8 มีนาคม 2558 00:49 น.
คีตากะ
หมาในตัวหนึ่งได้พบกับจระเข้ตัวหนึ่งบนฝั่งแม่น้ำไนล์ในยามเย็น มันจึงหยุดและทักทายกันและกัน
หมาในกล่าวขึ้นว่า "ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?"
จระเข้ก็ตอบว่า "ฉันไม่ใคร่สบายใจเลย ในบางครั้งฉันร้องไห้ด้วยความปวดร้าวและเศร้าโศก สัตว์อื่นๆ กลับกล่าวว่า "นั่นมันน้ำตาจระเข้เท่านั้นแหละ" นี่ทำให้ฉันปวดร้าวจนเหลือจะพรรณนาทีเดียวนะ"
ครั้นแล้วหมาในก็กล่าวว่า "ท่านกล่าวถึงความปวดร้าวเศร้าโศกของท่าน แต่ลองคิดถึงผมดูบ้างสักนิดเถอะขอรับ ผมจ้องมองดูความงดงามของโลก ความน่าพิศวงมหัศจรรย์ของมันแล้วผมก็หัวเราะออกมาด้วยความปลาบปลื้มจริงๆ เหมือนดังที่ทิวาวารแย้มสรวล แต่พวกสัตว์ในป่ากลับบอกว่า "นั่นมันเสียงหัวเราะของหมาในเท่านั้นเอง"
ผู้เบิกทาง
คาลิล ยิบราน เขียน
กิติมา อมรทัต แปล
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
8 มีนาคม 2558 00:50 น.
คีตากะ
ครั้งหนึ่งกวีผู้หนึ่งได้ร้อยกรองบทเพลงรักขึ้นบทหนึ่งอย่างไพเราะจับใจยิ่ง แล้วเขาก็ลอกมันขึ้นเป็นหลายสำเนาและส่งไปให้มิตรสหายและผู้คุ้นเคยของเขาทั้งชายหญิง แม้กระทั่งแก่หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งเขาเพิ่งเคยพบได้ครั้งเดียวเท่านั้นด้วย เธอผู้นั้นอาศัยอยู่ทางเทือกเขาโน้น
และในหนึ่งหรือสองวันก็มีผู้ถือสาส์นมาจากหญิงสาวผู้นั้น เธอกล่าวไว้ในสาส์นว่า “ขอให้ฉันยืนยันกับท่านเถิดว่าฉันรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งในบทเพลงรักที่ท่านรจนามาให้ฉัน โปรดมาหาคุณพ่อคุณแม่ของฉันเดี๋ยวนี้เถิดค่ะ เราจะได้จัดการหมั้นหมายกันเสียเลย”
กวีก็ตอบจดหมายนั้นโดยกล่าวว่า “มิตรของผม นั่นมันเป็นเพียงบทเพลงรักจากหัวใจของกวีซึ่งบุรุษทุกผู้ร้องให้สตรีทุกคนฟังเท่านั้นดอก”
แล้วเธอก็ได้เขียนมาถึงเขาอีกครั้งหนึ่งโดยกล่าวว่า “เจ้าคนพูดโกหกหน้าไหว้หลังหลอก! นับตั้งแต่วันนี้ไปจนกระทั่งถึงวันตายของฉัน ฉันจะเกลียดบทกวีทุกบทก็เพราะแก”
ผู้เบิกทาง
คาลิล ยิบราน เขียน
กิติมา อมรทัต แปล
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
8 มีนาคม 2558 00:51 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซีหู ฟอร์โมซา วันที่ 25 เมษายน 2535
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน) วีดีโอเทป เบอร์ 243
แต่ก่อนประเทศจีนมีแม่ทัพคนหนึ่ง ขณะที่เขาใกล้จะตาย
พระราชาถามเขาว่า “เมื่อท่านตายไป ใครบ้างที่สามารถมาทำงานแทนท่านได้?”
