8 มีนาคม 2558 00:43 น.
คีตากะ
ผู้ฉลาดคือบุคคลที่รักและนับถือพระผู้เป็นเจ้า ความดีของบุคคลอยู่ในความรู้และการกระทำของเขา มิใช่อยู่ที่สีผิวความศรัทธาเชื้อชาติหรือตระกูล จำไว้เถิดสหาย บุตรของคนเลี้ยงแกะผู้มีความรู้ย่อมมีคุณค่าแก่ประเทศชาติมากกว่ารัชทายาทของกษัตริย์หากว่าเขาเง่าโง่ ความรู้คือสิทธิบัตรแห่งเกียรติยศที่แท้จริงของท่านโดยมิต้องคำนึงว่าบิดาของท่านคือใคร หรือเชื้อชาติของท่านเป็นเช่นไร
ความรู้เป็นสมบัติอย่างเดียวเท่านั้นที่บรรดาทรราชมิอาจฉกชิงได้ ความตายเท่านั้นที่สามารถหรี่ตะเกียงแห่งความรู้ซึ่งอยู่ภายในตัวท่าน ความมั่งคั่งที่แท้จริงของชาติมิได้อยู่ที่เงินทอง แต่อยู่ที่ความรู้ ปัญญาและความเที่ยงธรรมของเหล่าบุตรแห่งชาตินั้น
ความร่ำรวยทางวิญญาณทำให้ใบหน้าของบุคคลนั้นงดงามและก่อให้เกิดความถูกอกถูกใจและความนับถือ จิตวิญญาณทุกผู้คนสำแดงออกในสายตา ใบหน้าและกิริยาอาการเคลื่อนไหวในทุกส่วนของร่างกาย รูปร่างหน้าตาภายนอกของเรา คำพูดของเรา การกระทำของเราไม่เคยยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเราเอง เพราะวิญญาณคือบ้านของเรา ดวงตาของเราคือหน้าต่าง และถ้อยคำของเราคือผู้สื่อสารมัน
ความรู้และความเข้าใจเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์ของชีวิตซึ่งจะไม่เคยเลยที่จะไม่ซื่อตรงต่อท่าน เพราะเหตุว่าความรู้คือมงกุฎของท่านและความเข้าใจคือไม้เท้าของท่าน และเมื่อมันได้อยู่กับท่านท่านก็ไม่อาจครอบครองขุมคลังใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว
เขาเป็นผู้ซึ่งเข้าใจท่าน ย่อมใกล้ชิดกับท่านยิ่งกว่าพี่น้องของท่าน เพราะเหตุว่าแม้แต่ญาติพี่น้องของท่านเองก็ไม่อาจเข้าใจท่านหรือไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของท่านได้
การผูกมิตรกับคนโง่เป็นสิ่งโง่เง่าเช่นเดียวกับการถกเถียงกับคนขี้เมา
พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานปัญญาและความรู้มายังท่าน จงอย่าดับประทีปแห่งความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้าและอย่าปล่อยให้แสงเทียนแห่งปัญญาดับแสงอยู่ในความมืดของราคะจริตและความผิดพลาดเลย เพราะผู้ฉลาดย่อมช่วยส่องสว่างทางมนุษย์ด้วยคบเพลิงของเขา
จำไว้เถิด ผู้เที่ยงธรรมเพียงคนเดียวจักเป็นเหตุให้ซาตานมารร้ายได้รับความเดือดร้อนมากกว่าผู้ศรัทธางมงายนับจำนวนล้าน
ผู้มีแต่ความรู้แม้แต่น้อยที่ปฏิบัติย่อมมีค่าอนันต์กว่าผู้มีความรู้มากแต่เกียจคร้าน
มาตรว่าความรู้ของท่านมิได้สอนท่านถึงคุณค่าของสรรพสิ่งแลไม่ได้ปลดปล่อยท่านให้พ้นจากพันธนาการของวัตถุ ท่านก็จักไม่มีทางเข้าใกล้บัลลังก์แห่งสัจธรรมได้
มาตรว่าความรู้ของท่านมิได้สอนท่านให้ยกตัวท่านเหนือความอ่อนแอและทุกข์ทรมานของมนุษย์ และมิได้นำเพื่อนมนุษย์ของท่านไปในทางเที่ยงธรรมแล้ว แท้จริงท่านเป็นบุคคลผู้มีคุณค่าน้อยและจะยังคงมีค่าน้อยเช่นนั้นต่อไปจนถึงวันพิพากษาของโลก
จงเรียนถ้อยคำแห่งปัญญาซึ่งผู้ฉลาดได้เอื้อนเอ่ยออกมาและนำมันมาใช้ในชีวิตของท่านเอง จงให้ชีวิตแก่มันเถิด อย่าสักแต่ทำโอ้อวดด้วยการท่องสาธยายมัน เพราะผู้ท่องบ่นในสิ่งที่ไม่เข้าใจย่อมไม่ดีไปกว่าลาบรรทุกหนังสือเลย...
คำครู
คาลิล ยิบราน เขียน
น่านรังษี กิติมา แปล
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
8 มีนาคม 2558 00:45 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซานโอเซ่ คอสตาริก้า สหรัฐอเมริกา
22 พฤศจิกายน 2532 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
คืนนี้ฉันอยากจะให้ความคิดบางอย่างแก่พวกเธอเกี่ยวกับว่า อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราจากโลกนี้ไป เพราะว่าเมื่อเรากำลังอยู่ในโลกนี้เรารู้อยู่แล้วว่าเราจะต้องทำอะไร คนส่วนมากไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว และฉันก็จะเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างการรู้แจ้งและประสบการณ์ที่เรียกว่า “ความตาย” ให้ฟังด้วย อันที่จริงแล้วเมื่อเราตายเราไม่ได้ตายเราเพียงแต่เปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอก หรือบางครั้งเราเพียงแต่ละทิ้งร่างกายของเราชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือบางทีก็อาจจะเป็นเวลานาน อาจจะนานหลายร้อยปี อาจจะหลายวัน หรืออาจจะเป็นเวลาหลายพันปีก็ได้ แล้วเราก็อาจจะกลับมาในโลกนี้อีกเพื่อแสดงออกถึงปัญญาของเราและประสบการณ์โดยใช้เครื่องมือที่เป็นร่างกายนี้อีกครั้งหนึ่ง
การรู้แจ้งคือการตายทุกวัน
ในคัมภีร์ไบเบิ้ล นักบุญท่านหนึ่งกล่าวว่าท่านตายทุกวัน ในที่อื่นๆ ก็ได้มีการกล่าวกันว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้การตายเพื่อว่าเธอจะได้เริ่มต้นที่จะมีชีวิตอยู่ และในที่อื่นๆ ก็กล่าวว่าถ้าเธอละทิ้งชีวิตของเธอแล้วเธอก็จะได้ชีวิตใหม่ ดังนั้นเมื่อเราอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลและพบประโยคที่กล่าวเช่นนี้ เราก็อาจจะรู้สึกงงมาก มันเป็นไปได้อย่างไรที่เราตายเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่? มันเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะตายทุกวัน? มันเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะต้องละทิ้งชีวิตเพื่อให้ได้ชีวิต?
ฉันคิดว่าพวกเธอหลายคนคงจะได้อ่านหนังสือเรื่อง “ชีวิตหลังชีวิตนี้” ซึ่งนายแพทย์ชาวอเมริกันได้รวบรวมเอาเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับคนที่ได้ตายไปแล้วและฟื้นขึ้นมาใหม่ และคนเหล่านั้นเกือบจะทุกคนก็เล่าประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ หลังจากที่พวกเขาได้ตายไปหรือพวกเขาได้ละทิ้งกายเนื้อไปแล้ว พวกเขารู้สึกและสัมผัสได้ถึงความสุขและความมีอิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาสามารถบินไปยังประเทศที่อยู่ห่างไกลโดยยานพาหนะบางอย่างซึ่งคล้ายๆ กับอุโมงค์ และก็ได้รับการต้อนรับโดยเหล่าเทพยดาซึ่งเต็มไปด้วยแสง ความรัก และความช่วยเหลือ
เมื่อเรามี ประสบการณ์ที่เรียกว่า “การรู้แจ้ง” เราก็มีประสบการณ์คล้ายคลึงกันในบางอย่าง เหตุนี้เราจึงได้ยินว่า “ฉันตายทุกวัน” การรู้แจ้ง หมายถึง เราสามารถติดต่อกับระดับความถี่ที่สูงขึ้นของโลกในระดับที่สูงขึ้นไป ขณะนี้ในจักรวาลนี้เราไม่ใช่เป็นเพียงสรรพสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นและชีวิต ของเราในโลกนี้ก็ไม่ใช่เป็นชีวิตเดียวเท่านั้นที่เราเคยมีชีวิตเกิดมา ดังนั้น ถ้าเราได้รับประสบการณ์ของการรู้แจ้งก็หมายความว่าในขณะนั้นเราสามารถติดต่อ กับโลกในระดับที่สูงขึ้นไปและบางครั้งก็มีชีวิตใหม่กับประสบการณ์ที่ รุ่งเรืองในอดีตของเราในโลกที่สง่างามรุ่งเรือง เราไม่ใช่เป็นมนุษย์เสมอไป บางครั้งเราก็เป็นพุทธะ เป็นเทวดา เป็นนักบุญ เป็นโพธิสัตว์ โพธิสัตว์แปลว่านักบุญในศัพท์ของชาวคริสต์ เพียงแต่เป็นคำศัพท์ที่ไม่ได้แปลจากภาษาสันสกฤต โพธิ แปลว่ารู้แจ้ง สัตวะแปลว่าสรรพสัตว์ เดี๋ยวนี้เราได้มีชีวิตอยู่หลายชาติในโลกที่แตกต่างกัน บางครั้งเรามีชีวิตอยู่ในโลกที่เจริญรุ่งเรืองและชาญฉลาดมาก แต่เมื่อเรามายังโลกนี้คนส่วนมากก็จะลืมอดีตของพวกเขาไป
ดังนั้นเมื่อเรารู้แจ้งแล้วบางครั้งเราก็จะสามารถจดจำอดีตเหล่านี้ได้ แล้วเราก็สามารถย้อนรอยกลับไปดูว่าเราเคยอยู่ที่ไหน เรามาจากที่ไหน และเราก็เริ่มที่จะตระหนักว่าเราเป็นผู้ที่สูงส่งเพียงใด มันคล้ายคลึงกับประสบการณ์การตายของคนบางคน เมื่อพวกเขาได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ของการตาย คนส่วนมากก็จะเห็นสิ่งที่สะท้อนเกี่ยวกับ ประสบการณ์ในชีวิตของพวกเขาทั้งหมด ซึ่งฉายออกมาให้ดูต่อหน้าต่อตาของพวกเขาอย่างกับดูภาพยนตร์ แต่ส่วนมากคนที่ตายไปแล้วเหล่านี้เพียงแต่สามารถมีประสบการณ์ของชีวิตนี้ที่แสดงให้เขาเห็นในโลกอื่นเท่านั้น แต่บุคคลผู้รู้แจ้งสามารถเห็นชีวิตย้อนหลังของเขาเป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปี และไม่เพียงแต่ประสบการณ์ในโลกนี้หรือในชีวิตนี้เท่านั้น ในหลายๆ โลกด้วย
ดังนั้นเมื่อได้ความรู้เช่นนี้ คนเราก็จะตระหนักว่าเขาไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดา แต่มีจิตสำนึกของพุทธะหรือพระคริสต์ นั่นคือวิธีการที่พระเยซูประกาศว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า และพระพุทธเจ้าก็ประกาศว่าพระองค์เป็นผู้ตรัสรู้เป็นพุทธะ พุทธะแปลว่าพระคริสต์เหมือนกัน พระคริสต์หมายถึงระดับชั้นของจิตสำนึกแห่งพระเจ้า ดังนั้น พุทธะเป็นคำสันสกฤตสำหรับคำว่าพระคริสต์ พระคริสต์เป็นภาษาฮิบรูสำหรับคำว่าพุทธะ
ถ้าเราเข้าถึงระดับชั้นของความเข้าใจและปัญญานี้แล้ว เราก็จะตระหนักว่าเราคือพุทธะ เราคือพระคริสต์ ถ้าเรายังไม่ได้รับการรู้แจ้งสูงสุด เราก็จะสามารถมีประสบการณ์บางอย่างเท่านั้น เหมือนประสบการณ์ของการตาย เราสามารถไปยังโลกทิพย์หรือโลกที่สูงกว่าเล็กน้อยหลังจากที่เราจากโลกนี้ไป แต่ถ้าเรามีระดับการรู้แจ้งที่สูงขึ้นไปหรือได้บรรลุในระดับที่สูงขึ้นโดยการนั่งสมาธิและปฏิบัติทุกๆวัน เราก็จะสามารถเข้าถึงโลกในระดับที่สูงกว่าซึ่งแสดงถึงปัญญาที่สูงขึ้นและความรุ่งโรจน์โชติช่วงที่สูงมากขึ้น
พระเยซูตรัสว่า ในบ้านบิดาของข้าพเจ้ามีคฤหาสถ์หลายหลัง ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่พระองค์หมายถึง ในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่าคนบางคนได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ 3 ในคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้กล่าวว่ามีสวรรค์ทั้งหมดกี่ชั้น แต่ถ้ามีชั้นที่3 มันก็ต้องมีชั้นที่ 2 และชั้นที่ 4 ในทำนองเดียวกันในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงดินแดนแห่งพุทธะมากมาย และดินแดนแห่งพุทธะแต่ละแห่งยังแบ่งออกเป็นระดับชั้นอีกมากมาย ตัวอย่างเช่นมีดินแดนของอมิตภพุทธะ ดินแดนนี้ยังแบ่งออกเป็นเก้าชั้นจากระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุด ผู้ที่มีคุณธรรมน้อยและบำเพ็ญมาน้อยก็จะอาศัยอยู่ในระดับชั้นที่ต่ำสุดเป็นเวลาหลายพันปี เขาจะอยู่ที่นั่นจนกระทั่งในที่สุดเขาได้รับการรู้แจ้งมากขึ้นโดยผ่านการเรียนรู้ทุกๆ วันกับพุทธะชั้นสูงกว่าหรือกับอาจารย์ผู้รู้แจ้ง แล้วเขาก็จะได้เลื่อนชั้นไปสู่ระดับที่สูงสุด
ฉันคิดว่ามันคล้ายคลึงกับโรงเรียนของเรา เหมือนกับโรงเรียนมัธยมเรามีหลายชั้น ในขณะนี้เมื่อเรามีประสบการณ์ของการรู้แจ้ง มันก็คล้ายกับเมื่อเราตายเราเพียงแต่ละทิ้งกายเนื้อชั่วคราวและเราก็กลับมาอีก มันเหมือนกับประสบการณ์หลังการตายในหนังสือของนายแพทย์ชาวอเมริกัน
จงเตรียมตัวสำหรับความตาย
สิ่งที่ทำให้ความตายนั้นยุ่งยากและเจ็บปวดมากคือการไม่มีประสบการณ์ของการตาย ถ้าหากเราได้เรียนรู้ถึงการตายทุกๆ วันแล้วมันก็จะสบายมาก คนส่วนมากเวลาที่พวกเขาตาย พวกเขากลัวมากว่าพวกเขาอาจจะสูญเสียโลกนี้ไป เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ายังมีโลกอื่นที่ดีกว่า สวยงามกว่า น่ารื่นรมย์กว่า มีความสุขมากกว่าคอยพวกเขาอยู่ พวกเขายึดติดอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เคยชินเหล่านี้ และยึดติดอยู่กับคนที่เขารัก นี่จึงทำให้เราต้องต่อสู้กันระหว่างกายทิพย์กับกายเนื้อ และนั่นจึงทำให้เกิดความเจ็บปวด ถ้าหากเรารู้ว่าการตายเป็นเพียงการเกิดขึ้นมาใหม่ แล้วเราก็จะไม่กลัว เราก็จะรอคอยมันเมื่อเวลามาถึง
ขณะนี้เราจะเตรียมตัวสำหรับวันที่สวยงามนั้นได้อย่างไร? คนเป็นจำนวนมากเตรียมการเกิด การแต่งงาน แต่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับความตาย อันที่จริงแล้วความตายเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันควรจะเป็นวันที่สำคัญที่สุด ในการเกิดเราเพียงแต่มีกายเนื้อของเรา มีอิสรภาพที่จำกัดและมีขบวนการเจริญเติบโตที่ช้ามาก แต่ในการตายเราได้รับอิสรภาพที่กว้างขึ้น ได้กายทิพย์ที่สวยงามและเคลื่อนไหวสะดวกมากขึ้น ได้ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและได้อยู่ในโลกที่สวยงามกว่า เพื่อการพักผ่อน การเรียนรู้ การปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นและเพื่อความเจริญก้าวหน้า
ดังนั้น ความตายจึงเป็นเหตุการณ์ที่มีประโยชน์มากในการเร่งวิวัฒนาการของเรา ทำให้เราขึ้นสู่ระดับปัญญาที่สูงขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในการที่จะได้รับสถานภาพเช่นนี้หลังความตาย เราควรจะต้องดูแลว่าประสบการณ์ที่เราได้เก็บรวบรวมระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นประสบการณ์ที่น่ายินดี ที่มีคุณธรรมมากกว่า เพื่อว่าเวลาที่เราละจากกายเนื้อนี้ไปแล้ว เราจะไม่มีความเสียใจ ไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดีและไม่ยึดติด ดังนั้นเราเพียงแต่ก้าวสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็วมากและมีความสุขมาก เมื่อคนเราละจากกายเนื้อนี้ มีอุปสรรคอื่นๆ บางอย่างที่เพิ่มเข้ามาในความเจ็บปวดของเขา คือการร้องไห้และความเศร้าโศกเสียใจของคนรักที่อยู่เบื้องหลัง
คนส่วนมากจะร้องไห้เมื่อคนรักของเขาตายไปและเศร้าโศกอยู่เป็นเวลาหลายเดือน หลายปี สำหรับเราสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจะเข้าใจได้เพราะว่าเราได้สูญเสียคนรัก เพื่อนที่ดี เพื่อนที่สนิทสนม และเราก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นได้ไปไหน ชีวิตของเขาหรือของเธอดีขึ้นไหมหลังจากละโลกนี้ไป มีใครดูแลเขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราก็ทุกข์โศกและรู้สึกยึดติดกับดวงวิญญาณที่จากไป ความรู้สึกนี้จึงมีผลครอบงำต่อดวงวิญญาณที่จากไปและยับยั้งเขาในบางอย่าง ทำให้ความสุขของเขาลดน้อยลงไปและจำกัดอิสรภาพของเขาบางอย่างด้วย
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดและทางที่ถูกต้องก็คืออย่าไปเศร้าโศกเสียใจเมื่อคนรักตายไป ฉันรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่มันเป็นวิธีการเสียสละและความรักที่สูงส่ง เราควรจะรู้สึกมีความสุขว่าดวงวิญญาณของเขาถูกปลดปล่อยจากขีดจำกัดทางร่างกาย จากบ้านที่เป็น “คุก” นี้ ดวงวิญญาณมีอิสระที่จะบินไปทุกหนทุกแห่งที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ และทำในสิ่งที่เขารัก แต่เพราะว่าเราไม่สามารถมองเห็นหลังจากที่เขาตาย เราจึงไม่สามารถยินดีกับการตายของเพื่อนหรือญาติพี่น้อง
เราสามารถที่จะเรียนรู้ในการมองโลกหลังความตายด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ เราสามารถเรียนรู้ให้รู้ว่าจะตายอย่างไร เราสามารถเรียนรู้เพื่อมองดูชีวิตหลังความตายในดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ในมิติอื่นๆ เป็นจำนวนมาก และรู้สึกปลอดภัยและแน่ใจถึงความสุขของชีวิตหลังจากตายไปแล้ว และเราก็สามารถเห็นด้วยว่าคนที่เรารักได้ไปอยู่ที่ไหน และเราก็สามารถเลือกสถานที่ของเราที่จะไปหลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยวิธีนี้เราก็จะไม่กลัวความตายและเราจะไม่ร้องไห้ถ้ามีใครจากเราไป หรืออย่างน้อยถ้าเราร้องไห้ เราก็ไม่รู้สึกถึงภาระเช่นนั้น ความรู้สึกที่หนักหน่วงของการสูญเสียและเศร้าโศก เราอาจร้องไห้ในความสุขและความขอบคุณ
ชีวิตเราเป็นบวกมากขึ้นภายหลังการรู้แจ้ง
เมื่อเรามีประสบการณ์ที่เหนือโลก เราเรียกสิ่งนี้ว่าการรู้แจ้ง มีลำดับชั้นของการรู้แจ้งอยู่มากมาย และขณะที่ทำการประทับจิตกับอาจารย์ผู้มีความสามารถ เราจะได้รับประสบการณ์การรู้แจ้งบางส่วน เราสามารถที่จะมองเห็นโลกอื่นที่งดงามและมีประสบการณ์ถอดกายทิพย์ออกจากร่าง และกลับมาสู่ร่างเดิมเหมือนกับเมื่อเราตายแล้วจริงๆ ต่อจากนั้นเราก็จะรู้ว่าการตายมีความสุขอย่างไร เราจะละทิ้งความยึดติดในโลกนี้ได้และเราจะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจและหมด สิ้นจากความทุกข์ยากต่างๆ บางคนพูดว่าหลังจากที่พวกเขากลับจากโลกอื่นมายังโลกนี้ เขารู้สึกว่าเขาไม่ชอบโลกนี้เลยเพราะว่าเขารู้จักโลกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว แต่ก็น่าประหลาดที่พวกเขาต่างก็รักชีวิตของตน มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะห่อเหี่ยวใจหรือต้องการที่จะตายหรอกนะ มันไม่ใช่เช่นนั้นเพราะเขารู้ว่าชีวิตคือกระบวนการที่ต้องดำเนินต่อไป และรู้ว่าเขาจะไม่เคยตายเลย สิ่งนี้เองที่ทำให้คนเราเป็นบวกมากขึ้น ได้รับการช่วยเหลือมากขึ้นที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์เพียบพร้อมยิ่งขึ้น มีชีวิตที่เป็นประโยชน์มากขึ้น มีชีวิตที่เป็นผู้นำมากขึ้นต่อสังคมและตัวเขาเอง
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้อ่านพบในคัมภีร์หลายๆ เล่มว่านักบุญทั้งหลายได้ทุ่มเททำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ ท่านทั้งหลายได้อุทิศชีวิต แรงกายและภูมิปัญญา เพื่อรับใช้มวลมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านจิตวิญญาณ จงย้อนกลับไปดูชีวิตของพระเยซูซิ เราไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าพระองค์เป็นบุตรที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าหรอก เพียงแค่เห็นชีวิตของพระองค์ก็จะรู้ว่าพระองค์เป็นนักบุญโดยแท้ เรารู้แล้วว่าพระองค์ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ด้วยความอดทนต่อความยากลำบากและความยากจน เพื่อที่จะสอนสัจธรรม เพื่อที่จะเตือนให้ผู้คนระลึกถึงพระเจ้า พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก เธอจำได้ไหม พระองค์ได้เสกขนมปังเป็นจำนวนมากเพื่อเลี้ยงคนประมาณห้าพันคน และเธอจำได้ไหมพระองค์เสกน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น บุคคลเช่นนี้ไม่จำเป็นจะต้องอดทนต่อความยากจน แต่พระองค์ได้เลือกทำเช่นนั้น เพียงเพื่อรับใช้มวลมนุษย์ เพียงเพื่อปลุกมนุษย์ให้พบกับสัจธรรมซึ่งเป็นหลักการของพระเจ้า เพื่อช่วยเหลือเขาทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานและอวิชชาทั้งปวง
