13 พฤษภาคม 2554 14:32 น.
คีตากะ
จากหนังสืออาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
นี่เป็นเรื่องทางศาสนาพุทธอีกเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องคือเจ้าหญิงฉุนเหริ่น ฉุนหมายความว่าบริสุทธิ์ เหริ่นหมายความว่าอดทน เนื่องจากเจ้าหญิงมีความอดทนสูงมาก จึงได้ชื่อว่าฉุนเหริ่น
เจ้าหญิงองค์นี้เป็นพระราชธิดาองค์เล็กของกษัตริย์ซึ่งชื่อว่าเบอร์สน่า เจ้าหญิงองค์นี้มีความกตัญญูเป็นอย่างมากต่อพระบิดา พระมารดา และมีความอดทนสูง แต่เจ้าหญิงก็มีจุดบกพร่องอยู่ข้อหนึ่งซึ่งก็คือพระองค์มีความน่าเกลียดมาก น่าเกลียดเกินไป น่าเกลียด น่าเกลียดอย่างร้ายกาจ น่าเกลียดอย่างไม่น่าเชื่อ (เสียงหัวเราะ) ด้วยเหตุนี้เจ้าหญิงจึงไม่ได้แต่งงานเมื่อถึงเวลาที่มีอายุ ๑๘ ชันษา “ดอกไม้” ดอกนี้ได้บานเป็นเวลานาน (เสียงหัวเราะ)
พระบิดา พระมารดาไม่สามารถที่จะจัดการให้พระธิดาของพระองค์เสกสมรสได้ พวกเขายพยายามที่จะหาพระสวามีให้เจ้าหญิง แต่ก็หาไม่ได้ พวกเขาโทษพระเจ้าว่าไม่ยุติธรรม โทษว่าทำไมพระเจ้าจึงไม่ระวังเมื่อตอนที่ให้ใบหน้าแก่เจ้าหญิง เจ้าหญิงองค์นี้น่าเกลียดจนถึงกับคนใดก็ตามที่ได้เห็นพระองค์ จะไม่สามารถทนได้ จะถึงกับประสาทเสียได้
เจ้าหญิงน่าเกลียดอย่างไร? โอ! จมูกของพระองค์แบนมาก และรูจมูกทั้งสองก็ใหญ่และชี้ขึ้นท้องฟ้า (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ทุกคนจะเห็นรูจมูกทั้งสองของเจ้าหญิงได้ในทันที หน้าผากก็ตะปุ่มตะป่ำ ฟันก็ยื่นออกมาเหมือนกับว่ามันไม่ต้องการช่วยเจ้าหญิงปิดบังความลับใดๆ (เสียงหัวเราะ) ฟันทุกซี่ก็ยื่นออกมาเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ มันรู้สึกร้อนเกินไปที่จะอยู่ในปากของเจ้าหญิง ตาของพระองค์ก็ดูไม่เหมือนตา มันใหญ่เกินไปและน่าเกลียด น่ากลัว
ฉันยังไม่ได้บรรยายให้ฟังถึงรูปร่างของเจ้าหญิงเลย (เสียงหัวเราะ) เจ้าหญิงตัวสูงและรูปร่างเพรียว แต่มันก็ไม่เข้ากันเลย พระองค์เดินเหมือนกับหุ่นไล่กา ใครก็ตามที่ได้เห็นพระองค์ จะคิดว่าได้เจอผี มันเลวร้ายมาก! ชายหนุ่มในราชสำนักมากมายไปเรียนต่างประเทศเพื่อเป็นข้อแก้ตัวที่จะไปให้พ้นเจ้าหญิง (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ในเรื่องบอกว่าพวกเขากลัวที่จะเป็นสามีของพระองค์!
ทุกครั้งที่เจ้าหญิงมองดูพี่สาวทั้งสองส่องกระจกไปมาและมีความสุขกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขา พระองค์ก็จะโศกเศร้าระทมทุกข์มาก พระองค์ไม่เคยอิจฉาพี่สาวของพระองค์ พระองค์เพียงแต่เสียใจในสภาพการณ์ของพระองค์เอง พระองค์มีจิตใจสูงส่งและมีคุณธรรม แต่พี่สาวของพระองค์เย่อหยิ่งในตัวเอง และไม่มีใครที่ชอบเขาทั้งสอง พระองค์นั้นต่างออกไป แม้ว่าพระองค์จะน่าเกลียด ทุกคนก็ชอบพระองค์มาก
พี่สาวของพระองค์เย่อหยิ่งและภาคภูมิใจในความงามของพวกเขา พวกเขารู้ว่าน้องสาวนั้นน่าเกลียดมาก ทุกครั้งที่เห็นน้องสาว ก็จะกลอกกลิ้งตาไปมา จ้องมองดู (เสียงหัวเราะ) เชิดจมูกใส่ หันหลังให้ ไม่มองเจ้าหญิง พวกเขาไม่เคยมองดูพระองค์ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรหรือใกล้ชิดสนิทสนม ไม่เคยพูดคุยกับพระองค์ ไม่เคยกล่าวคำสวัสดีกับพระองค์ ไม่เคยปลอบใจพระองค์ และไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับพระองค์เลย พวกเขายังได้บอกกษัตริย์ว่า อย่าได้ปล่อยให้เจ้าหญิงฉุนเหริ่นออกไปนอกพระราชวังเป็นอันขาด เพื่อหลีกเลี่ยงคนนินทาหรือดูถูกชื่อเสียงของพระราชวงศ์ ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเล่นข้างนอก
การที่ไม่มีเพื่อน ทำให้พระองค์โศกเศร้า อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งในสภาพการณ์เช่นนั้นพระองค์ก็ยังคงกตัญญูต่อพระบิดา พระมารดา และเคารพพี่สาวของพระองค์ พระองค์ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและคนรับใช้อย่างมีความเห็นอกเห็นใจและมีความกรุณา เมื่อใครขาดแคลนอะไรบางอย่าง หรือเมื่อคนจนต้องการความช่วยเหลือ พระองค์ก็จะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะช่วยเหลือพวกเขา พระองค์ใช้ทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์และเงินค่าขนมเพื่อซื้อยาให้กับผู้ที่ขัดสน ถ้าใครป่วย พระองค์ก็จะพยายามดูแลเขาหรือหล่อน หรือไม่ก็ขอให้หมอมาดูแลเขาหรือหล่อน เหตุนี้ทุกคนจึงชอบพระองค์เป็นอย่างมาก แต่พวกเขาไม่ชอบพี่สาวทั้งสองของพระองค์ ชื่อเสียงในความเป็นคนใจบุญสุนทานทั้งๆ ที่มีหน้าตาไม่สวยสดงดงามก็กระจายไปทั่วประเทศ แม้กระทั่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งความดีและหน้าตาของพระองค์เป็นที่ล่วงรู้กันดี
วันหนึ่งเจ้าชายของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีชื่อว่าจุ้งเต๋อ (ในภาษาจีนชื่อนี้หมายถึงให้ความสำคัญกับบุญกุศล) ก็ได้มายังอาณาจักรนี้ บางทีพระองค์อาจจะไม่สนใจในเสน่ห์ของผู้หญิงก็ได้ เพราะเจ้าชายจุ้งเต๋อต้องการแต่งงานกับเจ้าหญิง ทุกคนในพระราชวังต่างก็ตกใจ! กษัตริย์จับมือของเจ้าชายตลอดเวลา กลัวว่าเจ้าชายอาจจะเปลี่ยนใจ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พระองค์แก้ตัวว่าเป็นการขอบคุณเจ้าชาย แต่จริงๆ แล้วพระองค์กังวลว่าเจ้าชายอาจจะวิ่งหนีไป กษัตริย์คว้ามือของเจ้าชายเอาไว้และเรียกเขาว่าอี้เสีย (“อี้เสีย” ในภาษาจีนหมายถึงคนที่มีความยุติธรรม)
กษัตริย์พูดกับจุ้งเต๋อว่า “ฉันชื่นชมที่เธอมีความรักต่อลูกสาวของฉัน ไม่มีภาษาใดที่จะสามารถบรรยายความรู้สึกของฉันได้ เธอคืออี้เสีย เธอให้ความสำคัญในบุญกุศลมากกว่าเสน่ห์ของผู้หญิง! ถ้าหากเธอต้องการสิ่งใดในอนาคต ฉันจะสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ นับจากนี้เป็นต้นไปประเทศของเราทั้งสองจะอยู่และตายด้วยกัน” และอื่นๆ
กษัตริย์ยังคงแนะนำเจ้าชายให้เก็บพระธิดาของพระองค์ไว้ในพระราชวังหลังจากเสกสมรสแล้ว อย่าให้ออกจากพระราชวัง (เสียงหัวเราะ) เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนซุบซิบนินทา
เจ้าชายก็พาเจ้าหญิงไปพระราชวังและทำตามที่กษัตริย์บอก แม้ว่าเจ้าชายจะมีจิตใจเปิดกว้างและมีใจกว้างขวาง แต่คุณสมบัติของพระองค์ก็ยังมีขีดจำกัด หน้าตาที่น่าเกลียดของเจ้าหญิงนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด คนหนึ่งมีขีดจำกัด อีกคนหนึ่งไร้ซึ่งขีดจำกัด
ในที่สุดเจ้าชายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แม้ว่าบางครั้งพระองค์จะชมเชยคุณธรรมของเจ้าหญิง แต่เมื่อพระองค์มองดูเจ้าหญิง พระองค์ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ไม่สามารถแม้กระทั่งชำเลืองมองดูอีกแค่ครั้งเดียว อย่างค่อยเป็นค่อยไปจุ้งเต๋อก็เริ่มที่จะชอบเล่นสนุกสนามมากกว่าสนใจในบุญกุศล พระองค์ออกไปข้างนอกโดยอ้างข้อแก้ตัวสารพัดอย่าง พระองค์ไปล่าสัตว์ ไปดื่มเหล้า เล่นหมากรุกและอื่นๆ พระองค์ไม่ได้มาหาเจ้าหญิงบ่อยนัก
เจ้าหญิงอยู่ในพระราชวังและมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พระองค์ก็เป็นเหมือนกับนก พระองค์ถูกจับใส่ไว้ในกรงทองแห่งความหดหู่ พระองค์ต้องอยู่ภายในกำแพงเสมอ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ข้างนอก เจ้าหญิงระทมทุกข์มาก แต่พระองค์ก็เชื่อว่านั่นคือชะตากรรมของพระองค์ พระองค์มีความอดทนมาก พระองค์มักจะคิดในเรื่องสาเหตุของสภาพในปัจจุบันของพระองค์อยู่เสมอ อาจจะเป็นเพราะพระองค์ขาดการปฏิบัติบำเพ็ญทางจิตวิญญาณในชาติก่อนๆ หรืออาจจะเนื่องมาจากกรรมหนัก แต่พระองค์ก็ทำหน้าที่ของพระองค์เป็นอย่างดีและไม่เคยบ่น พระองค์ปฏิบัติต่อพระสวามีของพระองค์เหมือนกับวันแรกที่ทั้งสองอยู่ร่วมกัน พระองค์ทนต่อการถูกดูถูก แต่พระองค์ก็ยังมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีและดูแลเจ้าชายเป็นอย่างดีและสนับสนุนพระองค์อย่างเต็มที่ แม้ว่าพระองค์จะได้ปฏิบัติต่อผู้คนในพระราชวังด้วยความกรุณา เหตุการณ์ที่ไม่น่าสบายใจบางอย่างก็ยังคงเกิดขึ้น
