “ชีวิตหลังการสูญสิ้น” และปรากฏตัวในรายการทอล์คโชว์ยักษ์ใหญ่อย่างเช่นโอปราห์, เจอรัลโด, เอ็นบีซีทูเดย์ และเอบีซี เทิร์นนิ่ง พอยดท์ ดร.มูดดี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขาจับใจผู้ฟังด้วยผลงานอันลือลั่นในเรื่องของประสบการณ์ใกล้ตายและเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตาย ในหนังสือ “ชีวิตหลังชีวิต”
ดร.มูดดี้ได้ทำการค้นคว้าวิจัยคนไข้ที่ประสบกับ “การตายทางการแพทย์” แล้วฟื้นขึ้นมามากกว่า ๑๐๐ ราย งานศึกษาชิ้นเอกนี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้เขียนชั้นแนวหน้าของโลกในวงการเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย “ชีวิตหลังชีวิต” ได้เปลี่ยนทัศนะของเราในเรื่องชีวิตและความตาย เนื้อเรื่องของเขาที่ตัดตอนมามีตอนหนึ่งได้อธิบายประสบการณ์ใกล้ตายว่าเป็นเหมือน “ความรู้สึกว่าล่องลอยและขาดการติดต่อจากกายเนื้อของคุณ” เขากล่าวต่อไปว่า “วิญญาณมองดูร่างที่ไร้ชีวิตนั้นจากมุมหนึ่งของเพดาน และรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของความสงบและเยือกเย็น และเวลาเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย วิญญาณรู้สึกจมอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิดและมีแสงสีขาวที่สว่างเจิดจ้าอยู่ปลายอุโมงค์ เมื่อคุณเข้าไปในแสงสีขาวนั้น ผู้เป็นที่รักหรือบุคคลทางศาสนาจะมาต้อนรับคุณ และคุณจะได้ชมภาพยนต์แห่งชีวิตย้อนหลัง” น่ามหัศจรรย์ที่หลายๆ คนจากส่วนต่างๆ ทั่วโลกล้วนอธิบายประสบการณ์ที่เหมือนกันมากเช่นนี้ พวกเขายังรายงานถึงการมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ยิ่งใหญ่น่าเคารพ ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เพิ่มความใกล้ชิดยิ่งขึ้น และการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่เพื่อบรรลุเป้าหมาย
ดร.มูดดี้ได้อธิบายถึงกรณีศึกษาของหญิงตาบอดคนหนึ่งที่สามารถอธิบายได้อย่างแม่นยำถึงเครื่องมือที่ใช้ในการนำชีวิตเธอฟื้นมาใหม่หลังจากหัวใจวาย-ถูกต้องทุกอย่างในเรื่องสีทั้งหมด (“Right Down to Their Colors”) ข้อเท็จจริงที่ว่าหญิงคนนี้ตาบอดมานานถึงห้าสิบปีจึงเป็นจุดสนใจที่มีเหตุผลของประสบการณ์ใกล้ตาย มูดดี้ยังได้รายงานว่าคนส่วนมากที่มีประสบการณ์ใกล้ตายล้วนแต่ไม่อยากกลับมาหลังจากที่ได้ละทิ้งร่างกายไปแล้ว คนไข้บางรายถึงกับโกรธแพทย์ที่นำเขากลับมา พวกเขาต้องมีประสบการณ์ที่ดีมากทีเดียว
ดร.เคนริง เป็นศาสตราจารย์ภาคจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัย Connecticut เขามีบันทึกของประสบการณ์ใกล้ตายประมาณ ๑๐๒ ราย การวิจัยล่าสุดของเขาคือเรื่องประสบการณ์ใกล้ตายในหมู่คนตาบอด และการค้นพบของเขาสามารถหาอ่านได้ในหนังสือล่าสุดของเขาชื่อ มุมมองของจิต หนังสือเล่มก่อนๆ ของเขาเช่น ชีวิตเมื่อตาย บทเรียนจากแสง มุ่งหน้าสู่อวสาน และโครงการอวสาน การวิจัยของ ดร.ริง ในเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย เช่น คนไข้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ขณะที่ออกไปจากร่างของเขาเอง ซึ่งภายหลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง เขาได้วิจัยเรื่องประสบการณ์ก่อนตายซึ่งยืนยันเรื่องการกลับชาติมาเกิด ปรากฏการณ์ที่น่าหลงใหลเกิดขึ้นเมื่อมีคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ก่อนตายได้รายงานว่าในขณะที่ใกล้ตาย วิญญาณของพวกเขาปรากฏต่อหน้าคนบางคน ปกติก็มักจะเป็นคนที่รัก มีการบันทึกว่าคนเหล่านี้ได้ยินการสนทนาระหว่างคนอื่นๆ ในเวลาที่พวกเขาออกจากร่างไป ดร.ริง กล่าวว่า “ข้อพิสูจน์ชนิดนี้หรืออื่นๆ ได้ให้หลักฐานพยานแวดล้อมสำหรับผู้ที่มีจิตสำนึกอยู่รอด”
ดร.ริง ได้เขียนบทความในวารสาร Near-Death Studies (การศึกษาใกล้ตาย) เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย เขารายงานว่าทันทีที่ออกจากร่าง คนนั้นจะมีประสบการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งรวมทั้ง “การเคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่า”