ตอนนี้หันกลับมาดูชีวิตของพระพุทธเจ้าบ้าง ไม่จำเป็นต้องพูดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคาทอลิก ไม่ได้เป็นคริสเตียน พระองค์เป็นคริสเตียนได้พอๆ กับพระเยซูนั่นแหละ พระเยซูก็เป็นพุทธศาสนิกชนได้เหมือนกับพระพุทธเจ้าเช่นกัน แล้วพระพุทธเจ้าทำอะไรบ้างล่ะ จริงๆ แล้วก็เหมือนกับพระเยซู เมื่อเราอ่านในพระสูตร เราก็จะทราบว่าพระพุทธเจ้ามีพลังมหาศาลและมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาก พระองค์มียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่ง พระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ก็สละราชสมบัติทั้งปวง และต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเดินทางไปยังที่ต่างๆ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนในการขออาหารเพื่อที่จะได้สั่งสอนสัจธรรม ความจริงพระองค์ไม่ได้ต้องการอาหารหรอก แต่พระองค์ต้องทำเช่นนั้นเพื่อแสดงความอ่อนน้อม ความกรุณา ดังนั้นใครก็ตามที่ให้อาหารแก่พระองค์ ถึงแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยเขาก็จะได้พรกลับไป ได้เรียนรู้ถึงการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เช่นเดียวกับพระเยซู พระองค์ไม่ได้ต้องการขออาหารหรือไม่ต้องการให้ใครมาให้อะไรแก่พระองค์ แต่พระองค์ต้องทำเช่นนั้น เพียงเพื่อให้ผู้คนได้พระพรและมีภูมิปัญญามากยิ่งขึ้น
อะไรที่ทำให้นักบุญเหล่านี้ไม่เห็นแก่ตัว นั่นก็คือพวกท่านได้รับความรู้เกี่ยวกับชีวิตที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดไป พวกท่านได้รับความสุขจากการรู้แจ้ง พวกท่านต้องการที่จะแบ่งปันความสุขเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นด้วย เพราะพวกท่านรู้ว่ามันทุกข์ทรมานอย่างไรที่ยังมีอวิชชา ความผิดพลาดต่างๆ และอาชญากรรมต่างๆ ล้วนมาจากอวิชชาทั้งสิ้น จริงๆ แล้วไม่มีอาชญากรใดๆ ในโลก อาชญากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คืออวิชชา ถ้าเรารู้ความลับของชีวิต รู้จักคุณค่าของชีวิต ถ้าเรารู้แจ้ง เราคงไม่ทำความผิดพลาดใดๆ ดังนั้นทุกคนที่ได้ทำความผิดพลาดกระทำอาชญากรรมต่างๆ พวกเขาไม่ควรถูกตำหนิ เป็นเพราะอวิชชาของพวกเขาต่างหาก
ดังนั้น นักบุญทั้งหลายแทนที่จะกล่าวโทษผู้คน ท่านจะพร่ำสอนวิธีให้มนุษย์หลุดพ้นจากอวิชชา วิธีการรู้จักตัวเอง วิธีการนำปัญญาอันยิ่งใหญ่ไปใช้ ฉันหมายถึงการใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกคนจะมีปัญญาซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเราเอง สิ่งนี้เราเรียกว่า อาณาจักรของพระเจ้า ความรุ่งโรจน์ การรับรู้หรือความรักนั่นเอง เมื่อเราได้พบกับอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ว่าจะโดยความพยายามของเราเอง หรือโดยการเรียนรู้จากคนที่เขารู้แล้ว เราจะเริ่มรู้สึกถึงความสมปรารถนา เราจะเริ่มรู้สึกถึงค่าของความรักและมีท่าทีในทางบวกต่อชีวิต ด้วยเหตุนี้นักบุญทุกท่านในอดีตจึงทำงานหนักมากเพื่อที่จะทำให้ผู้คนได้รู้แจ้ง ถึงแม้ว่าจะกระทำเช่นนี้ ท่านก็ยังต้องอดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ความไม่เข้าใจและความยากลำบาก บางครั้งแม้กระทั่งต้องเสี่ยงชีวิตของท่าน
ในกรณีของพระเยซูและท่านโสเครติสและพระพุทธเจ้า มีผู้คนมากมายที่ต้องการฆ่าและทำลายชื่อเสียงของพวกท่านเหล่านี้ แต่ถึงจะลำบากแค่ไหน นักบุญทั้งหลายมักจะอดทนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ นักบุญจึงเป็นผู้สร้างสันติสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นผู้ซึ่งนำสันติสุขมาสู่โลก เป็นกษัตริย์ที่ปราศจากบัลลังก์ เพราะท่านไม่ต้องการอะไรในโลกนี้เลย พระเยซูกล่าวว่าอาณาจักรของพระองค์อยู่ในสวรรค์ พระพุทธเจ้าก็ได้ละทิ้งอาณาจักรแห่งโลกนี้แล้ว ทั้งสองพระองค์มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าอยู่ภายในซึ่งเราเรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้า จงค้นหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นและสิ่งอื่นๆ ทั้งปวงก็จะมาสู่เธอ มันเป็นความจริงๆ
หลังจากที่เราได้เข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เราจะไม่ปรารถนาอาณาจักรใดๆในโลกนี้อีกเลย โปรดจงจำไว้ว่าขณะที่พระเยซูนั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางทะเลทราย และพญามารได้มา.... ความชั่วร้าย ซาตานมาผจญกับท่าน และกล่าวว่าถ้าท่านยอมก้มศีรษะให้ฉันๆ ก็จะยกไตรภูมินี้ให้แก่ท่าน พระเยซูกล่าวว่าไปอยู่ข้างหลังฉันซะ หมายความว่าไปให้พ้น พระองค์ไม่ต้องการสิ่งนี้หรอก ไม่ต้องการแม้แต่ 3 โลกไม่ใช่โลกเดียวด้วย ไตรภูมินี้รวมถึงสวรรค์ชั้นที่ 3 ด้วย แต่พระเยซูไม่ต้องการทั้งนั้น ขณะที่พระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์เป็นเวลา 49 วัน มีสิ่งที่เรียกว่าพลังลบพยายามที่จะชักนำพระองค์ไปในทางที่ไม่ดีหลายๆ อย่าง เสนอสิ่งต่างๆ ให้พระองค์แต่พระองค์ก็ไม่ต้องการ ดังนั้นสำหรับดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งเหล่านั้น ถึงแม้ว่าผู้คนจะยกย่องพระองค์เช่นกษัตริย์ มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็นกษัตริย์แห่งโลกนี้ แต่ผู้คนในโลกนี้ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในการกระทำเช่นนี้ เนื่องจากอวิชชาและความอิจฉาริษยาซึ่งมีอยู่ในสมองของปุถุชน อยู่ในพฤติกรรมของมนุษย์
ขณะที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่นักการเมืองทั้งหลายในสมัยนั้นต่างอิจฉาริษยาพระองค์ และเพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงฆ่าพระองค์เพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจพระองค์ ถ้าพวกเขาทราบว่าจริงๆ แล้วพระองค์ไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้อีกแล้ว พวกเขาก็จะไม่เกรงกลัวในอำนาจของพระองค์
จงสร้าง “โทรศัพท์” แห่งสวรรค์
การรู้แจ้งมีความจำเป็นอยู่เสมอแม้ว่าเราอยากจะอยู่ในโลกนี้หรือแม้ว่าเราไม่ต้องการสวรรค์ ในประเทศจีนเราพูดว่า “ประการแรกต้องรู้แจ้งก่อน” หมายความว่าให้ฝึกฝนตนเอง จากนั้นเราจึงสามารถดูแลครอบครัว ต่อไปก็สามารถช่วยชาติได้ และต่อไปเราก็สามารถนำสันติสุขมาสู่โลก ดังนั้นถ้าเราหมั่นพัฒนาฝึกฝนตนเอง เราก็จะช่วยนำสันติสุขมาสู่โลกโดยปราศจากการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องมีการประชุมเกี่ยวกับสันติภาพอีกความสงบจะแผ่ปกคลุมไปทั่วโลกโดยอัตโนมัติและเป็นธรรมชาติ ทำอย่างไรจึงจะฝึกฝนตนเองในชีวิตประจำวันได้ มันง่ายมากเราควรจดจำศีลให้ได้ พยายามรักษาศีลให้ดีที่สุด ถ้าศีลขาดลองพยายามใหม่อีกครั้ง ใช่ละต้องหันหน้าพึ่งพระเจ้า พึ่งพระพุทธเจ้า เพื่อขอความช่วยเหลือและการชี้นำ พระพุทธเจ้าหมายถึงมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ถ้าเราขอร้องพระองค์ด้วยความจริงใจเพื่อช่วยเหลือเราแล้วพระองค์ก็จะช่วยเหลือเรา
ผู้คนเป็นจำนวนมากเข้าโบสถ์เข้าวัดเพื่อสวดอธิษฐาน แต่บางครั้งมันก็ยากที่จะติดต่อกับพระพุทธเจ้าหรือพลังของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงรู้สึกว่าการสวดอธิษฐานนั้นไม่บรรลุผล เพราะว่าการติดต่อได้ถูกตัดขาดออกไป เช่นเดียวกับโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย แม้ว่าเราพยายามที่จะพูดแต่เป็นความพยายามที่ไร้ผล เราก็ได้แต่ส่งเสียงดังและเพื่อนบ้านก็จะได้ยิน แต่ไม่ใช่คนที่เราต้องการพูดด้วยซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ถึงแม้ว่าเพื่อนเราจะอยู่ไกลแสนไกลเราก็สามารถติดต่อเขาได้ทางโทรศัพท์ เหมือนกับที่ฉันกำลังพูดกับพวกเธออยู่ขณะนี้ เช่นเดียวกันถึงแม้ว่าพระเจ้าควรที่จะอยู่ไกลแสนไกลในสรวงสวรรค์ หรือมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งควรที่จะอยู่ในแดนพุทธเกษตรซึ่งอยู่สูงมากห่างไกลมากตัดขาดจากการติดต่อ ถึงแม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเราก็สามารถที่จะติดต่อกับท่านได้และขอรับความช่วยเหลือจากท่านได้
การติดต่อนั้นจะกระทำโดยผ่านสิ่งที่เรียกว่าการประทับจิต หรือสิ่งที่เรียกว่าพิธีล้างบาปเหมือนที่จอห์น แบ๊บติสได้กระทำ เหมือนกับพระเยซูได้กระทำ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นมากที่จะต้องมีมหาอาจารย์ที่มีกายเนื้อ มิฉะนั้นแล้วพระเยซูและพระพุทธเจ้าคงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ และนักบุญท่านอื่นอีกหลายท่านคงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ พระองค์รับทราบถึงสิ่งที่เราเรียกร้อง แต่เราก็ไม่สามารถได้รับคำตอบจากพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงต้องมาที่นี่เพื่อการติดต่อโดยตรงระหว่างสวรรค์กับโลก จากนั้นพวกเราก็จะไม่ถูกแบ่งแยกออกจากจักรวาลอีกต่อไป
แน่นอน เมื่อไรก็ตามที่มหาอาจารย์ลงมาสู่โลกนี้ มีผู้คนไม่มากนักที่จะมาหาท่าน ไม่ใช่คนทั้งโลกแต่มีเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น เหมือนกับที่เรามีโทรศัพท์สาธารณะเพียงบางเครื่องซึ่งดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย ดังนั้นเราจึงสามารถติดต่อกับผู้อื่นได้ด้วยโทรศัพท์สาธารณะนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโทรศัพท์ส่วนตัวใช้ก็ตาม ในทำนองเดียวกันใครก็ตามที่ติดตามนักบุญ ลูกศิษย์ที่มีอันดับชั้นสูงกว่าจะกระทำตัวเหมือนโทรศัพท์สาธารณะที่คอยเชื่อมระหว่างสวรรค์กับโลก บางทีอาจจะมีไม่มากนักแต่ก็ยังมีประโยชน์ แน่นอนถ้ามีมากขึ้นก็ยิ่งดี
เหมือนอย่างเช่น ถ้าเรามีโทรศัพท์ของเราเอง เราก็จะสามารถติดต่อกับสวรรค์ได้โดยตรงตลอดเวลา มหาอาจารย์เช่นพระเยซูหรือพระพุทธเจ้า ได้เสนอบริการแบบนี้มาให้ เพื่อที่จะสร้าง “โทรศัพท์” แห่งสวรรค์ ต่อมาทุกครั้งที่เราสวดอธิษฐาน คำอธิษฐานของเราก็จะได้รับการตอบสนอง เราจะทราบได้ด้วยตนเองหรืออย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง มันขึ้นอยู่กับอันดับชั้นของการปฏิบัติและความเข้าใจ บางคนมีอันดับชั้นที่สูงกว่า บางคนก็ต่ำกว่า มันขึ้นอยู่กับภูมิหลังและความเข้มแข็งในการปฏิบัติในชีวิตของเขา
โรคบางชนิดไม่อาจจะรักษาได้ ถึงแม้จะเป็นโรคที่ธรรมดามาก ฉันไม่ได้พูดถึงโรคชนิดใหม่ๆ ซึ่งยังไม่มียารักษาในขณะนี้ มันเป็นเพราะว่าเชื้อโรคเหล่านี้หยั่งรากลึกลงไปในอดีต หมอและนักวิทยาศาสตร์จึงไม่สามารถผ่านพ้นสภาพปัจจุบันเข้าไปถึงความจริงในอดีตอันแสนไกลเพื่อที่จะค้นพบรากเหง้าของมัน ถ้าคนเหล่านั้นเขารู้แจ้งด้วยตนเอง เขาก็จะรู้ถึงวิธีการรักษาตัวเขาเอง เขารักษาด้วยภูมิปัญญาของเขาโดยเข้าใจถึงสาเหตุของมัน โอ้! พวกเขาสามารถรู้ได้ด้วยตนเองหรือมันจะปรากฏแจ่มชัดขึ้น มันยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของพวกเขาด้วย ถ้าเราปรับระดับชั้นให้สูงขึ้น เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มใสชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าพวกเราเป็นกลุ่มที่เรียกว่าผู้เริ่มต้นอยู่ แน่นอนพวกเราก็จะไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก เป็นเพียงแต่รู้จากเสียงกระซิบภายในเท่านั้น แต่การรู้ชีวิตที่แท้จริงของเราเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยเราได้อย่างมหาศาล
ดังนั้น นักบุญทั้งหลายมักจะคอยช่วยเหลือผู้คน คอยตอกย้ำให้ผู้คนได้รู้แจ้ง ได้ติดต่อกับอาณาจักรของพระเจ้า กับพลังของพระเจ้า เราสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ในช่วงยังมีชีวิตอยู่ เราไม่จำเป็นต้องคอยจนกระทั่งเราตาย และไปรับประสบการณ์ของความเจ็บปวดของสิ่งที่เรียกว่าความตาย ถ้าเรารอจนเราตายเพื่อที่จะได้เรียนรู้หรือติดต่อกับสวรรค์ เช่นนี้แล้วการเรียนรู้ของเราก็จะมีขีดจำกัดมาก ลำดับชั้นของความเข้าใจของเราก็จะไม่สูงนัก ถ้าเราเรียนรู้ที่จะตายในช่วงที่มีชีวิตอยู่ เราจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะทำให้ก้าวหน้าถึงภูมิปัญญาที่สูงส่งกว่า และเราสามารถทำเช่นนี้ได้เหมือนอย่างที่เราได้เรียนรู้งานอดิเรก วิทยาศาสตร์แขนงใหม่ หรือวิชาการใหม่ๆ เราเรียนรู้ไปพร้อมๆกับหน้าที่การงานอื่นๆ เราสามารถจะดำเนินชีวิตและทำงานอย่างปกติ แต่เราจะแบ่งเวลาทุกวันเพื่อที่จะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่อยู่เหนือชีวิตนี้
เพื่อที่จะเรียนวิทยาศาสตร์แขนงนี้ เราไม่จำเป็นต้องมีชื่อสถานศึกษา ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางการศึกษา หรือสถานภาพทางการเงินใดๆ ไม่ต้องเสียเงินเพราะว่าภูมิปัญญานั้นมีอยู่ในตัวเราแล้ว ดังนั้นมหาอาจารย์ที่แท้จริงจึงไม่เรียกร้องเงินทองจากลูกศิษย์ เพราะว่ามันเป็นสมบัติของเราเองที่เราได้ค้นพบอีกครั้ง ถ้าฉันบอกเธอว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ภายในบ้านของเธอ เออ! แล้วฉันจะได้รับส่วนแบ่งบ้างไหม? ฉันไม่สามารถจะเรียกร้องมันได้ เพราะว่าขุมทรัพย์นั้นเป็นของเธอเอง ฉันเพียงแต่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนและได้บอกพวกเธอเท่านั้น
พลังของพระเจ้าทำงานผ่านอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่
อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา ธรรมชาติแห่งพุทธะก็อยู่ภายในตัวเรา คัมภีร์ไบเบิ้ลบอกเราเช่นนั้นและก็เป็นจริงเช่นนั้นด้วย “จงรู้ตัวว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตในตัวท่าน” ถ้าท่านมีพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวท่าน เราก็ควรค้นหาพระองค์และถามพระองค์ว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ทำไมปล่อยให้เราจมอยู่ในความมืด ทำไมพระองค์จึงไม่ดูแลชีวิตพวกเราและทำให้มันดีขึ้น พระองค์อยากจะช่วยเหลือเราเหลือเกิน แต่เราไม่ได้ร้องขอหรือเราร้องขอด้วยวิธีการที่ผิดๆ” ในคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้ว่า “จงเคาะประตูและมันจะเปิดออกมา จงร้องขอและเธอจะได้รับมัน” แต่เธอพูดว่าเธอได้ร้องขอทุกวันที่โบสถ์และที่บ้านทำไมเธอจึงไม่ได้รับคำตอบ
เธอลืมไปแล้วหรือที่พระเยซูกล่าวว่า จงร้องขอแต่ต้องร้องขอในนามของพระองค์ แล้วพระเจ้าก็จะให้แก่เธอ พวกเราต้องร้องขอต่อพระเจ้าในนามของพระองค์ไหม? และ “ไม่มีใครจะพบกับพระบิดาได้ยกเว้นโดยผ่านตัวข้าพเจ้า” มันหมายถึงว่าพระเยซูใหญ่กว่าพระเจ้าใช่ไหม? ใช่? ไม่ใช่เลย มันเป็นเพียงงานของพระองค์ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการพบประธานาธิบดี เราจะไม่สามารถขับรถผ่านเข้าไปข้างในได้ เราจำเป็นต้องถามเลขานุการของเขา นัดหมายไว้กับผู้ช่วยของเขา หรือใครก็ตามที่ดูแลเรื่องการนัดหมายให้กับแขก มันเป็นเช่นนั้นใช่ไหม? ไม่ได้หมายความว่าเลขานุการ ผู้ช่วยหรือคนที่นัดหมายนั้นยิ่งใหญ่กว่าประธานาธิบดี มันเป็นเพียงงานของเขาเท่านั้น
ดังนั้นตอนนี้ เธอก็จะบอกฉันว่า “แต่ฉันร้องขอต่อพระเยซูทุกๆ วันเราเป็นประเทศคาธอลิค ประเทศคริสเตียน ไม่ต้องมาบอกฉันว่าจะต้องทำอะไร ท่านเป็นชาวพุทธ” ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ชาวพุทธ ฉันเป็น “ลูกพระเจ้า” ชาวพุทธชาวคริสต์ทั้งหมดเป็น “ลูกของพระเจ้า” เราเพียงแต่เรียกพระเจ้าในชื่อที่แตกต่างกันในประเทศต่างๆ เหมือนกับที่นี่เธอเรียกภรรยาของเธอว่า “เกริด้า” ในอเมริกาพวกเขาเรียกเธอว่า “มาย ไว้ฟ” ในประเทศจีนพวกเขาเรียกเธอว่า “ไท่ไท่” ในเอาแลคพวกเขาเรียกเธอว่า “โวตอย” เพียงคำเดียวก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันมากมาย
ดังนั้นถ้าหากเราร้องขอต่อพระเจ้าในนามของพระเยซูทุกๆ วันในโบสถ์และเราไม่ได้รับความกรุณาใดๆ หรือไม่ได้รับแสงสว่าง มันเป็นเพราะอะไร? มันเป็นเพราะพระเยซูได้จากโลกนี้ไปแล้ว งานของพระองค์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องหาคนอื่นซึ่งทำหน้าที่เป็นคอมฟอตเตอร์ซึ่งพระเยซูได้สัญญาว่าจะส่งมาภายหลังจากพระองค์ได้จากโลกนี้ไปแล้ว บุคคลที่เรียกว่าคอมฟอตเตอร์เหล่านั้นคือผู้ที่ทำงานของพระเยซูต่อไปซึ่งเป็นงานที่พระองค์ยังทำไม่เสร็จ เพราะพระเยซูพูดว่า พระองค์จะเป็นแสงสว่างของโลกตราบเท่าที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เท่านั้น พระองค์ไม่ได้พูดว่าพระองค์จะเป็นแสงสว่างให้โลกตลอดไป เพียงตราบเท่าที่พระองค์อยู่ในโลกนี้เท่านั้น
แล้วพระองค์ก็สัญญาว่าจะส่งคอมฟอตเตอร์มาหลังจากนั้น บุคคลผู้ซึ่งสามารถปลอบโยนและทำหน้าที่แทนคนที่เรารัก อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถและมาตรฐานคล้ายคลึงกัน ดังนั้นท่านหมายความว่าหลังจากที่ท่านจากไปแล้ว ก็จะมีผู้ที่ให้แสงสว่างท่านอื่นลงมายังโลกนี้ เหมือนกับที่ก่อนหน้าพระองค์ก็มีผู้ให้แสงสว่างท่านอื่นๆ ลงมา เพราะฉะนั้นมีคนถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นมหาอาจารย์ในอดีตที่กลับชาติมาเกิดใช่หรือไม่ ท่านไม่ได้คัดค้าน เข้าใจไหม? มันคือจิตวิญญาณและพลังเดียวกันที่ไปเกิดในร่างที่แตกต่างกันเพื่อมาช่วยเหลือมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น พระเยซูกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้าพเจ้าแต่เป็นพระบิดาที่ทำงานผ่านตัวข้าพเจ้า” และเซ็นต์ปอลกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้า พระคริสต์อาศัยอยู่ในตัวข้าพเจ้า” มันหมายความว่าจิตวิญญาณเดียวกันทำงานผ่านเครื่องมือทางร่างกายที่แตกต่างกัน เพราะว่านักบุญผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแห่งพุทธะ
เพราะฉะนั้นมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งทั้งหลายผู้เข้าถึงระดับชั้นชั้นหนึ่งก็จะถูกขนานนามว่า พุทธะ เพราะว่าท่านเหล่านั้นแบ่งปันพลังที่ท่านมีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน ปัญญาเดียวกันและความสามารถเดียวกัน ถ้าหากใครต้องการมีประสบการณ์ของการรู้แจ้งนี้ ฉันก็มีความสุขที่จะรับใช้พวกเธอ เพราะว่าฉันดำเนินงานต่อจากพระเยซูและพระพุทธเจ้าในการรับใช้มวลมนุษย์โดยวิธีนี้ เหมือนกับที่พวกเธอรับใช้ประเทศของเธอโดยการเป็นหมอ วิศวกร หรือทนายความ ฉันรับใช้ประเทศของเธอ ฉันรับใช้โลก โลกทั้งโลก ในวิธีของฉัน เราเพียงแต่ทำงานที่แตกต่างกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องยกย่องชมเชยฉัน หรือตื่นเต้นกับงานของฉัน หรือถ้อยแถลงของฉัน ฉันเพียงแต่ศึกษาวิชาที่แตกต่างกันและสำเร็จจากโรงเรียนที่แตกต่างกัน ดังนั้นฉันจึงทำงานที่แตกต่างจากพวกเธอ ก็เพียงแต่เป็นงานหนึ่งเท่านั้น!