แม่ทัพคนนี้ไม่ได้เสนอลูกตัวเอง แต่กลับไปเสนออีกคนหนึ่ง
พระราชาได้ยินแล้วประหลาดใจมาก ถามว่า
“ลูกชายของท่านเรียนตำราพิชัยสงครามมาตั้งแต่เด็ก พูดถึงการทำสงครามคล่องแคล่วมาก เขาน่าจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดมิใช่หรือ?”
แม่ทัพตอบว่า “ไม่ ไม่ ! ลูกชายข้าพเจ้าได้แต่ท่องตำรา แม้เขาจะเข้าใจเรื่องทฤษฎีของพิชัยสงคราม แต่ไม่มีประสบการณ์ในสนามรบเลย ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขอเสนอตัวเขา”
ต่อมาแม่ทัพตายไปแล้ว พระราชาไม่ได้ฟังคำเสนอของเขา ยึดติดกับลูกชายของเขาเป็นคนเก่ง รู้จักทำสงครามได้เป็นอย่างดี สามารถตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นจึงแต่งตั้งให้ลูกชายของเขาเป็นแม่ทัพ ในที่สุดลูกคนนี้แพ้สงครามทุกครั้ง ไม่เหมือนคุณพ่อของเขาที่ทำสงครามก็ชนะทุกครั้ง
เพราะเขาไม่มีประสบการณ์ในสนามรบเลย เอาแต่ท่องตำราเท่านั้น
ในสนามรบ เหตุการณ์ต่าง ๆ มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ
ไม่ใช่อาศัยทฤษฎีที่ท่องได้ก็สามารถไปสู้ได้ และแต่ละสถานที่ก็มีพื้นที่ไม่เหมือนกัน ฮวงจุ้ยกับอากาศก็ต่างกัน ถ้าหากออกศึกทุกครั้งเอาแต่ใช้ทฤษฎีตามหนังสือ จะไหวหรือ? ยังมี ทุกครั้งกองทัพศัตรูก็ไม่เหมือนกัน และกองทัพของเราเอง กำลังใจและร่างกาย บางครั้งก็เปลี่ยนไปตามสถานที่และดินฟ้าอากาศ
ดังนั้นจะมาวาดภาพไปตามเรื่องไม่ได้ ลูกชายแม่ทัพคนนี้ไปเคยติดตามพ่อไปออกศึก ไม่ได้ไปหาประสบการณ์ที่แท้จริงด้วยตนเอง ดังนั้นจึงชนะสงครามไม่ได้
พวกเราทำอะไรก็เหมือนกัน พวกเรายิ่งทำมาก ความสามารถในการตอบสนองก็ยิ่งดีขึ้น กลายเป็นการฝึกความเคยชินอย่างหนึ่งไปในตัว
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:51 น.
คีตากะ
ปราศรัยธรรมโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่เผิงหู ฟอร์โมซา
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2529 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)
ขณะที่พระศากยมุนียังมีชีวิตอยู่ มีหญิงคนหนึ่ง เธอมีลูกชายเล็ก ๆ คนหนึ่ง วันหนึ่งลูกชายตายไปโดยไม่ได้เจ็บป่วย เธอรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้ ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ขณะนั้น พอดีกับพระศากยมุนีไปแสดงธรรมอยู่ใกล้แถวนั้น หญิงคนนั้นจึงร้องต่อพระศากยมุนีว่า ขอให้พระศากยมุนีแสดงปาฏิหาริย์ ใช้พลัง ใช้ปัญญาของท่าน มาช่วยเหลือลูกชายเธอ ขณะนั้น พระศากยมุนีบอกกับเธอว่า "ได้ซี! ข้าพเจ้าช่วยเขาได้ แต่เธอต้องกลับไปก่อน เพื่อไปถามว่าครอบครัวไหนบ้างที่ไม่มีญาติตายเลยทั้ง 5-6 ชั่วโคตร จากนั้นนำเอาเสื้อผ้าหรือสิ่งของพวกเขามาให้กับข้าพเจ้า เมื่อมีสิ่งของเหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงจะสามารถช่วยเหลือลูกชายเธอได้"