สนมของกษัตริย์ เจ้าหญิงและพระญาติก็มาโอ้อวดความงามของพวกเขา มิหนำซ้ำยังได้พูดเรื่องหน้าตาที่น่าเกลียดของเจ้าหญิงในที่สาธารณะ เจ้าหญิงเป็นคนที่มีความอดทนจริงๆ พระองค์อดทนต่อสิ่งเหล่านี้ตลอดมาและไม่เคยโกรธเลย พระองค์ไม่เคยปฏิบัติต่อคนอย่างไม่สุภาพ พระองค์มีกิริยามารยาทที่ดี มีความอดทนและมีความอ่อนโยนอยู่เสมอ
วันหนึ่งพวกสุภาพสตรีในราชสำนักและเจ้าหญิงทั้งหลายที่ชั่วร้ายเหล่านั้นก็ได้คิดกลอุบายที่จะยั่วเย้าเจ้าหญิง พวกเขาได้ขอให้สามีของพวกเขาจัดงานเลี้ยงและให้เชิญทุกคนมาร่วมงานรวมทั้งเจ้าชายและมเหสีของพระองค์ ปกติงานเต้นรำประเภทนี้ สามีและภรรยาจะต้องมากันเป็นคู่ สุภาพสตรีเหล่านี้มีอายุเท่าๆ กับเจ้าชายและมีความหยิ่งยโส
ในที่สุดเจ้าชายจุ้งเต๋อก็มาคนเดียว พวกสุภาพสตรีในราชสำนักและเจ้าหญิงทั้งหลาย ทั้งที่แต่งงานแล้วและที่ยังเป็นโสด ต่างก็โอ้อวดเจ้าชายและกระเซ้าเย้าแหย่พระองค์ พวกเขาพยายามที่จะหว่านเสน่ห์และดึงดูดเจ้าชายและอื่นๆ พวกเขารู้ว่ามเหสีของพระองค์อัปลักษณ์น่าเกลียดมาก ดังนั้นบางครั้งจึงจงใจแหย่พระองค์และพยายามทำให้พระองค์รู้สึกเศร้าใจ
เจ้าชายไม่สนใจในบุญกุศลอีกต่อไป พระองค์ไม่อาจทนการกระเซ้าเย้าแหย่ได้อีกต่อไป พระองค์รู้สึกโกรธมเหสีของพระองค์ พระองค์กลับไปที่พระราชวังด้วยความโกรธและความอับอาย พระองค์บอกกับตนเองว่าพระองค์จะต้องหย่าจากเจ้าหญิง พระองค์ทนไม่ไหวอีกต่อไป
ในวันเดียวกัน แต่เป็นเวลาก่อนที่เจ้าชายจะกลับมาถึงพระราชวัง เจ้าหญิงก็อยู่คนเดียวในห้องของพระองค์ ไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ในทันใดนั้นพระองค์ก็รู้สึกตกใจและรู้สึกไม่ค่อยดี มันคล้ายกับว่าประสาทสัมผัสที่หกของพระองค์กำลังบอกพระองค์ว่าสิ่งเลวร้ายบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ณ พระราชวังเจ้าหญิงก็คิดถึงเรื่องของตัวเองและหลั่งน้ำตา พระองค์ร้องไห้อยู่คนเดียว ร่างกายและหน้าตาของพระองค์แปลกประหลาดซึ่งทำให้พระองค์ปวดร้าวใจมาก พระองค์เอามือประสานกันในท่าพนมมือและคุกเข่า พระองค์สวดขอต่อพุทธะที่มีชีวิตอยู่ซึ่งคือพระศากยมุนีพุทธเจ้าในขณะนั้น บางทีพระองค์อาจจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าก็ได้ หรืออาจจะเพียงแค่ได้ยินชื่อของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระองค์สวดว่า “ท่านเป็นพุทธะที่มีชีวิตอยู่ซึ่งได้ช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากความทุกข์ยากและอุปสรรคทั้งหลาย ในขณะนี้ฉันคือผู้ที่มีทุกข์ที่สุด ฉันไม่สามารถจากบ้านไปเพื่อไปเคารพท่านได้ ดังนั้นได้โปรดทราบถึงคำอธิษฐานของฉันและมาหาฉัน ขอให้เข้าใจว่าความปรารถนาของฉันก็คือให้ท่านมาที่นี่”
ณ พระเชตวนาราม พระศากยมุนีพุทธเจ้าสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเจ้าหญิง จึงได้เหาะมาด้วยร่างนิรมาณกายของพระองค์ เจ้าหญิงร่ำไห้เมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้า! พระองค์รู้สึกดีใจและโศกเศร้าและเอาแต่ร้องไห้ พระองค์ได้บอกพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าที่เคารพ ฉันไม่รู้ว่าชาติก่อนของฉันเป็นอะไร!”
เจ้าหญิงถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ได้ทำกรรมอะไรไว้ในชาติก่อน จึงทำให้รูปร่างหน้าตาของพระองค์แปลกประหลาดนัก และพระองค์ได้ทำความดีอะไรไว้ จึงทำให้พระองค์เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและเป็นที่เคารพนับถือ ผู้คนเคารพนับถือพระองค์ และบางคนก็อิจฉาพระองค์ แต่บางคนก็จะล้อเลียนและดูถูกพระองค์เนื่องจากหน้าตาของพระองค์ พระองค์สำนึกผิดในการกระทำที่ไม่ดีของพระองค์ต่อหน้าพระพุทธเจ้า พระองค์ขอให้พระพุทธเจ้าเชื่อในความจริงใจของพระองค์ พระองค์รู้สึกเสียใจต่อกรรมในอดีตของพระองค์ ถ้าหากว่าพระองค์มีกรรม
พระพุทธเจ้าบอกกับพระองค์ว่า “ในชาติก่อนของเธอ เธอเป็นภรรยาที่งดงามเป็นสุภาพสตรีที่งดงาม อย่างไรก็ตาม เธอไม่มีความปรานีต่อคนรับใช้ของเธอ และเธอมีความอิจฉาเพื่อนๆ และญาติๆ ซึ่งสวยงาม เธอจะจ้องมองคนที่สวยกว่า เธอปฏิบัติต่อคนอย่างไม่มีความกรุณา เธอพึ่งในความงามของเธอ เธอจึงแสดงความไม่เคารพต่อผู้อื่น เธอมีความเย่อหยิ่งและหยาบคาย ถ้าตอนนี้เธอสำนึกผิดด้วยความจริงใจ กรรมนี้ก็จะหายไปด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง เพราะทุกสิ่งสร้างด้วยใจ”
เจ้าหญิงได้ฟังเสียงของนิรมาณกายของพระพุทธเจ้า เสียงที่พระองค์ได้ยินนั้นอ่อนนุ่ม ไพเราะและอบอุ่นมาก พระองค์รู้สึกมีความสุข สดชื่น ร่าเริงและสบายใจ พระองค์สำนึกผิดมากยิ่งขึ้น พระองค์คุกเขาอยู่ที่ตรงนั้นและขอให้พระพุทธเจ้าช่วยขจัดกรรมของพระองค์ เนื่องจากพระองค์มีความจริงใจและสำนึกผิดอย่างสุดจิตสุดใจ นิรมาณกายของพระพุทธเจ้าจึงแตะศีรษะของพระองค์ แล้วพระองค์ก็มองดูตาของพระพุทธเจ้า
ได้กล่าวไว้ว่าพระองค์มองดูเป็นเวลานาน (เสียงหัวเราะ) พระองค์คงจะอยู่ในสมาธิ จึงกินเวลานาน ได้กล่าวไว้ว่าเป็นเวลาหลายชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ ขณะที่พระองค์มองดูดวงตาของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ตาของพระองค์ก็สวยงามขึ้นและเป็นประกายเหมือนอย่างของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์มองดูใบหน้าที่สง่างดงามของพระพุทธเจ้า ในทันใดนั้นใบหน้าของพระองค์ก็สง่างามและงดงาม พระองค์รู้สึกมีความสุขมาก พระองค์มีความรู้สึกที่ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ชื่นชม เคารพและรักพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าส่วนใดของพระพุทธเจ้าที่พระองค์มองดู ร่างกายของพระองค์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหมือนกัน แล้วพระองค์ก็กลายเป็นเจ้าหญิงที่สวยสดงดงามมากขึ้นในทันที หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้แปลงตัวพระองค์มาพูดกับเจ้าหญิงแล้ว พระองค์ก็เหาะจากไปโดยใช้ฤทธิ์ของพระองค์ มันกล่าวไว้ว่าพระองค์ใช้อิทธิปาฏิหาริย์ แต่สิ่งนี้คือนิรมาณกายของพระองค์!
พระพุทธเจ้าได้ไปแล้ว จากนั้นเจ้าชายก็กลับมาที่วัง ในตอนนั้นพระองค์ทนไม่ได้อีกต่อไปและต้องการที่จะหย่า เมื่อเจ้าหญิงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาด้วยความเร็วสูง หัวใจของพระองค์ก็เต้นเร็วขึ้น เพราะพระองค์คิดว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้น พระองค์รู้สึกตื่นเต้นเมื่อออกไปพบกับพระสวามีของพระองค์
พระองค์ได้เห็นว่าพระสวามีของพระองค์เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและดูเหมือนว่าพระองค์อารมณ์เสีย ดังนั้นเจ้าหญิงจึงไม่กล้าพูดอะไร พระองค์กลับลงไปคุกเข่าและถอดรองเท้าให้เจ้าชาย พระองค์ปฏิบัติเหมือนเช่นเคย เมื่อไรก็ตามที่พระสวามีกลับมาที่วัง พระองค์จะช่วยเจ้าชายถอดรองเท้าเพื่อทำให้เจ้าชายรู้สึกสบาย พระองค์นวดเท้าของเจ้าชาย จากนั้นก็ถอดมงกุฎออก เพราะว่ามันหนักมาก นี่ก็คือหน้าที่ประจำที่ภรรยาคนนี้ปฏิบัติต่อสามีของเขา พระองค์วางดาบกลับคืนเข้าที่แล้วถอดเข็มขัดของเจ้าชายซึ่งตกแต่งเต็มไปด้วยไข่มุกและพลอยมีค่าและหนักมากด้วยเช่นกัน
อา! แล้วเจ้าชายก็ได้เห็นเจ้าหญิง พระองค์สงสัยว่าหล่อนเป็นใครและมองไปรอบๆ ตัวหล่อน “ไม่ ไม่ใช่เป็นเจ้าหญิง!” แต่คนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นควรที่จะเป็นมเหสีของพระองค์ซึ่งก็คือเจ้าหญิง หล่อนปฏิบัติหน้าที่แบบเดียวกัน ด้วยท่าทีที่เหมือนกันและกิริยาแบบเดียวกัน แต่ใบหน้านั้นต่างออกไป รวมทั้งรูปร่างด้วย! พระองค์มองไปรอบๆ และสงสัยว่าทำไม พระองค์ถามเจ้าหญิงว่า “เธอเป็นใคร?”