แพทย์คนต่อไปที่มีการบันทึกซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจของคนที่มีประสบการณ์การออกจากร่างหรือประสบการณ์ใกล้ตาย ดร.บรูซ เกรย์สัน เป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาโรคจิต ที่มหาวิทยาลัยระบบสุขภาพเวอร์จิเนียร์ (The University of Virginia Health System) เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคม The Para-Psychological Association : องค์กรอาชีพนานาชาติของนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการทำงานด้านการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ) การวิจัยของเขามุ่งไปที่ประสบการณ์ใกล้ตาย เขาเป็นผู้ได้รับเงินอุดหนุนการทำวิจัยเก้าเรื่องซึ่งเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายการวิจัย และได้ปาฐกถาในงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์มามากกว่า ๖๐ ครั้งในการประชุมระดับประเทศและระดับภูมิภาค ดร.เกรย์สันยังได้พิมพ์หนังสือมากกว่า ๖๐ เรื่อง เขาเขียนหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อว่า “ประสบการณ์ใกล้ตาย : ปัญหา สิ่งที่คาดหวัง สิ่งที่ปรากฏ” และเขายังเป็นบรรณาธิการหนังสือ The Journal of Near-Death Studies (วารสารของการศึกษาการใกล้ตาย) เป็นเวลากว่า ๒๒ ปีที่ผ่านมา
ดร.เกรย์สันได้บันทึกสุขภาพในระยะยาวของคนไข้ที่ได้รายงานถึงเหตุการณ์ใกล้ตาย เขายังได้เขียนวิธีการทางอายุรเวชในการช่วยเหลือการปรับตัวการดำเนินชีวิตของคนไข้หลังจากผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย
การมีประสบการณ์ใกล้ตายเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ทำให้คนส่วนใหญ่กลับมาเปลี่ยนแปลงตนเอง อาชญากรหันมาให้การช่วยเหลือผู้อื่น สุขภาพดีขึ้น ปัญหาทางจิตใจได้รับการแก้ไข คนส่วนใหญ่หลังจากผ่านประสบการณ์ใกล้ตายล้วนกล่าวว่าพวกเขาไม่มีข้อสงสัยแล้วว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ พวกเขารู้ว่ามีพระเจ้า เมื่อเราลงมายังโลกนี้ เราสูญเสียการติดต่อกับพระเจ้า เราลืมการมีอยู่ของพระองค์ แต่เมื่อได้ผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย เราได้ติดต่อกับตัวตนสวรรค์นั้นอีกครั้งหนึ่ง ตัวตนของเราอีกด้านหนึ่งซึ่งรักเราอย่างลึกซึ้งเกินบรรยาย ส่วนนั้นซึ่งอยู่ภายในตัวเรานิรันดร และไม่ว่าชีวิตจะตายทางกายภาพขณะที่อยู่ในประสบการณ์นั้น วิญญาณของเรายังคงรับรู้เหตุการณ์ตลอดเวลา และนำกลับมาบอกเล่าให้ผู้ที่ได้รับฟังต้องประหลาดใจ ร่างที่ลึกลับและสง่างามของสิ่งที่ปรากฏในการแสดงเหตุการณ์ช่วงใกล้ตายนั้น อยู่เหนือข้อสงสัยใดๆ ว่าวิญญาณมีอยู่จริงเหนือชีวิต และพระเจ้าก็เช่นกัน...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
7 พฤษภาคม 2554 03:05 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซันตี้เหมิน ผิงตง ฟอร์โมซา
๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๕
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ท่านกล่าวว่า ท่านอาจารย์ทราบทุกสิ่งและอยู่ทุกแห่งหน แต่ฉันกลับไม่ทราบอะไรเลย! เป็นอาจารย์ต่างหากที่ทราบ “ฉัน” ไม่จำเป็นต้องทราบ เรากระทำโดยที่มิได้กระทำ หากฉันต้องทราบทุกๆ สิ่ง ฉันก็จะงานยุ่งเกินไป เพราะฉันต้องทำหน้าที่ต่างๆ นับพันกับอีกหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกันอยู่เสมอ แล้วเธอคิดหรือว่าความนึกคิดของเราจะสามารถชะล้างหน้าที่หนึ่งพันกับอีกหนึ่งอย่างออกไปได้ในเวลาเดียวกัน เพื่อจะมารายงานตัวกับสิ่งที่เรียกกันว่า “ฉัน” เช่นนั้นหรือ? ฉันไม่มี “ฉัน” แล้วละ เราไม่มี “ฉัน” ฉันเคยบอกเธอมาก่อนแล้วว่า เราเป็นเพียงความคิด สิ่งที่เรียกกันว่า “ฉัน” เป็นเพียงความคิดหนึ่ง ที่ตามด้วยอีกความคิดหนึ่ง เป็นขยะทั้งสิ้น เป็นนิสัย ความเคยชินทั้งสิ้น และเป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ทั้งสิ้น หาได้มี “ฉัน” จริงๆ ไม่
“ฉัน” แท้คือตัวตนที่รู้ตัว ผู้เป็นพยาน ผู้เห็นทุกอย่างที่เราเก็บสะสม หรือที่เรามีปฏิกิริยาตอบสนองกับมัน มันมีสายโซ่แห่งกิริยาและปฏิกิริยา และผู้ที่ทราบเรื่องนี้ก็คือพยาน “ฉัน” หาได้ใช่กิริยาหรือปฏิกิริยานั้นไม่ แต่คือพยานต่างหาก สิ่งนั้นเองที่คือ “เรา” ที่คือ “ฉัน” แต่แล้วเรามักหลง คิดว่าพยานคือเหตุการณ์ เรายึดติดกับเหตุการณ์ หรือรสชาติของสิ่งต่างๆ ที่เรารู้จักมากเหลือเกิน แล้วเราก็จะคิดว่า นั่นคือ “ฉัน” ขณะนี้ “ฉัน” กำลังโกรธ “ฉัน” กำลังมีความสุข ขณะนี้ “ฉัน” ไม่เป็นอย่างนั้น ซึ่งนั่นหาได้เป็นความจริงไม่! มันเป็นเพียงปฏิกิริยาเท่านั้นเอง มิใช่ “ฉัน” ซึ่งโกรธ “ฉัน” กำลังเป็นประจักษ์พยานแห่งความโกรธที่เกิดขึ้น “ฉัน” กำลังมองเห็นละครซึ่งดำเนินอยู่ ตอนนี้มันตลก แล้วตอนนี้มันก็เศร้าสลด แต่ก็มีอยู่แค่นั้น มันเป็นเพียงกิริยาและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอยู่บนเวที
ดังนั้นเมื่อเรากระทำบางสิ่งให้ตัวเราเอง เราไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาแต่อย่างใด หากเธอส่งอาหารเข้าปากเธอ เธอหวังจะใดรางวัลตอบแทนหรือไม่? หรือเมื่อเธอชะล้างร่างกาย เธอจะคิดว่า เธอช่างเป็นคนดีเสียนี่กระไรหรือไม่? (ผู้ชมหัวเราะ) หากเธอไม่ชะล้างร่างเธอ เธอก็จะทนอึดอัดไม่ได้ หากเธอไม่รับประทานอาหาร เธอก็จะรู้สึกอ่อนล้ายิ่งและขยับตัวไม่ได้ ดังนั้นการรับประทาน ก็เสมือนเป็นรางวัลในตัว การอาบน้ำก็เหมือนเป็นรางวัลในตัว ทำนองเดียวกัน การทำงานใดๆ ให้กับท่านอาจารย์ ให้กับมนุษยชาติ ให้กับเพื่อนประทับจิต หรือผู้ที่มิได้ประทับจิตนั้นต่างก็เป็นรางวัลในตัวอยู่แล้ว