คุณแม่ฟังแล้ว ก็ไปถามตามบ้านต่าง ๆ ไปถามทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่พบว่าทั้ง 5-6 ชั่วโคตรที่ไม่มีญาติตายเลย เธอทั้งเหนื่อยทั้งผิดหวัง จึงกลับมา พระศากยมุนีถามเธอว่า "มีครอบครัวที่ 5-6 ชั่วโคตรที่ไม่มีญาติตายเลยไหม?" เธอตอบว่า "ไม่มีเลย!" พระศากยมุนีจึงได้บอกกับเธอว่า "เป็นเช่นนี้จริง ชีวิตคนมันอนิจจัง ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ต้องตาย ไม่ว่าใครสักวันหนึ่งก็ต้องตายทั้งนั้น ช้าหรือเร็วก็ต้องจากโลกนี้ไป เธออย่าได้เสียใจกับร่างกายที่ไม่เที่ยงนี้เลย" เมื่อพุทธกล่าวมาถึงตอนนี้ คุณแม่คนนั้นก็รู้แจ้ง และได้ถวายชีวิตให้กับพุทธ โดยขอเป็นลูกศิษย์ท่าน ทั้งขยันบำเพ็ญด้วย
ยังมีนิทานอีกเรื่องหนึ่ง มีนางยักษ์ตนหนึ่งหน้าตาน่าเกลียดมาก ทั้งน่ากลัวมาก นางยักษ์ตนนี้มีนิสัยที่น่ากลัวมากอย่างหนึ่ง –ชอบกินคน เหมือนกับเสือที่ชอบกินคน คนทั่วไปชอบกินเนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เป็ด ต่าง ๆ เป็นต้น ยักษ์ตนนั้นชอบกินเด็ก ๆ มากที่สุด เห็นเด็กเมื่อไรก็จะจับมากินหมด ดังนั้น เด็ก ๆ ในหมู่บ้านเกือบถูกมันกินหมด พ่อแม่ในหมู่บ้านมาขอให้พระศากยมุนีช่วย
นางยักษ์ตนนั้นก็มีลูกคนหนึ่ง เธอรักลูกตัวเองมาก เหมือนกับเสือกินสัตว์ได้ทุกชนิด หรือคนได้ แต่จะไม่กินลูกตัวเอง มันก็รักลูกตัวเองมากเช่นกัน
พระศากยมุนีบอกกับพวกเขา ว่า "พวกเธอกลับไป รอจนนางยักษ์ตนนี้ออกไป เอาลูกของเธอมาซ่อนไว้ อย่าให้เธอรู้เป็นอันขาด จากนั้นค่อยว่ากัน" พ่อแม่เหล่านั้นรอจนนางยักษ์ออกไปข้างนอก จึงรีบเอาลูกเธอมาซ่อนไว้ทันที เมื่อนางยักษ์กลับมา หาลูกไม่พบ เสียใจมากจนแทบขาดใจ นอนกลิ้งอยู่กับพื้นไปมา ร้องไห้ครวญคราญ สุดท้ายเธอก็วิ่งไปหาพุทธ พวกเธอดูสิ ผีก็เคารพพุทธ ขอเพียงเป็นผู้ที่บำเพ็ญอย่างจริงจัง ผีและมารต่างก็เคารพ
พระศากยมุนีถามเธอว่า "เธอรักลูกเธอมากใช่ไหม?" เธอกล่าวว่า "ใช่!" พุทธบอกว่า "สำหรับเธอ ลูกเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลกนี้ ใช่ไหม ?" เธอตอบว่า "ใช่!" พุทธบอกว่า "ถ้าเธอรักลูกเธอมาก พ่อแม่อื่น ๆ ก็รักลูกของเขาเหมือนกัน แล้วเธอไปกินลูกเขาจนเกือบหมดทำไม? ถ้าเธอรับปากกับข้าพเจ้า ต่อไปไม่ไปกินลูกของคนอื่น ข้าพเจ้าจะช่วยเธอหาลูกให้พบ" นางยักษ์รีบรับปากทันที ผีก็รู้แจ้งได้ ใช่หรือไม่? พระศากยมุนีบอกเหตุผลให้เธอทราบ เธอรู้แจ้งทันที ต่อไปไม่กล้าไปกินลูกของคนอื่นอีก