เจ้าหญิงเข้าใจความสับสนมึนงงของเจ้าชาย จึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับการได้เห็นพระพุทธเจ้าให้พระองค์ฟัง และพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและอื่นๆ วาว! พระองค์มีความสุขเกินกว่าที่จะหย่าขาดจากเจ้าหญิงได้! (เสียงหัวเราะ) ต่อมาในภายหลังพระองค์ก็ทราบว่าการบำเพ็ญสมาธิเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นทั้งสองจึงนั่งสมาธิด้วยกัน (เสียงหัวเราะ) บางทีทั้งสองอาจจะได้ไปประทับจิตและเข้าร่วมสมาธิกลุ่มในวันนั้นก็ได้ พวกเขาขยันมากในการบำเพ็ญเพื่อบุญกุศลและพระพร ในการให้ทานและทำสมาธิเพื่อให้ได้รับปัญญา
วันหนึ่งเนื่องจากทั้งสองต่างก็มีอารมณ์ดี ก็เลยนั่งคุยกัน เจ้าหญิงไม่สามารถควบคุมตัวเองและได้บอกพระสวามีว่า “หม่อมฉันคิดว่าพระองค์สนใจในเสน่ห์ของผู้หญิงมากกว่าบุญเสียอีก” (เสียงหัวเราะ)
พระองค์ต้องการเปลี่ยนชื่อของเจ้าชาย เพราะเจ้าชายต้องการเสน่ห์ของผู้หญิงมากกว่าบุญกุศล เจ้าชายรู้สึกขวยเขิน พระองค์ก็เลยเปลี่ยนเรื่องพูด (เสียงหัวเราะ)
สำหรับเจ้าหญิง เวลาของพระองค์ได้มาถึงแล้ว ดังนั้นพระองค์จึงติดอยู่ในสภาพการณ์ที่ถูกบังคับนี้ มิหนำซ้ำพระองค์ยังไม่สามารถออกไปบูชาพระพุทธเจ้าได้ พระองค์ใฝ่กระหายในพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปรารถนาในความงาม พระองค์ปรารถนาจริงๆ ในพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์พูดว่าพระองค์มีวาสนาที่ไม่ดี และรูปร่างหน้าตาของพระองค์ก็แย่มาก จนกระทั่งพระองค์ไม่มีแม้กระทั่งความอิสระ พระองค์เป็นเจ้าหญิงที่สูงส่ง แต่พระองค์ไม่มีอิสรภาพ ผู้คนรอบๆ พระองค์ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์พระองค์ วิจารณ์มากจนกระทั่งได้ชำระล้างกรรมของพระองค์! ในวันนั้น แม้กระทั่งสามีที่พระองค์เคารพก็ยังต้องการหย่าจากพระองค์และปฏิบัติไม่ดีต่อพระองค์ แต่ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้ชำระล้างกรรมบางส่วนของพระองค์ออกไป
การที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปพบพระพุทธเจ้า แม้ว่าพระองค์กระตือรือร้นยิ่งนักที่จะได้พบพระพุทธเจ้า ทำให้พระองค์รู้สึกสลดหดหู่เป็นอย่างมากและรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นพระองค์จึงสวดขอให้พระพุทธเจ้ามาหาเพื่อให้พระองค์ได้เห็น พระองค์ไม่ได้หวังที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในรูปร่างภายนอกของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ตั้งใจที่จะขอให้พระพุทธเจ้าช่วยเหลืออะไร พระองค์เพียงแต่สำนึกผิดเท่านั้น เพราะพระองค์ทราบว่ามันเป็นกรรมในชาติก่อนของพระองค์ พระองค์เปลี่ยนแปลงไปด้วยสถานการณ์เช่นนั้น
สิ่งที่ฉันหมายถึงก็คือผู้บำเพ็ญไม่จำเป็นต้องขอสิ่งของทางวัตถุเหล่านี้ ถ้ามันมา มันก็มาอย่างเป็นธรรมชาติ และก็ไม่เป็นไรถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการแสวงหาสัจธรรมอย่างจริงใจ รักษาคุณธรรมของเรา แล้วสิ่งต่างๆ ภายนอกก็จะดีเองอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนอย่างที่พระเยซูพูดว่าค้นหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนแล้วสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายก็จะมาหาเธอ
ถ้าเรามีความงามสักหน่อย เราก็จะมีความมั่นใจในตนเอง เธอไม่คิดหรอกหรือว่าเธองดงาม สบายอกสบายใจและร่าเริงสดชื่น? ใช่ ความงามภายในของเราจะปรากฏออกมา เมื่อคนอื่นได้เห็นเรา พวกเขาก็จะคิดว่าเรางดงาม บางครั้งมันก็เกิดขึ้นแบบนี้ พวกเขาตาบอดด้วยคุณสมบัติที่สดใสภายในของเรา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นจุดบกพร่องของเราและรูปร่างภายนอกของเรา นั่นเป็นเรื่องจริง
เมื่อเราร่าเริง มีความสุขและมีจิตใจที่เปิดกว้าง เราไม่ใช่ว่าสวยงามหรอกหรือ? (ผู้ฟัง : ใช่) บางคนดูหน้าตาสวยงาม แต่มีใบหน้าที่เศร้าสลด เราก็เลยไม่อยากเห็นพวกเขา ไม่ว่าเธอจะสวยงามสักเพียงไร ฉันก็จะไม่มองดูใบหน้าที่โศกเศร้าเหล่านั้นถึงแม้เธอจะขอร้องให้ฉันทำก็ตาม เธอไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจกับรูปร่างภายนอกของเธอมากนัก ให้ใส่ใจเฉพาะสิ่งที่อยู่ภายในเท่านั้น ถ้าภายในของเราสวยงาม ภายนอกก็ควรจะเป็นแบบเดียวกัน พลังทางลบที่ออกมาจากภายในทำให้ภายนอกมืดมิด
เมื่อเราเศร้าโศก เราก็ดูน่าเกลียด พวกเราบำเพ็ญไม่ปรารถนาในสิ่งภายนอก แต่มันจะมาหาเราอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าเราไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ยังคงโอเค หลังจากที่ได้บำเพ็ญมากขึ้น เราจะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ ร่างกายสวยงามก็ดี แต่การที่ร่างกายไม่สวยงามก็ดีเหมือนกัน...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.com
13 พฤษภาคม 2554 14:22 น.
คีตากะ
หนังสืออาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
นี่คือเรื่องราวของภิกษุณีสุขลา
วันหนึ่งพระเจ้าของโลก คือพระพุทธเจ้า กำลังพำนักอยู่ในเชตวนารามในยุคของสารวัตถี พระองค์บรรยายธรรมให้กับกลุ่มผู้นับถือศรัทธา ๔ กลุ่ม (หมายถึงผู้นับถือศรัทธาทั้งชายหญิง ทั้งที่เป็นฆารวาสและออกบวชหรือพุทธบริษัท ๔) ในเวลานั้นมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ร่ำรวยมากซึ่งมีบุตรสาวที่หน้าตางดงามมาก มีสิ่งหนึ่งที่พิเศษมากในเด็กผู้หญิงคนนี้ เขามีผ้าสีขาวห่อหุ้มร่างกายเมื่อเกิดมา พ่อแม่ของเขารู้สึกงุนงง จึงไปถามหมอดู หมอดูก็บอกว่า “เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เด็กผู้หญิงคนนี้มีบุญมาก ฉันขอตั้งชื่อว่าสุขลา”
เมื่อเด็กหญิงคนนี้เติบโตขึ้น ผ้าที่อยู่บนร่างกายของเขาก็โตขึ้นตามร่างกายด้วย เขาได้กลายเป็นผู้หญิงที่มีความสวยงามมากและมีความสง่างาม การเป็นลูกสาวของครอบครัวที่ดีซึ่งมีภูมิหลังดี ทำให้มีคนเป็นจำนวนมากมาขอแต่งงาน อย่างไรก็ตามนางก็ไม่สนใจผู้ใดเลย
วันหนึ่งพ่อของนางก็ได้เรียกช่างฝีมือที่มีความชำนาญมาก มาทำเครื่องประดับที่สวยงามมากให้แก่นางสำหรับงานแต่งงานของนาง นางถามพ่อว่า “เครื่องประดับเหล่านี้ทำไปทำไมกัน?” พ่อของนางพูดว่า “ตอนนี้ลูกก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อควรที่จะเตรียมไว้สำหรับงานแต่งงานของลูก!”
ลูกสาวก็บอกพ่อของนางว่า “การแต่งงานอยู่ไปได้แค่ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไรนัก และมิหนำซ้ำยังจะสามารถสร้างความเศร้าใจมากมายให้แก่เราได้ ลูกไม่ต้องการแต่งงาน ลูกต้องการเป็นแม่ชี การเป็นแม่ชีและได้รับการหลุดพ้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า”
นางเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถชักชวนนางให้เปลี่ยนใจได้ พวกเขาก็ไม่บังคับนางและตกลงยอมให้นางเป็นแม่ชี วันรุ่งขึ้นพ่อก็ออกไปซื้อผ้ามา เขาต้องการตัดชุดนักบวชให้กับนาง ลูกสาวก็ถามว่า “ลูกกำลังจะเป็นแม่ชีทำไมพ่อจึงยังคงเตรียมผ้าเหล่านี้?”