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:46 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ มหาวิทยาลัยมอนทรีออล ควีเบค, แคนาดา
17 เมษายน 2536 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์, ฟอร์โมซา กุมภาพันธ์ 2539
ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาอยู่ในประเทศอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ เป็นประเทศแห่งความเจริญรุ่งเรือง สันติภาพ ความรักความกรุณาและมนุษยธรรม เพราะประเทศของพวกท่านมีสิ่งซึ่งอีกหลายๆ ประเทศไม่มี ได้แก่ ความอบอุ่น และความรักตามประสามนุษย์ที่มีต่อกันและกัน รวมทั้งระดับมาตรฐานของจิตใจอันสูงส่ง ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากที่ทราบว่า ในประเทศของท่านไม่มีการตัดสินโทษถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งแสดงว่าในดินแดนแห่งนี้ “ความรัก” ปกครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้เราหวังว่าประเทศอื่นๆ จะได้เรียนรู้จากตัวอย่างของพวกท่าน ให้พระเจ้าเป็นผู้มอบความยุติธรรม และไม่มีการแก้แค้นกันเอง
ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับบุคคลบางคนซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ตัวอย่างเช่น ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัยชาวเอาแลคซึ่งได้รับการต้อนรับเข้ามาอยู่ในประเทศของท่านด้วยความ รักและไม่มีการแบ่งแยก พวกเขามีความสุขมากในประเทศแห่งนี้ ฉันมั่นใจว่าสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มผลบุญและพระพรมากมายมาสู่ประเทศอันยิ่งใหญ่ ซึ่งพวกท่านอาศัยอยู่ เฉพาะประเทศที่มีระดับจิตใจสูงส่งมากเท่านั้น ที่จะสามารถมีคุณสมบัติดีๆ เหล่านี้อยู่ในครอบครอง อันได้แก่ ความรัก ความกรุณา การไม่แบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ การไม่แยกเขาแยกเรา หากทุกชาติเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยโลกของเราก็คงจะกลายเป็นสวรรค์น้อยๆ ไปแล้ว
เราคือพระเจ้า
น่าเสียดายที่มีสิ่งต่างๆ มากมายที่คอยขัดขวางมิให้ผู้คนสามารถเข้าใจสัจธรรมขั้นพื้นฐานว่า ความรักคือกฎอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ดังนั้น หลายๆ คนจึงไม่ได้มีความสุขในชีวิตอย่างที่เขาควรจะมี
ยิ่งเรายึดติดกับชีวิตแน่นแฟ้นมากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีความสุขกับรสชาติของชีวิตได้น้อยลงเท่านั้น ดังนั้น คนที่รู้แจ้งจึงมีความสุขมากขึ้น และได้รับความพอใจมากขึ้น เมื่อพวกเขามีภาวะจิตใจที่มั่นคง เขาก็สามารถจะทำสิ่งที่น่าพิศวงได้มากมาย เพราะพวกเขาเงียบสงบพอที่จะเข้าใจว่าปัญญาของเขาอยู่ที่ไหน ความยิ่งใหญ่ของเขาอยู่ที่ไหน และสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้
เวลาที่เรามีเรื่องวุ่นวาย อยู่ในภาวะที่กระวนกระวายหรือต้องรีบเร่ง ส่วนใหญ่แล้วเราก็จะลืมสิ่งที่เราต้องการจะทำ หรือทำสิ่งต่างๆ ออกมาอย่างไม่สมบูรณ์ ดังนั้น จิตใจอันสงบของผู้รู้แจ้งจึงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากกว่าเดิม นี่แหละคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังศาสตร์แขนงนี้
จงหยุดนิ่งและรู้ตัวว่าฉันนั้นคือพระเจ้า “ตัวฉัน” ในที่นี้คือใครกัน? ก็คือ “ผู้ที่” อาศัยอยู่ภายในตัวเรา นี่แหละคือ “ตัวตน” ที่แท้จริง ดังนั้น เราจึงเป็นพระเจ้า การตระหนักรู้ในเรื่องนี้ไม่ใช่เกิดจากการที่เราได้ยินคนพูดแบบนั้น หรือเกิดจากความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการตระหนักรู้ด้วยตัวของเราเอง จำเป็นต้องมีเทคนิคพิเศษเหมือนกันศาสตร์แขนงอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
เราเรียนรู้และมีความชำนาญในเรื่องต่างๆ ของชีวิตก็โดยอาศัยการทดลองทำด้วยตนเองทั้งสิ้น ในทำนองเดียวกัน การรู้แจ้งก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยความพยายามมานะบากบั่น และด้วยประสบการณ์ของตนเอง เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงคงอยู่ตลอดไป นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงได้ยินบรรดานักบุญและนักปราชญ์จำนวนมากในทุกยุคทุกสมัยกล่าวว่า เราคือพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในตัวเรา ถ้าพระเจ้าอยู่ในตัวเราก็หมายความว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็คือพระเจ้า แต่ถึงแม้เราจะได้ยินเช่นนี้มาหลายครั้งหลายหน เคยอ่านคัมภีร์ไบเบิลมาหลายเล่ม เคยอ่านวาทะของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระโมฮัมเหม็ด และท่านอื่นๆ อีกมาก แต่เราก็ไม่สามารถเชื่ออย่างจริงจังว่าเราเป็นเช่นนั้น เราไม่สามารถค้นพบพระเจ้าซึ่งควรจะต้องอาศัยอยู่ภายในตัวเรา ทั้งนี้ก็เพราะเราขาดประสบการณ์ของตัวเราเอง เราไม่ได้รู้สิ่งนี้ด้วยการค้นพบของตัวเราเอง เราเพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น
ในสมัยโบราณ เมื่อวิทยาศาสตร์ยังเจริญก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน เราก็มีปัญหามากมาย แม้แต่ฝนก็ยังทำให้เราวุ่นวาย แม้แต่หิมะก็ยังทำให้เรากังวล ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เรื่องเล็กๆ หรือเรื่องใหญ่ๆ ก็สามารถขัดขวางภารกิจประจำวันของเราได้ ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เรามีร่ม มีเสื้อกันฝน เราก็สามารถเดินฝ่าฝนได้ เรายังสามารถมีความสุขกับฝน และทำงานในขณะที่ฝนตกได้ ยิ่งกว่านั้นเรายังมีรถยนต์ รถประจำทาง เรามีสิ่งต่างๆ มากมายที่จะป้องกันตัวเราจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงมีความสะดวกสบายมาก
ในสมัยก่อน ถ้าเราจะจัดให้มีการพบปะกันอย่างที่เรามีในวันนี้ พวกเราหลายคนที่อาศัยอยู่ห่างไกลมากๆ ก็คงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะระยะทางเท่านั้น แต่อาจเกิดจากฝน อากาศ หรืออะไรอย่างอื่นก็ได้ ดังนั้นในสมัยโบราณ คนจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ในภูเขา ใต้ต้นไม้ เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยธรรมชาติ ในปัจจุบันหลายคนก็ยังทำเช่นนี้อยู่ เช่น ในประเทศที่ยังไม่มีการพัฒนาบางประเทศซึ่งไม่ควรจะต้องเป็นเช่นนั้น
การรู้แจ้งก็เหมือนกัน ก็คล้ายกับเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตของเรา ทำให้เรามีความสุขไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร สมมุติว่าเราไม่มีเสื้อกันฝน ไม่มีร่ม ไม่มีรถยนต์ หากวันหนึ่งมีฝนตกเราก็ต้องหยุดงานทุกอย่างที่เราจะทำ เลิกทำสิ่งต่างๆ ที่เราอยากจะทำ หรือต้องการจะทำให้สำเร็จ
หากจะเปลี่ยนแปลงโลก ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ในทำนองเดียวกัน หากเรารู้แจ้งชีวิตก็จะดีเยี่ยม จะไม่มีอะไรในชีวิตที่เรียกได้ว่าเป็นความทุกข์ความน่ากลัวหรือปัญหาวุ่นวาย การที่เรามีสิ่งเหล่านี้ก็เพราะเราขาดการป้องกันเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฝน ถ้าหากไม่มีฝนตกเราก็จะไม่มีน้ำ ไม่มีต้นไม้ ไม้ดอกต่างๆ ก็จะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ พืชผลต่างๆ ที่เราต้องใช้ในการยังชีพก็ไม่สามารถเจริญได้ ดังนั้น ฝนก็ไม่ใช่สิ่งเลวรายอะไรในตัวของมันเอง แต่ที่มันทำให้เกิดความวุ่นวายก็เพราะเราไม่มีร่ม เราจึงต้องเดินอยู่ในความหนาวเย็นเป็นระยะทางหลายไมล์ เราจะรู้สึกหนาวสั่น เราจะเป็นหวัด เราจะเจ็บป่วย และเราอาจจะเสียชีวิตก็ได้ ถึงแม้ว่าฝนนั้นจะเป็นเพียงปรากฏการณ์ของธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์ และมีอันตรายน้อยมาก ดังนั้น หากเราไม่มีเครื่องมือป้องกันตัวของเรา แม้แต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามก็ยังกลายเป็นอันตรายต่อตัวเราได้
ดังนั้น คนจำนวนมากจึงอยากจะเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา แต่บรรดานักปราชญ์ผู้รู้แจ้งกลับกล่าวว่า “ไม่ใช่! ต้องเปลี่ยนตัวเธอเอง” เพราะถ้าเธอเปลี่ยนแปลงตนเอง เราก็จะเปลี่ยนแปลงโลกรอบๆ ตัวเรา และถึงแม้โลกจะยังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เราก็จะไม่ได้รับผลกระทบเลย หากแต่ละคนเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีสงคราม และจะไม่มีอุบัติภัยต่างๆ เกิดขึ้น หากทุกคนมีร่ม มีเสื้อกันฝน มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศหรือหยุดฝน หรือทำอิทธิปาฎิหาริย์เพื่อควบคุมฤดูฝนเหมือนกับหลายๆ คนต้องการจะเรียน และมีพลังปาฎิหาริย์แบบนี้? มันอาจจะหยุดฝนได้ อาจจะทำให้ฝนตกนานขึ้น อาจจะหันเหให้มันไปตกที่อื่นได้ และก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้อิทธิปาฎิหาริย์เหล่านี้มาก แต่ทำไมเราต้องไปกังวลด้วยล่ะ? เพียงแต่เราสวมเสื้อกันฝน ซึ่งราคาถูก เป็นของง่ายๆ และทุกคนก็สามารถใช้ได้ก็เพียงพอแล้ว
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าต้องการจะนั่งเรือข้ามแม่น้ำแต่เจ้าของเรือไม่ยอมรับท่าน เพราะท่านไม่มีเงินในตอนนั้น แน่ล่ะท่านยังเป็นพระภิกษุผู้สละโลกอยู่ ท่านไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไร ดังนั้น ท่านจึงไม่มีทางเลือกอย่างอื่นจึงต้องเดิมข้ามแม่น้ำไป ในปัจจุบันนี่ ก็ยังมีพวกโยคีหลายคนในอินเดีย ทิเบต และที่อื่นๆ ซึ่งสามารถจำทำเช่นนั้นได้
มีหลายคนถามฉันเกี่ยวกับเรื่องพลังอิทธิปาฏิหาริย์เพราะคนมักจะอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เขาไม่สามารถจะอธิบายได้ ระวังเรื่องที่วิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” ฉันก็ตอบพวกเขาไปว่า “ถูกต้อง! สิ่งเหล่านี้มีจริง แต่อย่างไรก็ดีเรื่องพวกนี้ไม่ควรนำมาใช้ส่งเดช และไม่ควรนำมาแสดงเพื่อเป็นการโอ้อวด”
แม้แต่พระเยซู ซึ่งมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์มากมายแต่ท่านก็ไม่ได้ใช้มันตลอดเวลา ท่านระมัดระวังมาก เพราะฉะนั้นท่านจึงปลุกคนตายเพียงคนเดียวให้ฟื้นคืนชีพได้ ท่านรักษาคนตาบอดเพียงสองคนให้หายจากโรค ไม่ได้เที่ยวปลุกคนตายให้ฟื้นชีวิตขึ้นมาตลอดเวลา ถ้าทำแบบนั้นก็จะทำให้กฎแห่งธรรมชาติเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นักบุญผู้รู้แจ้งเขาไม่ทำกัน
แต่ละคนจะต้องเรียนรู้ที่จะมีความปรารถนาอยู่ภายในหัวใจของเขา ที่จะรู้จักตัวเอง รู้จักพระเจ้า จากนั้นอาณาจักรของพระเจ้าจึงจะมา อาจารย์จึงจะมาช่วยบุคคลผู้นั้น ถ้าเราใช้อิทธิปาฏิหาริย์หรือใช้วิธีเหนือธรรมชาติเพื่อชักจูงให้คนเชื่อถือเรา เราก็นำคนให้ออกนอกลู่นอกทางโดยไม่รู้ตัว เพราะเราจะจำกัดพลังของพระเจ้าอยู่เพียงแค่ความสามารถในการทำปาฏิหาริย์เหล่านี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้จากบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญบางคน นอกจากนี้การที่เราทำเช่นนี้ จะเป็นการแทรกแซงธรรมชาติ และแน่นอนเราก็จะนำหายนะมาสู่ตัวเรา สิ่งที่เราแสวงหา คือ สิ่งที่เป็นนิรันดร เช่น ปัญญา ความรัก และความยิ่งใหญ่แห่งพลังจักรวาล ไม่ใช่เพียงแค่การได้รับพลังในระดับต่ำๆ ที่อยู่ในมุมเล็กๆ เท่านั้น
พลังปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การทำโดยไม่ต้องทำ
เมื่อเราได้รับปัญญาอันยิ่งใหญ่ เราก็จะได้รับพลังอิทธิปาฏิหาริย์จำนวนมากด้วย แต่ในเวลานั้น เรามีอยู่มาก มากจนเราไม่รู้ว่าเรามีอยู่มากแค่ไหน และสิ่งต่างๆ ก็หลังไหลออกมาจากตัวเราโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะทำมันเลย คล้ายกับคนที่รวยมากๆ เขาก็ไม่รู้ว่าเขามีเงินอยู่เท่าไร เขาไม่สามารถจะนับมันได้ เขาไม่เคยมีโอกาสเห็นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา
ดังนั้น ผู้ที่รู้แจ้งจึงมีความสุขอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยในเวลาส่วนใหญ่เขาจะมีความสุขอยู่เสมอ และแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความไม่มีสุข ซึ่งถูกนำมาให้เขาโดยการติดต่อใกล้ชิดกับบุคคลที่เขารัก ในตอนนั้นบางครั้งเขาก็อาจจะได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความรักที่เขามีต่อบุคคลนั้น เขาจึงอาจจะแบ่งปันความลำบากหรือความทุกข์ของบุคคลนั้นไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็จะมีความสงบมากอยู่ภายใน เขารู้ดีว่าความทุกข์เป็นเพียงสิ่งที่ไม่จีรัง เขาจะไม่ถูกลากเข้าไปจมอยู่ในความทุกข์เหมือนกับคนส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้าเราเพียงแต่ต้องการจะมีความสุขในชีวิตนี้ เราก็ควรจะรู้แจ้งด้วย
แน่ละ ฉันควรจะบอกพวกเธอด้วยว่า เธอจะต้องแสวงหาพระเจ้า เพื่อเห็นแก่พระเจ้าเท่านั้นไม่เพื่อเห็นแก่ความสุขในชีวิตนี้ แต่ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะมาด้วยกัน ถ้าเธอรู้แจ้ง เธอก็มีความสุข และยิ่งเธอมีความสุขมากขึ้น เธอก็จะเชื่อมั่นในการรู้แจ้งมากขึ้น เธอจะชื่นชมในธรรมชาติของพระเจ้ามากขึ้นด้วย จะมีประโยชน์อะไรที่ต้องมาคอยหวังที่จะมีความสุขถาวรในสวรรค์ ในเมื่อเราสามารถจะตักตวงมันได้ที่นี่ แม้จะอยู่ในความมืดและความทุกข์ยากทุกๆ นาทีของชีวิตของเรา?