สำหรับพวกเราแล้ว เด็กตัวเล็กมาก พูดก็ไม่เป็น เดินก็ไม่ได้ ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ แต่พวกเราทราบดีว่า เขาก็เป็นสรรพสัตว์เหมือนกัน ต่อไปจะโตขึ้น เหมือนกับพวกเรา จากนิทานเรื่องนี้ พวกเราสามารถวิเคราะห์ได้ว่า สัตว์ก็เป็นสรรพสัตว์เช่นกัน ต่อไปถ้าพวกเขาบำเพ็ญมากขึ้น ก็จะเกิดเป็นคน สามารถสำเร็จเป็นพุทธได้เช่นกัน ดังนั้น ถ้าพวกเราเรียนวิชาพุทธจริง มีจิตเมตตาจริง ก็ต้องสาบานไม่กินสัตว์จึงจะถูกต้อง
จากนิทาน 2 เรื่องนี้ พวกเราทราบว่า ปัญญาหรือการรู้แจ้งไม่ใช่ทุกคนจะได้เอง บางครั้ง ต้องมีคนพูดให้ฟัง เขาจึงจะเข้าใจ เหมือนกับนิทานเรื่องแรก คนที่เป็นแม่ ลูกของเธอตายไป แต่เธอไม่เข้าใจว่า สักวันหนึ่งเด็กอื่น ๆ ก็ตายได้เหมือนกัน คนตายได้ทั้งนั้น แต่เธอไม่เข้าใจ ถ้าพระศากยมุนีขณะนั้นใช้ปัญญาของท่านบอกกับเธอ "เธอทำไมต้องร้องไห้? เธอควรจะทราบว่า คนเรามันไม่เที่ยง ช้าหรือเร็วพวกเราก็ต้องจากไป มีเหตุก็ต้องมีผล ถ้าลูกของเธอมีเหตุและผลที่ไม่ดี เขาจึงต้องตายไปทันที เพราะไม่มีบุญ ดังนั้น เธอไม่ต้องเสียใจร้องไห้ต่าง ๆ เป็นต้น" เธอฟังไม่เข้าใจหรอก พวกเราส่วนมากเมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ก็จะปลอบใจคนแบบนี้
แต่พระศากยมุนีไม่ใช้วิธีนี้ ท่านบอกให้คุณแม่ไปหาเอง ไม่หาครอบครัวที่ไม่มีใครตายเลย เธอย่อมหาไม่ได้ เมื่อนั้น ไม่ว่าพระศากยมุนีจะพูดอย่างไร เธอจะเข้าใจทันที เพราะตัวเองมีประสบการณ์แล้ว เริ่มต้น อาจารย์ก็มีพูดเรื่องประสบการณ์ ถ้าพวกเราไม่สามารถบรรลุ(ธรรม)ด้วยตัวเอง ก็ต้องไปหาใครคนหนึ่ง เขาทราบดี ขณะเดียวกัน ก็สอนพวกเราหาอย่างไร ทำอย่างไร ต่อไป พวกเรามีประสบการณ์แล้ว ตัวเองสามารถรู้สัจธรรมได้
เป็นต้นว่า พวกเราอ่านอมิตพุทธสูตร พระศากยมุนีพูดว่า "พระอมิตพุทธเป็นแสงที่มิอาจประมาณ พระอมิตพุทธส่องแสงมาช่วยพวกเราทุกครั้ง สถานที่ของพระอมิตพุทธ มีนกน้อยร้องเพลง มีเสียงดนตรีที่ไพเราะต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าพวกเราได้ยินเสียงดนตรีเหล่านั้น จะมีจิตที่นิ่ง สวดพุทธ สวดธรรม สวดพระต่าง ๆ ได้" พวกเราฟังพุทธพูดเช่นนี้ และได้ยินคนว่า คนสามารถไปที่แดนสุขาวดีและมีความสุขอยู่ที่นั่นได้ แต่ถ้าพวกเราตัวเองไม่มีประสบการณ์ ก็จะไม่เชื่อ และไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ว่า ดินแดนสุขาวดีมันเป็นอย่างไร ดังนั้น