พ่อของนางก็พูดว่า “พ่อกำลังจะตัดชุดแม่ชีให้ลูก”
ลูกสาวก็สั่นหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ลูกมีผ้าผืนนี้ปกคลุมร่างกายก็พอเพียงแล้ว”
พ่อแม่ของนางก็รู้สึกงุนงงและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ก็เลยพานางไปหาพระพุทธเจ้า แน่นอน สุขลาได้ขอร้องให้พระพุทธเจ้าอนุญาตให้นางโกนหัว และอุทิศตนเป็นนักบวช นางพูดกับพระพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าของโลกที่เคารพ เป็นการยากที่จะรักษาร่างกายมนุษย์เอาไว้ ยากที่จะได้ฟังธรรมและพบพุทธะที่มีชีวิตอยู่ ตอนนี้ฉันมีร่างกายมนุษย์ ได้ฟังธรรมะและได้พบพุทธะ ได้โปรดให้ฉันได้โกนศีรษะและอุทิศตนเป็นนักบวชและได้รับการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดด้วยเกิด....และอื่นๆ”
พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร? “ดีมาก ภิกษุ”
พอพระองค์พูดจบ ผมของนางก็หลุดร่วงลงมาในทันที (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) และผ้าที่อยู่บนร่างกายของนางก็เปลี่ยนเป็นจีวร! ช่างสะดวกสบายเสียจริงๆ! แบบนี้เราก็สามารถประหยัดมีดโกนและใบมีดโกนได้ ประหยัดเสื้อผ้าและทุกอย่าง (ทุกคนหัวเราะ) หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็มอบนางให้เป็นลูกศิษย์ของภิกษุณีมหาปราจาปาตีเพื่อสอนธรรมะให้แก่นาง นางมีความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญ และในไม่ช้าก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
พระอานนท์เกิดความอยากรู้อยากเห็นมาก จึงได้ประณมมือคุกเข่าลงและถามพระพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าแห่งโลกที่เคารพ ภิกษุณีสุขลาได้ทำบุญกุศลอันใดไว้ในชาติก่อน จึงทำให้นางเกิดมามีผ้าพันกาย และได้เกิดในครอบครัวอันสูงส่ง รวมทั้งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างรวดเร็ว หลังจากอุทิศตนเป็นนักบวช? ขอพระองค์โปรดบอกให้เราทราบเพื่อว่าเราจะได้เข้าใจได้”
พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ว่า นานมาแล้วมีพระพุทธเจ้าลงมาเกิดยังโลกนี้พระองค์มีชื่อว่าพระวิปัสสิน พระองค์มักจะไปกับลูกศิษย์เพื่อโปรดสรรพสัตว์ ทุกแห่งกษัตริย์ ขุนนางและพลเมืองเคารพพระองค์เป็นอย่างมาก พวกเขาจะถวายของให้พระองค์และจัดให้มีการชุมนุมทางจิตวิญญาณที่ใหญ่โตมากมายให้พระพุทธเจ้า และขอให้พระองค์บรรยายธรรม
ในตอนนั้นมีภิกษุที่มีจิตใจอารีมาก ชอบสร้างบุญสัมพันธ์กับผู้คน ดังนั้นทุกๆ วันท่านจึงออกไปขออาหารจากทุกครัวเรือน และให้ของขวัญที่ให้พรเป็นการตอบแทนแก่พวกเขา ท่านยังได้เทศน์และสั่งสอนธรรมะที่แท้จริงของยูไล (การรู้แจ้งสูงสุด) ให้กับทุกคน
มีหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งครอบครัวยากจนแสนสาหัส นางและสามีของนางมีผ้าเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นเพื่อใช้ปกปิดร่างกายของพวกเขา ถ้าหากสามีของนางออกไปขอทาน นางก็จะให้ผ้าชิ้นนั้นแก่เขา ในขณะที่นางจะไม่มีอะไรสวมใส่อยู่ที่บ้าน ถ้าหากเป็นคราวของภรรยาที่จะออกไปขอทาน สามีก็จะอยู่ที่บ้าน นั่งรออยู่บนกองฟาง
วันหนึ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นไปขอทาน ก็ได้ผ่านบ้านของพวกเขา ภิกษุได้เห็นหญิงสาวและพูดว่า “โอ สาวน้อย! เธอควรจะได้รู้ว่า มันยากที่จะได้ร่างกายมนุษย์ มันยากที่จะได้ฟังธรรมและได้พบพุทธะ.... ตอนนี้มีพุทธะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ซึ่งมักจะเทศน์ธรรมะและคัมภีร์อยู่เสมอ เธอควรที่จะไปที่นั่นและไปฟังธรรม แล้วเธอก็จะได้รับผลบุญอันไม่รู้จบสิ้นอย่างแน่นอน ตอนนี้เธอสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นเพราะเธอใจแคบและตระหนี่และไม่ได้ให้ทานใดๆ มาก่อน ดังนั้น ในขณะนี้เธอจึงกำลังรับผลกรรมนี้อยู่ ถ้าเธอได้ให้ทานในชาตินี้ เธอก็จะได้รับความมั่นคงในอนาคตอย่างแน่นอน”
หญิงสาวคนนั้นรู้สึกดีใจเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ นางได้ขอให้ภิกษุรออยู่ข้างนอก ในขณะที่นางเข้าไปข้างในและพูดกับสามีของหล่อนว่า “ดูสมณะ (หมายถึงภิกษุ) ที่ข้างนอกสิ ท่านได้มาแนะนำให้เราไปพบพุทธะที่มีชีวิตและฟังพระองค์เทศ ท่านยังได้แนะนำให้เราให้ทานเพื่อที่จะได้รับความมั่งคั่งเป็นการตอบแทน ท่านบอกว่า ความจนของเราในชาตินี้เป็นผลมาจากการที่เราไม่ได้ให้ทานและความละโมภไม่มีที่สิ้นสุดของเราในชาติก่อน ชาตินี้เราถึงได้ยากจน ตอนนี้เราควรหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดี เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ในชาติหน้าของเรา”
หลังจากที่สามีของนางได้ฟังนางพูดจบลง ก็พูดขึ้นว่า “เราควรจะทำอะไรล่ะ! เราไม่มีอะไรเลยในบ้านของเรา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราจะมีอะไรกินในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า เราจะสามารถให้ทานอะไรได้ล่ะ?”
อย่างไรก็ตามหญิงคนนั้นก็ยืนกรานต่อไปโดยพูดว่า “ในเมื่อฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะให้ ฉันก็จะต้องให้! ถ้าหากตอนนี้เราไม่ให้ ชาติหน้าเมื่อเรากลับมา เราก็จะต้องทุกข์ยากเหมือนอย่างที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้หรือแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ”
สามีของนางกำลังคิดว่า “โอ! สงสัยภรรยาของฉันคงจะซ่อนทรัพย์สมบัติอะไรบางอย่างไว้เป็นความลับและไม่ได้บอกให้ฉันรู้!” ดังนั้นเขาจึงพูดกับภรรยาของเขาว่า “เอาละ! เธออยากให้ทาน ก็ให้ทานไป! ตามใจเธอ”
ภรรยาของเขาบอกว่า “ตกลง! ในเมื่อเธอยินยอมแล้ว ฉันก็จะเอาผ้าชิ้นนี้ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวเท่านั้นของเรา ถวายให้กับภิกษุรูปนั้น รีบเอามาให้ฉันเร็วๆ!”
ในตอนนั้นสามีของนางก็เริ่มแสดงความรู้สึกวิตกกังวล พูดว่า “โอ้ ไม่ได้หรอก! เราทั้งสองต้องพึ่งพาผ้าชิ้นนี้เพื่อออกไปขอทาน นับจากนี้ไปเราจะทำอย่างไร ถ้าหากเธอถวายมันให้กับภิกษุ? เราจะนั่งอยู่ที่นี่และพากันอดตายอย่างนั้นหรือ?”
ภรรยาของเขาจึงบอกเขาว่า “ไม่ช้าไม่นานเราก็จะต้องตาย ไม่ว่าเราจะให้ทานหรือไม่ให้ เพราะฉะนั้น ทำไมเราจึงไม่ให้เสียตอนนี้ล่ะ เพื่อว่าหลังจากที่เราตายไปแล้ว จะได้มีผลบุญเก็บไว้สำหรับอนาคตของเรา?”
สามีคนนี้ได้ยินภรรยาของเขาพูด รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาจึงพูดด้วยความชอบใจว่า “ตกลง! ตกลง! ตกลง! งั้นเธอก็เอาผ้าชิ้นนั้นถวายให้กับท่านก็แล้วกัน”
ก่อนที่ภรรยาจะเอาผ้าออกไปข้างนอกเพื่อให้ทาน นางก็ได้ขอให้ภิกษุปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้าน มันจะเป็นสิ่งที่อับอายขายหน้าที่จะถูกเห็นโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ หลังจากที่นางได้ถวายของไปแล้ว
นางพูดว่า “ท่านผู้ทรงคุณธรรม ได้โปรดกรุณาปีนขึ้นมาบนหลังคาบ้านได้ไหม? ฉันมีสิ่งหนึ่งที่จะถวายให้ท่าน”
ภิกษุรู้สึกงุนงงมาก “ถ้าหากเธอจะให้ของอะไรกับฉัน ก็มาทำที่นี่สิ ทำไมเธอจึงขอร้องให้ฉันปีนขึ้นไปบนหลังคาด้วยล่ะ?”
ผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “ได้โปรดเข้าใจด้วยเถิด ท่านผู้ทรงคุณธรรม สามีของฉันและฉันมีเพียงผ้าผืนนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น ซึ่งเรากำลังจะถวายให้ท่าน หลังจากที่เราให้ท่านแล้ว มันก็จะไม่สุภาพเป็นอย่างมาก ที่เราจะเผชิญหน้าท่านโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าอันใด ถ้าหากท่านอยู่บนหลังคาในขณะที่ฉันซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ท่านก็จะไม่รู้สึกขุ่นเคือง เมื่อท่านลงมาจากหลังคาหลังจากที่รับทานแล้ว”
ภิกษุขึ้นไปบนหลังคา ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในบ้านและล็อกประตู จากนั้นนางก็เปิดหน้าต่าง และโยนผ้าชิ้นนั้นขึ้นไปบนหลังคาเพื่อเป็นของถวายให้กับภิกษุ ภิกษุรู้สึกชื่นชมและรับของถวายที่จริงใจของสามีภรรยาคู่นั้น แม้ว่าผ้าผืนนั้นจะเก่าสกปรกและไม่มีค่า แต่ท่านก็รับไป จากนั้นท่านก็ให้พรสองสามีภรรยา และนำผ้ากลับไปถวายพระพุทธเจ้า ทันทีที่ท่านกลับมายังที่ที่วิปัสสินพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าก็ถามภิกษุทันทีว่า “ภิกษุ เอาผ้าชิ้นนั้นมาให้ฉันสิ”
พระภิกษุตระหนักได้ว่าพระพุทธเจ้าทราบในเรื่องนั้น จึงพูดว่า “ขอท่านได้โปรดรับความจริงใจของสองสามีภรรยาคู่นี้ด้วยเถิด!”