แน่นอน เมื่อเราทำงานให้ท่านอาจารย์ ก็หมายความว่าเราทำงานให้กับมนุษยชาติ เพราะท่านอาจารย์เป็นมนุษย์ ท่านมิใช่บุคคลซึ่งทำงานเป็นส่วนตัว ท่านเป็นเครื่องมือของสาธารณชน ใครๆ ก็นำมาใช้ทำงานอะไรก็ได้ เธอก็ทราบอยู่แล้ว ไม่สำคัญว่าผู้นั้นจะอ่อนน้อมถ่อมตนหรือยิ่งใหญ่เพียงใด เธอมักจะให้ท่านอาจารย์ทำหรือบอกให้ท่านอาจารย์ทำอะไรให้อยู่เสมอ แล้วท่านก็จะทำให้ ไม่ว่าเธอจะเห็นหรือไม่ก็ตาม ท่านอาจารย์ไม่จำเป็นต้องมารายงานตัวกับเธอเสมอไปว่าท่านได้ทำอะไรไปบ้าง ดังนั้นบางทีเธอก็จะทราบ จะเห็นด้วยตาปัญญาของเธอ ส่วนบางทีก็จะไม่เห็น บางทีตาปัญญาของเธอ ส่วนบางทีก็จะไม่เห็น บางทีตาปัญญาของเธออาจหลับใหลอยู่ (ผู้ชมหัวเราะ) ใช่ มันจะเป็นไปเช่นนั้น! แล้วเธอก็จะบอกว่า “ท่านอาจารย์ไม่เห็นทำอะไรให้ฉันเลย ฉันไม่เคยเห็นอะไรเลย” เมื่อมารดาของเธอปัดกวาดเช็ดถู ซักเสื้อผ้า และทำอาหารในขณะที่เธอหลับอยู่นั้น เธอจะรู้เห็นอะไรหรือไม่? (ไม่! ) นั่นมิได้หมายความว่ามารดามิได้ทำงานบ้าน เมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้ว เห็นว่าบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย เธอก็จะทราบว่าต้องมีใครมาทำอะไรเอาไว้ และหากไม่มีใครอื่นอยู่ในบ้านแล้ว ก็ต้องเป็นมารดาทำไว้แน่นอน!
พลังสูงสุดจะทำทุกอย่าง
ดังนั้นจะมีเพียงท่านอาจารย์ที่ทำทุกสิ่ง จะยังมีใครอื่นอยู่ที่นั่นอีกเล่า ยังมีใครอื่นอีกเล่าที่อยู่กับเธอ แล้วทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอ นอกไปจากพลังสูงสุด? แล้วเธอก็จะคิดไปว่าเป็นเธอเอง เพราะเธอทำสมาธิ เธอนั่ง เธอรับประทานอาหารมังสวิรัติ เธอรักษาศีลและอื่นๆ แท้ที่จริงแล้ว ล้วนเป็นท่านอาจารย์ที่ทำให้ มันเป็นอาจารย์ที่แสวงหาอาจารย์ หาได้เป็นเธอแสวงหาไม่ เป็นผู้ใดหรือที่แสวงหา? เป็นความคิดต่างๆ นานา ที่กระโดดมาความคิดแล้วความคิดเล่านั่นหรือ นั่นคือผู้ที่แสวงหาปัญญาแห่งอาจารย์หรือ? ไม่ใช่! หากแต่เป็นตัวปัญญาที่ทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะตระหนักรู้ในตนเอง ที่จะรู้คุณค่าในพลังของตนเอง (ผู้ชมปรบมือ) พวกเธอบั่นทอนแรงบันดาลใจของฉัน! (ผู้ชมหัวเราะ) ไม่เป็นไร! ฉันยังมีอยู่อีกแรงหนึ่ง ดังนั้น ถ้าหากเรายังคงคิดว่ามันเป็นเรา ที่กระทำอะไรบางอย่างหรือกำลังแสวงหาอะไรบางอย่างแล้วนั้น เราคิดผิด นั่นคือสาเหตุที่ “เรา” มิอาจเข้ากันกับอาจารย์ได้ นั่นคือสาเหตุที่ เราไม่สามารถจำได้ว่า เราเป็นใคร และว่าอาจารย์คือใคร อาจารย์ก็คือตัวเราเองนั่นเอง...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
7 พฤษภาคม 2554 02:58 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ฮาวาย สหรัฐอเมริกา ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๖
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ตัวเรามิได้กลับชาติมาเกิด หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัย ของข้อมูลที่เราเก็บสะสมไว้ต่างหากที่กลับมาเกิด ส่วนของเรานี้ ซึ่งเรียกกันว่าสติปัญญา หรืออาจเรียกว่าจิตสำนึกที่ ๖ จะเก็บสะสมข้อมูลในรูปของกรรมไว้มากมายหลายประเภท แล้วจากนั้น ส่วนของเรานี้ก็จะนำมันกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง เหมือนกับขวดโคคาโคล่า หรือเหมือนสิ่งอื่นๆ บางอย่างในสหรัฐอเมริกา เนื่องด้วยเดี๋ยวนี้ ที่นั่นสนับสนุนให้คนนำสิ่งของกลับมาใช้ใหม่ เรื่องของเราก็เหมือนกัน “ขวด” ของเราถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ทุกครั้งที่มันนำมาใช้ได้อีก และมันยังคงเชื่อมต่ออยู่กับวัตถุอื่นๆ ในโลกนี้ เมื่อนั้นเราก็จะเรียกมันว่า การกลับชาติมาเกิด มันเป็นเพียงการนำกลับมาใช้ใหม่ประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง ตัวสารโคคาโคล่าภายในจะไม่กลับมาเกิด กลับมาแต่เพียงขวดเท่านั้น ทั้งนี้ผู้คนอาจตระหนักในเรื่องนี้หรือไม่ก็ได้ แต่สารก็จะยังคงอยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเหมือนกับว่า มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่ เราเห็นมันเหมือนว่า มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่