ฟังธรรม อ่านพระสูตร เป็นการฟังประสบการณ์จากผู้อื่น ฟังคนอื่นเล่าอันดับชั้นของตัวเอง มันไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย ไม่ว่าใครจะรู้แจ้ง จะเข้าใจ ต้องการสัมผัสดินแดนนั้น ก็ต้องมีประสบการณ์เช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็ต้องมีประสบการจากดินแดนสุขาวดีเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง
ถ้าเวลานั้นพระศากยมุนีเรียกนางยักษ์มาทันที บอกกับเธอว่า "เธออย่างทำไม่ดีอย่างนั้น อย่าไปกินลูกของคนอื่น เธอไม่ทราบหรือ จิตใจพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นจะเจ็บปวดมาก เธอทำเช่นนี้ไม่ถูก ไม่ควรทำร้ายจิตใจผู้อื่น" ถ้าพระศากยมุนีพูดกับเธอตรง ๆ แบบนี้ นางยักษ์ตนนี้อาจจะไม่ยอมฟัง เพราะตัวเธอเองก็ไม่ทราบว่า ยังไม่มีประสบการณ์ปวดใจเป็นความรู้สึกอย่างไร ดังนั้น พระศากยมุนีไม่ได้พูดเหตุผลให้เธอฟังทันที ท่านบอกให้คนเอาลูกของเธอไปก่อน เพื่อให้เธอได้ประสบกับความปวดใจที่ศูนย์เสียลูกไป จากนั้น ค่อยพูดกับเธอ เธอก็จะเข้าใจทันที พวกเราปุถุชนก็มีการพูดเช่นนี้เหมือนกัน "เมื่อเป็นพ่อแม่คนแล้ว จึงเข้าใจจิตใจของพ่อแม่“
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:52 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่สมาธิกลุ่ม ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
13 มีนาคม 2539 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดีทัศน์ที่ 536
ครั้งหนึ่งมีอาจารย์เซนอยู่ท่านหนึ่ง ที่มีลูกศิษย์อยู่จำนวนหนึ่ง และหนึ่งในนั้นได้เขียนถึงท่านอาจารย์เป็นครั้งเป็นคราว หลังจากการประทับจิตแล้ว ก็เหมือนกับที่เธอเขียนบันทึกประจำวันจิตวิญญาณของเธอ แล้วส่งมาให้ฉัน หรือบางครั้งเขียนรายงานมาให้ฉันว่า เธอได้ประสบความสำเร็จแบบไหน ดังนั้น ลูกศิษย์คนนั้นจึงเขียนมาถึงอาจารย์และบอก “ท่านอาจารย์ ผมกำลังเกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งอย่างลึกล้ำจริง ๆ ในขณะนี้ ผมใช่เวลาทั้งหมดของผมในการค้นหาตัวตนอันแท้จริงภายในของผม” อาจารย์อ่านแค่บรรทัดแรกของจดหมายเท่านั้น แล้วก็โยนมันลงถังผงไป
เป็นเวลานานต่อมาหลังจากนั้น ลูกศิษย์ก็ได้เขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงอาจารย์ บอกว่า “โอ ท่านอาจารย์ ตอนนี้จักรวาลทั้งจักรวาลตอบสนองต่อความคิดที่อยู่ภายในที่สุดของผม สัจธรรมช่างเหลือเชื่อเสียนี่กระไร! ปัญญาของมนุษย์ช่างเลอเลิศเสียนี่กระไร! พลังจักรวาลช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร!”