หลังจากที่วิปัสสินพุทธเจ้ารับผ้าผืนนั้นไปแล้ว พระองค์ก็มองดูมันอย่างอ่อนโยน ในเวลานั้นพระองค์กำลังแสดงเทศน์ต่อกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากซึ่งมีทั้งกษัตริย์ เสนาบดี ทหาร พวกผู้ดีที่ร่ำรวยและประชาชนทั่วไป ทุกคนเคารพและตั้งใจฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า ในทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นพระพุทธเจ้าถือผ้าผืนหนึ่งซึ่งเก่าและดำ คล้ายกับผ้าขี้ริ้ว และพระองค์ก็จ้องมองดูมัน ทุกคนรู้สึกว่ามันประหลาดมากและรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าอ่านใจของทุกคนออก จึงได้บอกพวกเขาว่า “ในบรรดาผู้ให้ทานทั้งหลายในกลุ่มผู้ชุมนุมนี้ ฉันไม่พบว่ามีผู้ใดที่จะล้ำเลิศยิ่งกว่าบุคคลซึ่งเพิ่งได้ถวายผ้าชิ้นนี้ให้แก่ฉัน”
เมื่อได้ฟังถ้อยคำของพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจ พระราชินีถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายของพระองค์ออกทันที รวมทั้งเครื่องประดับและอัญมณีและอื่นๆ จากนั้นกษัตริย์ก็ถอดเสื้อผ้าของพระองค์ออกและมอบเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวพระองค์ รวมทั้งเงินของข้าราชบริพารของพระองค์ จากนั้นพระองค์ก็ส่งคนไปพร้อมกับสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ เพื่อไปเชิญคู่หนุ่มสาวที่ยากจนคู่นี้ให้รับของถวายของพวกเขาและมาร่วมในงานชุมนุมของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาทราบว่าหนุ่มสาวคู่นี้ไม่มีอะไรสวมใส่ พวกเขาจึงถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของพวกเขาให้หนุ่มสาวคู่นี้ ในเวลานั้นวิปัสสินพุทธเจ้าจึงได้ถือโอกาสนี้ขยายความอธิบายให้ทุกคนทราบถึงเรื่องบุญกุศลของการให้ทานเพื่อที่จะเตือนทุกคนในเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียวและผลกรรมของความโลภ
พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ย้ำเตือนพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอควรจะตระหนักว่า ผู้หญิงที่สิ้นเนื้อประดาตัวก็คือภิกษุณีสุขลาในขณะนี้ เนื่องจากการถวายที่บริสุทธิ์และจริงใจของนาง ไม่ว่านางจะเกิด ณ ที่ใดใน ๙๑ กัลป์ต่อมา นางก็จะมีผ้าชิ้นหนึ่งห่อหุ้มร่างกายของนางไว้เสมอ อีกทั้งนางจะมีชีวิตที่ร่ำรวย สุขสบาย และมีความสงสุขอยู่เสมอ นางสามารถพบฉันได้และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะนางได้ฟังเทศนาของพุทธะที่มีชีวิต และตั้งใจที่จะได้บรรลุการหลุดพ้น พวกเธอควรที่จะถือเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่จะบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งและกระตือรือร้นที่จะให้ทาน”
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้เทศนาเรื่องนี้แล้ว คนเป็นจำนวนมากก็ตกลงใจที่จะถวายของและให้ทาน ทุกคนรู้สึกพึงพอใจและเต็มไปด้วยความรื่นเริงใจในธรรมะ
พวกเธอมีข้อสงสัย มีความเห็นหรือมีอะไรที่จะวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม? พวกเธอได้ตกลงใจที่จะให้ทานหรือถวายอะไรบางอย่างหรือเปล่า? ในการชุมนุมครั้งนั้น ทุกคนตัดสินใจที่จะให้ทานเพื่อว่าพวกเขาทั้งหมดจะได้บรรลุความเป็นอรหันต์ได้! พวกเธอไม่รู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับผ้าชิ้นนี้หรอกหรือ? ผ้าชิ้นนี้ อันที่จริงแล้วเป็นของคน ๒ คน ถูกต้องไหม? บังเอิญในตอนนั้นนางสวมมันอยู่พอดี ก็เลยนำออกมาถวาย ด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้นางได้รับผ้าเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ การถวายผ้าที่สกปรก ทำให้นางได้รับผ้าสีขาวเป็นการตอบแทน และต่อมาในภายหลังยังได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย เรื่องนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
เนื่องจากผ้านั้นเป็นของทั้งสามีและภรรยา แล้วทำไมเฉพาะภรรยาเท่านั้นจึงได้รับผลบุญกุศล? เราไม่ได้ยินว่าสามีได้รับประโยชน์อันใด เป็นเพราะภรรยาเป็นผู้ริเริ่มที่จะถวายทาน ในขณะที่สามี ในตอนแรกไม่ต้องการที่จะถวาย เขาเพียงแต่เปลี่ยนความคิดในเวลาต่อมา! ความเต็มใจของเขาค่อนข้างที่จะช้าไปสักหน่อย (ทุกคนหัวเราะ) เพราะฉะนั้น ถ้าเธอต้องการทำสิ่งใด เธอควรที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็วและทำอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้รางวัลที่ดีที่สุด
เพียงแค่การถวายอย่างจริงใจให้กับลูกศิษย์ของพุทธะที่มีชีวิต นางก็มีผ้าสีขาวห่อหุ้มร่างกายในแต่ละครั้งเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ (กัลป์สามารถเท่ากับจำนวนปีเป็นพันๆ ล้านปี) และได้เกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่งอยู่เสมอ ในที่สุดนางก็ได้พบพุทธะที่มีชีวิตและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เร็วจนแม้กระทั่งพระอานนท์ก็เทียบหล่อนไม่ติด พระอานนท์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้จากไปแล้วเท่านั้น ในขณะที่ภิกษุณีผู้นี้ได้บรรลุภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนหลังจากการประทับจิต
อย่างไรก็ตามเธอคิดว่ามันดีไหมที่จะให้ทาน (ผู้ฟัง : มันไม่ใช่เป็นสิ่งสูงสุด) ไม่ใช่เป็นสิ่งสูงสุด! เวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพียงเพื่อผ้าชิ้นนั้น นับว่าแย่จริงๆ! อันที่จริงแล้ว ถ้าหากนางไม่ได้ให้ทานในตอนนั้นแต่ขอการหลุดพ้น นางก็คงจะได้รับการหลุดพ้นในชาติเดียว นางจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้บุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ในภายหลังต่อมา โชคไม่ดีที่นางไม่ได้ขอการหลุดพ้นสูงสุดในขณะที่นางให้ทาน นางให้ทานเพราะนางต้องการชีวิตในอนาคตที่มั่งคั่งกว่า
เป็นความผิดของใคร? เป็นความผิดของนางหรือ? ไม่! มันเป็นความผิดของภิกษุที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เพราะท่านไม่ได้บอกนางถึงธรรมวิถีสูงสุด ท่านเพียงแต่แนะนำนางให้ทราบถึงบุญกุศลภายในไตรภูมิ เขาเพียงพูดว่าถ้าเธอให้ทานก็จะได้รับบุญเป็นการตอบแทนซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความโลภให้กับพวกเขา ถ้าหากเขาได้บอกผู้หญิงคนนั้นว่า “ตอนนี้เธออาจจะยากจน แต่ก็ไม่เป็นไรนะ มีพุทธะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ถ้าหากเธอติดตามพระองค์เพื่อปฏิบัติบำเพ็ญและตั้งใจที่จะได้รับการหลุดพ้นอาณาจักรแห่งสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติสารพัดอย่าง เธอจะสามารถได้อะไรก็ตามที่เธอต้องการหลังจากหลุดพ้นแล้ว ไม่ว่าเธอจะร่ำรวยแค่ไหน ตราบใดที่เธอยังอยู่ในโลกนี้ มันก็จะไม่ดีไปกว่าในสวรรค์หรือยิ่งใหญ่ไปกว่านิพพาน”
มันจะไม่ดีกว่านี้หรือถ้าเขาได้พูดแบบนี้? ด้วยเหตุนี้อาจารย์ถึงไม่เน้นการให้ทาน ด้วยความกลัวว่าความโลภในทรัพย์สมบัติจะเกิดขึ้นในตัวเธอ ไม่ว่าที่ไหนที่ฉันไป ฉันก็จะไม่เน้นการให้ทาน แม้ถ้าฉันเคยเน้น ฉันก็จะรวมเอา – ความอดทนต่อการดูถูก ความขยันหมั่นเพียร สมาธิและปัญญาเข้าไว้ด้วย ฉันจะพูดว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้นและไม่สำคัญ ฉันได้บอกเธอเสมอว่าการให้ทานนั้นไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่เพราะเรามามือเปล่า และอีกหน่อยก็จะจากไปมือเปล่า เราเป็นหนี้โลกนี้มากมาย แม้เมื่อเราให้คนอื่นนิดหน่อย ก็เป็นเพียงแค่การใช้หนี้ของเรา เธอไม่สามารถนับได้จริงๆ หรอกว่านี่คือการให้ทาน
ดังนั้นจากเรื่องนี้ เราจึงสามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างธรรมวิถีสูงสุดและธรรมวิถีธรรมดาได้ ธรรมวิถีธรรมดาจะแนะนำคนให้ทำบุญเพื่อผลบุญที่จะตอบแทนในอนาคต... และอื่นๆ และค่อยๆ ไปสู่นิพพานอย่างช้าๆ ๙๑ กัลป์! อมิตาพุทธ! เธอรู้หรือเปล่าว่า ๙๑ กัลป์นั้นยาวแค่ไหน? เราไม่สามารถที่จะทนกับ ๙๑ ชาติได้ ไม่ต้องพูดถึง ๙๑ กัลป์หรอก ทุกครั้งที่เธอเกิดมา ไม่ว่าเธอจะร่ำรวยแค่ไหน เธอก็จะต้องพบกับการเกิด ความชรา ความเจ็บป่วยและความตาย เราเจ็บปวดทุกครั้งที่เราเกิดมา เจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเราแก่ตัวลง เมื่อเราเจ็บป่วย และเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเมื่อเราพบกับความตายและการพลัดพรากจากกัน ระหว่างการเกิดและการตายก็ยังคงมีความไม่ยุติธรรมอยู่มากมาย มีความทุกข์ที่สาหัสหรือเบาบางกว่า มีอารมณ์ที่ไม่ได้คาดคิดมากมายและการประสบพบกับสภาพเลวร้าย มันไม่คุ้มเลยจริงๆ ที่จะมีชีวิตอยู่ ๙๑ กัลป์ในลักษณะแบบนี้