สิ่งซึ่งนำมาใส่ในขวดนั้นจะไม่กลับมาเกิด มันคือตัวตนแท้ของเรา ดวงวิญญาณของเรา ทุกครั้งที่เราต้องการทดลองสิ่งใหม่ๆ เราจะประกอบตนขึ้น ใส่สารหรือตัวเรื่องราวที่นำกลับมาใช้ใหม่ ก็เป็นเช่นนั้นเอง แต่แล้วก็อีก เราต่างเคบชินที่จะเข้าใจว่า ตนเองเป็นสารหรือข้อมูลทั้งหลายเหล่านั้น ดังนั้นเราจึงมักกล่าวว่า เรากลับชาติมาเกิด แต่นั่นไม่เป็นความจริง เราไม่เคยตายและไม่เคยเกิด เรามีตัวตนอยู่เสมอมา เราเป็นประจักษ์พยานที่เฝ้าดูทุกสิ่งที่ถูกสร้างหรือถูกทำลายลงในจักรวาล เราเป็นพยายอยู่เสมอ แต่บางครั้งเราก็จะคิดว่า เราเป็นเรื่องราว ซึ่งเราเฝ้าดูอยู่และกลืนเข้าไปกับเหตุกาณณ์ ดังนั้นเราจึงเป็นทุกข์หรือมีความสุข
มันก็เหมือนกับเวลาที่เราดูโทรทัศน์ แล้วเราก็ลืมไปว่า ที่เราดูอยู่นั้นเป็นเพียงภาพยนตร์ แล้วเราก็ร้องไห้หรือหัวเราะ เราจะสนับสนุนคนนี้และอยากฆ่าอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเรา หรือเป็นเพื่อนเรา และไม่มีใครมีตัวตนจริง แต่เรากลับเกลียดคนนั้น “โอ้! คนที่มีหนวดนั่น มันเป็นผู้ร้าย ฆ่ามันเลย ฆ่ามันเลย!” เธอจะนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์และบอกว่า “ฆ่ามัน! รีบฆ่ามันเลย! “ หรือไม่ก็บอกว่า “ออกไป ออกไป! เขาจะฆ่าคุณ! รีบออกไป! ทางนี้ ทางนี้!” ราวกับว่าคนในโทรทัศน์หรือในจอจะฟังเราหรือได้ยินเสียงของเราจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ยิน พวกเขาทำในสิ่งที่เขาต้องทำ ตามคำสั่งของผู้กำกับ ไม่ใช่ตามคำแนะนำของเรา ดังนั้นเรื่องราวของภาพยนตร์หลายๆ เรื่องจึงไม่ถูกใจเรา เราอยากจะเปลี่ยนเรื่องราวเสีย แต่แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่า? หากเราเปลี่ยนมันไป มันก็ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ จะต้องเป็นไปอย่างที่มันเป็น จริงๆ แล้วเราหลอกตัวเองมากมายหลายครั้ง เราพิสูจน์ได้ทุกวันเสียด้วย เราไม่จำเป็นต้องมาคุยกันเรื่องการกลับชาติมาเกิด เรื่องมายาสภาวะ หรือสิ่งใดก็ตามในโลกนี้หรอก เราก็สามารถพิสูจน์มันได้
ฉันจะเล่าเรื่องโง่เขลาเกี่ยวกับฉันเรื่องหนึ่งให้เธอฟัง เมื่อวานนี้หรือไม่ก็เมื่อวานซืน เมื่อฉันมาฮาวายตอนแรก พวกเขาเช่าห้องชุดให้กับฉัน และให้กับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของเรา เช่น เจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับฉัน นอกจากนี้ เรายังต้องต้อนรับแขกเหรื่อด้วย สถานที่นี้เขาเช่าไว้เป็นเวลา ๑๐ วัน ราคาไม่แพง ถูกๆ แต่ใหญ่มาก และอยู่ใกล้ชายหาด ฉันเคยคิดว่าจะเชิญเธอไปที่นั่น แต่ฉันไม่ทราบว่าจะจัดห้องหับให้เธออย่างไรดี มันใหญ่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น! มันใหญ่พอสำหรับคน ๑๐ คน แต่ไม่พอสำหรับคนเป็นพันๆ คน เมื่อคุยถึงเรื่องนี้ เรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพของโลกนี้ บางครั้งเราจะกล่าวว่า “โอ้โฮ เยี่ยมจริงๆ !” แต่มันอาจไม่เยี่ยมขนาดนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ เราจะอยู่ในสภาวะของมายาเสมอ จนกระทั่งเมื่อได้นำมาเปรียบเทียบกับอย่างอื่น แล้วเราก็จะทราบว่า เรานั้นคิดผิดไปเสียแล้ว
ในการบำเพ็ญประเภทต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาบำเพ็ญ พวกเขารับประทานอาหารมังสวิรัติ พวกเขานั่งสมาธิ และพวกเขาต่างดียิ่ง แต่ดีแค่ไหนล่ะ? เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมแล้ว พวกเขาเพียงคล้ายขนมอบครึ่งสุกครึ่งดิบเท่านั้นเป็นต้น! ดังนั้นเราจะทราบได้ว่าบรรดาสิ่งดีและยิ่งใหญ่ในโลกนี้นั้น ต่างก็มีข้อจำกัดของตน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสัจธรรมหรือพลังสูงสุดอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า
กระจกวิเศษ
เอาละ กลับมาคุยเรื่องโง่เขลาของฉันกันต่อ ฉันเข้าไปในห้อง แล้วมันช่างมหัศจรรย์จริงๆ ทุกๆ ที่มีกระจกขนาดใหญ่ ฉันจะได้ดูได้ว่า ฉันสวยงามขนาดไหน (ผู้ชมหัวเราะ เมื่อท่านอาจารย์แสดงท่าทางเหมือนภูมิใจในความสวยงามท่าน) และในห้องนอนก็มีกระจกบานใหญ่ ฉันทราบว่ามันเป็นกระจก ทุกคนทราบได้ในทันทีว่ามันคือกระจก ไม่มีอะไรให้เข้าใจผิดกันได้ในเรื่องนี้ ในห้องน้ำก็มีหน้าต่างอยู่ ๒ บาน และถ้ามองออกจากหน้าต่าง ๒ บานนี้ ก็จะสามารถเห็นทะเลได้ ทีนี้ถ้าฉันมองเข้าไปในกระจก ก็จะมองเห็นกระจกทั้งหมด ๔ บาน แล้วฉันก็จะคอยคิดอยู่เสมอว่า “ทำไมทะเลถึงไปอยู่ข้างนั้นล่ะ?” ฉันเลยนึกไปว่า สถานที่นี้ตั้งอยู่ตรงมุมหาดและล้อมรอบด้วยทะเล ฉันจึงสามารถเห็นทะเลในหน้าต่างบานนั้น และเห็นทะเลผ่านหน้าต่างบานโน้นด้วย ฉันโง่เขลาอยู่เป็นเวลา ๒ วัน ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม? จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันบังเอิญมองออกไปนอกหน้าต่างบานจริงและมองเห็นว่าไม่ได้มีทะเลอยู่ตรงนั้น ฉันกล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไรกันนี่?” ฉันจึงหันกลับไปมองตรงผนังอีกครั้ง ตรงที่มีกระจกอยู่แล้วกล่าวว่า “โอ้ ทะเลอยู่ตรงนั้น!” แล้วกระทั่งขณะนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจ
เขาจึงมีคำกล่าวกันว่า ปราชญ์เป็นดั่งคนเขลา จริงๆ แล้วในภายหลังฉันก็นึกขึ้นมาได้ “อ้อ ใช่แล้ว มันคือกระจกนั่นเอง!” แต่มันเป็นการยากที่จะคิดออกมาได้ ไม่น่าเชื่อเลย เนื่องจากฉันไม่คุ้นเคยกับทิวทัศน์แบบนี้ หน้าต่าง ๒ บานจึงกลายเป็น ๔ บานซึ่งฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อน และทะเลไปอยู่ตรงผนัง แต่มันดูเหมือนจริงมาก จนฉันตะลึงไปกับความงดงามของวิวทะเลที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง จนฉันลืมนึกถึงกระจกไป ฉันลืมไปจริงๆ ! มันเหมือนฉันโดนตีแสกหน้า “โอ พระผู้เป็นเจ้า! เราเป็นถึงอนุตราจารย์ ดีๆ แต่เรากลับไม่ตระหนักเห็นความแตกต่างระหว่างหน้าต่างกับเงาสะท้อนของมัน” ฉันจึงหัวเราะเยาะตนเองและนึกขำเป็นอย่างยิ่ง
แต่ฉันประหลาดใจที่ฉันไม่ได้ตระหนักว่า มันเป็นเงาสะท้อนของหน้าต่างแต่แรก ฉันรู้สึกประหลาดใจมากอยู่หลายวันทีเดียว ทำไมฉันจึงถูกหลอกได้ง่ายดายเช่นนี้? เพียงเพราะฉันรักทะเล ฉันจึงเพ่งความสนใจไปที่ทะเล และคิดว่า “โอ้โฮ! เราสามารถเห็นทะเลผ่านหน้าต่างเหล่านี้ได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ เรามีหน้าต่างอยู่ ๔ บานและมีทะเลอยู่ทั้ง ๔ ด้าน” ฉันปลื้มใจกับทะเล แล้วก็ลืมไปว่า มันเป็นภาพลวงตา มิใช่ว่าฉันคิดไม่ออก หากแต่เป็นเพียงว่า ฉันจดจ่ออยู่กับทะเลจนเกินไป
ดังนั้น ในทำนองเดียวกัน ในชีวิตประจำวันของเรา ผู้คนส่วนมากจะจดจ่ออยู่กับเป้าหมายแห่งความปรารถนาที่พวกเขาชื่นชอบ แล้วพวกเขาก็ลืมภาพลวงตาไป พวกเขาจะลืมกระจกวิเศษไปเสีย มิใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถสืบทราบได้ เมื่อพวกเขาพร้อม เขาก็จะทราบ จะมีอาจารย์มา หรือมิฉะนั้นพวกเขาก็จะตื่นขึ้นมาด้วยตนเอง จริงๆ แล้วเมื่อมีอาจารย์มา ก็หมายความว่า พวกเขาได้ตื่นขึ้นด้วยตนเองแล้ว มิฉะนั้นใครจะไปบอกให้พวกเขาเชื่อได้ว่าพวกเขามีอะไรอยู่ภายใน? เช่นเดียวกันกับฉันนั่นเอง ฉันมีดวงตา กระจกก็อยู่ที่นั่น ฉันจะคิดให้ออกก็ได้เสมอ แต่แล้วฉันก็มีใจจดจ่ออยู่กับภาพของทะเลมากเกินไป และเพลิดเพลินใจไปกับมัน และมันก็ดูเหมือนจริงมากเหลือเกิน ฉันคิดว่ามีหน้าต่างอยู่ ๔ บาน ที่ฉันเล่ามานี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ได้ล้อเล่น ฉันไม่ได้เล่านิทานเพื่อจะได้อุดช่องว่างการบรรยายธรรมให้แนบเนียน แต่มันเป็นเรื่องจริง ฉันโง่เขลาได้ขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม? แล้วพวกเธอก็มาติดตามฉัน! (ผู้ชมหัวเราะ) ดังนั้นจงระวังให้ดีว่าพวกเธอไปทางไหนเมื่อใช้กระจกบานนี้
ภาพสะท้อนกับความเป็นจริง
จนกระทั่งทุกวันนี้เราก็ยังติดอยู่ในภาพมายาหรือไม่ก็ติดอยู่เป็นบางครั้ง ดังนั้นเราจึงค้นไม่พบความเป็นจริงระหว่างภาพมายา ซึ่งคือภาพสะท้อนหรือเงากับความเป็นจริง ดังนั้นเราจะมัวเล่นเกมชีวิตขึ้นๆ ลงๆ แล้วก็สนุกกับมัน แล้วบางครั้งเราก็จะตบตนเองแล้วกล่าวว่า “ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้?” มันไม่อยู่ที่นั่น เพราะมันไม่ได้อยู่ที่นั่น มันไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนเลย
ในทำนองเดียวกัน ชีวิตของเราช่างดูสมจริง จนเรามิอาจเข้าใจหรือเชื่อได้ว่า มันเป็นภาพมายา ว่ายังมีชีวิตแท้จริงอื่นอยู่อีก ซึ่งคือตัวจริงของชีวิตเงานี้ แต่เมื่อเราปิดตาลง เราจะปิดประสาทรับรู้ทั้งหมดและมองหาตัวเรื่องที่แท้จริง แล้วเมื่อนั้น เราจะตระหนักว่า “โอ้ ยังมีโลกอันมหัศจรรย์อยู่ และมันเป้นจริง” อยู่ที่นั่นจะรู้สึกดี รู้สึกจริงแท้ และรู้สึกดีกว่าอยู่ที่นี่ ก็เหมือนเมื่อฉันมองผ่านหน้าต่างบานจริง ก็มีลมจริงพัดมาเล้าโลมใบหน้าและต้นไม้ข้างนอกพริ้วไหวไปมา ในขณะที่ในกระจก มันจะแตกต่างไปเล็กน้อย ฉันพบว่าหน้าต่าง ๔ บานนั้นล้วนแตกต่างกัน เพราะในนั้นไม่มีต้นไม้ แต่ข้างนอกนั้นมี แล้วฉันก็ตระหนักว่า “อ้า! นี่เป็นเพียงภาพสะท้อนที่แตกต่างไป ดังนั้นมุมสะท้อนจึงต่างไป” ดังนั้นภาพที่สะท้อนออกมาจะขาดอะไรไปบางอย่าง
ดังนั้นในชีวิตจริง มันก็เป็นเช่นเดียวกัน ภาพสะท้อนไม่มีวันสมบูรณ์แบบ เพราะเรามองจากมุมมองที่แตกต่างไป และเราก็จะรู้สึกไม่พึงพอใจ มันเป็นเช่นนั้น เธอจะรู้สึกว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะปรารถนาของจริง แล้วความเป็นจริงก็จะมาปะทะเรา แล้วเมื่อนั้นเราก็จะทราบว่า นั่นคือสาเหตุที่เราพลาดไป นั่นคือสาเหตุที่เราสะดุดไปแสนไกล...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