แต่อาจารย์ก็เพียงแต่สั่งน้ำมูกด้วยจดหมาย (เสียงหัวเราะ) แล้วก็โยนมันลงโถส้วม แล้วในจดหมายฉบับที่ 3 ลูกศิษย์ก็เขียนมาว่า “โอ ท่านอาจารย์ ตอนนี้ผมมีความเมตตาต่อมวลมนุษย์ทั้งหลายและผู้ที่ด้อยโอกาสทั้งหลาย! แม้กระทั้งมด ผมก็ได้ยินเสียงหัวใจของมันเต้น และรู้สึกได้ถึงวิญญาณของมัน ที่กำลังพยายามต่อสู้! โอ ท่านอาจารย์ ช่างเป็นการค้นพบที่มหัศจรรย์เสียจริง! ผมจะพยายามต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้น ผมสัญญาท่าน! ผมจะเป็นลูกศิษย์ที่ดีของท่าน แล้วท่านก็จะเห็น”
แล้วอาจารย์ก็เช็ดอะไรบางอย่างด้วยจดหมายนั้น (เสียงหัวเราะ) เธอก็รู้นะว่าที่ไหน ฉันจะไม่พูดล่ะ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วก็โยนมันลงส้วม และรู้สึกสิ้นหวัง
ต่อมาในจดหมายฉบับที่ 4 ลูกศิษย์ก็รายงานมาว่า “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ผมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลแล้ว! ทุกอย่างเป็นผม และผมเป็นทุกอย่าง! ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ผม ผมคือทุกสิ่งทุกอย่าง โอ ผมขอแสดงความยินดีกับตัวเอง! (เสียงหัวเราะ)
แต่อาจารย์ก็ไม่แม้กระทั่งเสียเวลาไปจับมัน เพียงแต่ปล่อยให้ลมพัดมันไปที่ไหนที่หนึ่ง ที่มันจะไป และไม่ต้องการจะพูดอะไรอีกต่อไป จากนั้นเป็นเวลานาน ท่านอาจารย์ก็พูดว่า “อย่าลำบากเขียนมาถึงฉันอีกต่อไป เจ้าเพียงแต่เสียกระดาษและปากกา” ดังนั้น ลูกศิษย์จึงไม่เขียนอะไรมาอีกต่อไป
หลายปีผ่านไป และอาจารย์ก็แบบว่ารู้สึกเสียใจนิดหน่อย ที่ทำกับลูกเมื่อครั้งก่อนแรงเกินไปหน่อย ความที่จำได้ถึงลูกศิษย์คนเก่งของท่าน ไม่ได้พบหน้าและไม่ได้ยินข่าวคราวมานาน เขาก็เลยส่งข่าวถึงลูกศิษย์และพูดว่า “เฮ้! เกิดอะไรขึ้นล่ะในตอนนี้? ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของเธอเป็นอย่างไร?” (เสียงหัวเราะ) บางทีท่านอาจจะคิดถึงจดหมาย “จักรวาลที่ใหญ่โต” อันเหลวไหลไร้สาระ
ลูกศิษย์จึงเขียนตอบมาด้วยคำ 2 คำ เท่านั้นบนกระดาษบนกระดาษแผ่นใหญ่ใบหนึ่งว่า “ใครจะไปสนใจ?” (เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ) เธอรู้ไหมว่า อาจารย์มีปฏิกิริยาอย่างไร? เขาก็ไปดื่มกาแฟ ชา หรือเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์กับเซเว่นอัพ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) นั่นคือลักษณะ ที่มันควรเป็น