ถ้าหากปัญญาในสมองของเธอไม่ปรากฏขึ้นมาและไม่ได้คิดในทิศทางของการหลุดพ้นสูงสุด เช่นนี้แล้วเธอบำเพ็ญอะไรก็จะไม่มีประโยชน์อันใด จะมีดีอะไรถ้าเธอเพียงแต่อยู่ภายในไตรภูมิ!? เป็นกษัตริย์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน – มีเกิด ชรา เจ็บป่วย และตาย ปวดหัวแบบเดียวกันและมีความกลัดกลุ้มทางโลกเป็นกองพะเนิน ดังนั้นเธอควรที่จะรู้ไว้ด้วยว่า ธรรมวิถีสูงสุดนั้นแตกต่างจากธรรมวิถีธรรมดาเหล่านั้นที่อยู่ภายในไตรภูมิ วัตถุประสงค์อะไรก็ตามที่เรามีในความคิดของเรา เราก็จะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น อะไรก็ตามที่เราต้องการจริงๆ ในใจของเรา ดวงวิญญาณของเรา ปัญญาของเรา จะทำให้เราได้รับในสิ่งนั้นไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อผู้หญิงที่ยากจนคนนั้นให้ทาน นางไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า นางเพียงแต่ได้ยินภิกษุพูดว่า การให้ทานจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งเป็นการตอบแทน ทางเลือกที่ดีกว่าไม่ได้ถูกเสนอให้กับนาง นางได้ยินถ้อยคำเรื่องการให้ทานและผลตอบแทนที่มั่งคั่งจากภิกษุ ดังนั้นนางจึงคิดว่ามันดีและจะต้องเป็นสัจธรรม ดังนั้นนางจึงเชื่อภิกษุทันที และตั้งสัตย์อธิษฐานเช่นนั้น เธอจะต้องรู้ว่านางรวบรวมพลังทั้งหมดของนาง ความคิดของนาง คำพูดและการกระทำเข้าไปไว้ในคำอธิษฐานของนางในขณะนั้น ดังนั้นนางจึงต้องกลับมาเพื่อมารับผลบุญของนางเป็นเวลา ๙๑ กัลป์
ภิกษุที่มีบุญญานิสงส์และมีการบำเพ็ญที่ดีเป็นผู้พูดข้อความนี้ ดังนั้นคำพูดของท่านจึงมีพลังและสามารถทำให้เกิดผลได้ เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนั้นได้ยินเรื่องดีเช่นนี้ หล่อนได้รับความทุกข์ยากมาตลอดทั้งชีวิต ตอนนี้ได้มีหนทางที่ดีที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากในชาติหน้าของนาง แน่นอน นางก็จะต้องใช้ทั้งกายและใจเพื่ออธิษฐานขอสิ่งนั้น
เธอไม่สามารถที่จะรวมการกระทำ คำพูดและความคิดทั้งหมดของเธอไปที่สิ่งๆ เดียวได้เสมอ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นแล้วเธอจะใช้พลังงานทั้งหมดของเธอให้หมดไปกับสิ่งที่เธออธิษฐาน แม้ถ้าในภายหลังนางเกิดได้พบพุทธะขึ้นมา มันก็จะสายเกินไปเสียแล้ว พลังงานทั้งหมดของนางได้ถูกใช้ให้หมดไปในคำอธิษฐานครั้งก่อนที่ได้อธิษฐานขอผลบุญในชาติหน้าของนาง ดังนั้นนางจึงต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพื่อรับสิ่งที่อธิษฐานนั้น โชคดีที่นางได้พบพระพุทธเจ้าและได้ตื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตามนางก็มีพลังวังชาเหลืออยู่น้อยมากในขณะนั้น ดังนั้นนางจึงต้องกลับชาติมาเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ เธอก็ได้เห็นแล้วสินะว่าเราสามารถทำอันตรายผู้คนในลักษณะนี้ได้อย่างไร?
ในคัมภีร์ทางศาสนาพุทธได้กล่าวไว้ว่าผู้ที่ให้ทานจะต้องบริสุทธิ์ในความตั้งใจของเขา รู้สึกมีความสุขและไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ ผู้ที่รับทานก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน - ไม่มีความปรารถนา รู้สึกมีความสุขที่ได้รับและมีความบริสุทธิ์ ด้วยวิธีนี้ ทั้งสองก็จะได้รับผลบุญ ทั้งคนที่ให้ทานและคนที่รับทานควรที่จะเป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะ ผู้หญิงคนนั้นจึงต้องกลับมาชาติมาเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ ก่อนที่นางจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ต้องรอเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพื่อที่จะได้รับการหลุดพ้น! น่ากลัวจัง! ไม่ได้รับผลบุญอะไรแม้แต่นิดเดียว! ๙๑ กัลป์ก็เท่ากับไม่ต้องปฏิบัติบำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว
นางก็ได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว แต่นางก็ต้องรอเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ก่อนที่จะได้รับการหลุดพ้น เดิมทีแล้วเธอสามารถได้รับการหลุดพ้นทันทีที่เธอได้พบพระพุทธเจ้า หลุดพ้นได้ในชาติเดียว ปัญหาก็คือนางได้พบกับลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าก่อนและได้รวบรวมพลังทั้งหมดของนางไปที่คำอธิษฐานนั้นโดยที่ไม่รู้ว่ามีวิธีการที่ดีกว่า
ดังนั้นเมื่อเธอออกไปเทศนาสั่งสอนคนอื่น อย่าได้พูดถึงสิ่งที่เหลวไหลเหล่านั้น อย่าได้กระตุ้นความโลภของพวกเขาหรือความปรารถนาทางวัตถุภายในไตรภูมิของพวกเขา ดีที่สุดคือเธอควรที่จะชักชวนพวกเขาให้มุ่งสู่การหลุดพ้นทันที ถ้าเขาไม่ฟังก็ไม่เป็นไร เขาสามารถได้รับผลบุญอย่างอื่นจากที่ต่างๆ และคนอื่นสามารถแนะนำธรรมวิถีต่างๆ ให้เขาได้ เราอย่าไปแนะนำคนให้ทำสิ่งเหลวไหลเหล่านั้น
“ค้นหาอาณาจักรแห่งพระเจ้าก่อน แล้วเธอจะมีทุกอย่าง” มันเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ ทั้งหมดก็มีแต่แนะนำคนให้ทำเรื่องเล็กๆ เหล่านั้นและให้ได้ผลบุญเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเป็นการตอบแทน จะมีประโยชน์อะไรกัน? มีแต่จะทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีใครที่แนะนำคนอื่นให้ทำทานเพื่อผลบุญในอนาคตในชาติอื่นแล้วละก็ คนเหล่านั้นกำลังทำอันตรายอันยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อต่อผู้อื่น กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจเสียเหลือเกินและยกยอตัวเอง คิดว่าตัวเองนั้นช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ
เรื่องนี้นับว่าน่ากลัวจริงๆ พวกเขาได้สร้างกรรมขึ้นมาซึ่งพวกเขาไม่รู้ตัวและยังคงยกยอตัวเองในเรื่องนี้ ถ้าหากตัวเขาเองให้ทานและเวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ด้วยตัวของเขาเองแล้วละก็ เราก็ไม่มีอะไรที่จะพูด อย่างไรก็ตาม ถ้าเขานำผู้คนทั้งหมด ผู้คนเป็นล้านๆ พันๆ ล้านคนให้ทำสิ่งเดียวกันนี้เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์และผลบุญในชีวิตในภายภาคหน้าของพวกเขา นั่นก็นับว่าน่ากลัวจริงๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกเขาขัดขวางคนจากการได้รับการหลุดพ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณก็คือการได้รับแนวความคิดที่ถูกต้องและได้รับธรรมวิถีที่ถูกต้อง หลังจากนั้น การที่เรามีชีวิตธรรมดาๆ ก็นับว่าเป็นการดีพอเพียงแล้วสำหรับเรา แนวความคิดที่ไม่ถูกต้องและธรรมวิถีที่ไม่ถูกต้องจะนำความยุ่งยากมาให้...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.com
9 พฤษภาคม 2554 09:13 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิไห่
เน่ยหู ไทเป ฟอร์โมซา
๒๗ กันยายน ๒๕๒๘
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีผู้หนึ่งซึ่งหลงรักภรรยาของตนเป็นยิ่งนัก พวกเขาไม่เคยแยกจากกัน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ภรรยาของเขาต้องกลับบ้านไปเยี่ยมบิดามารดาของหล่อน แล้วเมื่อเวลากลางคืน เขาคิดถึงหล่อนมากเหลือเกิน จนเขาได้วิ่งตามหล่อนไปที่บ้านของบิดามารดาหล่อน สถานที่แสนจะมืดมิด และเวลาก็ดึกดื่น จนทั้งบ้านปิดหมดแล้ว ประตูก็ปิด กำแพงก็สูงยิ่งนัก เขามิอาจเข้าไปในบ้านได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบบ้าน ท้ายที่สุดก็พบเชือกเส้นใหญ่
เชือกเส้นนั้นผูกติดอยู่บนกำแพง ปลายห้อยมาถึงพื้น เขาจึงโหนเชือกแล้วปีนขึ้นสู่ชั้น ๒ เขาจึงได้เห็นภรรยาของเขา ภรรยาของเขาประหลาดใจเป็นยิ่งนัก และกล่าวว่า “ท่านเข้ามาได้อย่างไร?” ฝ่ายสามีก็ตอบว่า “ฉันปีนเชือกที่เธอผูกไว้ให้ฉันขึ้นมา นั่นเป็นวิธีที่ทำให้ฉันมาเยี่ยมเธอได้ เธอไม่ทราบหรอกหรือ? ฉันนึกว่า เธอทราบว่า ฉันจะมา เธอจึงผูกเชือกไว้ให้ฉัน!”
หล่อนกล่าวว่า “โอ ไร้สาระ! ฉันไม่ทราบหรอกว่าท่านจะมาในเวลาเช่นนี้!” ดังนั้นสามีจึงกล่าวว่า “หากเธอไม่เชื่อฉัน ก็ลงมาดูได้!” จากนั้นเขาทั้งสองจึงลงไปดูเชือก แล้วก็เห็นว่ามันหาได้ใช่เชือกไม่ แต่เป็นงูตัวใหญ่ห้อยลงจากกำแพง อย่างไรก็ตาม ด้วยที่มันมืด เขาจึงไม่สังเกตเห็น และด้วยความรักอันหน้ามืดตามัวของเขานี้นั้น เขาจึงเข้าใจว่าเป็นภรรยาทำไว้ให้ แต่เขาเกือบได้ฆ่าตนเองไปเสีย!
ภรรยาจึงกล่าวกับเขาว่า “โอ พระแม่เจ้า! ท่านช่างรักฉันมากเหลือ! แต่ฉันจะให้อะไรกับท่านได้? หากเพียงท่านรักพระเจ้ามากเท่าที่ท่านรักฉันด้วยความรักแบบเดียวกันนี้ ท่านก็คงจะหามันพบ หากท่านรักการรู้แจ้งมากเพียงนี้ หากท่านรักพระเจ้ามากเพียงนี้ ท่านก็คงจะพบพระเจ้าและกลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว! แต่ด้วยความรักที่ท่านให้ฉัน ท่านจะได้สิ่งใดมา? ไม่ได้อะไรเลย!” ทันใดนั้น ผู้เป็นสามีก็เกิด “รู้แจ้ง” ดวงตาของเขาถูกเปิด แล้วด้วยงูตัวเดิม เขาปล่อยตัวลงสู่พื้นอีกครั้ง แล้วก็วิ่งหนีไป ไม่กลับมาพบภรรยาของเขาอีกเลย! หลังจากนั้น แน่นอน เขากลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่และได้รับการรู้แจ้ง
เธอเห็นไหม ทุกสิ่งอื่นๆ ในโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เธอดูแลภรรยา ดูแลลูก ดูแลสามี แต่เธอมิได้ดูแลตัวเธอเอง อย่างไรก็ตาม “ตัวเธอเอง” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด! จะมีอะไรดีกับการเฝ้าดูแลทั้งครอบครัวแล้วสูญเสียตนเองไป?
เราไม่ควรทิ้งครอบครัวของเราไป เราควรดูแลครอบครัวของเราเช่นกัน แต่เราต้องดูแลตัวเราเอง ต้องค้นพบตนเอง ค้นพบว่าเราคือใคร และว่าเราถูกกำหนดให้ทำอะไรในโลกนี้ หากเธอไม่ทราบ หลังจากเธอตายไป เธอก็จะไม่มีสิ่งใด...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.Godsdirectcontact-thai.org
www.SupremeMasterTV.com
9 พฤษภาคม 2554 08:24 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซันตี้เหมิน ผิงตง ฟอร์โมซา ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๕
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ถ : ฉันมีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นคำถามเชิงทฤษฎีล้วนๆ แต่ฉันวนเวียนอยู่กับมันมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ฉันเข้าใจด้วยความคิดว่า เราไม่มีตัวฉัน ความรู้สึกของเราไม่ใช่เรา และความคิดของเราก็ไม่ใช่เรา และอื่นๆ ดังนั้นอะไรคือสิ่งที่ดำรงสืบทอดจากการเกิดชาติหนึ่งๆ ไปสู่อีกชาติหนึ่ง และอะไรก่อให้เกิดกรรมและเก็บสะสมกรรมไว้ และอะไรก่อให้เกิดบุญและเก็บสะสมบุญ? เป็นความคิดของเราหรือเปล่า?
อ : เป็นความคิดของเราและดวงวิญญาณของเราที่ยึดติดอยู่กับความคิดนั้นๆ ตัวอย่างเช่น หากรถวิ่งผิดปกติไป และคนขับไม่รีบกระโดดออกไปจากรถเขาก็จะเสร็จเรียบร้อยไปพร้อมกับตัวรถ หากเขากระโดดออกมาทันเวลา หากเขาไม่ยึดติดกับรถจนพยายามกู้รถคันนั้นไว้ เขาก็อาจกู้ชีวิตของตนไว้ได้ มีคนบางคนรักรถมากกว่าชีวิตของตนเอง นั่นเป็นปัญหาเดียวกันกับพวกเราส่วนมาก เราจะรักที่จะสะสมขยะของเรามากกว่าดวงวิญญาณของเรา รักมันมากกว่าตัวตนแท้จริงของเรา เราจะติดต่ออยู่เสมอกับโลกภายนอก กับการเก็บรวบรวมความคิด กับความคิดเบี่ยงเบนทั้งหลายแหล่ กับเรื่องไร้สาระมากมายหลายประเภท แต่เรามิได้ติดต่ออยู่กับพระผู้เป็นเจ้าแท้จริงของเรา กับตัวตนแท้จริงของเรา ดังนั้นเราจึงมีแต่ปัญหา
ฉันจะพยายามอธิบายเพิ่มเติม ในชีวิตของเธอนั้น ทราบไหมว่า ใครเป็นผู้มีชีวิตอยู่ในขณะนี้? มันคือตัวรับรู้ คือตัว “ฉัน” ที่แท้จริง ซึ่งมีชีวิตอยู่โดยผ่านสื่อรับรู้ต่างๆ เช่น มือ เท้า ดวงตา หู ปาก ความรู้สึก และสมอง เป็นฉะนี้ และหากตัว “ฉัน” ซึ่งคือตัวรับรู้นี้คอยติดอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้ กับการคิดแบบนี้ กับข้อมูลนี้แล้วนั้น เมื่อนั้นตัว “ฉัน” ก็จะไม่สามารถเป็นอิสระได้จากความรู้สึกต่างๆ จากการคิด จากความคิดอันสั่งสมมาของสังคม ซึ่งสังคมคิดไปเองตามสภาพแวดล้อม ตามความเคยชิน เมื่อนั้น แน่นอน ตัวรับรู้แท้จริงนั้น ตัว “ฉัน” แท้นั้นก็จะต้องกลับมาอีก แต่หากตัว “ฉัน” แท้นี้เข้าใจเสมอว่าตัวมัน ตัว “ฉัน” แท้ ตัวรับรู้แท้จริงนั้นเป็นเพียงประจักษ์พยานของความรู้สึกเหล่านี้ ของการคิดเหล่านี้ ของความคิดสั่งสมทั้งมวลเหล่านี้แล้วนั้น เมื่อนั้นตัว “ฉัน” นี้ก็จะไม่มีวันติดอยู่กับความรู้สึกหรือความคิดเหล่านี้ และจะเป็นอิสระเสมอไป ดังนั้นเมื่อเขาจะตาย เขาทราบอย่างถ่องแท้ว่า เขาไม่ใช่ความรู้สึกเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งผูกมัดเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมนี้ ไม่ใช่ความคิดเหล่านี้ และเขาก็เป็นอิสระ เขาจะก้าวมั่นกลับสู่ตัวรวมทั้งหมด สู่แม่น้ำแห่งชีวิตทั้งสาย และไม่ไปติดค้างอยู่ในมุมของสิ่งที่เรียกกันว่า ความคิด ความรู้สึก ความเกลียดชัง และความรัก ดังนั้นเราจะต้องปลุกความรู้ตัวของเราให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ดึงมันกลับมา และคอยเตือนมันอยู่ตลอดเวลาว่า “เธอไม่ใช่ความรู้สึกนี้ เธอไม่ใช่ความคิดนี้ เธอไม่ใช่สิ่งนี้ และเธอไม่ใช่สิ่งนั้น” เข้าใจไหม? ไม่มีสิ่งใดที่เป็นเธอ!
ถ : ในเรื่องของความเจ็บปวดก็เป็นเช่นเดียวกันหรือไม่?
อ : ถูกต้องแล้ว เพราะมันเป็นร่างกายที่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เส้นประสาทจะรู้สึกถึงความเจ็บปวด เพราะเส้นประสาทถูกสร้างไว้ให้รู้สึกสิ่งต่างๆ ตัวรับรู้จะเพลินใจกับความรู้สึกเหล่านี้และเพลินใจกับการรับทราบสิ่งต่างๆ ภายนอก มิฉะนั้นแล้ว เราจะรับรู้ได้อย่างไร? มันคือการที่ตัวรับรู้ประสบกับความรู้สึกถึงความเจ็บปวดผ่านร่างกาย แต่ตัวรับรู้เองนั้นไม่เคยมีความเจ็บปวด! หากเธอรับประทานผลแอปเปิ้ล ก็จะเป็นผลแอปเปิ้ลซึ่งมีรสหวาน มิใช่ลิ้นของเธอที่หวาน มิใช่เธอที่หวาน! ความหวานมิใช่เธอ แต่มันมาจากผลแอปเปิ้ล เธอเป็นเพียงผู้เพลิดเพลินใจกับความหวานนั้น ในทำนองเดียวกัน เราเองตัวรับรู้นั้นก็จะเพลินใจกับความสุข รับทราบถึงความเจ็บปวด และปฏิเสธในสิ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็ไม่สลักสำคัญอะไร เธออาจเพลินใจกับมันหรือไม่ก็ปฏิเสธมัน เธออาจเรียนรู้ถึงสิ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ หรือถึงสิ่งซึ่งเพลิดเพลินใจ แต่ก็มีอยู่แค่นั้น เธอมิได้เป็นตัวน่าพึงพอใจหรือตัวไม่น่าพึงพอใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสถานการณ์ต่างๆ เท่านั้น
ดังนั้น ทำไมเธอจึงจะมัวมาติดอยู่ตรงนั้น แล้วถูกผูกมัดอยู่ชาติแล้วชาติเล่า? เป็นเพราะเธอยังรู้สึกไม่พึงพอใจ เธอจะต้องทราบว่า สิ่งเหล่านี้อยู่เพียงแค่ชั่วคราว วันนี้มันมา พรุ่งนี้มันก็ไป โอเค ก็มีอยู่แค่นั้น ถ้าฉันมีความสุข ฉันก็จะสุขไปกับมัน ถ้าฉันประสบสิ่งซึ่งไม่น่าสุขสบายใจ ฉันก็จะอดทน ก็มีอยู่แค่นั้น เมื่อฉันจากไปแล้ว ฉันก็ไปแล้ว เมื่อฉันไม่มีสิ่งเหล่านั้น ก็คือฉันไม่มี มิฉะนั้นแล้ว หากเรา ตัวรับรู้นั้น คอยไล่ตามความสุข เราก็จะกลับชาติมาเกิด ตัวรับรู้จะพยายามคอยจับความรู้สึกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ แล้วมันจะพยายามจับตนเองเข้าไปอยู่ในกรอบอีกครั้งหนึ่ง แล้วเพลิดเพลินใจไปกับมัน หรือไม่ก็มีความทุกข์ ด้วยคอยแต่ยึดเกาะอยู่กับความรู้สึกหวานหรือขมนี้อยู่ตลอดเวลา คอยแต่ไล่ตามมันไป
หากใครให้ผลแอปเปิ้ลกับเธอ แล้วเธอรับประทานมันลงไป โอ เธอชื่นชอบมันเป็นยิ่งนัก! แต่แล้วเธอไม่มีผลอื่นอีก เธอจึงเที่ยวไปทุกหนแห่งเพื่อเสาะหาแอปเปิ้ลอีกสักผลหนึ่ง ทุกๆ วัน ความคิดของเธอได้แต่กล่าวว่า “แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล!” เธอไม่เป็นอันทำสิ่งอื่นใด แล้วเธอก็เสียศูนย์ไป เธอเสียศูนย์ไปเพราะความหวานของแอปเปิ้ล ในชีวิตของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน ตัวรับรู้จะคอยไล่ตามสิ่งน่าพึงพอใจและรังเกียจสิ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ แล้วเราก็จะติดชะงักอยู่ตรงนั้น ตัวรับรู้ไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากความรู้สึกเหล่านี้ได้ ดังนั้นเราจึงถูกผูกมัด เราไม่หลุดพ้น หากเราทราบอยู่ทุกชั่วขณะ โดยเฉพาะ ณ เวลาแห่งความตายว่าเรามิใช่ความรู้สึกนี้ เราไม่สนใจความรู้สึกนี้ และว่าเราจบแล้วกับความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อนั้นเราก็จะเป็นอิสระ เราเป็นอิสระอยู่เสมอ! เราไม่เคยไร้อิสระ (ผู้ชมปรบมือ)
ดังนั้นจงร้องไห้เมื่อเธอต้องการ และหัวเราะเมื่อเธอพอใจ แต่จงเข้าใจว่าการร้องไห้และหัวเราะนั้นมิใช่ตัวเธอ เธอเพียงประสบ รับรู้มัน เพื่อจะได้รู้สิ่งต่างๆ เพื่อจะได้มีตัวตน มิฉะนั้นแล้วเธอจะไม่มีตัวตน มิฉะนั้นแล้วโลกก็จะไม่มีตัวตน เรามักจะกล่าวว่า โลกนี้เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ และไม่ควรมีตัวตนอยู่ แต่ทำไมมันจึงไม่ควรมีตัวตนอยู่ด้วยเล่า ถ้าไม่มีมัน ก็คงน่าเบื่อด้วย จะไม่มีอะไรให้ทำ และเธอก็จะได้แต่เพลิดเพลินใจอยู่ตลอดเวลา “โอ ฉันเป็นนี่ ฉันเป็นนั่น (ผู้ชมหัวเราะ) ฉันเป็นพระเจ้า ก็มีอยู่แค่นั้น ฉันเป็นพระเจ้าผู้มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง แล้วฉันก็ทราบดี! ฉันไม่มีความทุกข์ ไม่มีอะไรสักอย่าง ฉันปลื้มสุขอยู่ตลอดเวลา” แล้วอย่างไรล่ะ? ไม่ต้องมาใส่ใจกันเรื่องนิพพาน จะใส่ใจไปทำไมกัน? ถ้าเธอมีความสุขอยู่ทุกวัน จะสนใจมันไปทำไม?