2 พฤษภาคม 2554 17:37 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ที่ซีหู ฟอร์โมซา วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๓
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)
พวกเราปฏิบัติธรรมต้องทำตนเหมือนคนธรรมดา พรุ่งนี้สำเร็จเป็นพุทธะก็ได้ ทำไมต้องรีบสำเร็จตั้งแต่วันนี้เล่า? พวกเธอยิ่งใจร้อน ยิ่งเป็นอุปสรรคให้กับตนเองมากขึ้น
แต่ก่อนมีคนคนหนึ่งปฏิบัติธรรมกับมหาอาจารย์ท่านหนึ่ง วันหนึ่งเขาถามอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์ คนที่มีความจริงใจอย่างข้าพเจ้าในโลกนี้จะมีสักกี่คน?” อาจารย์เขาจึงตอบว่า “นักเรียนอย่างเจ้าเต็มไปทุกพื้นที่” (ท่านอาจารย์กับทุกคนหัวเราะ) คนคนนั้นก็ไม่เชื่อจึงถามอีกว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ามีความจริงใจจริงๆ ถ้าข้าพเจ้าปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างประกอบด้วยบิดา มารดา ภรรยา ลูกๆ รวมทั้งญาติมิตรต่างๆ ด้วย ข้าพเจ้าต้องบำเพ็ญอีกกี่ปีจึงจะสำเร็จเป็นพุทธะได้?” อาจารย์เขาจึงตอบว่า “ถ้าเจ้าขยันหมั่นเพียร ๕ ปี-๑๕ ปี สำเร็จเป็นพุทธะได้” คนคนนั้นตอบว่า “มันช้าเกินไป ถ้าข้าพเจ้าไม่รับประทาน ไม่ดื่ม และไม่นอนด้วย ทุกวันจะนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ท่านคิดว่าอีกนานเท่าไรจึงจะสำเร็จเป็นพุทธะได้?” อาจารย์เขาตอบว่า “ถ้าทำเช่นนี้ ประมาณ ๓๐ ปี-๕๐ ปี จึงจะสำเร็จเป็นพุทธะได้” (ท่านอาจารย์กับทุกคนหัวเราะ) ฟังเข้าใจไหม? ใจร้อนเกินไป! เขาคิดว่าเขาเป็นใครหรือ? สำเร็จเป็นพุทธะหรือไม่สำเร็จมันจะเป็นอะไรไป? ใครต้องการคนอย่างเขา!
ท่านศากยมุนีพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ทั้งอินเดียก็เป็นสถานที่ของนักบุญ คนมากมายรับประทานมังสวิรัติและเข้าใจถึงการบำเพ็ญ แต่พระองค์ก็โปรดได้ไม่กี่หมื่นคนเท่านั้น แม้แต่หลังจากที่พระองค์จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังมีคนใส่ร้ายป้ายสีพระองค์ ศาสนาอื่นกล่าวหาพระองค์ว่าเป็นคนนอกรีต คนชั่ว ภูตผีปีศาจ! ในทำนองเดียวกัน พระเยซูก็ถูกคนใส่ร้ายป้ายสี จนถึงปัจจุบันพระองค์ทั้งสองก็ยังถูกคนใส่ร้ายป้ายสี ก็เพราะสำเร็จเป็นพุทธะนั่นเอง พระเจ้ามีพระบัญชาให้พระองค์ไปโปรดสัตว์ พระองค์จึงจำใจต้องไปโปรดสัตว์ ผู้ที่มีความจริงใจมาขอให้พระองค์ถ่ายทอดธรรม พวกพระองค์ไม่อยากปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะทำให้พวกเขาเสียใจ ดังนั้นการสำเร็จเป็นพุทธะจึงมิได้วิเศษวิโสอะไร ทุกคนจะสำเร็จเป็นพุทธะในที่สุด
แต่ก่อน พระศากยมุนีพุทธเจ้ามีศิษย์คนหนึ่ง ก็ไม่ยอมนอนทั้งคืน ดูเหมือนกลางวันนั่งาสมาธิ กลางคืนสวดมนต์ อะไรทำนองนั้น ต่อมาดวงตาแทบจะบอด พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าทำเช่นนี้ จะกลายเป็นมารอย่างรวดเร็ว มิใช่เป็นพุทธะอย่างรวดเร็ว เหมือนกับเวลาเจ้าดีดพิณ “ถ้าสายพิณมันตึงเกินไป มันจะมีเสียงหรือ?” เขาตอบว่า “ไม่มีเสียง” “ถ้าสายพิณหย่อนเกินไป มันจะมีเสียงหรือ?” เขาตอบว่า “มันก็ไม่มีเสียงเช่นกัน” พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “เดินสายกลางดีที่สุด”
ดังนั้น ชีวิตที่สมดุลจึงจะเป็นสัจธรรม ใจที่เป็นธรรมดาก็เป็นสัจธรรม พวกเราไม่ควรอยากได้อะไร พวกเราอยากรีบเป็นพุทธะ มันก็เป็นการอยาก ทำอะไรก็ให้สมดุลดีที่สุด เหมือนกับเด็กที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆ เธอเรียกเขาให้มาขี่จักรยาน เขาจะขี่ได้อย่างไร? แม้เธอจะรีบให้เขาสำเร็จ โตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถเร่งเขาได้ เพราะเด็กแม้แต่เดิน ก็ยังเดินไม่เก่ง แล้วเธอบอกให้เด็กวิ่ง เด็กจะวิ่งได้อย่างไร? แม้เด็กจะพยายามวิ่ง สักพักเด็กก็จะล้มลง แล้วจมูกก็จะแตก ร่างกายบาดเจ็บ เป็นเพราะใจร้อนนั่นเอง
พวกเราต้องดูแลใจของตนเองว่า ตนเองใจบริสุทธิ์หรือเปล่า มีอุดมการณ์ที่สูงส่งหรือไม่ ความโลภ โกรธ หลง ควบคุมให้ดีหรือยัง มีความรักความอดทนต่อผู้อื่นหรือไม่ มีใจกว้าง เข้าใจและให้อภัยต่อผู้อื่นหรือไม่ สามารถให้อภัยผู้อื่นเมื่อผู้นั้นทำผิด? ถ้าสามารถทำได้ทั้งหมด จะเป็นมหาอาจารย์ได้ทันที เป็นพุทธะได้ทันที ถ้าเรายังไม่ดีพร้อมสมบูรณ์ จะเป็นมหาอาจารย์แล้วมีประโยชน์กับใครได้เล่า? ตนเองยังไม่สามารถลบความรู้สึกที่เป็นบาปจากใจได้ ยังไม่สามารถอยู่เหนือความทิฐิและอวิชชาของตนเองได้ ใจยังคับแคบ ยังรับคนไม่ได้มาก ความรักยังมีน้อย รักคนได้ไม่มาก แล้วรีบจะเป็นพุทธะ จะมีประโยชน์อะไร? ถึงจะเอาพลังของพุทธะทั้ง ๑๐ ทิศมาให้กับคนที่ใจแคบ ตื่นเต้น และอวิชชา จะมีประโยชน์อะไรเล่า?