ผู้ที่รู้แจ้งจะมีความสุขในทั้งสองโลก มีความสุขในสวรรค์ และมีความสุขในโลกด้วยในเวลาเดียวกัน ทำไมล่ะ? ก็เพราะเขารู้ว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในโลกนี้ก็เป็นพระประสงค์ของสวรรค์ด้วย มันเป็นการจำลองของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอาณาจักรสวรรค์ที่สูงขึ้นไป และเนื่องจากเขามีความผ่อนคลายอย่างมาก เขาไม่กลัวอะไรเลย ไม่กระวนกระวายใจ ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะมีความสุขอยู่กับสิ่งใด เขาก็จะมีความสุขถึงขีดสูงสุด
มีคนจำนวนมากคิดว่า หลังจากรู้แจ้งแล้วเธออาจจะไม่รู้วิธีรักภรรยาของเธอหรือรักสามีหรือลูกๆ ของเธออีกต่อไป แต่กลับเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม เพราะเฉพาะเวลาที่เธอมีความสุขมากๆ และได้รู้จักคุณค่าในตัวของเธออย่างแท้จริงเท่านั้น เธอจึงจะสามารถรักผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เพราะเธอได้เห็นเงาสะท้อนของภรรยาอยู่ภายในตัวเธอ ได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเธอเองอยู่ในตัวภรรยา เธอก็จะเคารพเขาและรักคุณสมบัติที่ดีทุกอย่างที่พระเจ้ามอบให้แก่บุคคลคนนั้น เพราะเธอตระหนักรู้แล้วว่าพระเจ้าได้ให้อะไรแก่เธออยู่ภายใน เธอก็ย่อมรู้ว่าพระเจ้าจะมอบคุณสมบัติที่ดีเหล่านั้นให้แก่ทุกๆ คนเหมือนกัน
แต่บางครั้งเราก็เลือกเดินในทิศทางตรงข้าม ดังนั้น เราจึงทุกข์ทรมาน และเราก็โทษพระเจ้า เราจะพูดว่า ทำไมพระเจ้ามีพลานุภาพมากมาย แต่ไม่สามารถจะเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นสวรรค์ พลังนี้ไม่ได้อยู่ในมือของพระเจ้า แต่อยู่ในมือของพวกเธอ ฉันรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้จากประสบการณ์ ไม่ใช่จากหนังสือหรือจากคัมภีร์เล่มไหน ฉันรู้สิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์ในชีวิตของลูกศิษย์ของฉันด้วย นี่แหละคือเหตุผลที่เรามาพบกันในวันนี้
ร่วมแบ่งปันความสุขแห่งการรู้แจ้ง
เป็นความมีน้ำใจดีของบันดาลูกศิษย์ของฉันที่ต้องการจะให้พวกเธอได้รับในสิ่งที่เขาได้ค้นพบ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องฝ่าความยากลำบากต่างๆ มากมาย รวมทั้งสิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่าย เพื่อที่จะจัดให้มีการพบปะกันในวันนี้ เราไม่ได้ทำสิ่งนี้ด้วยความกระหายที่จะให้พวกเธอ หันมาปฏิบัติตามหนทางของเรา แต่เรากระทำไปด้วยทัศนคติอันเปี่ยมสุขของบุคคลที่มีความสุข ดังนั้น เราจึงไม่สนใจที่จะต้องสวมใส่ชุดเสื้อผ้าพิเศษที่แสดงถึงการสละโลกให้พวกเธอเกิดความประทับใจ เราไม่ได้พยายามที่จะทำให้ตัวเรามีลักษณะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เธอเปลี่ยนศาสนา เราไม่ได้พยายามจะให้อะไรแก่เธอหรือแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์เพื่อให้เธอเข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกับเรา แต่เราทำในฐานะที่พี่น้องคนหนึ่งจะทำต่ออีกคนหนึ่ง เรากระทำลงไปก็เพื่อเห็นแก่การกระทำนั้น จริงๆ แล้ว เราก็ยังมีความสุขไม่ว่าพวกเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องนี้ก็ตาม เราจะยังมีความพอใจไม่ว่าพวกเธอจะมาหรือจะไป เพราะสำหรับเราแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะต้องเคร่งเครียดจริงจังอีกต่อไป ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำก็ไม่ต่างอะไรสำหรับเรา
ฉันอาจจะนั่งสบายอยู่บนยอดเขาในฟอร์โมซา และมีความสุขอยู่กับพลังสมาธิ หรือฉันอาจจะนั่งอยู่ที่นี่ ได้รู้จักผู้คนในโลกนี้มากขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรสำหรับฉัน ดังนั้น หากเธอรู้สึกว่าพร้อมทีจะรับความสุขนี้ ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริงเพราะมาจากส่วนที่เป็นรากเหง้า เนื่องจากเธอรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ โลกหรือนรก เธอก็รู้หมด แล้วเธอจะเลือกสิ่งทีเธอต้องการจะได้รับ ดังนั้นความสุขของเธอจึงเป็นความสุขที่แท้จริงและยืนยาว มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่เราเรียกว่าความสุขในโลกนี้ส่วนใหญ่แล้ว เราก็ไม่มีอิสระที่จะเลือกเอามาได้
บางครั้ง เราอาจจะถูกลากไปงานปาร์ตี้และเราก็พยายามจะมีความสุขในงานนั้น บางครั้งเราอาจจะถูกบังคับให้แต่งงาน เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองหรือธุรกิจ แล้วเราก็พยายามจะทำให้มันออกมาดีที่สุด บางครั้งเราก็ฝืนดำเนินชีวิตไปพร้อมๆ กับครอบครัวใหญ่ และพยายามจะหาเลี้ยงพวกเขา ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เราคิดว่าเราเก่งมากเพราะสามารถดูแลครอบครัวได้ แต่เราก็ไม่สามารถจะเลือกได้เสมอไป ดังนั้น เราจึงไม่รู้สึกว่ามีความสุขในหลายๆ สิ่งที่เราทำ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นผู้ควบคุมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน เป็นแค่ผู้มาเยือนคนหนึ่ง เราถูกลมพัดพาไป และเราก็ต้องไปพบกับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราหมดความสนใจและหมดสนุกในชีวิตเนื่องจากไม่รู้ว่าทำไมเราจึงต้องทำโน่นทำนี่ แต่หลังจากการรู้แจ้งมันก็จะต่างไป สิ่งใดที่เรามีความสุข เราจะมีความสุขจริงๆ เราจะเข้าใจคุณค่าของชีวิต รวมทั้งคุณค่าของสิ่งที่อยู่เหนือชีวิต
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกใด ชีวิตจะมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่ง คือ ด้านวัตถุ อีกด้านหนึ่ง คือ สิ่งที่คงอยู่ถาวร หากเรารู้จักเพียงแค่ด้านเดียว และไม่ได้รับอีกด้านหนึ่งเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในโลก เขาจะสนุกอยู่กับโลกวัตถุของสิ่งที่เรียกกันว่า ชีวิต แต่ไม่รู้จักภาพที่แท้จริงของสิ่งนั้น เขารู้จักแต่เงาของมัน ดังนั้นเขาจึงมีความสุขกับชีวิตที่เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น และกลัวว่าจะสูญเสียมันไป แต่บุคคลที่รู้แจ้งจะรู้จักทั้งสองส่วน ทั้งส่วนที่คงอยู่ถาวรและส่วนที่เป็นแบบจำลอง เขาสามารถจะมีความสุขกับทั้งสองส่วนในเวลาเดียวกัน และสามารถจะเลือกมีความสุขกับส่วนใดส่วนหนึ่งก็ยังได้ แต่ฉันคิดว่า ไหนๆ เราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ก็น่าจะมีความสุขกับมัน ไม่มีอะไรในโลกที่ไม่น่าอภิรมย์เลย จริงๆ นะ เว้นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่น
ดังนั้น เราจึงแนะนำให้กินอาหารมังสวิรัติ เพื่อให้ปลาสามารถแหวกว่ายอยู่ในทะเลได้นานเท่าที่มันอยากจะว่าย วัวก็สามารถกินหญ้าอยู่ในท้องทุ่งจนกว่าธรรมชาติจะทำให้มันต้องกลับไปอยู่ในที่ที่มันสมควรอยู่ เราก็สามารถมีความสุขกับสัตว์เหล่านี้ และสัตว์ก็สามารถมีความสุขกับเรา
ผู้ที่รู้แจ้งบางคน ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร หรือทำมากแค่ไหน แต่เขาเลือกที่จะดำเนินชีวิตภายใน ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิต เป็นด้านจิตวิญญาณของชีวิต ก็เลยทำให้ผู้คนยึดติดอยู่ในความคิดที่ว่า บุคคลที่รู้แจ้งทุกคนต้องเป็นเช่นนั้น คือ จะต้องไปที่เทือกเขาหิมาลัย ต้องไปอยู่ในถ้ำ ต้องสละละทิ้งสิ่งสวยงามทุกอย่างในชีวิตเพื่อที่จะรู้แจ้ง
แต่ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน เพราะเราจะอยู่ห่างจากโลกนี้มากเกินไป และหลายๆ คนจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากเกินไป แล้วเขาจะช่วยตัวเองได้อย่างไร? เขาจะรู้ในสิ่งที่เรารู้ได้อย่างไร? แน่ละ สำหรับคนที่เป็นนักบุญหรือบุคคลผู้รู้แจ้งนั้น คงจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์มากกว่าที่จะได้อยู่ห่างไกลจากโลกที่เคร่งเครียดวุ่นวาย และได้อยู่อย่างปราศจากความกังวลตามวิถีของบุคคลนั้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังมีพี่น้องชายหญิงอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือของเรา
อยู่ในโลกแต่อยู่เหนือโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีประโยชน์ หากนักปราชญ์ผู้รู้แจ้งกลายเป็นผู้ไร้ประโยชน์ ก็จะเป็นส่งที่สูญเปล่าของธรรมชาติ ดังนั้น เราจึงควรอยู่ในโลก แต่อยู่เหนือสิ่งต่างๆ เราสามารถจะมีบ้าน มีรถของเราเอง แต่เราไม่ตกเป็นทาสของทรัพย์สมบัติเหล่านั้นอีกต่อไป ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้เราก็ใช้มันไป ถ้าเราไม่มี เราก็ไม่ใช้ เป็นชีวิตที่เรียบง่ายมาก ฉันมีรถสวยๆ อยู่หลายคันตอนที่ฉันอยู่ฟอร์โมซา แต่ฉันขายมันไปก่อนที่จะออกเดินทางทั่วโลกในครั้งนี้ เพราะเราขาดเงินค่าตั๋วเครื่องบินนิดหน่อย ในอนาคต หากฉันไม่มีรถสวยๆ แพงๆ เหล่านี้อีก ก็ไม่มีปัญหา ฉันสามารถจะยืมจากคนนี้วันหนึ่ง แล้วยืมจากอีกคนหนึ่งในวันต่อมาได้ ทำไมฉันจะต้องมีรถเองด้วยล่ะ?
เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เราจะมีความสุขไปกับมันถ้าหากมันมีอยู่ แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความแตกต่างอะไรสำหรับเรา นี่แหละคือวิถีทางของจิตที่รู้แจ้ง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องคอยวิ่งหนีจากโลกแห่งวัตถุ แต่เราจะต้องอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ฉันคิดว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ที่จะปฏิบัติได้จริงๆ เพราะเราถูกห้อมล้อมด้วยวัตถุ คอยจนกระทั่งเราจากโลกวัตถุนี้ไปแล้ว เราก็จะสามารถมีความสุขกับบรรยากาศทางจิตวิญญาณของชีวิตที่แท้จริงได้อย่างสมบูรณ์ แล้วทำไมจะต้องรีบให้มันเป็นแบบนั้นด้วยล่ะ
หากทุกคนที่รู้แจ้งวิ่งไปที่ภูเขาหิมาลัยแล้วอยู่ที่นั่นกันหมด อีกไม่นานเราก็คงไม่มีบุคคลรู้แจ้งหลงเหลืออยู่เลย และคนอื่นๆ ก็คงไม่รู้จักการรู้แจ้ง เราเพราะทุกคนหายไปหมดแล้ว ไม่มีการติดต่อ ไม่มีข่าวสาร ไม่มีตัวอย่างให้ดู ไม่มีใครมาเดินอยู่ข้างๆ เรา คอยแนะนำเราเกี่ยวกับเรื่องสุข เรื่องทุกข์ของโลกนี้ หรือคอยให้กำลังใจเราในการดำเนินชีวิตตามแบบเทวดา หรือแบบพระเจ้า
ในสมัยก่อนเป็นเรื่องยากมากที่จะรู้ว่าบุคคลที่เป็นอาจารย์อยู่ที่ไหน และใครเป็นบุคคลที่รู้แจ้ง ผู้คนต้องปีนเขาข้ามน้ำข้ามทะเล ได้รับความยากลำบากมากมายในการค้นหาบุคคลที่รู้แจ้ง ดังนั้นในสมัยโบราณ โลกของเราจึงไม่มีการพัฒนามาก ผู้คนมีชีวิตอยู่ในความยากจน ไม่มีความสะดวกสบายอะไรมาก เพราะฉะนั้น ฉันจึงคิดว่า สถานการณ์ของยุคโบราณไม่สมบูรณ์แบบดีนัก ฉันคิดว่าบุคคลที่รู้แจ้งควรจะต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ ต้องทำสิ่งต่างๆ ที่เขาควรจะต้องทำ ต้องดูแลคนที่พระเจ้ามอบมาให้แก่เขา รวมทั้งมีความสุขและรู้แจ้ง เพราะถึงแม้เธอจะวิ่งหนีไปอยู่ในป่า เราก็ไม่สามารถวิ่งหนีไปจากจักรวาลได้ เราก็ยังอยู่ที่นี่ เราจะหนีไปไหนได้?
หลายๆ คนคิดว่าผู้รู้แจ้งจะต้องมีลักษณะพิเศษ อาจจะต้องมีหนวดเครายาวมาก บังเอิญฉันไม่มีเลย แต่สำหรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันแล้ว ฉันคิดว่าฉันสามารถจะปลูกหนวดเคราได้ด้วยซ้ำ เหมือนการใช้สารเคมีบางอย่าง? หรือบางทีคนที่รู้แจ้งควรจะต้องอยู่ที่ภูเขาหิมาลัย จริงๆ ก็มีคนที่รู้แจ้งบางคนอาศัยอยู่ที่หิมาลัย แต่ไม่ใช่ทุกคนต้องทำอย่างนั้น
ฉันไม่อยากจะอ้างถึงคัมภีร์ไบเบิล หรือพระสูตรอะไรอีกแล้ว มิฉะนั้น ฉันอาจจะมีปัญหายุ่งยากตามมา ฉันจะพูดในสิ่งที่ฉันรู้ก็แล้วกันลืมเรื่องคัมภีร์ไปได้เลย ตอนแรกฉันคิดจะอ้างพระสูตรของพุทธศาสนาให้พวกเธอได้ฟัง แต่มาคิดแล้วก็ไม่เอาดีกว่า ยิ่งเธอรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี (คนหัวเราะ) ยิ่งเรียบง่าย เธอก็ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากซับซ้อน หรือเรื่องไร้สาระเพิ่มเข้ามารกในสมองของเธอ เพราะคัมภีร์นั้นไม่สามารถทำให้เรารู้แจ้งได้ รายการอาหารไม่สามารถจะทำให้ความหิวของเราได้รับการตอบสนอง สิ่งที่เราต้องการคือการสอนโดยตรง
หันเข้าสู่ภายในและฟังคำสอนแห่งสวรรค์
มีคำสอนอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกคือคำสอนทางทฤษฎี ซึ่งมาจากอาจารย์ต่างๆ ในขณะที่อาจารย์เหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ เพื่อใช้สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตนในสังคม คำสอนแบบนี้มีไว้สำหรับความคิดจิตใจ เพื่อจะได้ปรับตัวเข้ากับขนบธรรมเนียมและกฎหมายของประเทศนั้นๆ ในยุคสมัยนั้นๆ โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีไว้สำหรับแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของพวกลูกศิษย์ เพื่อแนะนำเขาในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต เช่น ด้านการเมือง ธุรกิจ ชีวิตสมรส อะไรทำนองนี้ แต่คำสอนพวกนี้เป็นเรื่องทางโลกทั้งนั้น เป็นระดับของโลกวัตถุ ยังมีคำสอนอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นคำสอนที่แท้จริง ดั้งเดิมและคงอยู่ตลอดไป คำสอนแบบนี้ไม่ใช่คำพูด สามารถกระทำได้โดยผ่านสิ่งที่เราเรียกว่า “การถ่ายทอดทางความคิด” เมื่อบรรดาลูกศิษย์หันเข้าสู่ภายในและฟังคำสอนจากสวรรค์
ในเวลาประทับจิตเราจะสอนพวกเธอว่าจะทำได้อย่างไร แต่ไม่ใช่เพราะว่าเราบอกเธอแล้วเธอก็สามารถทำได้ แต่เพราะว่าเธอพร้อมที่จะรับมันต่างหาก พลังของอาจารย์จะ “เปิดสวิทซ์” ให้แก่ปัญญาที่มีอายุเก่าแก่ของเธอซึ่งนอนหลับใหลอยู่ภายในตัวเธอมานานชาติแล้วชาติเล่าจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็เหมือนกับเวลาที่เราเปิดไฟความมืดก็จะหายไปในบัดดล นี่แหละคือกระบวนการรู้แจ้งฉับพลัน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับทุกคนที่มีความจริงใจและปรารถนาจะรู้ว่าเขามีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาสามารถจะติดต่อกับจักรวาลทั้งหมดได้อย่างไร พระเจ้าอาศัยอยู่ภายในตัวเขาอย่างไร ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทราบ จากนั้น สิ่งอื่นๆ ในชีวิตก็จะดูแลตัวของมันเอง นี่คือความจริง!
ฉันถามลูกศิษย์ของฉันทุกคน ไม่มีใครเลยที่บอกว่าเขาไม่ได้มีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือไม่ได้รับความพอใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือไม่ได้รับความพอใจมากขึ้นกว่าสมัยก่อน ไม่ได้ฉลาดขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ได้มีความสามารถมากขึ้น มีพลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพียงแค่ 2-3 อาทิตย์หลังจากนั้น หรืออาจจะ 2-3 วัน หลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถรับได้ดีขนาดไหน แค่หลังจากการประทับจิต 2-3 นาที หรืออาจจะระหว่างการประทับจิตด้วยซ้ำ เธอก็รู้แล้วว่าตัวเธอได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างถาวร และเธอได้เร่งความเร็วสูงขึ้นแล้ว เธอจะไม่ได้อยู่ในระดับมาตรฐานของมนุษย์อีกแล้ว แต่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มของนักบุญโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะภายนอกเลย ไม่ต้องวิ่งหนีไปที่ไหน ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธออย่างพลิกผัน เพียงแต่อยู่อย่างเดิมและมีความสุขกับโลกทั้งสอง มีความสุขกับชีวิตที่แท้จริง รวมทั้งสภาพจำลองอันอนิจจังของชีวิตที่แท้จริง นี่แหละคือสิ่งที่เราค้นพบ นี่แหละคือสิ่งที่เรายังค้นพบต่อไปเรื่อยๆ และเป็นสิ่งที่เราอยากจะแบ่งปันให้เธอได้รับรู้ (คนปรบมือ)
คำถามและคำตอบ
ถ: ท่านคิดว่าควรจะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องความเกลียดชัง ความรุนแรงในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น การมีอคติ หรือการเหยียดผิว หรือเราสามารถจะสื่อสารถึงคนที่ไม่ต้องการจะฟังอย่างไรดี?
อ: ฉันคิดว่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นผลมาจากจิตใจที่ไม่รู้แจ้ง ถ้าเรารู้แจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ปัญหาโดยไม่จำเป็นต้องพูดจากัน ไม่ต้องมีการเทศน์สอนกันเลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความโลภ อะไรพวกนี้ ล้วนมาจากการไม่รู้แจ้งในบุคคลนั้น เนื่องจากเขาไม่พอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ในชีวิต ไม่พอใจในกรอบของชีวิตที่เป็นอยู่ จึงกลายเป็นธรรมชาติและทำให้เขามีความปั่นป่วน ก้าวร้าว โกรธ และมีความโลภอยากได้เพิ่มมากขึ้น เพราะเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาพอใจมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น
จริงๆ แล้วรากเหง้าลึกๆ ของสิ่งเหล่านี้ก็คือ ความใฝ่หาสภาพที่จะได้มีความสุขมากขึ้นในชีวิต ซึ่งก็คือความใฝ่หาการรู้แจ้งในส่วนลึกๆ นั่นเอง ดังนั้น ถ้าเราต้องการจะรักษาโรคเหล่านี้ เราก็ต้องแนะนำเรื่องการรู้แจ้งให้เข้ามาอยู่ในชีวิตของผู้คน และทำให้เขามีความสุขกันมากขึ้น
ถ: ทำไมอัตตาของฉันจึงสูงขึ้น?
อ: ฉันจะรู้ได้อย่างไรล่ะ มันเป็นเรื่องของเธอ (คนหัวเราะ) บางทีอาจจะไม่มีใครเคยด่าเธอ บางทีตำแหน่งของเธออาจได้รับการยกย่องอย่างสูงในสังคม หรือบางทีเธออาจจะประสบความสำเร็จมากในธุรกิจของเธอ หรือบางทีภรรยาของเธอหรือสามีของเฮอาจจะเอาใจมาเกินไปก็ได้
บุคคลที่รู้แจ้งอย่างแท้จริง
ถ: ฉันอยากจะรู้แจ้ง ทำไมฉันจะต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการอยู่ในสังคมด้วยล่ะ?
อ: ทำไมถึงไม่ยุ่งล่ะ? มันเป็นทางเลือกของเธอ แน่นอน แต่ทำไมจึงต้องวุ่นวายเลือกโน่นเลือกนี่ด้วยล่ะ? เพราะเราเกิดมาในสังคมนี้ เราเป็นหนี้สังคมอย่างมาก เริ่มตั้งแต่เรารอดชีวิตมาได้ เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้รับความสะดวกสบายมากมายหลายอย่างที่มีอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น จึงเป็นการดีที่เราจะอยู่ในสังคมเพื่อจ่ายคืนในความกรุณาที่เราเคยได้รับ เพียงแค่อยู่ร่วมกับเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในนั้น และไม่แบ่งแยกว่า "ฉันรู้แจ้งนะ เขาไม่รู้แจ้ง ฉันเป็นผู้รู้แจ้ง ฉันจะไม่ยอมอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รู้แจ้ง" อะไรทำนองนี้
เมื่อบุคคลใดหันเข้าสู่ภายในตลอดเวลา เขาจะไม่สนใจรังเกียจว่ามีใครอยู่รอบตัวเขาบ้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ในสังคม หรืออยู่นอกสังคม เขาเพียงแต่เป็นตัวของเขาเองและทำสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องทำขณะนั้น อยู่ในปัจจุบันเสมอนี่แหละคือคนรู้แจ้งที่แท้จริง
ถ: เป็นไปได้ไหมที่จะตื่นขึ้นโดยไม่ต้องมีใครนำทาง ทางด้านจิตวิญญาน?
อ: ได้ เป็นไปได้มาก แต่ถ้าไม่มีใครนำทางเธอก็คงไปได้ไม่ไกลนัก เข้าใจไหมว่า การตื่นขึ้นและการตื่นอย่างสมบูรณ์เต็มที่นั้นต่างกัน ดังนั้น เมื่อมีอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเคยเดินทางจากโลกแห่งวัตถุไปสู่ระดับสูงสุดแห่งการรู้แจ้งมานำทางให้เธอ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เร็วที่สุดและปลอดภัยกว่า!
ถ: จากการรู้แจ้งนี้ หรือจากการประทับจิตนี้ เราสามารถจะนำคนทุกคนและสรรพสัตว์ทั้งมวลไปสู่การรู้แจ้งสูงสุดได้อย่างไร และจะทำลายสิ่งที่ไม่ดีหรือความทุกข์ยากทั้งมวลได้อย่างไร?
อ: เราคงไม่สามารถนำสรรพสัตว์ทั้งมวลไปสู่การรู้แจ้งสูงสุดได้เพียงเราเพราะว่าเรารู้แจ้ง แต่สำหรับเรา ตัวเราเองซึ่งเป็นผู้รู้แจ้งนั้น สิ่งต่างๆ ทั้งหมดและความทุกข์ยากทั้งหมดจะมลายหายไปนี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เมื่อเธอรู้แจ้ง เมื่อเธออยู่ในสภาวะสมาธิก็ไม่มีสรรพสัตว์ใดๆ อยู่ ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีอะไรอยู่เลย เมื่อเธอออกมาจากการรู้แจ้ง หากเธออยากจะออกมาจากสภาวะสมาธิ อยากจะติดต่อกับผู้ที่ยังไม่รู้แจ้ง ซึ่งยังเห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นความทุกข์ทรมานอยู่ เธอก็พยายามช่วยเขาดู ใครที่อยากรู้จักสภาพที่ไม่มีความทุกข์ก็มาได้เลย ถ้าเขาไม่มาก็ไม่เป็นไร เขาต้องเรียนรู้บทเรียนของเขา เธอไม่สามารถจะบังคับลูกๆ ในครอบครัวของเธอทุกคนให้เป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเพียงเพราะว่าเธอเป็นศาสตราจารย์ แต่เธอสามารถจะแนะนำเขาทีละขั้นทีละตอน จนกระทั่งเขาเติบโตขึ้นและมีการศึกษาพอที่จะเป็นได้เช่นเดียวกับเธอ
ถ: ฉันจะสามารถกำจัดความกลัวตายได้อย่างไร?