แต่เป็นเพราะเธอยังคงปรารถนาในนิพพาน ดังนั้นจงพยายามเพื่อให้ได้มันมา จงพยายามจนกระทั่งเธอไม่ปรารถนามันอีกต่อไป จนกระทั่งเธอเหนื่อยใจกับมัน แล้วเธอก็จะเป็นอิสระ (ท่านอาจารย์และผู้ชมหัวเราะ) ฉันเพียงต้องการให้เธอพยายามให้ได้มาซึ่งนิพพาน เพราะฉันต้องการให้เธอทราบว่า เธอไม่จำเป็นต้องได้นิพพาน แต่ตราบใดที่เธอต้องการมัน ก็จงพยายามไป หากเธอยังคงต้องการของปลอมที่ทำมาจากพลาสติก ก็จงมีมันไป จงมีมันไปจนกระทั่งปากของเธอแห้งผาก ไร้ซึ่งน้ำนม ไร้ซึ่งสิ่งใดๆ จากนั้นวันหนึ่งเธอก็จะโยนมันทิ้งไป และตระหนักว่า เธอมิได้จำเป็นต้องใช้มันตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเธอเป็นอิสระจากมันเสมอมา เธอไม่จำเป็นต้องใช้มัน....
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
9 พฤษภาคม 2554 06:42 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
๓๐ พฤษภาคม ๑๙๙๐ (เดิมเป็นภาษาจีน)
ตอนนี้เวลาแห่งการเกิดอุทกภัยได้ผ่านพ้นไปแล้ว โนอามีชีวิตอยู่จนถึง ๘๐๐ ปีและบุตรชายมากมาย อาจจะเป็นพันๆ คน! หนังสือกล่าวว่าโนอาและลูกๆ ของเขาได้ปลูกองุ่น ลูกของเขาก็มีลูกมากมายซึ่งก็มีลูกออกมาอีกมากมาย มีลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่า มีคนมากมายเกินไปและครอบครัวมากมายต้องย้ายไปที่อื่น ถ้าพวกเขาไม่ย้ายก็จะไม่มีหญ้าพอเพียงสำหรับฝูงสัตว์ เนื่องจากทุกคนพูดภาษาง่ายๆ พวกเขาจึงเข้าใจเป็นอย่างดี จึงเป็นการง่ายที่พวกเขาจะร่วมมือกันในงานใดๆ
พวกเขาบางคนย้ายไปยังที่ที่เรียกว่าบาบิโลน ที่นั่นพวกเขาได้คิดค้นวิธีการทำอิฐ พวกเขาเรียนรู้ที่จะเผาอิฐทำให้มันแข็งและแข็งแรง พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะยึดอิฐเข้าด้วยกันด้วยวัสดุโบราณคล้ายกับซีเมนต์ที่เรามีในปัจจุบันนี้ ด้วยวิธีนี้พวกเขาก็สามารถสร้างบ้านได้
วันหนึ่งคนหนึ่งในพวกเขาได้พูดว่า “เราควรสร้างเมื่องที่ใหญ่มากให้พวกเรา และในเมืองนั้นก็มีหอคอยอันศักดิ์สิทธิ์ ใหญ่และสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อเราจะได้สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเรา” เหลวไหล! (ผู้ฟังหัวเราะ) พวกเขาต้องการสร้างมันเพื่อจะได้มีชื่อเสียง และทุกคนในบาบิโลนก็เห็นชอบ คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีมาก นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างหอคอยบาเบล
พระเจ้าเริ่มต้นที่จะสังเกตงานของพวกเขาจากสวรรค์ เมื่อเห็นว่ากำแพงนั้นค่อยๆ สูงขึ้นและมนุษย์กำลังมีความเห็นมากขึ้นและยุ่งอยู่กับความคิดของพวกเขา พระเจ้าทราบว่าจะมีความยุ่งยากเกิดขึ้น มนุษย์เริ่มต้นที่จะคิดมากเกินไปแล้ว อัตตาของพวกเขาและความคิดในทางโลกก็จะแผ่ขยายออกมา ในเวลานั้นมนุษย์เริ่มต้นเชื่อว่าพวกเขาเป็นเทพและสามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะสร้างหอคอยเสร็จ พระเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง พระองค์คิดว่าถ้ามนุษย์พูดภาษาต่างกัน พวกเขาก็จะไม่เข้าใจกันและดังนั้นจะไม่ทำงานอย่างหักโหม
และแล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นทำให้ภาษาของพวกเขาสับสนและส่งคนไปยังมุมต่างๆ ของโลก ไปเหนือ ใต้ ออก ตก บางคนก็ตั้งหลักแหล่งที่ริมฝั่งทะเลและบางคนก็อยู่บนเกาะ บางคนก็ย้ายไปยังที่ซึ่งไกลออกไป บางคนก็ไปอียิปต์ บางคนไปอาฟริกา และบางคนไปอาระเบีย
ลูกหลานของโนอาได้ทวีคูณและเพิ่มมากขึ้นๆ แต่ละวงศ์ตระกูลก็ออกลูกออกหลานเป็นหญิงชายอีกมากมาย แต่ละครอบครัวก็ใหญ่ขึ้นๆ ในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นประเทศชาติขึ้นมา ในแต่ละชาติผู้คนก็พูดภาษาต่างๆ กัน นับจากนั้นมาพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้หรือพูดคุยติดต่อกันได้
จนถึงขนาดนี้ ทุกคนที่คิดถึงหอคอยบาเบล พวกเขาก็ถูกเตือนให้ระลึกว่าทำไมคนจึงพูดบาเบลมากมาย ซึ่งหมายถึงพวกเขา “บลา บลา บลา” มาก คำว่าบาเบลหมายถึงการพูดพล่ามไร้สาระเหมือนเด็ก เพราะฉะนั้นหอคอยนี้จึงได้ชื่อว่าหอคอยบาเบลเหมือนอย่างความหมายของคำว่าบาเบล เรามักจะพูดมากเกินไปอยู่เสมอ
นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าและลูกหลานโนอา มีคติสอนใจในเรื่องนี้และเราสามารถเรียนรู้จากมันได้ มันคืออะไรล่ะ ยิ่งมนุษย์สบายมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็คิดถึงพระเจ้าน้อยลง ย้อนกลับไปเมื่อพ่อแม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างเรียบง่ายมาก ทุกคนอาศัยอยู่ในเรือและจำพระเจ้าได้ หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าก็ให้ชีวิตที่สบายแก่พวกเขา ไม่มีน้ำท่วม ไม่มีการลงโทษ ไม่มีผู้ที่คอยย้ำเตือน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มรู้สึกว่าพวกเขายิ่งใหญ่
บางครั้งเมื่อเรามีชีวิตที่สบายมากขึ้น เราก็จะมีเพื่อนมากขึ้นเหมือนอย่างอีฟคนโง่และอาดัมผู้ก๋ากั่น สมัยเมื่อพวกเขายังอยู่ในสวรรค์ พวกเขาก็ถูกความเพ้อฝันพาไปคิดว่าพวกเขามีไม่พอและพวกเขาควรที่จะเหมือนพระเจ้า แต่จะเป็นเหมือนพระเจ้าไปทำไม? ก็เป็นเพียงลูกแอปเปิ้ลที่พวกเขาไม่มี และพวกเขาก็ถูกหลอกให้ทำเรื่องโง่ๆ พวกเขามีโลกทั้งโลกและสวรรค์ทั้งสวรรค์อยู่แล้ว พวกเขามีความสุขทุกวันและมีอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า พวกเขาช่างโง่เสียนี่กระไร! ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พระเจ้าลงโทษพวกเขาโดยการส่งพวกเขาลงมายังโลกมนุษย์ ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้บทเรียนของพวกเขาได้ แล้วพวกเขาก็จะรู้ว่า “ชีวิตเมื่อก่อนเป็นชีวิตที่ดี ตอนนี้มันเจ็บปวด” แล้วพวกเขาก็จะเริ่มทะนุถนอมมัน พวกเขามีทุกอย่างอยู่แล้วยกเว้นแอปเปิ้ลลูกหนึ่ง แต่พวกเขายังคงอยากที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า ช่างมีอัตตาเสียจริงๆ ! หมดหนทางที่จะช่วยเหลือได้!
เพราะฉะนั้นเราจะต้องพิจารณาตัวเราเป็นครั้งคราว เมื่อเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เราไม่ควรเพ้อฝันมากเกินไป มิฉะนั้นแล้วเราจะเสียใจในภายหลังเมื่อมันสายเกินไปที่จะหวนกลับมา ปกติเมื่อมีชีวิตที่สบายคนก็ดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องที่ไม่ดีหรือเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นแม้ในสภาพที่สบายและมีความสุข เราก็ไม่ควรที่จะลืม ปล่อยตัวปล่อยใจตนเองและจบลงด้วยการเป็นคนอ่อนแอ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพที่ยากลำบากกว่า ในทางกลับกันเราควรที่จะรักษาความกล้าหาญของเราและจิตใจที่สมดุลเอาไว้...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com