มีพลัง แต่ไม่มีความรัก ก็เป็นมาร มารกับพุทธะไม่ได้แตกต่างกันมาก มีพลังพอๆ กัน แต่พุทธะมีความรัก มารไม่มี มารมีความเห็นแก่ตัวมาก เรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่าง จะเอาทุกสิ่งทุกอย่าง เอาแต่วิจารณ์ ไม่ให้อภัย พุทธะแม้จะมีวิจารณ์ ก็ให้อภัยได้ เมื่อใดควรวิจารณ์ พระองค์ก็จะวิจารณ์ เพื่อช่วยให้คนก้าวหน้าและเห็นความบกพร่องของตน ควรให้อภัย พระองค์ก็จะให้อภัย ให้กำลังใจ เพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่ตำหนิติเตียนตนเองมากจนเกินไป
มิใช่ต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะเป็นพุทธะได้ พุทธะมิใช่มีด้านเดียว ถ้ามีแต่การให้อภัย โดยไม่มีการวิจารณ์กันบ้าง ก็ไม่ดี! เป็นต้นว่า ต้องวิจารณ์ ต้องสั่งสอน แต่กลับไปสรรเสริญพวกเขา มันก็แย่ซิ มันเป็นการส่งเสริมคนทำชั่ว ทำลายพลังการตัดสินใจของผู้บำเพ็ญ ดังนั้นอาจารย์จึงบอกพวกเธอว่า “ด้านลบกับด้านบวก สมดุลจึงจะเป็นพุทธะได้” พวกเราควรมองโลกให้ทะลุปรุโปร่งเพราะเราอาศัยอยู่บนโลกนี้ ยังต้องรับประทานข้าว นอนหลับ และปฏิบัติตนต่อผู้อื่น ดังนั้นเราเป็นคนธรรมดาดีที่สุด อันดับชั้นที่อยู่ภายในของเรา การบำเพ็ญของเรา เรารู้ของเราก็พอแล้ว ไม่ควรแสดงออก ออกมาภายนอก...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
2 พฤษภาคม 2554 09:21 น.
คีตากะ
ปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษ โดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ที่การนั่งสมาธิกลุ่มในฮาวาย
6 กันยายน 1994
ระหว่างการนั่งสมาธิกลุ่ม เพื่อนประทับจิตคนหนึ่งได้ถามคำถามนี้ขึ้นมาว่า อาจารย์,ช่วยอิบายหน่อยเกี่ยวกับเรื่องที่อัตตาของเราเกิดขึ้นในขณะที่เรามีความสัมพันธ์ติดต่อใกล้ชิดกับพระเจ้าภายในแล้ว? เราจะกำจัดมันไปได้อย่างไร?
อัตตาเกิดมาจากผลของสภาพแวดล้อม
มันไม่มีอัตตาหรอก จริงๆนะ เป็นเพียงแต่ผลของสภาพแวดล้อมเท่านั้น ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เวลาเราทำอะไรผิด เราก็จะถูกลงโทษ และเวลาเราทำอะไรที่ดีๆ เราก็ได้รับคำชมเชยและบางทีก็ชมมากเกินไปแล้วเราจึงได้เรียนรู้ที่จะแสดงโอ้อวดออกมาเพราะว่าเราได้รับการชมเชย ได้รับลูกอมอะไรทำนองนั้น แล้วต่อๆมาพอเราโตขึ้นเข้าโรงเรียน เราก็เรียนรู้ว่าคนที่ฉลาดหรือคนที่รู้วิธีที่จะปฏิบัติตัวในสังคมจะได้เปรียบคนอื่น แล้วเราก็เรียนรู้อีกเช่นกันถึงวิธีที่จะโดดเด่นเหนือคนอื่น วิธีที่จะพูดคุยได้อย่างราบรื่น วิธีที่จะทำอะไรให้คนชอบใจยินดี โดยที่แม้ว่าบางครั้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำออกมาอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ แต่ทำไปเพื่อจะได้รับการชมเชย
นั่นคือวิธีที่เราติดเป็นนิสัย ที่จะทำสิ่งต่างๆ แบบที่เราต้องการเพื่อที่ตัวเราจะได้เด่น และนั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าอัตตา เริ่มแรกเลยมันไม่มีอัตตาหรอก แล้วต่อมาเราก็เคยชินกับความล้มเหลวและความสำเร็จ เราจึงภูมิใจในตัวเอง เราคิดว่า “อา! ฉันทำเรื่องนี้สำเร็จ ฉันทำเรื่องนั้นได้ ฉันชนะเขา ฉันหลอกพวกเขาได้เรื่องทำนองนั้น” แล้วเราก็ภูมิใจมากขึ้นๆ และนั่นก็คือที่เรียกว่า อัตตา
นิสัย คือข้อมูลต่างๆที่จิตใจเก็บสะสมรวบรวมไว้
ที่จริงแล้ว ทุกอย่างคือนิสัยทั้งนั้น เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับมีอัตตามาด้วย ฉันถึงบอกพวกเธอว่าสิ่งแวดล้อมสำคัญต่อแต่ละคนมาก คนสองคนที่มีสติปัญญาระดับเดียวกัน ถ้าหากว่าถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจะแสดงปฏิกิริยาต่างกันต่อสถานการณ์อันเดียวกันที่พวกเขาเผชิญ โดยเนื่องมาจากนิสัยที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั่นเอง เพราะมีสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเรียนรู้ในระหว่างที่ยังเป็นเด็กและในชีวิตของพวกเขา ดังนั้น จริงๆแล้วไม่มีอัตตาหรอก ตอนนี้เราจึงพยายามจัดการกับนิสัยเท่านั้นเอง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เธออยากจะนั่งสมาธิ แต่เธอเคยชินกับการวิ่งไปวิ่งมา ทุ่มหนึ่งเธอออกไปดื่มกาแฟ สองทุ่มเธอก็ออกไปเต้นรำ แล้วตอนนี้ฉันบอกให้เธอมานั่งอยู่ที่นี่ เป็นเรื่องแย่จริงๆ แล้วบางทีก็ไม่ได้เห็นพระเจ้าด้วยซ้ำ ไม่ได้เห็นเสมอหรอก ใช่ไหม? บางคนก็โชคดีได้เห็นพระเจ้าตลอดทุกครั้งเลย แล้วก็เลยทึกทักเอา และบางคนก็นั่งอยู่ตรงนั้นก้นแทบจะหลุด แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรเลย! ฉะนั้นก็แน่นอนที่สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเธอรู้สึกไม่มีความสุข มันจึงยากที่เธอจะเชื่อว่ามีสิ่งอย่างเช่นพระเจ้า และก็พระเจ้ากำลังรักพวกเราอยู่ ถ้าพระองค์กำลังรักอยู่ ทำไมท่านถึงไม่มาหาฉันล่ะ ทำไมท่านมาหาคนข้างๆ?