อ: โอ! ฉันตายทุกวัน ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเลย เมื่อเรารู้ว่าความตายก็เหมือนกับการก้าวเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง มันเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ ฉันอาจจะนั่งอยู่ที่นี่แล้วก็ตาย แต่เธอก็คงไม่รู้มันรวดเร็วมาก การก้าวจากระดับชั้นหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งเป็นกระบวนการเรียกว่าความตายสามารถทำได้ในหนึ่งวินาที เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว ถ้าเธอกลัวความตายก็จงมาหาฉันๆ จะสอนให้เธอรู้วิธีการตายทุกๆ วัน (คนปรบมือและหัวเราะ) เธอจะชินกับมันเอง ก็เหมือนกับเธอขับรถยนต์ครั้งแรก เธอยังไม่รู้วิธีขับรถเธอก็เลยกลัว ถ้าเธอขับรถอยู่ทุกวันเธอก็จะเคยชินกับมันไปเอง
ด้านที่เป็นบวก
ถ: ตามที่ท่านพูดมานั้นด้านบวกหมายถึงอะไร การอยู่ในทางบวกคืออะไร?
อ: ฉันเข้าใจละ ก็คงจะเป็นทัศนคติของคนบางคน เขาพยายามจะสะกดจิตตนเองให้คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดีเยี่ยม ในชีวิตนี้ทุกสิ่งสามารถเป็นไปได้ แต่การคิดเพียงอย่างเดียวก็ช่วยได้น้อยมาก ถ้าเรารู้จักรากเง้าของปัญหาทั้งมวลโดยการส่องคบไฟแห่งการรู้แจ้งไปทั่วทุกมุมของชีวิต เราก็จะจัดการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น ไม่ใช่ด้วยวิธีการทางด้านบวก แต่ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ไม่ว่าวิธนั้นจะเป็นไปในทางบวกหรือทางลบก็ตาม ถ้าเราอยู่แต่ทางด้านบวกและไม่สนใจอีกด้านหนึ่งของชีวิตซึ่งมีความสำคัญมาก ก็เหมือนเธอเลือกเอาแต่ผู้ชายไม่ในใจผู้หญิง เราจะทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า? ไม่ได้! เราทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นบุคคลที่รู้แจ้งจะรู้วิธีจัดการกับทั้งทางบวกและลบ ไม่ทิ้งอะไรไป แต่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีประโยชน์เต็มที่ต่อชีวิตนี้ และชีวิตที่ตามมาหลังจากนั้น ฉันไม่สอนให้ทำอะไรสุดโต่งไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
ถ: ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของเด็กของเรา ท่านรู้สึกมีความเชื่อมั่นมากในคนรุ่นต่อไปของเราหรือไม่?
อ: อนาคตของเราจะดีมาก ปัจจุบันมีคนรู้แจ้งเพิ่มมากขึ้นมากกว่าในสมัยพระเยซูหรือพระพุทธเจ้า หรือไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดในโลกนี้ ดังนั้น ฉันคิดว่าอนาคตของเราจะสดใสมาก ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว สถานการณ์ด้านการเมืองของโลกก็มีความหวังมากแล้ว หลายๆ ชาติที่เคยเป็นศัตรูตัวฉกาจกันมาก่อนก็หันมาจับมือกันและต้องการจะพูดคุยเกี่ยวกับการฟื้นฟูสันติภาพและเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจึงควรรู้สึกในทางบวก
ถ: เราสามารถจะหาเลี้ยงชีพของเราได้อย่างไรโดยไม่ไปฉกฉวยโอกาสในการหาเลี้ยงชีพของผู้อื่น? ยกตัวอย่างเช่น ถ้าฉันไม่ทำงานก็จะมีบางคนได้งานนั้นไปและมีความสุข ถ้าฉันไม่ตัดต้นไม้เพื่อเอามาเลี้ยงตนเอง ต้นไม้ทั้งต้นนั้นก็สามารถใช้เลี้ยงชีวิตสรรพสัตว์ได้อีกเป็นจำนวนมาก
อ: เธอมีงานทำก็เพราะพระเจ้าให้งานนั้นแก่เธอ แม้ว่าเธอจะออกจากงานนั้นก็ไม่มีใครมาเอางานนั้นไปได้หากงานนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเขา เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีความรู้สึกผิด อะไรที่เธอได้มาเธอก็จะได้มา เพียงแต่ว่าถ้าเราพยายามแข่งขันกับคนอื่นแล้วพยายามกดคนนั้นให้ต่ำลง พยายามใช้เล่ห์กลหลายอย่างเพื่อให้เขาหลุดจากตำแหน่งเพื่อเราจะได้แทนที่เขา ถ้าทำอย่างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเราได้มันมาตามธรรมชาติในสังคมที่มีการแข่งขัน ใครมาก่อนก็ได้ก่อน หากอีกคนหนึ่งเขาต้องการตำแหน่งนั้น เขาก็ควรจะเร็วเหมือนๆ กับเธอหรือมีความสามารถเหมือนเธอ
เรื่องการตัดต้นไม้นั้น เธอสามารถจะตัดต้นไม้แล้วปลูกเพิ่มขึ้นอีกสิบต้น เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไร ขอให้ปลูกต้นไม้มากขึ้น เราเคารพธรรมชาติแต่เราไม่เป็นทาสของธรรมชาติ ต้นไม้มีไว้เพื่อให้บริการแก่เราในหลายๆ ด้าน มันอาจจะให้ร่มเงาแก่เราเมื่อเราต้องการร่มเงา มันอาจจะทำให้บ้านของเราแข็งแรงถ้าหากในห้องต้องการเสามาช่วยเพิ่มความแข็งแรง มันอาจจะให้ความอบอุ่นแก่บ้านของเธอถ้าเธอต้องการฟืนมาก่อไฟ เพราะฉะนั้น อย่ากังวลเรื่องการตัดต้นไม้ถ้าได้รับอนุญาตให้ทำได้ ถ้าประเทศของเธอมีต้นไม้มากมายอุดมสมบูรณ์ เธอจะต้องดูสถานการณ์ ไม่ใช่เอาแต่คอยบูชาธรรมชาติ เพราะคุณค่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่สูงที่สุด ถ้าเธอตัดต้นไม้ลงหมดแล้วไม่ปลูกต้นใหม่เลยก็เป็นสิ่งไม่ดีแน่นอน แต่ถ้าเธอตัดหนึ่งต้นแล้วปลูกอีก 10 หรือ 20 ต้นจะมีอันตรายอะไรเล่า? เราไม่ควรจะเป็นพวกคลั่งไคล้อะไรจนมากเกินไป เราต้องยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ถ: การจะกลายเป็นเทวดาหรือปีศาจนั้น เราเป็นคนตัดสินใจเองใช่หรือไม่?
อ: ใช่ แน่นอน แต่สภาพแวดล้อมก็มีส่วนด้วย ถ้าเราไม่แข็งแรงพอที่จะยืนหยัดต้านทานสิ่งยั่วยวนในชีวิต แน่นอน เราก็จะตกลงไปอยู่อีกด้านหนึ่งของธรรมชาติซึ่งเป็นด้านลบ เมื่อเราแข็งแรงพอเราก็อยู่ตรงกลาง เราสามารถมีได้ทั้งทางบวกและทางลบถ่ายเทไปมา นี่แหละคือวิถีทางของบุคคลที่รู้แจ้ง
สภาวะสมาธิของอาจารย์ผู้รู้แจ้ง
ถ: เราจะบรรลุถึงสภาวะสมาธิที่ถาวรได้อย่างไร?
อ: สมาธิน่ะหรือ มีอยู่หลายชนิด แน่นอน บางชนิดก็อยู่ได้ไม่นาน ซึ่งแบบนี้คือแบบที่เธอจะได้ในการบำเพ็ญในระยะแรกหลังจากประทับจิต สมาธิบางชนิดก็คงอยู่เป็นเวลานานอาจจะนานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน หลังจากที่เธอฝึกไปสักระยะหนึ่ง สมาธิอีกชนิดหนึ่งเป็นสมาธิที่ธรรมดามาก คล้ายกับว่าเธอมีสมาธิอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงในขณะที่เธอทำงานอยู่ในโลกนี้ แบบนี้คือสภาวะสมาธิของผู้ที่เป็นอาจารย์ ดังนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์จึงดูคล้ายๆ กับสรรพสัตว์ธรรมดาสามัญทั่วไปแต่ปัญญาของท่านเด่นชัดมาก พระพรและพลังของท่านก็ชัดเจนมาก
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:47 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, สหรัฐอเมริกา
28 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์ฟอร์โมซา พฤศจิกายน 1995
เรื่องที่ฉันอยากจะพูดให้พวกท่านฟังในวันนี้ ก็คือ “อะไรคือความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา?” ทุกๆ แห่งที่ฉันไปมักจะบอกคนทั่วไปว่า “ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา” โดยพื้นฐานนั้นไม่แตกต่างกัน แต่ก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ต่างกัน เมื่อพระเยซูเจ้าและพระพุทธเจ้าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการรู้แจ้งนั้น ไม่มีอะไรต่างกันเลย
แต่ถ้าพวกท่านอ่านพระสูตรของพุทธศาสนาจะมีสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย พุทธศาสนามีรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ สมบูรณ์กว่าก็เท่านั้นเอง ถ้าหากพระเยซูคริสต์ได้มีชีวิตเทศน์สอนผู้คนนานกว่าสามปีครึ่ง ท่านก็คงได้เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับระดับชั้นต่างๆ เหมือนที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ นั่นแหละคือความแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ทางคริสต์นั้นมีคัมภีร์ไบเบิลเพียงอย่างเดียว แต่ฉันไม่ได้พูดว่าคริสต์ศาสนาไม่มีแก่นแท้สำคัญอยู่ในนั้นนะ แก่นแท้นั้นยอดเยี่ยมและก็มีทุกอย่างอยู่ในนั้น
พุทธศาสนามีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณมากกว่าคริสต์ศาสนา
เพียงแต่ว่าบางคนสนใจพุทธศาสนา เพราะคัมภีร์ทางพุทธศาสนามีประสบการณ์และการรู้แจ้งภายในให้ศึกษาได้กว้างขวางกว่า ซึ่งพระเยซูไม่มีเวลาเพียงพอที่จะกล่าวถึง ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูไม่ได้มีระดับชั้นสูงส่งเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าได้ผ่านระดับชั้นของจิตที่แตกต่างกันมากมายหลายอย่าง ได้พบสิ่งที่เรียกว่าระดับชั้นภายในเป็นจำนวนมาก ท่านจึงบอกลูกศิษย์ให้จดบันทึกไว้ นอกจากนี้ศิษย์ของพระพุทธเจ้าบางคนก็ไปยังระดับชั้นต่างๆ ด้วยตนเอง และบันทึกประสบการณ์นั้นไว้
ดังนั้น พระสูตรต่างๆ ของทางพุทธจึงมีเรื่องราวอันล้ำค่ามากมาย ส่วนทางคริสต์ศาสนานั้น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ได้รับการเบียดเบียนทางศาสนา พระเยซูเองก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน เราจึงไม่มีบันทึกอะไรมากเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกศิษย์รวมทั้งของผู้ที่เป็นอาจารย์ด้วย
ฉันจะพูดถึงพระสูตรเล่มหนึ่งของพุทธศาสนา พระสูตรนี้มีชื่อว่า “อมิตาภพุทธ” ในพระสูตรเล่มนี้มีบรรยายถึงประสบการณ์ของศิษย์คนหนึ่งของพระพุทธเจ้า ศิษย์คนนี้ก็คือราชินีองค์หนึ่งของอินเดียซึ่งถูกขังอยู่ในคุก ตอนที่เธอถูกขังอยู่ในคุก เธอก็อยากจะพบอาจารย์ของเธอมาก ซึ่งก็คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้าแห่งอินเดียนั่นเอง เมื่อเธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า อาจารย์ของเธอก็ปรากฏตัวมาหาเธอ ไม่ใช่มาในสภาพร่างกายปกติ แต่อยู่ในสภาพที่เรียกว่ากายที่เป็นแสงหรือนิรมาณกาย อาจารย์ท่านใดที่มีระดับชั้นสูงมาก ก็จะสามารถจะแสดงนิรมาณกายจำนวนมากให้ศิษย์ในที่ต่างๆ เห็นได้ในเวลาเดียวกัน
“อมิตาภะ” หมายถึง “แสงสุดประมาณ” พุทธะท่านนี้มีแสงสุดประมาณ แสงซึ่งไร้ขอบเขต ดังนั้น เมื่อราชินีแห่งอินเดียองค์นี้ ปรารถนาจะพบพระพุทธเจ้ามาก ท่านก็ปรากฏมาหาเธอในคุก ท่านปรากฏมาพร้อมกับศิษย์ของท่านคนหนึ่ง และจับมือของราชินีองค์นั้น และนำเธอไปยังดินแดนอีกแห่งหนึ่ง
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เราทราบแล้วว่ายังมีระดับชั้นของความเป็นอยู่อีกมากมายในจักรวาล บางแห่งก็มีผู้คนอยู่ บางแห่งก็ไม่แน่ชัดว่ามีผู้คนอยู่หรือไม่ พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบมานานแล้ว่า มีระดับชั้นของความเป็นอยู่จำนวนมากที่มีผู้คนอาศัยอยู่เหมือนกับบนโลกของเรา บางแห่งก็แตกต่างจากโลกของเรา บางแห่งมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า บางแห่งมีอารยธรรมความเจริญสูงกว่า บางแห่งก็ไม่เจริญเท่ากับของพวกเรา
ดินแดนอันบริสุทธิ์สวยงามแห่งอมิตาภะ
เมื่อพระราชินีองค์นั้นไปถึงดินแดนดังกล่าว เธอก็พบว่าพื้นของดินแดนแห่งนั้นปกคลุมไปด้วยทองคำ และแก้วผลึก บ้านเรือนทุกหลังถูกสร้างอยู่ในอากาศ ไม่ได้อยู่ติดกับพื้น และสร้างด้วยอัญมณีอันมีค่าต่างๆ เช่น ไพฑูรย์ แก้วผลึก ไข่มุก เพชร ทับทิม มรกต ฯลฯ เธอจึงรู้สึกว่าดินแดนนี้ช่างสวยงามจริง ๆ และผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั้นก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับเราแต่สวยงามกว่า เขาไม่ได้เดินหรือต้องมีการเดินทางอย่างพวกเรา ถ้าเขาต้องการจะไปที่ใดก็บินไป เมื่ออยากจะกลับก็บินกลับมา บรรดาเสื้อผ้าหรือสิ่งของต่างๆ นั้น หากเขาต้องการมันเมื่อไรมันก็จะปรากฏขึ้นทันที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแลกเงิน ออกไปซื้อของ รอเข้าคิวจอดรถ หรือมีความยุ่งยากอะไรต่างๆ เหล่านี้
นอกจากนี้ ในดินแดนแห่งนี้ ยังมีสระน้ำอมฤต ถ้าใครได้อาบหรือดื่มกินแม้เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกเบาสบาย สดชื่น และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ในดินแดนนี้บรรดานกและต้นไม้ต่างๆ จะเปล่งคำพูดที่เป็นธรรมะออกมา คำว่า ธรรมะเป็นภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง คำสอน คำสอน ซึ่งเป็นภาษาพูด บางครั้งคำนี้อาจหมายถึงสรรพสัตว์ หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจักรวาล และความหมายอันลึกซึ้งของคำนี้ก็คือคำสอนที่มองไม่เห็นหรือสัจธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้นคำนี้จึงสามารถนำมาใช้ได้หลายแบบ
ในดินแดนแห่งอมิตาภพุทธ บรรดานก ต้นไม้ สายลมจะพูดออกมาเป็นคำสอนแห่งสัจธรรมอันสูงสุด เมื่อผู้คนได้ยินสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นี้ เขาก็จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นในสิ่งสูงสุด เชื่อมั่นในพุทธะ และบรรดาผู้บำเพ็ญ หรือเหล่านักบุญรวมทั้งคำสอนต่างๆ ของนักบุญ
ทีนี้หากเราลองมาคิดถึงดินแดนอมิตาภะนี้ จะรู้สึกว่าเหมือนกับเป็นเทพนิยาย เพราะพื้นดินจะปกคลุมด้วยทองคำได้อย่างไร? บ้านเรื่อนต่างๆ จะสร้างอยู่กลางอากาศโดยไม่หล่นลงมาบนพื้นได้อย่างไร? และผนังกับเพดานจะสร้างด้วยแก้วผลึก เพชร ทับทิม และบรรดาอัญมณีมีค่าต่างๆ ได้อย่างไร เราอยู่ที่นี่เราต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะได้เพชรขนาดย่อมๆ มาได้สักเม็ดหนึ่ง เราต้องทำงานอย่างหนักเป็นเวลาหลายสัปดาห์จึงจะสามารถซื้อเพชรเม็ดเล็กๆ ได้สักเม็ด ฉันอยากจะพูดว่าลักษณะของเพชรก็คล้ายๆ กับน้ำหยดหนึ่งแค่นั้น เพียงแต่เพชรนั้นแข็งกว่าเล็กน้อย และพวกเราก็ต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก แต่ในดินแดนแห่งนั้นเขากลับใช้เพชร แก้วผลึก ทับทิม ฯลฯ มาสร้างบ้าน พวกเธอนึกภาพออกไหม?