เฉพาะเธอรู้ว่า เธอใช้ได้แล้วเท่านั้น เธอจึงไม่ใส่ใจ มิฉะนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่า เธอจะเขียนมาถึงฉันมากเพียงไรว่า “ฉันรักท่าน พลังจักรวาล ฉันผู้มีเมตตา” และอะไรก็ตามทั้งหมดนี้ ก็เป็นทฤษฎีที่ไร้สาระ เหตุฉะนี้ อาจารย์ทางทฤษฎีมากมายเปิดปากของพวกเขา และพูดเกี่ยวกับความเมตตา การรู้แจ้ง ปัญญา และอะไรทั้งหมดนั้น แต่พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาพูดถึงมัน นั่นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก และเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่จะทำให้พวกเขาตระหนักว่า เราไม่จำเป็นต้องพูด
ทำไมฉันจึงพูดตลอดเวลา ก็เพราะว่าเธอชอบมันนะซิ (ผู้ฟัง: ใช่) แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้พูดเพื่อสอนเธอ ถ้าเธอคิดว่า ฉันกำลังสอนเธอ เธอก็ผิดไปแล้วล่ะ เพราะว่าฉันรู้สึกสิ้นหวังกับพวกเธอด้วย ฉันรู้ว่า ฉันไม่สามารถสอนอะไรพวกเธอได้ ฉันเพียงแต่ทำให้เธอเพลิดเพลินด้วยคำพูดต่างๆ กัน โดยหวังว่า เธออาจจะจับอะไรบางอย่าง ที่เธอชอบได้ และยึดถือมันเอาไว้ และเธอก็จะจำฉันได้ และไม่ลืมที่จะบำเพ็ญ วันหนึ่งเธอก็จะรู้ทุกอย่างด้วยตัวเธอเอง ไม่ใช่จากคำสอนของฉันเท่านั้น อาจจะ 30% จากคำสอนของฉัน แต่ก็ไม่มากหรือไม่น้อย เพียงเพื่อว่า เธอจะจำฉันได้ และเราจะสามารถติดต่อกันภายในได้
ขอพูดกับเธออย่างซื่อสัตย์ ฉันไม่เชื่อว่าใครจะสอนใครได้เลย แต่อะไรก็ตามที่ฉันสามารถทำได้ ฉันก็เพียงแต่ทำให้ดีที่สุด เพราะว่าเธอขอมัน เธอเรียกร้องมัน ฉันจึงทำมัน ไม่ใช่เพราะว่าฉันเชื่อว่า ฉันจะสามารถสอนเธอได้ด้วยคำพูด ด้วยการพูด ด้วยภาษา แต่ฉันเชื่อว่า เราสามารถสร้างการติดต่อที่ลึกล้ำมากซึ่งกันและกัน และด้วยการติดต่อที่ลึกล้ำนั้น เราจะสามารถติดต่อกันจากภายในได้ นั่นเป็นคำสอนอย่างเดียวเท่าที่อาจเกิดขึ้นได้ มิฉะนั้นแล้วเธอก็เป็นพุทธะอยู่แล้ว เธอเป็นสรรพสิ่งที่เหมือนกับฉัน
จะมีความจำเป็นอะไรสำหรับฉัน ที่จะบอกว่า เธอต้องทำอะไร? เธอมีทุกสิ่ง ที่ฉันมี เพียงแต่ว่า ด้วยการติดต่อภายในของเราซึ่งกันและกัน เธอก็เต็มใจที่จะได้รับการย้ำเตือน ถึงตัวตนอันแท้จริงเธอที่อยู่ภายใน จากตัวตนอันแท้จริงจากภายในของฉัน แล้วตัวตนอันแท้จริงจากภายในของเรา ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วก็ไม่มีการสอนใดๆ ทั้งสิ้น ดั้งเดิมแล้ว ไม่มีความจำเป็นและไม่เคยมีความจำเป็นสำหรับวิญญาณใดๆ ที่จะเรียนรู้สิ่งใดๆ
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org