เพราะว่าพวกเธอมีแนวโน้มที่จะเรียนรู้ในขณะที่เติบโตขึ้น ในการที่จะคอยเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ตามแบบที่คนชาวโลกเขาทำกัน พวกเขาสอนเธอว่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงนั้นดีกว่าเธอ รถของเขาแพงกว่า ทำไมพระเจ้าถึงให้เขาแต่ไม่ให้ฉัน? อะไรทำนองนั้น และนี่ก็คือที่เรียกว่าอัตตา จิตใจที่คอยถกเถียงโต้แย้งที่พวกเขาสะสมมาจากอิทธิพลของสังคม ดังนั้นตอนนี้เราต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพวกนั้น ทุกครั้งที่เราคิดอะไรไร้สาระ เราก็พูดว่า “ โอเค นั่นเป็นแค่นิสัยของเจ้า ฉันไม่เชื่อเรื่องขยะๆของเจ้าหรอก” แล้วก็เพียงแต่ทำงานของพวกเธอไป อย่าไปฟังเจ้าจิตใจนี้ แล้วเธอก็จะค่อยๆเคยชินกับมันไปเอง
อภัยให้ตัวเอง และพยายามเปลี่ยนแปลง
คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ พวกเขาจะเรียบง่ายกว่า เข้าถึงพระเจ้าได้รวดเร็ว เพราะว่าพวกเขาไม่มีความคิดอะไรต่างๆมากมายเกินไป ไม่มีการเปรียบเทียบมากเกินไป ไม่ต้องพยายามเอาชนะในเรื่องการศึกษาหาความรู้มากเกินไป คนที่ยิ่งมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวมาก หรือบางครั้งประสบความสำเร็จมาก เพราะว่าพวกเขาต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เพื่อที่จะได้รับความสำเร็จ นี่เป็นตัวอย่างนะ ดังนั้น พวกเขาจึงมีนิสัยในการคิด วิเคราะห์เรื่องที่ชอบและเรื่องที่ขัดแย้ง และเรื่องความสำเร็จ ความล้มเหลว “ถ้าฉันนั่งทำสมาธิ ฉันจะได้อะไรจากพระเจ้า? ฉันจะได้อะไรบ้างไหมนี่? มันจะคุ้มค่าหรือ? คุณก็รู้นี้ว่า เวลามันเป็นเงินเป็นทอง” (มีเสียงหัวเราะ) และอะไรทำนองนั้นในบางครั้ง แล้วในจิตใต้สำนึกนั้นเราก็จะกีดขวางหนทางไปสู่สวรรค์โดยตัวของเราเอง นั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าอัตตา ซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่มีเลย
ตัวอย่างเช่น เด็กๆ หลายคนที่เติบโตขึ้นในครอบครัวที่ทุบตีทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็จะเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ร้ายอาชญากร พวกเขาไม่ได้รับความรักในสมัยเด็กๆ ก็จะโตขึ้นโดยไม่รักใครเลย พวกเขาจะรู้จักแต่เพียงความรุนแรงเท่านั้น รู้จักแต่เรื่องพลกำลัง การใช้กำลังกล้ามเนื้อร่างกาย หรือ กำลังอะไรก็ตามแต่ที่พวกเขาหาได้ เพื่อเอาชนะศัตรู เพื่อจะได้กลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่า ส่วนมากพวกเขาจะไม่ได้รับความรัก มันจึงยากที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้ แล้วพวกเธอก็จะพูดว่า นั่นเป็นอัตตาของพวกเขา จริงๆแล้ว ฉันจะพูดว่ามันเป็นเพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อเราพูดว่า “นิสัย” มันจะเข้าใจได้ง่ายกว่า และก็ยังดูจะง่ายกว่าที่จะเข้าถึงและก็แก้ไขมันได้มากกว่าที่จะพูดว่า “อัตตา” ซึ่งมันฟังดูน่ากลัว เหมือนกับเป็นเอกลักษณ์หรือธาตุแท้ อะไรอย่างหนึ่งทำนองนั้นที่เราจะต้องต่อสู้กับมัน มันไม่ยากถึงขนาดนั้นหรอก
แม้แต่การแปรงฟัน หลายคนไม่ได้แปรงฟันวันละสามครั้งหรอก เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีนิสัยที่จะทำอย่างนั้น และพวกเขาก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงมันได้ ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กฉันก็ไม่ได้แปรงฟันวันละสามครั้ง แต่เมื่อฉันโตขึ้นฉันก็เข้าใจว่ามันจะทำให้ฟันของฉันไม่ดี และฉันก็อยากจะสวย (มีเสียงหัวเราะ) ฉันจึงเริ่มรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของนิสัยอันนี้ คือการแปรงฟันหลังอาหาร และฉันก็ทำอย่างนี้เรื่อยมา ก็เท่านั้นเอง เพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่ง เป็นนิสัย โอเคนะ?! ฉะนั้นจงให้อภัยตัวเองและก็พยายามเปลี่ยนแปลง...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com