นี่แหละเป็นจุดหนึ่งซึ่งชาวคริสต์ หรือศาสนาอื่นๆ ไม่สามารถจะเชื่อถือศาสนาพุทธ ก็เพราะว่าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าพูดมากเกินไป ที่เราเรียกว่า “พูดมาก” นั่นเอง จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดเอง ท่านไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้แก่เรา แต่เป็นพวกลูกศิษย์ที่ไปได้ยินประสบการณ์ต่างๆ เรื่องราวอันน่าทึ่งต่างๆ แล้วนำมาจดบันทึกไว้ให้ผู้อื่นได้รับรู้
ลูกศิษย์ของฉัน บางครั้งก็จดเรื่องราวต่างๆ ของเขาว่าอาจารย์พาเขาไปเที่ยวยังดินแดนไหน หรือประเทศไหนของจักรวาล แล้วก็จดบันทึกประสงการณ์ภายในของเขาไว้เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า เรื่องแบบนี้พวกเราจำเป็นต้องทำ และเมื่อลูกศิษย์คนนั้นตาย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? อาจจะมีญาติพี่น้อง หลานชาย หลานสาวของเขาบังเอิญได้รับมรดก ได้สิ่งที่เรียกว่า สมุดบันทึกทางจิตวิญญาณนี้ไว้ ซึ่งมีประสบการณ์ภายในบันทึกอยู่มากมาย เช่น วันนี้ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่พาเขาไปยังดินแดนแห่งพุทธะ แนะนำเขาให้รู้จักกับอาจารย์หรือพุทธะซึ่งอยู่ที่นั้นหรือบางทีอาจจะพาเขาไปหาพระเยซู พระแม่มารีหรือนักบุญคลาร่าหรือใครก็ตาม เขาก็มาเขียนบันทึกไว้ หากบันทึกนั้นอ่านแล้วน่าสนใจ ญาติพี่น้อง หลานชาย หลานสาวของเขาก็อาจจะนำมาตีพิมพ์ แล้วมันก็กลายเป็นเหมือนกับพระสูตรเล่มหนึ่งของพระพุทธศาสนา
นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องพระสูตรทั้งหลายในพุทธศาสนา พระสูตรหรือสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์เหล่านั้นไม่ได้มีการบันทึกหรือรวบรวมไว้ จนกระทั่งหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปประมาณหนึ่งร้อยปี ก่อนหน้านั้น เพียงแต่มีการเล่าสู่กันฟัง และลูกศิษย์ก็ไม่ได้บันทึกเอาไว้ เพียงแต่ฟังเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คัมภีร์ของพุทธศาสนามีความกว้างขวาง และมีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะพระพุทธเจ้ามีอายุยืนนานจนถึงประมาณแปดสิบปี ลูกศิษย์ของท่านจึงมีจำนวนมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องราวต่างๆ ก็ต้องมีอยู่มากมายด้วย นอกจากนี้ประเทศอินเดียสมัยนั้นมีความสงบสุขมาก ไม่มีใครเบียดเบียนพระพุทธเจ้าหรือลูกศิษย์ท่าน พวกเขาจึงอยู่ในช่วงที่มีความรุ่งเรือง และมีเวลาที่จะจดบันทึกรวมทั้งเก็บรักษาความทรงจำอันล้ำค่าของบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้น
ในขณะที่พระเยซูคริสต์นั้น ท่านต้องทำงานในที่ลับ ทำงานอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ถ้าพวกเธออ่านเรื่องราวต่างๆ เธอก็จะทราบ ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักขึ้นมาเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นเพียงสามปีครึ่ง เขาก็ฆ่าท่านและบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายต่างก็ต้องแยกย้ายออกไปคนละทิศละทาง ไม่สามารถทำงานอย่างเปิดเผยได้ ดังนั้นถึงแม้ว่า พวกเขาจะมีประสบการณ์ภายในก็ไม่สามารถจดบันทึกไว้ได้ หรือหากจดไว้ก็ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้อย่างดี เพราะรัฐบาลผู้ปกครองในสมัยนั้นจะคอยตามล่า และกำจัดพวกเขาทุกคน เพราะฉะนั้น เราจึงรู้สึกว่าดินแดนแห่งอมิตาภะเหมือนกับเรื่องราวของเทพนิยาย ผู้นับถือศาสนาคริสต์บางคนจึงรู้สึกว่าพุทธศาสนาเป็นเพียงจินตนาการ เป็นเพียงภาพหลอนหรืออะไรทำนองนั้น
อันที่จริง ดินแดนแห่งอมิตาภะมีอยู่จริง ลูกศิษย์ของฉันบางคนเคยไปที่นั่นหลังจากประทับจิตแล้ว บางคนก็ไปในตอนที่รับการประทับจิตนั้นเอง เพราะการเดินทางไปยังสถานที่เหล่านี้ไม่ต้องใช้เวลามาก เพียงแค่หนึ่งวินาที เธอก็ไปได้แล้ว และภายในหนึ่งวินาทีเธอก็กลับมาแล้ว ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความเปิดกว้างของจิตใจเรา เป็นช่องทางภายในหรือระดับการรู้แจ้งของเรานั่นเอง ดังนั้น จึงมีความแตกต่างกันระหว่างภาพหลอน จินตนาการ ภาพลวงตา และสิ่งที่มีอยู่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องภายในไม่มีอะไรจะพบจากภายนอก
ทีนี้ หากสถานที่ใดเป็นเพียงแค่ภาพหลอน หรือผลิตผลจากจินตนาการ คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถจะไปได้ มีเพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่สามารถไปได้ และสามารถไปได้แค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ 2 ครั้ง เพราะมันเป็นแค่ความฝัน เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น แต่ถ้าสถานที่ใดมีอยู่จริง ใครๆ ก็สามารถไปได้ทั้งก่อนหน้าเขาหรือภายหลังเขา ไปได้ทุกเวลา และสามารถยืนยันได้ว่าสถานที่นั้นมีจริง ดังนั้นหากเราไม่ได้ฝึกหัดวิธีการที่จะไปยังสถานที่เหล่านั้น เราก็ไม่สามารถจะรู้ว่าสถานที่เหล่านี้มีอยู่จริง
ศาสนาส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงหนทางให้คนได้ทราบ
ศาสนาส่วนใหญ่ในโลกนี้มีพื้นฐานมาจากหลักปรัชญาและการโต้แย้ง เช่น “มีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้า?” “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” และ “ทำไมจึงไม่เป็นเช่นนั้น?” ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ฉันไปบรรยายธรรม ฉันก็ต้องพูดถึงศาสนาต่างๆ และพูดให้คนเข้าใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้เกี่ยวกับพระจันทร์ สิ่งที่เล่าจื๊อพูดไว้เกี่ยวกับเต๋า และสิ่งที่พระเยซูได้กล่าวไว้เกี่ยวกับสวรรค์นั้น ก็คือสิ่งเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจงใจจะพูด และไม่ใช่หัวข้อที่ฉันชอบพูด จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ยาก
และเธอทราบอะไรไหม? หลังจากฉันตายไป คนที่มาภายหลังก็ต้องมาเพิ่มคำพูดบางคำของฉันเข้าไปอีก เพื่อที่จะเปรียบเทียบและทำให้คนรุ่นหลังเกิดความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่อนุตราจารย์ชิงไห่พูดก็คือสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าพูด เธอไม่จำเป็นต้องโต้เถียง ฯลฯ มันจะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เราจึงมีศาสนาอยู่มากมายบนโลกนี้ โดยไม่สามารถจะช่วยผู้ที่กำลังใฝ่หาได้เลย เพราะเรามัวแต่พูดถึงหลักปรัชญา ไม่ได้แสดงให้เขาทราบถึง “หนทาง”
“หนทาง” นั้นไม่สามารถแสดงได้ด้วยหนังสือหรือการพูด แต่ต้องด้วยประสบการณ์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “จงมองดูที่นิ้วของฉัน แล้วเธอก็จะพบหนทาง” ดังนั้นเมื่อพระราชินีองค์นั้นติดตามพระพุทธเจ้าไป เธอจึงได้เห็นดินแดนแห่งพุทธะ ได้เดินทางไปพร้อมกับท่าน นิ้วในที่นี้หมายถึงคำสอนหรือการติดตาม เชื่อมั่นในผู้ที่เป็นอาจารย์ และปล่อยให้อาจารย์พาเธอไปที่ใดที่หนึ่งซึ่งเหมาะแก่การบรรลุทางจิตวิญญาณของเธอในตอนนั้น นี่แหละคือความหมายความคำว่านิ้ว
ราชินีผู้นี้เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า ยอมปฏิบัติทุกอย่างตามคำสอนของผู้ที่เป็นอาจารย์ ดังนั้น ในคุกวันนั้นเธอจึงอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจที่ปรารถนาอย่างจริงจังว่า โลกนี้ช่างทุกข์ยากเหลือเกิน โอรสของเธอเองเอาเธอมาขังไว้ในคุก ดังนั้น เธอจึงรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ไม่มีความสุข ไม่มีความแน่นอน เธออธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าว่า เธออยากจะไปสถานที่บางแห่งในจักรวาลซึ่งมีความมั่นคงกว่า มีความรักมากกว่าและมีความกรุณามากกว่า ขอให้พระพุทธเจ้ามานำเธอไปยังดินแดนแห่งนั้น
หลังจากที่เธอกลับมาจากดินแดนอมิตาภะแล้ว เธอก็บันทึกประสบการณ์เหล่านั้นไว้ ต่อมาบันทึกเหล่านี้เกิดการรั่วไหลออกมา มีคนนำมาพิมพ์เผยแพร่ และเราก็ยังคงเก็บรักษามันไว้ในสภาพดั้งเดิมจนกระทั่งทุกวันนี้ มีคนจำนวนมากที่ทราบเนื้อหาในพระสูตรนี้ แต่มีน้อยคนนักที่จะได้รับประสบการณ์ของดินแดนอมิตาภะ
ในทางคริสต์ศาสนาก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่อุทิศตนอย่างจริงใจ ถ้าเราไม่ได้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ชาติต่างๆ ในอดีตที่จะโน้มเอียงมาทางด้านจิตวิญญาณ ก็เป็นการยากทีเดียวสำหรับผู้นับถือคริสต์โดยเฉลี่ยทั่วไป ที่จะมีประสบการณ์ถึงสวรรค์ระดับที่สอง สวรรค์ระดับที่ 3 แสงแห่งพระเจ้า หรือเสียงแห่งพระเจ้าที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลได้
ในคริสต์ศาสนา ก็มีพูดถึงประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าที่อยู่ภายใน เช่น เมื่อพระเยซูได้รับการล้างบาป ท่านก็ได้เห็นแสงสีขาวจากสวรรค์ พระจิตจากสวรรค์ลงมาเหมือนกับนกพิราบสีขาว ในปัจจุบันนี้มีพวกเรากี่คนที่ได้รับศีลล้างบาปแล้วมีประสบการณ์อันสูงส่งเช่นนั้นในตอนนั้น หรือตอนที่โมเสสไปที่ภูเขาซีนาย ท่านก็เห็นพระเจ้าปรากฏมาเป็นไฟดวงใหญ่ เป็นแสงขนาดใหญ่ คัมภีร์จึงเพียงแต่กล่าวว่าพระเจ้าคือแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ และเสียงของพระเจ้าคล้ายกับเสียงฟ้าร้อง คล้ายกับเสียงน้ำมากมาย จอห์นก็ได้ยินเสียงของทรัมเป็ตในสวรรค์ และยังมีบางคนซึ่งขึ้นไปถึงสวรรค์ระดับที่สาม ฯลฯ
ในปัจจุบันนี้มีใครที่ได้รับประสบการณ์เหล่านี้บ้าง? เธอจะเห็นว่ามีน้อยมาก แต่ก็พอจะมีนักบุญบางองค์ที่สูงส่งมากในคริสต์ศาสนจักร พวกเขาก็เคยได้รับประสบการณ์คล้ายกับที่มีกล่าวอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเหล่านี้ แต่ชาวคริสต์หรือแม้แต่ชาวพุทธโดยเฉลี่ยทั่วไปไม่สามารถจะมีประสบการณ์เหล่านี้เลย ดังนั้น ศาสนาทั้งมวลก็ดูเหมือนสูญเปล่าไปถ้าปราศจากประสบการณ์จริงๆ
ดังนั้นผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้รู้แจ้ง ก็คือ บุคคลซึ่งสามารถไปยังดินแดนที่เป็นแสง โลกที่เป็นแสงเหล่านั้นได้ตามใจปรารถนา อย่างน้อยพวกลูกศิษย์ของฉันก็ได้ชื่อว่า รู้แจ้ง เพราะเขามีประสบการณ์ทางด้านแสง คำว่า รู้แจ้ง (En-light-en-ed) หมายถึงว่า เธอต้องมีแสง (light) ด้วย เข้าใจไหม?
แสงนั้นอยู่ในตัวเธอ ในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์มีกล่าวไว้ว่า จงระวังให้ดี ดูแลแสงในตัวเธอ มิให้กลายเป็นความมืด และยังมีกล่าวด้วยว่า ถ้านัยน์ตาของเธอเป็นหนึ่งเดียว ร่างกายทั้งหมดของเธอก็จะเต็มไปด้วยแสง คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงแสงอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังพูดถึงเสียงของพระเจ้าชนิดต่างๆ หลายอย่าง เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงของน้ำมากมาย เสียงของทรัมเป็ตแห่งสวรรค์ เสียงพิณ เสียงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้
ถ้าหากเราไม่ได้เห็นพระเจ้าเลย อย่างน้อยเราก็ควรต้องเห็นแสงของพระเจ้าบ้าง เห็นการแสดงออกของพระเจ้าหรือได้ยินดนตรีแห่งสวรรค์ ซึ่งสะท้อนมาจากสวรรค์เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าเราอยู่ใกล้สวรรค์มาก ถ้าหากเราไม่ได้เห็นอมิตาภพุทธ หรือไม่เคยถูกพาไปยังดินแดนแห่งนั้น อย่างน้อยเราก็ได้เห็นแสงของอมิตาภพุทธบ้าง เพราะ “อมิตาภะ” หมายถึง “แสงสุดประมาณ” หรืออย่างน้อยเราก็ได้ยินเสียงต่างๆ จากดินแดนของอมิตาภะ เสียงของนกที่ร้องเพลง เสียงของใบไม้ เสียงของสัตว์ทุกชนิด หรือเสียงของพุทธะกำลังเทศน์คำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยเราก็ได้ยินอะไรบ้างจากที่ไกลๆ เราจะได้รู้ว่าเรากำลังอยู่ใกล้ดินแดนแห่งพุทธะนั้น หรือเรากำลังอยู่ติดพรมแดนของดินแดนพุทธะ มิฉะนั้นแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง พุทธะมีอยู่จริง หรือดินแดนแห่งพุทธะนั้นมีจริง?
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะกล่าวถึงเกี่ยวกับท่านอมิตาภพุทธ มีกล่าวไว้ในพระสูตรว่า ท่านอมิตาภพุทธนั้น ในขณะที่ท่านยังอยู่ในร่างกายเนื้อ คือ ขณะที่ท่านกำลังบำเพ็ญตนเป็นนักบุญเป็นโยคีอยู่นั้น ท่านมีปฏิญญาอยู่ 48 ข้อ ปฏิญญาข้อหนึ่งของท่านก็คือ ถ้าผู้ใดที่เคยได้ยินชื่อของท่าน สวดอธิษฐานถึงท่านแม้แต่เพียงครั้งเดียว ในช่วงเวลาที่เขากำลังจะตาย แน่นอนว่าจะต้องสวดอธิษฐานด้วยความจริงใจ ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเต็มที่ของบุคคลนั้น ท่านก็จะนำบุคคลนั้นไปยังดินแดนอมิตาภะ หรือดินแดนของท่าน แต่ดินแดนของท่านนี้ ตามที่กล่าวในพระสูตรนั้น มิใช่ดินแดนที่สร้างไว้พร้อมอยู่แล้วหรือซื้อมาจากสำนักงานบ้านและที่ดินหรือเป็นดินแดนว่างเปล่าที่มีอยู่ก่อนและรอเราอยู่ ดินแดนนี้สร้างขึ้นจากพลังจิตของท่าน จากความมีระเบียบวินัย และการบำเพ็ญอย่างเคร่งครัดของท่าน
นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้พุทธศาสนาดูแตกต่างตรงข้ามกับคริสต์ศาสนา ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระคริสต์ไม่มีเวลามากมายที่จะอธิบายรายละเอียดให้เราทราบได้ในข้อความที่สั้นๆ ขนาดนั้นว่า ท่านหมายถึงอะไร หรือบางทีท่านอธิบายไว้ แต่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ศาสนจักรไม่สามารถทนรับได้จึงตัดทิ้งไป ผู้มีอำนาจในสมัยนั้นได้ลบข้อความนั้นทิ้งไป อะไรๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ผู้ที่เป็นอาจารย์สามารถเนรมิตสวรรค์ใหม่ให้แก่เรา
ฉันจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอมิตาภพุทธให้ฟังต่อ ในขณะที่ท่านบำเพ็ญสมาธิอย่างเคร่งครัด และมีคุณธรรมนั้น ท่านปฏิญาณไว้ว่า ดินแดนที่ท่านสร้างขึ้นจะบริสุทธิ์เหมือนแก้วผลึก ล้ำค่าหมือนดังเพชร และทุกๆ คนสามารถไปที่นั้นได้ตลอดเวลา ถ้าผู้นั้นมีความปรารถนาอย่างจริงใจ ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังทำไม? เหตุผลก็คือ : มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีคุณธรรม และพลานุภาพสามารถจะพาเราไปยังดินแดนของท่านได้ ท่านสามารถจะเนรมิตสวรรค์แห่งใหม่ให้เราได้ด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับที่พระเยซูกล่าวไว้ว่า ในบ้านพระบิดาของเรามีคฤหาสน์อยู่มากมาย ลองคิดดูซิว่า บ้านต่างๆ เหล่านี้มีไว้ทำไม? คงไม่ใช่เป็นบ้านว่างๆ เตรียมไว้คอยพวกเราซึ่งหนักอึ้งเต็มไปด้วยบาป
ฉันจะบอกให้ว่า โลกนี้มีประชากรที่เชื่อมั่นในคริสต์ศาสนา เชื่อในพุทธศาสนา บางคนก็เป็นชาวมุสลิม บางคนก็เชื่อในศาสนาฮินดู ฯลฯ พวกที่ถือคริสต์อาจจะมีอยู่ประมาณหนึ่งในสี่ของโลกหรือย่างน้อยก็หนึ่งในห้า ใช่ไหม? ทีนี้ถ้าหากผู้ที่ถือคริสต์เหล่านี้ ซึ่งเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดกันหมด แล้วทำไมประชากรในโลกของเราจึงไม่ลดปริมาณลงสักหนึ่งในห้าเล่า? เข้าใจไหม? พวกเขาไม่ได้ไปสวรรค์หรอก บ้านและคฤหาสน์ของพระบิดายังคงว่างเปล่าอยู่เหมือนเดิม ถ้าคฤหาสน์เหล่านั้นมีจริงก็ยังคงว่างอยู่เพราะยังไม่มีใครขึ้นไป
นอกจากนี้ ก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อมั่นในพุทธศาสนา อย่างน้อยก็สัก 1 ใน 6 ของโลกนี้ เพราะพุทธศาสนาก็โด่งดังมากมีคนนับถือมาก แต่โลกของเราก็ไม่ได้มีประชากรลดน้อยลงไปเลย ไม่ว่าจะเป็น 1/6, 1/5, 1/10 หรือหนึ่งในเท่าไรก็ตาม แต่กลับมีประชากรเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ มีหลายคนที่นับถือศาสนาฮินดู อย่างน้อยพวกชาวอินเดียทั้งหลายก็น่าจะหลุดพ้นไปแล้ว แต่เราก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นแบบนั้น ชาวอินเดียยังเพิ่มปริมาณมากขึ้นๆ
ดังนั้น ศาสนาช่วยอะไรเราได้ล่า? ตอนนี้เธอคงจะรู้แล้วว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ทุกๆ ศาสนาต้องการจะช่วยผู้คนให้รอดพ้นจากความทุกข์ยาก จากความทุกข์ทรมาน และนำพวกเขาไปสวรรค์ แต่โลกของเรากลับมีประชากรเพิ่มมากขึ้น มีความทุกข์ยากเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะแก่นแท้ของศาสนาขาดหายไป อาจารย์ผู้รู้แจ้งขาดหายไป
สมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเป็นแสงของโลกนี้ ท่านเป็นแก่น และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพุทธศาสนา ดังนั้นหลังจากที่ท่านตายจากไป เราจึงเรียกตัวเราว่า “พุทธศาสนิกชน” ซึ่งหมายความว่าเรานับถือพระพุทธเจ้า เมื่อพระเยซูคริสต์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เป็นจุดศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างของคริสต์ศาสนา ท่านเป็นพระคริสต์ ผู้สูงสุด และมีอยู่ผู้เดียวในสมัยนั้น เป็นอาจารย์ผู้สูงสุด ดังนั้นหลังจากท่านตายจากไปหรือแม้แต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีคนเรียกตนเองว่าคริสต์ศาสนิกชน ซึ่งเป็นเครื่องหมายว่าเขานับถือพระคริสต์ ก็เหมือนกับชาวพุทธซึ่งนับถือพระพุทธเจ้า
เมื่อเล่าจื๊อยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่นับถือท่านก็เรียกตนเองว่า ชาวหลาว ชาวเต๋า หรือผู้นับถือเต๋า เมื่อขงจื๊อยังมีชีวิตอยู่ก็มีคนนับถือท่าน และแยกตัวออกจากคนอื่นๆ ซึ่งไม่มีอาจารย์ เรียกตนเองว่า ผู้นับถือขงจื๊อ ในหมู่คนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของขงจื๊อ พระพุทธเจ้าหรือพระคริสต์ เขาก็บอกว่าเขามีอาจารย์ ส่วนคนอื่นๆ นั้นแตกต่างจากเขา คนอื่นๆ อาจจะถือตามคำสอนอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีอาจารย์ที่รู้แจ้งอย่างแท้จริงเหมือนเขา เขาจึงต้องการจะแยกตัวออกให้เห็นเด่นชัดว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของเล่าจื๊อ พระพุทธเจ้า พระเยซูคริสต์ พระโมฮัมเหม็ด ฯลฯ พวกนี้ก็เรียกตนเองว่า ผู้นับถือโมฮัมเหม็ดด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเราจึงมีศาสนาต่างๆ มากมาย ที่กล่าวมานี้คือ มหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งทั้งหลาย เช่นพระพุทธเจ้า พระคริสต์ พระโมฮัมเหม็ด เล่าจื๊อ ขงจื๊อ ฯลฯ ท่านเหล่านี้คือแสงสว่างของยุคนั้น แล้วเขาก็ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ด้วยวิธีการบางอย่าง ด้วยเป้าหมายบางอย่าง หรืออาศัยความช่วยเหลือของบางสิ่งบางอย่าง เป็นการประกาศศาสนาของพวกลูกศิษย์นั่นเอง
ถ้าหากฉันเกิดมีชื่อเสียงแบบนั้นบ้าง บางทีฉันอาจจะมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ และบางทีคนอาจจะตั้งเป็นนิกายหนึ่งขึ้นมาก เรียกว่า “นิกายชิงไห่” หรืออะไรทำนองนั้น ดังนั้นคนก็จะรู้จักชื่อของฉันไปอีกนานหลังจากฉันตายไปแล้ว และพวกเขาก็กลายเป็นผู้นับถือนิกายชิงไห่ ผู้ถือศาสนาชิงไห่ อะไรแบบนั้น อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ นี่แหละคือวิธีการที่พระพุทธเจ้า พระคริสต์ ขงจื๊อ และเล่าจื๊อ โด่งดังขึ้นมาในประวัติศาสตร์
ยังมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกมาก แต่พวกเขาอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก บางทีคำสอนของเขาอาจจะมีอยู่น้อย ไม่มีใครเอาคำสอนของเขามาพิมพ์ ไม่มีใครประกาศข่าวสารอันสูงส่งของเขา เขาจึงไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก อาจารย์ท่านใดที่มาภายหลังพระคริสต์ พระพุทธเจ้า เล่าจื๊อ ขงจื๊อ หรือพระโมฮัมเหม็ด ก็ต้องถูกบดบังอยู่ในเงาของบุคคลเหล่านั้น เพราะท่านเหล่านี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และฝังแน่นอยู่ในใจของคนจำนวนหลายล้านคน ดังนั้นอาจารย์ท่านใดที่มาภายหลังท่านเหล่านี้ จึงต้องอ้างถึงคำพูดของท่านเพื่อที่จะแสดงว่าคำสอนของตนนั้นเป็นคำสอนที่แท้จริง เพื่อจะพิสูจน์ว่าคำสอนในปัจจุบันนั้นสอดคล้องกับคำสอนในอดีต แต่มันก็เป็นเรื่องที่ยากมาก
เมื่อพระเยซูลงมาในโลกนี้ ท่านก็มีความยากลำบากในเรื่องนี้ ท่านต้องคอยอ้างถึงอาจารย์ในอดีตอยู่เสมอว่า โมเสสพูดว่าอย่างนี้ คนนั้นคนนี้เคยกล่าวไว้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วท่านยังยังต้องปกป้องตัวท่านและคำสอนของท่านด้วย ท่านกล่าวว่า ดูสิ เรามิได้มาเพื่อทำลาย เราเพียงแต่มาทำให้สมบูรณ์ ท่านเพียงแต่มาเพื่ออธิบายคำสอนต่างๆ ที่เก่าแก่เหล่านั้น แต่คนในยุคนั้นก็ไม่ใจจุดมุ่งหมายของท่าน ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร คิดว่าท่านเป็นพวกนอกลู่นอกทาง เป็นการแสดงออกของพลังทางด้านลบหรืออะไรทำนองนั้น
คนเราก็แปลกเหลือเกิน ผู้ที่สอนในสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ดีงามจะเป็นพวกทางด้านลบหรือทางด้านเลวร้ายได้อย่างไรกัน? เขาจะเป็นลูกน้องของซาตานหรือของปิศาจได้อย่างไรถ้าเขาสอนคนว่า เธอต้องไม่ฆ่า เธอต้องไม่ผิดประเวณี เธอควรจะรักเพื่อนบ้านของเธอ เธอควรจะให้อภัยศัตรูของเธอ ฯลฯ? เขาจะเลวร้ายได้อย่างไรถ้าเขาสอนแบบนี้? ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีพลังของพระเจ้าเลย แต่ถ้าเขาสอนแบบนี้เขาก็ไม่มีทางชั่วร้ายได้เลย? ไม่ใช่หรือ? ดังนั้น บางครั้งเมื่อเราสืบสาวเรื่องราวในประวัติศาสตร์ยุคใดยุคหนึ่ง ก็จะรู้สึกประหลาดใจมากว่า ความไม่รู้หรืออวิชชาของฝูงชนนั้นบางครั้งช่างเหลือเชื่อจนไม่อาจจะเข้าใจได้จริง ๆ
พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านสอนผู้คนว่าอย่าไร? ก็เหมือนๆ กันคือ เธอต้องไม่ฆ่า เธอต้องไม่พูดปด เธอต้องไม่ลักขโมย เธอต้องไม่ทำร้ายผู้อื่น จงรักเพื่อนบ้านของเธอ จงมีความเมตตามาก ๆ ฯลฯ แต่ในสมัยพุทธกาล ก็ยังมีหลายคนที่คัดค้านท่าน กล่าวว่าท่านเป็นพวกนอกลู่นอกทาง นอกหนทางที่ถูกต้อง ฯลฯ ฉันจะสามารถเข้าใจความโง่เขลาหรืออวิชชาของคนจำนวนมาก ซึ่งพบได้ไม่ว่ายุคสมัยไหน ได้อย่างไรกัน? นี่แหละคือความยากลำบากในการนำผู้คนกลับสู่สวรรค์เพราะเขามีความคิดยึดติดอยู่ในความคิดเก่าๆ มากเหลือเกิน มีอคติมากมาย มีอวิชชาอยู่มาก มีความเห็นอันโง่เขลามากเหลือเกิน มีการยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ มีแนวคิดที่ล้าหลัง รวมทั้งไม่เข้าใจในแนวคิดเก่าๆ อย่างถูกต้อง
เข้าใจแก่นแท้ของคัมภีร์
ถ้าหากคนเข้าใจคัมภีร์จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ดีแต่เขาไม่เข้าใจกัน นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างบุคคลที่รู้แจ้งและบุคคลที่อวิชชา ผู้ใดที่รู้แจ้งก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระคัมภีร์ เขาจะเข้าใจคัมภีร์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและถูกต้อง ส่วนผู้ที่ไม่รู้แจ้งนั้นไม่ว่าเขาจะอ่านคัมภีร์นานสักแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะท่องจำคัมภีร์ได้มากสักเพียงใด เขาก็ไม่มีวันรู้อะไรเลย แต่กลับจะติดอยู่ที่นั่น ติดอยู่กับแนวคิดและความเชื่อที่ผิดๆ ของแนวคิดเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่า คัมภีร์ทางศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่ว่าพุทธศาสนาไม่ดี ไม่ใช่ว่าคริสต์ศาสนาไม่มีอะไรดี ทุกศาสนาล้วนดีเลิศหมด เพียงแต่ผู้คนไม่เข้าใจแก่นแท้ของศาสนา ไม่เข้าใจแม้แต่ความหมายที่แท้จริงของประโยค ยิ่งความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในประโยค หรือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของประโยคต่างๆ เขาจะยิ่งไม่รู้เรื่องมากขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูกล่าว่า ฉันคือแสงสว่างและหนทางของโลกนี้ ตราบใดที่ฉันมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเขาก็ติดค้าอยู่ตรงนั้น ชาวคริสต์จะกล่าวว่า “พระเยซูเป็นแสงสว่างเพียงดวงเดียว เป็นแสงสว่างและหนทางของโลกนี้อยู่ตลอดไป” ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านกล่าวว่า ตราบใดที่ฉันมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และหลังจากท่านไปแล้วท่านก็จะส่งผู้ช่วยเหลือมาหาเรา ซึ่งหมายความว่า ยังมีคนอื่นๆ ที่กำลังจะมา ยังมีประกาศกท่านอื่นๆ อีก
ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ติดค้างอยู่ตรงนั้นและเชื่อแต่พระเยซูเพียงคนเดียว การเชื่อถือพระเยซูเป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องยกตัวเราให้ขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับพระเยซู จึงจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านหมายความจริงๆ สามารถติดต่อกับท่านได้จริงๆ และจากนั้นก็ให้ท่านนำเรากลับไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้า ถ้าเราอยู่ที่นี่และพระเยซูอยู่ทางโน้นตลอดเวลา และเราไม่ได้ติดต่อกับท่าน ท่านก็ไม่สามารถจะช่วยใครได้ พระเยซูจะไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย ถ้าเราไม่ได้ติดต่อกับท่าน
ตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ เราสามารถติดต่อกับท่านได้อย่างง่ายดาย เราสามารถ “ลงทะเบียนชื่อ” ของเราไว้กับท่าน และบอกกับท่านว่า “ดูสิ พระเยซู, ฉันเชื่อมั่นในพระเจ้า, โปรดกรุณาพาฉันกลับไปบ้านด้วย” ท่านก็จะรู้ ท่านจะสัญญาว่า โอเค ใครที่เชื่อมั่นในตัวฉันก็จะได้กลับบ้าน นี่แหละคือสิ่งที่ท่านสัญญา แต่เมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว สนามแม่เหล็กของท่านก็ถูกดึงออกไปไกลจากตัวเรา ตอนนี้ท่านไปอยู่ในโลกอื่นซึ่งท่านไปสอนลูกศิษย์กลุ่มอื่นอยู่ อาจจะเป็นพวกที่ก้าวหน้ามากกว่าเรา เป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีกว่าเรา
ถ้าเราเชื่อมั่นในพระเยซูจริงๆ และต้องการจะเห็นท่าน เราก็สามารถไปได้ แต่เราต้องขึ้นไปถึงระดับที่ท่านอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติอย่างมานะบากบั่น อาศัยการทำสมาธิและคำสวดอธิษฐาน และอาศัยพระพรจากอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ ซึ่งมีร่างกายเนื้ออยู่นั้นก็มีจิตวิญญาณด้วย จะสามารถติดต่อได้ง่ายกว่า แต่ผู้ที่อยู่ในสภาวะของจิตวิญญาณแต่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถจะอยู่ในร่างกายได้ เข้าใจไหม?
จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความสำคัญมากกว่าอาจารย์ที่เป็นเพียงจิตวิญญาณ ก็ว่าเพราะเธอมองไม่เห็น เธอไม่สามารถจะขึ้นไปยังระดับนั้นได้ อาจารย์ที่ยังอยู่ในร่างกายก็อยู่ในวิญญาณด้วย ดังนั้นเมื่อพระเยซูยังอยู่ในโลกนี้ ท่านกล่าวไว้ว่าอย่างไร? เราและพระบิดาของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านยังอยู่ในโลกยังมีกายเนื้อ ต้องกิน เดิน ดื่มเหมือนคนอื่นๆ แต่ท่านกล่าวไว้ว่า เราและพระบิดาของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านไม่ได้พูดปด ท่านพูดความจริง เพราะว่าท่านอยู่ในร่างกายและในจิตวิญญาณ ท่านมีเครื่องมือทั้งสองอย่างสำหรับช่วยผู้คนที่ยังอยู่ในกายเนื้อ รวมทั้งผู้คนที่เป็นจิตวิญญาณด้วย
พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านยังอยู่ในกายเนื้อ ท่านก็สามารถไปสวรรค์ได้ ท่านพาลูกศิษย์ของท่านไปยังสวรรค์ต่างๆ มากมาย ถ้าเราอ่านคัมภีร์ต่างๆ ของทางพุทธ เราจะพบสวรรค์หลายแบบแตกต่างกันหรือดินแดนแห่งพุทธะ, อาณาจักรพระเจ้า ฯลฯ ดังนั้น ในเวลาเดียวกันท่านจึงสอนลูกศิษย์ซึ่งอยู่ในที่ต่างๆ กัน อยู่ในระดับชั้นต่างๆ กัน และสามารถนำคนไปยังสวรรค์ต่างๆ ได้ด้วย นี่แหละคือพลังของอาจารย์ที่ยังมีชีวิต อาจารย์ที่แท้จริงที่ยังมีชีวิตควรจะต้องมีพลังแบบนี้ ถ้าไม่มี ก็ไม่ใช่อาจารย์ที่มีชีวิต
ดังนั้น สำหรับพระเยซูแล้ว ท่านไม่ได้มีร่างกายเนื้ออย่างเดียว หลังจากที่ท่านเสียชีวิตท่านก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ท่านบินขึ้นไปบนสวรรค์ แต่นั่นไม่ใช่ร่างกายเนื้อจริงๆ เป็นกายแสง...กายทิพย์นั่นเอง
คัมภีร์ไบเบิลนั้นสั้นเกินไป ประสบการณ์ต่างๆ ก็มีอยู่ไม่มากหาพบได้ยาก ดังนั้น เราจึงไม่สามารถจะเข้าใจได้มากนักความคล้ายคลึงระหว่างประสบการณ์ของทางคริสต์ และประสบการณ์ของทางพุทธ แต่จากที่ฉันเข้าใจ และจากประสบการณ์ของตัวฉันเอง ฉันรู้ว่าพระเยซูมีพลังแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า สามารถปรากฏตัวที่ไหนก็ได้เวลาไหนก็ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านได้บรรลุถึงความเป็นพุทธะแล้วนั่นเอง
คำว่า “พระคริสต์” เป็นชื่อเรียกในภาษาฮิบบูร ซึ่งหมายถึง “พุทธะ” ส่วนคำว่า “พุทธะ” ก็เป็นชื่อเรียกของภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง “พระคริสต์” ความหมายของคำทั้งสองก็คือ บุคคลผู้รู้แจ้ง นักบุญผู้รู้แจ้ง อาจารย์ผู้มีชีวิตอยู่ องค์แห่งสัจธรรม, แสง และการช่วยให้รอด เมื่อใดที่เธอบรรลุถึงระดับของความเป็นพุทธะหรือพระคริสต์ เธอก็จะสามารถช่วยเหลือคนจำนวนมากมายที่มาหาเธอได้ ไม่ว่าใครมาขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอก็สามารถช่วยเขาได้ พลังของเธอไม่มีขีดจำกัด
สิ่งที่ยากมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ คนที่มาหาเธอจะมีอยู่ไม่มาก ไม่ใช่มากันหมดทั้งโลก เพราะคนส่วนใหญ่จะถูกปกคลุม บดบังด้วยอวิชชาของตน ด้วยความเข้าใจผิดๆ ว่าพุทธะต้องเป็นเช่นนั้น พระเจ้าควรจะเป็นเช่นนี้ มีภาพหลอนมากเกินไป ยึดอยู่กับหลักทฤษฏีคำสอน และความเชื่อที่ดันทุรังมากเกินไปทำให้คนเหล่านั้นอยู่ไกลจากองค์ความจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเธอนับถือพุทธศาสนา เธอก็จะติดอยู่กับพุทธศาสนา และเอาแต่สวดอธิษฐานต่อพระพุทธรูป โดยหวังว่าเธอจะได้รับความรอดหลังจากเธอตายไปแล้ว
ถ้าเธอมีความจริงใจอย่างแท้จริง เธอก็คงได้รับแน่นอน ถ้าเธอเรียกชื่อท่านอมิตาภพุทธซ้ำไปซ้ำมาอย่างจริงใจจริงๆ ความบริสุทธิ์ในก้นบึ้งของหัวใจของเธอก็จะเข้าถึงวิญญาณของท่าน และท่านจะช่วยให้เธอหลุดพ้นได้หลังจากที่เธอตายไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยหรือแม้แต่ในชีวิตนี้ก็ยังได้ แต่มีน้อยคนนักที่จะมีความบริสุทธิ์ด้วยตนเองได้มากถึงขนาดนั้น ดังนั้น พุทธะ พระคริสต์ หรือบรรดานักบุญจึงต้องลงมาในโลกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อปรากฏตัวอยู่ในร่างกายให้พวกเขาเห็น จะได้ติดต่อโดยตรงกับคนเหล่านั้น และช่วยพวกเขาให้กลับไปบ้านได้
ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า ในยุคสมัยต่างๆ จึงมีพระพุทธเจ้าลงมา พระคริสต์ลงมา พระโมฮัมเหม็ดลงมา ฯลฯ บุคคลเหล่านี้เราเรียกว่าประกาศก หรือผู้สื่อข่าวสารของพระเจ้า เขาเป็นผู้สื่อข่าวสารของพระเจ้าจริง ๆ เขาสามารถติดต่อกับพระเจ้าในสวรรค์ และติดต่อกับโลกนี้ได้ด้วย ก็เหมือนกับเธอเป็นเจ้านายใหญ่ในบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เธอมีสำนักงานอยู่ทุกแห่ง มีตัวแทนอยู่ทุกแห่ง และตัวแทนเหล่านั้นก็สามารถดูแลปัญหาต่างๆ ของผู้คน เมื่อคนเหล่านั้นมาที่บริษัทของเธอ แต่ถ้าเธอไม่มีตัวแทนอยู่ในออสเตรเลีย ยกตัวอย่างนะ ก็จะเป็นการยากที่คนจะรู้ว่าตัวเธออยู่ในเยอรมันหรือในอเมริกา...ยากที่จะรู้ว่าบริษัทของเธอขายโน่นขายนี่อยู่ในอเมริกา และการมีปัญหาจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ มากมายนั้น เธอจะต้องติดต่อโดยตรงเพื่อจะได้แก้ปัญหาเหล่านั้นได้
ดังนั้น ผู้สื่อข่าวสารของพระเจ้าหรือที่เรียกว่านักบุญผู้รู้แจ้งก็คือตัวแทนของพระเจ้านั่นเอง ถ้าเราได้ติดต่อกับท่าน เราก็ได้ติดต่อกับพระเจ้า และเป็นการติดต่อสายตรงเลย เวลาเราได้รับการรู้แจ้ง เราก็จะสร้างสวรรค์แห่งใหม่ขึ้นมา และเวลาเราทำความผิดหรือทำบาปเราก็สร้างนรกแห่งใหม่ขึ้นมา อย่าคิดว่ามีนรกอยู่แล้วรอคอยให้เราตกลงไป ไม่ใช่อย่างนั้น เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่ว่าสวรรค์หรือนรกเราก็สร้างเองทั้งสิ้น
จงสร้างสวรรค์อันสุดประมาณสำหรับตัวเธอเอง
ฉันจะเล่าเรื่องจากเทพนิยายของฮินดูให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งซึ่งร่ำรวยมาก เมื่อเขาตาย เขาก็ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตสวยงามแห่งหนึ่งในสวรรค์ เขาอาศัยอยู่ที่นั่นสบายไม่มีปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างสวยงาม เป็นคฤหาสน์ทองคำสำหรับเขา เขาอาศัยอยู่ที่นั่นหลายวัน แต่ไม่พบใครเลย ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย ดังนั้น เขาจึงเดินทางออกไปไกล และคอยถามเทวดาองค์หนึ่งว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคฤหาสน์ของฉันน่ะ? ฉันไม่มีคนรับใช้เลย ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครรักฉันเลย ทำไมล่ะ?”
เทวดาก็ตอบว่า “ก็เพราะตอนที่เธออยู่ในโลกนั้น เธอไม่ได้รักใครเลย เธอไม่ได้ปฏิบัติต่อคนรับใช้ของเธออย่างดี ดังนั้น เธอจึงไม่มีใครอยู่ด้วยที่นี่” ชายคนนั้นก็กลับไปยังคฤหาสน์ที่พักของเขาด้วยความทุกข์ใจอย่างมาก และเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้ เขากล่าวว่า “ถ้าฉันกลับมาใหม่ในคราวหน้า ฉันจะรักผู้คน จะได้ทำให้คนอยากมาอยู่กับฉัน เพราะตอนนี้ฉันเหงามาก” ในขณะที่เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น เขาก็เกิดหิวขึ้นมา จึงเข้าไปหาอาหารในครัว แต่ก็ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย ไม่มีเลย แม้แต่ขนมปังสักก้อนหรือจาปาตี้สักแผ่น จาปาตี้ก็คือขนมปังของอินเดีย ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกหิวมากและเฝ้าสวดอธิษฐานต่อเทวดาว่า “กรุณามาหน่อยเถอะฉันไม่สามารถไปหาทานได้ในตอนนี้ ฉันหิวมากเดินไม่ไหว กรุณามาหาฉันด้วยเถิด ฉันอยากทราบคำตอบอะไรบางอย่าง”
เทวดาก็รู้สึกเมตตาสงสารจึงมาหาเขา ชายผู้นั้นถามเทวดาอีกว่า “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ฉันไม่มีอาหารเลย ทำไมล่ะ? ฉันคิดว่าในสวรรค์น่าจะมีอาหารมากมาย ฉันมาที่นี่แต่กลับต้องหิวโหย ทำไมน่ะ? เทวดาจึงตอบเขาว่า “เธอก็เป็นคนทำขึ้นทั้งหมดแหละ ตอนที่เธออยู่ในโลก เธอไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย คนที่หิวโหยมาหาเธอ เธอก็ไม่เคยให้อาหารหรือที่พักเลย ดังนั้นตอนนี้เธอก็เลยได้รับแบบเดียวกัน เธอต้องสร้างมันขึ้นมาเองจึงจะสามารถมีสิ่งเหล่านี้ได้ที่นี่”
โอ! ดังนั้น ชายผู้นั้นก็เริ่มรู้แจ้งขึ้นมาบ้าง กล่าว่า “เอ้อ นั่นคือสิ่งที่ฉันได้รับจริง ฉันคิดว่าคงเป็นกฎแห่งกรรมนั่นเอง” และเขาก็ไม่มีอะไรจะดื่มด้วย เขาจึงรู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเขาไม่ได้หว่านอะไรไว้ในขณะที่ยังมีชีวิต เขาจึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวอะไรหลังจากเขาตายแล้วได้เลย หว่านพืชอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น ตอนนี้เขามีความทุกข์มาก เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ได้โปรดเถอะ กรุณาให้ผมได้มีเวลาอยู่ในโลกอีกสักหน่อยเถอะ อย่างน้อยสองสัปดาห์ก็ได้ ผมจะได้สร้างสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นกว่านี้ ผมจะได้มีอะไรกิน มีอะไรดื่มบ้าง”
เนื่องจากความจริงใจของเขา พระเจ้าก็ให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีก 2 สัปดาห์ ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์นี้ เขาก็ให้อาหาร เครื่องดื่ม และความรักแก่คนจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเขากลับมายังพระราชวังแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง เขาก็มีคนจำนวนมากมายรับใช้ และรักเขา รวมทั้งอาหารเครื่องดื่มต่างๆ ด้วย แต่นี่เป็นเพียงเรื่องสั้นๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น ในการที่จะสร้างสวรรค์อันสุดประมาณ สวรรค์ที่คงอยู่ตลอดไป เราจำเป็นต้องมีความมานะบากบั่น และมีคุณธรรมมากกว่านี้มาก
ทีนี้เธออาจจะถามฉันว่า “ฉันมีชีวิตนี้เพียงชาติเดียวเท่านั้น ฉันจะสามารถสร้างสวรรค์อันสุดประมาณให้แก่ตนเองได้อย่างไร?” ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องไปหาใครสักคนที่สร้างสวรรค์อันสุดประมาณไว้แล้ว และเธอก็ขอไปสวรรค์นั้นพร้อมกับเขา เธอก็จะอยู่ที่นั่นได้ แต่ตามที่มีกล่าวไว้ในพุทธศาสนา เรามีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่หลายชาติ เราไม่ได้มีอยู่เพียงชาติเดียว ดังนั้น เราอาจจะเคยได้สะสมบุญกุศล และคุณธรรมไว้มากพอแล้วที่จะไปอยู่ในสวรรค์อันสุดประมาณแบบนั้น เหมือนอย่างดินแดนอมิตาภพุทธก็ได้ ดินแดนนั้นท่านอมิตาภพุทธเป็นผู้สร้างขึ้นเอง
มีกล่าวไว้เช่นนั้นในคัมภีร์ไบเบิล และก็เป็นความจริง ดังนั้นเมื่อใดที่มีพุทธะผู้มีชีวิตอยู่บนโลก ก็จะมีคนแห่กันไปหาท่านเพื่อที่จะขอที่พึ่งหลบภัย เพราะพวกเขาไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถสร้างสวรรค์ให้แก่ตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นพุทธะ หรืออาจารย์ผู้รู้แจ้งก็จะบอกเขาว่า “นี่ เธอเป็นสวรรค์ของตัวเธอเอง เธอสามารถสร้างมันได้ด้วยระเบียบวินัยแบบนั้นแบบนี้ โดยอาศัยคุณธรรมอย่างนั้น การการบำเพ็ญอย่างนี้” เพราะว่าพระพรของพระเจ้าหรือความกรุณาของพุทธะนั้นไม่มีขีดจำกัด ถ้าเราหันไปพึ่งท่านเพื่อหลบภัย เราก็จะได้รับสิ่งนั้น”
พระเจ้าหรือธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นคือสิ่งที่เรามีอยู่ภายใน เป็นพลังอันไร้ขอบเขตซึ่งได้ถูกมอบให้แก่มนุษย์เท่านั้น เราสามารถจะค้นพบพลังอันสุดประมาณนี้ และสร้างสวรรค์อะไรก็ได้ที่เราต้องการ ลืมเรื่องนรกไปได้เลย ถ้าเราไม่สร้างนรกเราก็จะไม่มีนรก เราต้องดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของผู้ที่เป็นอาจารย์ ไม่ไปสร้างนรกใหม่ให้แก่ตนเอง สร้างแต่สวรรค์เท่านั้น
คำถามและคำตอบ
ถ: เกณฑ์ในการเลือกอาจารย์ มีอะไรบ้าง?
อ: ถ้าเธอรู้แจ้งอยู่บ้าง เธอก็จะรู้ทันทีว่าใครกำลังพูดถึงอะไร ถ้าอาจารย์ท่านใดซึ่งอ้างตนว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง สามารถทำให้เธอมีประสบการณ์ของแสงและเสียงแห่งสวรรค์ หรือได้เห็นสวรรค์บางอย่างซึ่งอาจารย์ท่านนั้นเคยไปมาแล้ว สามารถแบ่งปันพลังของท่านบางส่วนให้แก่เธอได้ทันที ท่านนั้นแหละคือผู้ที่เธอเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง
นอกจากนี้อาจารย์ที่แท้จริงสามารถปรากฏตัวได้ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา โดยไม่ต้องอาศัยวิธีการทางด้านวัตถุ ไม่ต้องอาศัยการเดินทาง นี่คือเกณฑ์ข้อที่สอง แต่ก่อนที่เธอจะมาถึงจุดนี้ เธอก็ต้องเลือกอาจารย์โดยดูจากคำพูดของท่านว่าตรงกับใจของเธอหรือไม่? มีเหตุผลหรือไม่? ฉลาดเพียงพอหรือไม่? ตอบคำถามของเธอได้ทุกข้อหรือไม่?
ลองพิจารณาดูคุณธรรมของอาจารย์ท่านนั้น ดูว่าท่านไม่ต้องการชื่อเสียง เกียรติยศจริงหรือไม่? ไม่มีความต้องการอะไรเลยหรือ? นี่เป็นลักษณะภายนอก ส่วนทางด้านภายในจะดูได้ตอนที่เธอประทับจิต แล้วเธอก็จะรู้ว่าอาจารย์ท่านนั้นมีพลังหรือไม่
เมื่อเธอบำเพ็ญอย่างจริงใจ อาจารย์จะปรากฏมาได้ทุกแห่ง ทุกเวลา เพื่อที่จะช่วยเธอ และเป็นเช่นนั้นมากขึ้นๆ ทุกวัน มิฉะนั้นแล้ว เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอาจารย์ ถ้าเขาไม่ได้ให้เงินแก่เธอเลย เธอจะเชื่อหรือว่าเขามีเงิน? เพราะฉะนั้น ถ้าเขารู้แจ้งจริง เขาก็ควรต้องให้แสงแก่เธอได้บ้าง ฉันหมายถึงว่า เธอก็ต้องได้รับการรู้แจ้งด้วย
ถ: ท่านช่วยกรุณาพูดถึงการนั่งสมาธิหน่อยได้ไหม?
อ: การนั่งสมาธิเป็นการฟังคำแนะนำจากพระเจ้าวิธีหนึ่ง ฟังข้อแนะนำต่างๆ ของพระเจ้า ทำไมเราจึงต้องนั่งสมาธิด้วยล่ะ? ก็เพื่อเป็นการสงวนเวลาไว้สำหรับฟังข่าวสารภายในได้บ้าง ถ้าเราขออะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา สวดอธิษฐานขออะไรบางอย่าง เราก็ต้องมีเวลาสำหรับฟังบ้าง ก็เหมือนกับที่เธอถามคำถามฉันนี่แหละ เธอก็ต้องเงียบสักพักหนึ่ง และพยายามฟังสิ่งที่ฉันตอบ
ทุกวันเราจะสวดอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ้ พระเจ้า โอ้ ท่านพุทธะ กรุณาให้สิ่งนี้แก่ฉันด้วยเถิด กรุณาบอกฉันหน่อยว่าควรทำอย่างไร ได้โปรดโน่น ได้โปรดนี่” แล้วเราก็ออกไปข้างนอก มัวแต่วุ่นวาย ส่งเสียงดังพูดคุยอยู่ตลอดเวลา ไม่ฟังอะไรเลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วการนั่งสมาธิก็ไม่ใช่อะไรอื่น เพียงแต่เป็นกระบวนการเงียบสงบภายใน นั่งนิ่งๆ และฟังดูว่าพระเจ้าตอบคำสวดอธิษฐานของเราว่าอย่างไร พุทธะแนะนำให้เราทำอะไร ก็มีเท่านั้นแหละ เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เมื่อเธอถามเธอก็ต้องการคำตอบ และเมื่อเธอต้องการคำตอบ เธอก็ต้องเงียบและฟังดู นี่แหละที่เรียกว่าการนั่งสมาธิ
ถ: ท่านอาจารย์พูดได้หลายภาษา และได้เดินทางไปตามที่ต่างๆ ทั่วโลก ทำไมท่านจึงเลือกดินแดนฟอร์โมซาในการมาสอนคำสอนของท่านเป็นแห่งแรก?
อ: คนฟอร์โมซามีความจริงใจมาก หัวใจของพวกเขาบริสุทธิ์มาก เขาสวดอธิษฐานกันจริงๆ ขอให้พระเจ้า, ให้พุทธะช่วยเขาให้หลุดพ้น แน่ล่ะก็มีบางคนเหมือนกันที่ขอแต่เรื่องทางวัตถุ ขอทรัพย์สมบัติทางโลก ฯลฯ หรือเพียงขอให้สมปรารถนาของโลกเท่านั้น แต่คนฟอร์โมซามีหัวใจบริสุทธิ์มาก เขาขอให้ฉันมาช่วยเขา เขาขออยู่ในใจตั้งแต่ก่อนฉันเดินทางไปหาเขา เขาไม่ได้นั่งสมาธิตามวิธีของฉันหรอก เขาเพียงแต่นั่งสมาธิเท่านั้น ก็คือ เขาคงต้องนั่งนิ่งๆ เงียบๆ และเขาก็เห็นฉันปรากฏมาแล้ว เพราะฉะนั้น พอฉันไปที่นั่นเขาก็จำฉันได้ เข้าใจไหม? หมายความว่า ฉันมีบุญสัมพันธ์กับคนฟอร์โมซามาก มันเป็นเรื่องง่ายๆ แบบนี้และอาจจะเกิดจากชาติก่อน ๆ ก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว ผู้ที่เป็นพุทธะไม่ได้เลือกทำโน่นทำนี่ ท่านเพียงแต่บอกอะไรให้แก่เธอบางอย่าง เพื่อให้เธอเข้าใจ พุทธะจะมาเมื่อมีคนปรารถนาให้ท่านมา
ถ: เมื่อไรโลกจะถูกทำลาย?
อ: เมื่อเราตาย นั่นแหละคือการสิ้นโลกของตัวเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม สมมุติว่าฉันตายไปในวันพรุ่งนี้นั่นก็คือการสิ้นโลกของฉัน เพราะฉันไม่สามารถจะเห็นโลกอื่นได้อีกต่อไป ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าโลกทั้งโลกจะสิ้นสุดเมื่อไร เพราะตัวเราก็ต้องสิ้นสุดไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว
ถ: จะช่วยโลกให้รอดอย่างไร?
อ: เธอจะทราบเรื่องนี้หลังจากเธอรู้แจ้งเต็มที่แล้ว ความกังวลหรือความกระวนกระวายใจทั้งหลายของเธอเกี่ยวกับโลกนี้จะหมดสิ้นไป เธอจะมองสิ่งต่างๆ ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน เธอก็จะยังคงเป็นพลเมืองที่ดีอยู่ และพยายามทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มความสามารถ สิ่งที่เธอทำอยู่ในตอนนี้ก็เป็นการช่วยเหลือโลกด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเรานั่งสมาธิตามวิธีการที่ถูกต้อง เราจะแผ่ความรักและแสงออกไปโดยรอบ ซึ่งจะเกิดประโยชน์แก่คนจำนวนมาก ในโลกนี้มีคนที่ปฏิบัติบำเพ็ญเกี่ยวกับแสงอยู่ตลอด ไม่ว่าในยุคไหน เพราะฉะนั้น โลกจึงยังคงเป็นอยู่อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ ถ้าไม่มีใครบำเพ็ญคุณธรรมและแสงสว่างกันเลย โลกเราก็คงกลายเป็นนรกไปแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่ทำให้โลกนี้ต่างจากนรกก็คือ มีนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ผู้รู้แจ้งเป็นจำนวนมากในโลก ซึ่งเปล่งแสง แผ่ความรัก และพระพรออกไปโดยรอบ และสิ่งที่ทำให้โลกนี้แตกต่างออกไปจากสวรรค์ก็คือ เรามีคนเหล่านี้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่มีอยู่เต็มไปหมดทั่วโลก ถ้าทุกคนทั่วโลกบำเพ็ญปฏิบัติ โลกก็จะกลายเป็นดินแดนแห่งพุทธะ แต่เนื่องจากเราไม่ได้บำเพ็ญปฏิบัติกันหมดทุกคน โลกจึงยังเป็นโลกอยู่ แต่ก็ไม่ใช่นรกเพราะเรายังมีคนดีๆอยู่ รวมทั้งมีคนชั่วร้ายด้วย นี่แหละคือความแตกต่าง และทำให้โลกเป็นอยู่อย่างที่เราเห็น ถ้าเธอต้องการจะช่วยเหลือโลก ก็ต้องบำเพ็ญปฏิบัติคุณธรรม บำเพ็ญแสง จะสามารถช่วยได้พอสมควร
เรื่องสิ้นโลกหรือไม่สิ้นโลกนั้น ฉันไม่พูดหรอก มันขึ้นกับหัวใจและความตั้งใจของผู้คนรวมทั้งพระประสงค์ของพระเจ้าด้วย เราไม่รู้หรอกว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบ้านหลังหนึ่งเก่าทรุดโทรมมาก อันตรายหรือไม่ปลอดภัยมากเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ต่อไป เธอจะยังคงเก็บรักษามันไว้ในสภาพนั้นต่อไป เนื่องจากเธอชอบของโบราณอย่างนั้นหรือ? คงไม่ใช่ เธอจะต้องรื้อมันทิ้ง และสร้างบ้านหลังใหม่ หรือมิฉะนั้น เธอก็ต้องทำอะไรบางอย่าง เช่น จัดการบูรณะซ่อมแซมใหม่หมดทั้งหลัง
แผนการของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าอะไรที่พระเจ้าปรารถนาจะทำสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโลกถูกทำลายล้างไปหมด ก็ยังมีโลกอื่นๆ ที่เราสามารถอพยพไปอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้
หลังจากที่เรารู้แจ้งอย่างเต็มที่แล้ว เราก็จะเข้าใจว่าไม่มีโลก ไม่มีผู้คน มีเพียงแต่แสง ความสุข ความยินดี สิ่งอื่นๆ ล้วนแต่เป็นเงาของแสงเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ฉันอยู่ตรงนี้ แต่เงาของฉันอยู่บนกำแพง ถ้าเธอทำลายเงานั้นก็ไม่มีความหมายอะไร เธอสามารถเอาอะไรมาไว้ข้างหลังฉัน แล้วเธอก็จะไม่เห็นเงานั้นที่กำแพงอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเงานั้นตายไปแล้ว เพราะจริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่แรกแล้ว มันเป็นแค่เงาเท่านั้น แต่ตัวฉันอยู่ที่นี่ วิญญาณไม่มีวันตายเลย ความหายนะหรือความตายที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
ถ: ทำไมบางครั้งเราสวดอธิษฐานแล้ว เราได้รับการตอบสนองจากพระเจ้า แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้รับการตอบสนองเลย?
อ: ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความจริงใจของเราแตกต่างไป ความตั้งใจในการสวดอธิษฐานของเรา ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเรา เธอควรจะต้องรู้ว่า พระเจ้า เทพเจ้า เทพธิดา หรือพุทธะล้วนอยู่ภายในตัวของเรา ดังนั้นเมื่อเราสวดอธิษฐาน ถ้าเราตั้งใจสวดอธิษฐานจริงๆ ด้วยความจริงใจ คำอธิษฐานของเราจะสัมผัสกับปัญญาส่วนที่ลึกที่สุด พลังในส่วนที่ลึกที่สุดสัมผัสกับกับพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็จะได้รับการตอบสนอง แต่ถ้าเราไม่ได้สัมผัสกับส่วนลึกๆ ภายใน สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฎเป็นจริงขึ้นมา
ก็เหมือนกับฝนที่ตกไม่หนักมาก เราเพียงกางร่มหรือใส่เสื้อฝนบางๆ ก็สามารถกันไม่ได้เราเปียกหรือหนาวได้แล้ว แต่ถ้าฝนตกหนักมาก และยังมีลมแรง ถึงแม้บางครั้งเราใส่เสื้อฝน เสื้อก็ยังถูกลมพัดปลิวไปได้ ดังนั้น ความตั้งใจในการสวดอธิษฐานของเราคือสิ่งที่ทำให้เกิดผลขึ้นมา เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับคำตอบหรือไม่ได้รับ
ถ: พลังสร้างสรรค์ทางลบมาจากไหน? มาจากพระเจ้าหรือ? ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
อ: มันเหมือนกับโรงละคร มีทั้งแง่ลบและแง่บวก นี่แหละคือความสนุกละ มิฉะนั้นมันก็ไม่สนุก อย่างเช่นโลกนี้มีทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนมีไว้สำหรับให้เราได้พักผ่อน กลางวันมีไว้ให้เราได้ตื่นตัวและทำงาน ที่ฉันต้องการจะพูดก็คือ เราจำเป็นต้องมีเวลาสำหรับพักผ่อน ถ้าเรานอนไม่หลับสักสองสามวันเราจะรู้สึกแย่มาก ดังนั้น กลางคืนจึงมีไว้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างพักผ่อนนอนหลับ และบูรณะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
ฤดูหนาวก็เช่นเดียวกัน เธอคงเห็นใบไม้ร่วงหล่นลงมาหมด ทุกสิ่งทุกอย่างดูแห้งแล้งและแย่มาก แต่กลับฟื้นคืนพลังขึ้นมาใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ เพราะฉะนั้นมันจึงต้องการการพักผ่อน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาตรงข้ามกัน สร้างเป็นคู่ เพื่อให้เสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกลัวพลังทางด้านลบ เราควรจะต้องรู้ว่ามันทำงานอย่างไร เพื่อจะได้ควบคุมมันได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของมัน
นี่ แหละคือเหตุผลที่เราต้องรู้แจ้ง ไม่ใช่ว่าเรารู้แจ้งแล้วเราจะต้องหลีกเลี่ยงพลังงานทางด้านลบหรือต้องเกลียด พลังทางลบหรือพลังแห่งมายา ฯลฯ ไม่ใช่แบบนั้น การรู้แจ้งเป็นการรู้และเข้าใจตลอดทั้งบวกและลบ แล้วจึงสามารถทำให้มันสอดคล้องกลมกลืนกัน และดำเนินไปได้ เราจะฝ่าทะลุทั้งบวกและลบด้วยซ้ำ ฝ่าทะลุความ “ไม่มีลบ” และ “ไม่มีบวก” ไปสู่สิ่งสูงสุด ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างกลมกลืนผสมผสานสอดคล้องกัน ไม่มีการแยกแยะระหว่างบวกกับลบเหมือนที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดีหมด ในความเป็นจริงนั้นมันเป็นแค่การแสดง เป็นการเสริมซึ่งกันและกัน
ถ: ผมเป็นจิตแพทย์และทำวิจัยเกี่ยวกับโรคทางจิต ยังมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ เช่น ทำไมบางครอบครัวจึงเกิดโรค สคิสโซฟรีเนีย (Schizophrenia) ซึ่งถ่ายทอดต่อๆ กันมาภายในครอบครัว เรื่องนี้อธิบายด้วยกฎแห่งกรรมได้อย่างไร?
คำถามข้อที่ 2 คือ หลังจากรู้แจ้งแล้ว นักวิทยาศาสตร์มีสิทธิ์ที่จะถามว่า มีคำตอบที่รวดเร็วกว่าจากเบื้องบนเพื่อตอบคำถามเหล่านี้หรือไม่? หรือว่าเขายังต้องใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ต่อไปในการค้นหาคำตอบเหล่านี้?
อ: มีคำตอบซึ่งรวดเร็วกว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ถ: และมันสามารถเกิดขึ้นได้โดยตรง หรือเราสามารถหวังให้มันเกิดขึ้นได้?
อ: ใช่ เกิดได้โดยตรง โดยสัญชาตญาณ เธอคงทราบว่าเรามีสมองซึ่งเราใช้มันแค่ห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เรื่องนี้ทุกคนทราบดีรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะฉะนั้นจึงยังมีอีก 95 เปอร์เซ็นต์นอนอยู่เฉยๆ ซึ่งมีพลัง มีข้อมูลและมีความสามารถมาก เมื่อเธอปลุกพลังสมองของเธอให้มีความสามารถเต็มที่ เธอก็จะได้คำตอบทุกอย่าง ซึ่งเธออาจจะต้องใช้เวลาทำวิจัยนานหลายๆ ปีทีเดียวกว่าจะได้คำตอบเหล่านี้ และบางครั้งหลังจากวิจัยมาแล้วหลายปียังอาจได้คำตอบผิดๆ ด้วยซ้ำ
บางครั้งนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าสิ่งนี้ถูกต้อง ในปีถัดไปก็พิสูจน์ออกมาอีกทางหนึ่ง และปีถัดๆไปก็ออกมาอีกแบบหนึ่ง เพราะว่าเราใช้พลังอันจำกัด แทนที่จะใช้พลังทั้งหมด ดังนั้นวิธีการของการู้แจ้งนั้นไม่ใช่อะไรใหม่ ไม่ใช่สิ่งลี้ลับอะไร เพียงแต่เป็นการปลุกความสามารถทั้งหมดของเธอออกมา ปลุกพลังสติปัญญาทั้งหมดออกมา ซึ่งมันยังมีเหลืออีกเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเธอจะได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วจากการนั่งสมาธิ
ถ: ครับ อีกคำถามหนึ่งก็คือ เราทราบดีว่ามีโรคหลายชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เรื่องนี้จะอธิบายด้วยกฎของการชดใช้กรรมอย่างไร?
อ: คนที่ได้รับถ่ายทอดโรคนี้มา ก็มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในชาติก่อนๆ อาจจะด้วยการมีเป้าหมายเดียวกัน มีการกระทำบางอย่างร่วมกันหรือเหมือนๆ กัน ร่วมกันทำอะไรบางอย่าง ร่วมกันคิดอะไรบางอย่าง และร่วมกันถ่ายทอดอะไรบางอย่าง เนื่องจากเขยังผูกพันรักใคร่ซึ่งกันและกัน เขาจึงยังอยู่ใกล้กัน กลับมาเป็นลูกชายและลูกสาว และได้รับผลจากอดีตถ่ายทอดมา เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยอาศัยความรัก และการผูกพันซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ในชาติก่อนๆ เขาทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ทำสิ่งซึ่งให้ผลอย่างเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากกรรมทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้น
ถ: คนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น เขาเคยมีชีวิตที่รู้แจ้งมากในชาติก่อนๆ ใช่ไหม
อ: ชีวิตในอดีตเขาทำบุญไว้มาก ไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้แจ้ง ความร่ำรวยกับการรู้แจ้งนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เธออาจจะรวยแต่ไม่รู้แจ้ง เธออาจจะจนแต่รู้แจ้งก็ได้นี่เป็นเรื่องจริง เธอจะเชื่อเมื่อเธอได้เห็น หลังจากเธอบำเพ็ญสักระยะหนึ่ง บำเพ็ญสมาธิ...บางอย่าง ไม่จำเป็นว่าใช้วิธีการเดียวกับฉันก็ได้ เธอก็อาจเข้าถึงความทรงจำในอดีต และเธอยังจะได้เห็นด้วยตัวของเธอเอง ว่าโครงสร้างเรื่องกรรมของโ,กนี้ทั้งหมดเป็นอย่างไร ทำไมบางแห่งจึงยากจน ทำไมบางคนจึงร่ำรวย เธอจะเห็นได้ชัดเจนเหมือนกับการอ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของกาลเวลาและสถานที่ ไม่มีอะไรถูกลบล้างไปเลย ไม่มีอะไรสูญหาย ทุกอย่างแสดงออกมา และรวมตัวกันอยู่ในรูปแบบของพลังงานอย่างหนึ่ง และถูกบันทึกไว้ในระดับชั้นของจิตสำนึกที่ต่างไป เราสามารถจะเห็นได้ด้วยตัวของเราเองด้วย และเราก็จะไม่มีความสงสัยอีกต่อไป ถ้าเธอจะโต้แย้งกับฉันจนถึงพรุ่งนี้ เธอก็ยังจะสงสัยอยู่ดี เพราะเธอไม่ได้เห็นจริงๆ ดังนั้น ข้อเสนอของฉันก็คือ ฉันขอเชิญให้เธอเข้ามาในอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งความรู้ที่มองไม่เห็นและค้นพบด้วยตัวของเธอเอง
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org
8 มีนาคม 2558 00:48 น.
คีตากะ
กบสี่ตัวเกาะอยู่บนไม้ซุงซึ่งลอยอยู่ตรงริมฝั่งแม่น้ำ ในทันใดนั้นก็มีกระแสน้ำพัดพาเอาท่อนซุงค่อยๆ ไหลล่องไปตามสายน้ำ กบเหล่านั้นต่างก็ดีใจและสนใจอย่างยิ่งเพราะมันไม่เคยล่องไปตามน้ำมาก่อนเลย
ในที่สุด กบตัวแรกก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่คือไม้ซุงมหัศจรรย์อย่างแท้จริง มันเคลื่อนที่ไปได้ยังกับมีชีวิต เราไม่เคยรู้จักไม้ซุงอย่างนี้มาก่อนเลย”
แล้วกบตัวที่สองก็พูดว่า “ไม่ใช่หรอกเพื่อนเอ๋ย ไม้ซุงอันนี้ก็เหมือนกับไม้ซุงอันอื่นๆ นั่นแหละ มันไม่ได้เคลื่อนไหวไปหรอก แม่น้ำต่างหากเล่าที่กำลังเดินไปหาทะเล พาเราและไม้ซุงนี้ไปกับมันด้วย”
และกบตัวที่สามก็กล่าวขึ้น “ไม่ใช่ทั้งท่อนซุงหรือแม่น้ำหรอกที่เคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวนั้นอยู่ในความคิดของเราเอง เพราะถ้าไม่มีความคิดแล้วก็จักไม่มีอะไรเคลื่อนไหวไป”
แล้วกบทั้งสามตัวก็เริ่มโต้เถียงกันในเรื่องว่าที่แท้นั้นอะไรที่เคลื่อนไป การวิวาทเป็นไปอย่างร้อนแรงและดังลั่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มิอาจตกลงกันได้
ครั้นแล้วกบสามตัวนั้นจึงหันมาหากบตัวที่สี่ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้กำลังสดับฟังอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจแต่ยังเงียบอยู่ กบทั้งสามถามถึงความคิดเห็นของกบตัวที่สี่
กบตัวที่สี่จึงตอบว่า “เจ้าแต่ละตัวนั้นล้วนแต่พูดถูกกันทั้งสิ้น ไม่มีใครพูดผิดเลย การเคลื่อนไหวนั้นมีอยู่ในท่อนไม้ ในน้ำ และในความคิดของเราด้วย”
กบทั้งสามตัวต่างก็บันดาลโทสะขึ้นมาเพราะไม่มีตัวใดเต็มใจจะยอมรับว่าความจริงของมันเองหาใช่ความจริงทั้งหมดไม่ และกบอีกสองตัวไม่ได้พูดผิดไปทั้งหมด
ครั้นแล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น คือกบทั้งสามตัวช่วยกันผลักกบตัวที่สี่ตกจากท่อนซุงลงไปในแม่น้ำ...
ผู้เบิกทาง
คาลิล ยิบราน เขียน
กิติมา อมรทัต แปล
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet