อาจารย์เล่านิทาน โดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานของชาวยิวชื่อว่า ที่ปรึกษาของนกแก้ว มีนกแก้วตัวหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวัง นกแก้วตัวนี้เป็นนกแก้วที่พิเศษมากซึ่งเขาเรียกกันว่า มีเชื้อพระวงศ์ นกตัวนี้สวยงามมาก คงงามเหมือน ตัวฉัน (ทุกคนหัวเราะ) เจ้าของของมันคือเจ้าหญิงองค์หนึ่ง เจ้าหญิงทรงโปรดปรานนกแก้วตัวนี้มาก พระองค์กับนกแก้วเข้ากันได้ดี เป็นเพราะว่านกแก้วตัวนี้ไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น มันยังดูดีสง่างาม กิริยาในการดื่มน้ำชาจะทำเช่นนี้ (ท่านอาจารย์สาธิตให้ดู) นี่แหละถือว่ามีกิริยาท่าทางสง่างามและเป็นแบบอย่างของผู้คนในวัง ท่วงท่าในการเดินก็ดูสง่างาม ยักย้ายสะโพกไปมา เดิน 1 ก้าว ถอยหลัง 6 ก้าว... ฯลฯ ฉะนั้นนกแก้วตัวนี้จึงสูงส่งมาก พวกเราจะเรียกมันว่า "ท่านนกแก้ว" เพราะมันเป็นนกแก้วในครอบครัวกษัตริย์ อีกทั้งยังงดงามมาก นกแก้วอาศัยอยู่ในพระราชวังจึงกลายเป็นสมาชิกในครอบครัวพระเจ้าแผ่นดิน นกแก้วตัวนี้ยังสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ ไม่แน่อาจท่องคำพระได้ มันพูดภาษาคนได้ฉลาดมาก นกตัวนี้อาศัยอยู่ในรังที่ทำด้วยทองคำ สวยงามมาก รอบๆ รังจะประดับไปด้วยเพชร ไข่มุก... อัญมณีอื่นๆ เป็นต้น เจ้าหญิงได้ส่งขันทีไปดูแลนกแก้วทุกวัน มันไม่ขาดอะไร ในแต่ละวันมันได้สวมหมวกที่มีลักษณะต่างๆ กัน หางของมันได้ห้อยไข่มุกที่มีลักษณะต่างๆ กัน และในแต่ละวันปีกทั้งสองข้างก็ใส่เพชรที่มีลักษณะต่างๆ กัน ทั้งตัวดูสว่างไสวงดงามไปหมด โดยเฉพาะของกิน โอ้โห! อาหารที่มีพรมันไม่ต้องออกมาเอาจะมีคนคอยนำมาส่งถึงหน้าประตูรัง ส่วนน้ำดื่มจะตักมาจากแม่น้ำบนภูเขาหยังหมิงซัน เพราะได้ยินมาว่าน้ำบนภูเขาหยังหมิงซันน่าดื่ม คุณภาพของน้ำดี ใสสะอาด เวลานำน้ำชนิดนี้ไปอาบ จะทำให้ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ดังนั้นจะมีขันทีเดินทางไปยังหยังหมิงซันเพื่อตักน้ำมาหนึ่งขวด บางครั้งเมื่อเป็นวันที่ 1 หรือวันที่ 15 ของเดือน หรือวันอาทิตย์ จะมีการเปลี่ยนรสชาติโดยการสั่งให้ขันทีอีกคนหนึ่งไปตักน้ำอมฤตจากแม่น้ำในเหมี่ยวลี่มาดื่มแทน ลักษณะสีสันของนกแก้วโดยปกติจะเป็นสีเขียวปนน้ำเงินดูเงางาม ได้ยินว่านกแก้วตัวนี้ร้ายกาจมาก ถ้าหากว่าน้ำอมฤตไม่ได้รับการให้พรจากท่านอาจารย์แล้วมันจะไม่ดื่มเด็ดขาด มันจะสั่งให้ขันทีท่องคำพระ เพราะฉะนั้นขันทีผู้นี้อย่างน้อยที่สุดจะต้องท่องคำพระหลายครั้ง ให้พรแก่น้ำที่ตักมาจากภูเขาหยังหมิงซันหรือแม่น้ำอมฤต มันจึงจะดื่ม (ทุกคนหัวเราะ) ไม่เหมือนพวกเธอ บางคนรับประทานอาหารยังไม่ทันได้ถวายแด่พุทธะก็กลืนลงไปก่อนแล้ว! แต่ไม่เป็นไร เมื่อกลืนอาหารลงไปแล้วก็ควรปล่อยให้มันอยู่ข้างใน ไม่ควรอาเจียนออกมาเพื่อที่จะมาทำการถวายพุทธะ เราสามารถขอพรท่านอาจารย์จากภายใน แม้อาหารจะถูกส่งไปยังสะดือแล้วก็ตาม ท้องที่เปรียบเสมือนกำแพงของเรานั้นไม่อาจกั้นพลังพรได้ ไม่เป็นไร พลังพรสามารถทะลุผ่านหลอดอาหารของเราแล้วลงไปให้พรแก่อาหารที่เรากลืนลงไปแล้ว โอ! ตอนนี้พวกเรามาถึงขั้นตอนที่ 2 แล้ว ฉันยังหาคำพูดมาพรรณนาถึงความสวยงามและสติปัญญาของนกแก้วตัวนี้ไม่ได้เลย นกแก้วตัวนี้จะดูแลรักษาความงามของมันทุกๆ วันจึงทำให้สวยงามได้เช่นนี้ ไม่ใช่เสริมแต่งวันเดียวก็จะสวยงามได้ มันดื่มน้ำอมฤต กินอาหารที่มีพรมาตั้งแต่กำเนิดซึ่งผ่านการท่อง 5 คำและทำการถวายแด่พุทธะมาแล้ว เพราะฉะนั้นยิ่งเติบโตขึ้น มันก็ยิ่งสวยงามมากขึ้น มันยังนั่งสมาธิด้วย ทุกวันมันจะนั่งสมาธิ 2 ชั่วโมงครึ่งและรับประทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ แมลงตัวหนึ่งมันก็ไม่เคยกิน บางทีไม่ตั้งใจกลืนเข้าไปมันก็จะอาเจียนออกมา ไม่หายไปแม้แต่ขนเส้นหนึ่ง มันรับประทานอาหารมังสวิรัติมาตั้งแต่เด็ก ทั้งนี้เป็นเพราะว่าบรรพบุรุษของมันล้วนบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมมาก่อน เนื่องจากมันบำเพ็ญดีมาก เจ้าหญิงจึงทรงโปรดปรานมันเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะว่าบรรยากาศภายในของมันดี ความงดงามนั้นได้สะท้อนออกมาจากภายใน วันหนึ่งเจ้าหญิงทรงทราบว่ามีประเทศหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลมาก ที่นั่นมีน้ำหอมชนิดหนึ่งซึ่งในวังของพระองค์ไม่มี ฉะนั้นเจ้าหญิงจึงโปรดให้ขันทีเดินทางไปซื้อ และขันทีผู้นี้ก็คือเพื่อนที่รักที่สุดของนกแก้ว ทุกๆ วันได้คลุกคลีพูดคุยกับมัน ขันทีอยู่ในวังก็คงน่าเบื่อ เพราะว่าไม่สามารถคบเพื่อนหญิงได้ พวกเธอคิดว่าการที่ผู้ชายมีชีวิตแบบนี้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ฉะนั้นเขาจึงรู้สึกว้าเหว่และเบื่อหน่าย พอดีได้คบกับนกแก้ว ทุกๆ วันจึงปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน โอ! ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันจริงๆ! พอถึงวันที่ขันทีจะเดินทาง แน่นอนที่สุดเขาก็ได้ไปบอกกล่าวอำลามัน ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ที่เป็นความลับก็ตาม แต่สำหรับเพื่อนของตนแล้วไม่ควรไม่บอกกล่าว ดังนั้นเขาจึงไปกล่าวกู้ดบาย! ซาโยนาระ! นกแก้วเมื่อได้ยินว่าเขาจะออกเดินทางไปเป็นเวลานานก็กลัวว่าจะคิดถึงเขามาก เวลาพวกเขาทั้งสองอำลากัน ได้แสดงถึงความซาบซึ้งที่มีต่อกัน แม้นกแก้วจะเห็นคุณค่าของความเป็นมิตรที่ขันทีมีต่อมัน แต่สิ่งที่มันเห็นคุณค่ายิ่งกว่านี้คืออะไร? มีใครรู้ไหม? (ผู้คนตอบ: เจ้าหญิง) ไม่ใช่! ความเป็นอิสรภาพต่างหาก! เจ้าหญิงทรงผูกมัดมันไว้ มันจะเห็นคุณค่าของเจ้าหญิงได้อย่างไร สำหรับเธอนั่นแหละ เธอรักที่จะอยู่กับพญามาร โลกมนุษย์ผูกมัดเธอเอาไว้เธอยังไปเห็นคุณค่าของมัน เห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตแบบนี้ เห็นคุณค่าของร่างกายนี้ คิดว่าร่างกายของเราประเสริฐ ร่างกายสวยงาม ร่างกายของเราแข็งแรง ร่างกายอันนี้มันผูกมัดดวงวิญญาณของเราไว้ที่นี่ มันขังตัวตนที่แท้จริงของเราไว้ข้างใน เรามุ่งสนใจกับร่างกายของเราตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน เราพยายามที่จะทำให้ร่างกายของเราสวยงามโดยการแต่งหน้าทาปากเหมือนกับที่ฉันทำอยู่อย่างนี้ แล้วเราก็ลืมตนเองไป ลืมไปว่าตัวเราที่แท้จริงแล้วไม่ใช่ร่างกายนี้ ตอนนี้ฉันก็ลืมดวงวิญญาณของฉันไปแล้วเหมือนกัน เพราะว่ามันวิ่งหายไปแล้ว เหลือแต่ร่างกายอันนี้เท่านั้น ถ้าหากมันจะทำอะไรเหลวไหลไปก็ไม่เป็นไร นกแก้วอยากได้ความเป็นอิสระมาก มันอยากจะบินออกไปตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน แม้ว่ามันยังคงแต่งหน้าทาปากหรือทำการเสริมแต่งร่างกายส่วนอื่นอยู่ก็ตามที... แต่ที่จริงแล้วมันต้องการที่จะบินออกไปทุกวัน มันไม่ต้องการสิ่งอื่นใดเลย แน่นอน มันยังจำต้องรับประทานอาหาร มันยังจำต้องเสริมแต่งร่างกายให้สวยงาม เพราะการใช้ชีวิตในพระราชวังจะต้องยึดถือกฎระเบียบและมารยาท แต่สมอง ความคิดของมันจะเพ่งอยู่ที่ตาปัญญาทุกวันและต้องการที่จะออกไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันจึงกล่าวกับขันทีคนนี้ว่า "พวกเราเป็นเพื่อนรักกัน ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอร้องให้เจ้าช่วย เจ้าจงอย่าลืมเป็นอันขาด" ขันทีได้ตอบว่า "ได้! เพื่อเจ้าแล้ว ข้ายินดีที่จะทำให้ทุกอย่าง!" พวกเขาทั้งสองมีความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน! เสร็จแล้วมันก็บอกว่า "เวลาที่เจ้าเดินทางไป ระหว่างทางจะต้องพบนกแก้วอีกกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนตัวข้าแน่นอน พวกมันคือญาติพี่น้องของข้า เจ้าจะต้องบอกให้พวกมันทราบว่าข้าอยู่ที่นี่ ข้าถูกขังไว้ที่นี่ทุกข์ทรมานมาก ขาดความเป็นอิสระ อาหารรสชาติดีที่นี่ ไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้า เครื่องประดับอัญมณี เพชรนิลจินดาที่ประดับตามร่างกายของข้ามันไม่มีค่าอะไรสำหรับข้า เจ้าจะช่วยถามพวกมันได้ไหม ว่ามีวิธีใดบ้างที่จะช่วยข้าให้ออกไปจากที่นี่? ขันทีกล่าวว่า "ตกลงๆ ! ข้าจะช่วยหาหนทางให้ ข้าจะต้องตามหานกแก้วกลุ่มนั้นให้พบให้ได้ แล้วข้าจะบอกข่าวของเจ้าให้พวกมันทราบ" ขันทีผู้นี้ปฏิบัติงานอยู่ในพระราชวัง แม้ว่าการดำรงชีวิตจะไม่ขาดแคลนอะไรแต่ก็คือคนใช้ของผู้อื่น เขาเข้าใจดีว่าความเป็นอิสระนั้นมีค่ามาก เพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าใจนกแก้วตัวนี้เป็นอย่างดี เขาจะต้องหาทางช่วยมันให้ได้ เขาได้จากไปเป็นเวลานานมากเพื่อที่จะไปหาน้ำหอมที่เจ้าหญิงต้องการ ระหว่างทางได้เที่ยวชมทัศนียภาพของภูเขา แม่น้ำ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบนกแก้วกลุ่มหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับนกแก้วในวังของเจ้าหญิง ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่นกแก้วในวังขอร้องให้ทำ เขาจึงเข้าไปทักทายนกแก้วกลุ่มนั้นและเล่าเหตุการณ์แห่งความทุกข์ยากที่นกแก้วตัวที่อยู่ในวังประสบอยู่ให้พวกมันฟัง ในบรรดานกแก้วกลุ่มนี้มีตัวหนึ่งที่เป็นอาจารย์ เป็นมหาอาจารย์ของพวกมัน เป็นผู้ถ่ายทอดธรรมวิถีกวนอิมให้แก่พวกมัน ดังนั้นในแต่ละวันพวกมันจึงออกไปบำเพ็ญสมาธิกลุ่มตามสถานที่ต่างๆ บังเอิญในวันนั้นได้ไปบำเพ็ญสมาธิกลุ่มที่เหมี่ยวลี่ เวลานั้นเป็นฤดูหนาวอาจจะไปผิงตง เพราะที่ผิงตงอากาศจะอุ่นกว่า อาจารย์ท่านนี้เพียบพร้อมไปด้วยความเฉลียวฉลาดและมหาสติปัญญา ท่านได้ผ่านการบำเพ็ญมาแล้วหลายหมื่นพันล้านกัลป์ บุคลิกจึงดูสง่างาม ใบหน้าแจ่มใส แสงสว่างแห่งปัญญาสว่างเจิดจ้า ตาปัญญาใหญ่มาก พอได้ยินเรื่องเศร้าโศกที่มาจากในวังแล้ว มันก็ล้มลงไปทันทีเหมือนกับเสียชีวิตไปแล้ว ล้มตายอยู่ในอ้อมกอดของขันทีผู้นี้ ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่ ตายแล้วจริงๆ! ตายแล้ว 100 % ไม่ว่าขันทีผู้นี้จะเขย่าร่างกายมันสักเท่าไรก็ไม่ฟื้น สลบไปแล้ว ตายแล้ว! เขาตักน้ำให้มันดื่ม อ้าปากของมันและพยายามเอาของใส่เข้าไปในปากของมัน มันก็ปฏิเสธ ไม่ยอมกิน ยอมตายถึงที่สุด ขนบนตัว ขนคิ้ว ขนตาไม่กระดิกแม้แต่เส้นหนึ่ง นอนคาพุทอยู่ที่ตรงนั้น (คาพุท หมายความว่าตาย) ขันทีผู้นี้รู้สึกผิดหวังมากไม่ได้รับคำชี้แนะใดๆ เลย ไม่ทราบว่าทำไมหลังจากที่ติดต่อกับมันแล้วมันจึงตายทันที ในที่สุดเขาก็ทิ้งร่างของมันไว้ข้างทางและเดินทางกลับ แต่ตอนที่เขานำร่างของนกแก้วตัวนี้ทิ้งไว้ข้างทาง นกแก้วก็ได้ฟื้นขึ้นมาและบินออกไปทันที ตา!ๆๆ ลา!ๆๆ...... มันคงบินไปผิงตงแล้ว บินไปพร้อมนกแก้วกลุ่มที่อยู่ข้างหน้า ไปยังผิงตง บำเพ็ญสมาธิกลุ่ม พอขันทีผู้นี้ได้เห็นเข้าก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้ เขายืนงงอยู่ตั้งนาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับพระราชวัง เพราะเขาไม่อาจยืนตัวแข็งอยู่ที่นั่นได้ทั้งวัน นกแก้วในวังตัวนี้พอเห็นขันทีเดินทางกลับมาก็รู้สึกดีใจ ทั้งสองได้จับมือทักทายกัน กอดกัน จูบกันและถามถึงสารทุกข์สุกดิบกัน เช่น พูดว่า "เจ้าผอมไป" อีกคนหนึ่งก็จะบอกว่า "เจ้าอ้วนขึ้นหน่อย" เป็นการทักทายตามมารยาทที่น่าเบื่อของโลกทิพย์ ขันทีอยากจะเล่าเรื่องสนุกสนานหรือนิทานที่แปลกประหลาดจากการเดินทางครั้งนี้ให้นกแก้วฟัง แต่นกแก้วไม่อยากฟังโดยบอกไปว่า "ไม่มีประโยชน์ เจ้าไม่ต้องพูดต่อไปแล้ว! เจ้าไปกินอะไร เล่นอะไร เจ้าไปเที่ยวคาราโอเคะ เจ้าไปเต้นรำ เจ้าจะไปเห็นสาวงามที่ไหนมา มันมีประโยชน์อะไร เมื่อเจ้าเป็นขันที เจ้าจะเล่าถึงเรื่องราวของสาวงามเหล่านั้นไปทำไม มันไม่เห็นสนุกตรงไหนเลยที่เจ้าไปเต้นรำกับใคร! นกแก้วกล่าวว่า "โอเค! อย่าพูดถึงเรื่องเหล่านี้เลย! เจ้าได้พบเพื่อน ญาติพี่น้องของข้าบ้างไหม?" ขันทีตอบว่า "ได้พบแล้ว!ๆ ข้าได้พบกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะไปนั่งสมาธิกลุ่ม ตาปัญญาของนกแก้วแต่ละตัวนั้นดูใหญ่และสว่างเจิดจ้ามาก ทีแรกข้าเห็น ข้าก็ตกใจ โอ้โฮ! น่าเลื่อมใสจริงๆ! สง่างามทีเดียว! ลักษณะบ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาสูง หางและหน้าท้องใหญ่มาก ไหล่ก็สง่างาม เวลาบินอยู่ในท้องฟ้าเหมือนกับเทวทูต..." นกแก้วเริ่มรำคาญและบอกว่า "ข้าไม่ได้ถามว่าพวกมันมีลักษณะอย่างไร พวกมันมีพูดถึงเรื่องของข้าบ้างหรือเปล่า พวกมันจะมาปลดปล่อยข้าหรือเปล่า?" ขันทีบอกว่า "เปล่าๆ พวกมันดูเหมือนว่าพูดภาษาแบบเดียวกับเจ้าไม่เป็น แม้ว่าตาปัญญาของพวกมันจะเปิด แต่ปากกลับไม่เปิด ไม่สามารถสื่อกันด้วยภาษามนุษย์ได้ เพราะฉะนั้นพวกมันก็เลยไม่ได้พูดอะไรกับข้า แต่พอเจ้าถามถึงก็ทำให้ข้าจำได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่แปลกประหลาดซึ่งยากที่จะเข้าใจได้เกิดขึ้น หลังจากที่ข้าเล่าเรื่องของเจ้าให้พวกเขาฟังแล้ว มีนกแก้วตัวหนึ่งบินลงมาที่มือของข้า แต่ข้ายังไม่ทันดีใจ มันก็ตายเสียแล้ว มัน แกล้งตาย และนอนอยู่ที่นั่น ข้าพยายามเขย่ามัน เอาน้ำให้มันดื่ม เอาของที่อร่อยให้มันกิน แต่มันไม่กิน ไม่ดื่ม ข้าเอาของกินที่หอมมาก อร่อยมากและเป็นของที่หายากให้มันกิน มันก็ไม่กิน น้ำอย่างดีซึ่งเป็นน้ำที่เอามาจากแม่น้ำอมฤตในเหมี่ยวลี่ มันก็ไม่สนใจไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม หลังจากนั้นก็แกล้งตาย ข้าคิดว่ามันตายแล้วจริงๆ! ก็เลยนำร่างของมันไปทิ้งไว้ข้างทาง แต่พอข้าทิ้งร่างมันลงเท่านั้นแหละ มันกลับบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที ดูอิสระและสงบสุขมาก แถมยังพูดกับข้าว่าลาก่อน! กุ๊ดบาย... ดูเหมือนว่ามันจะพูดได้หลายภาษา เดิมทีข้าคิดว่ามันสื่อกันด้วยภาษาไม่เป็น หลังจากนั้นข้าก็คิดว่ามันตายแล้ว แต่ผลสุดท้ายที่ปรากฏให้เห็นกลับเป็นเช่นนี้ แปลกประหลาดจริง! จนถึงเวลานี้ข้ายังคิดไม่ออกว่ามันหมายความว่าอย่างไร?" หลังจากที่นกแก้วได้ฟังเรื่องจบลง มันก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยพูดว่า "ดีแล้ว!ๆ ต้องขอขอบคุณเจ้ามาก! ข้าก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน มันเป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดจริงๆ! ทำไมมันถึงประหลาดเช่นนี้?" หลังจากนั้นต่างคนต่างก็กลับเข้าห้องของตน ขันทีต้องรีบไปดูแลเรื่องอื่น ส่วนนกแก้วตัวนี้ก็เพลิดเพลินกับการรับประทานอาหาร ในตอนเช้าของทุกๆ วันเจ้าหญิงจะเสด็จมาเยี่ยมมัน พอถึงวันรุ่งขึ้นเจ้าหญิงได้เสด็จมาเยี่ยมนกแก้ว แต่พอมองเข้าไปในรังก็เห็นแต่ร่างที่ตายแล้วของนกแก้วนอนอยู่ เจ้าหญิงทรงกริ้วมากและดุด่าคนรับใช้ว่า "พวกเธอฆ่ามันตาย!ๆ " พระองค์จนปัญญา จึงได้รับสั่งให้คนรับใช้นำร่างที่ตายไปแล้วนั้นไปทิ้ง พอคนรับใช้เหล่านั้นเปิดหน้าต่างออกและโยนร่างของนกแก้วทิ้งไป เมื่อนั้นแหละขันทีที่เป็นที่ปรึกษาของนกแก้วจึงได้เข้าใจเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าหมายความว่าอย่างไร! พวกเธอเข้าใจไหม? (ทุกคนตอบ: แกล้งตาย!) แกล้งตาย! ใช่แล้ว! สำหรับพวกเราก็ควรแกล้งตายต่อโลกใบนี้ พวกเรารู้คุณค่าของโลกนี้ พวกเรารู้ว่าการที่เราจะได้กายเนื้อของมนุษย์ มันยากมาก แต่พวกเราก็ไม่นำข่าวนี้ไปบอกให้พญามารรู้ พญามารคืออะไร? มันคือสมองของเรา! อย่าไปฟังคำสั่งมัน อย่าไปเล่นกับมัน อย่าคิดว่าโลกนี้มันดีเลิศประเสริฐสุดสำหรับเรา เมื่อพวกเราตายต่อโลกนี้แล้ว ดวงวิญญาณของเราจึงจะเริ่มฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพราะฉะนั้นตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน มหาอาจารย์ทุกๆ ท่านจึงบอกพวกเราว่าเราควรจะ "ตาย" ต่อโลกนี้ ซึ่งหมายความว่าไม่ควรยึดติดสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะยึดติดอาลัยอาวรณ์โลกนี้ ต้องทำตัวอยู่ในสภาพคล้ายคนตาย เราจึงจะเป็นอิสระ เพราะโดยแท้จริงแล้วหากเราคิดที่จะรับผิดชอบต่อมนุษย์ในโลกทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น เป็นต้นว่า การเสียมารยาทมันดูน่าเกลียดเกินไป จนเป็นเหตุที่ว่าเราจะต้องปรนนิบัติต่อกันไปมาเพื่อที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่เสียใจ เพื่อที่จะไม่ให้ผู้อื่นติเตียนว่าเราไม่ดี เช่นนี้เป็นต้น แท้จริงแล้วมันทำให้เราเสียเวลาไปมาก! วันนี้เราต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคนนี้ พรุ่งนี้เราต้องไปงานระลึกถึงวันตายของคนนั้น มะรืนนี้เราต้องไปงานแต่งงานของอีกคนหนึ่ง และวันต่อไปเราก็ต้องไปเป็นพยานในคดีหย่าที่ศาล เพราะว่าเป็นคนใจบุญ! เป็นผู้รักษามารยาท แล้วเรายังจะมีเวลาเหลือได้ยังไง? วันนี้เราต้องรับฟังเรื่องสารทุกข์สุกดิบจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ มะรืนนี้เราก็ต้องพูดคุยเรื่องที่ไร้สาระกับเพื่อนอีก เรายังต้องอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ อย่างน้อยที่สุดเราจะต้องดูข่าวเพื่อจะได้รู้ว่าใครฆ่าใครตายบ้าง แล้ววันรุ่งขึ้นล่ะ จะเป็นยังไง? ถ้าหากเรามีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเยอะ มันจะทำให้ยุ่งวุ่นวายสุดขีด ฉะนั้นการที่จะหาเวลาบำเพ็ญในโลกนี้จึงค่อนข้างยากลำบาก ถ้าหากว่าเราถูกผูกมัดไว้เช่นนี้แล้ว คือ ถูกผูกมัด ไว้ทุกทิศทุกทาง เราจะไม่สามารถเดินออกไปสู่ความเป็นอิสระได้ ถ้าเราไม่แกล้งตายก็คงไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว! สภาพของการแกล้งตายเป็นอย่างไร ก็คือเราแกล้งหูหนวก แกล้งโง่เพื่อให้พวกเขาเข้าใจผิด เสร็จแล้วพวกเขาจะด่าว่าเราอย่างไรก็ไม่เป็นไร พวกเราก็ยังคงจะต้องมีขอบเขต รู้ว่าอะไรสำคัญควรพิจารณาเป็นอันดับแรก อะไรที่เราสามารถทำได้ เราก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ปล่อยวางมัน แกล้งตาย แกล้งเสียมารยาท แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดเขา แกล้งไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันตายของเขา ถ้าหากเรามีเวลา ถ้าชีวิตของเรายังพอทำได้ เราก็สมควรที่จะรักษามารยาทหน่อย ถ้าหากชีวิตของเรานั้นวุ่นวายอยู่แล้ว แถมยังถูกผูกมัดติดกับสิ่งมากมาย เราก็ต้องหาวิธีการมาแก้เชือกหลายเส้น อย่างน้อยที่สุดทำให้มือทั้งสองข้างของเราเป็นอิสระ มิฉะนั้นแล้วถ้าเราถูกมัดไว้ทั้งตัว จะเคลื่อนไหวได้อย่างไรกัน? เราไม่สามารถแกล้งตายได้ 100% แต่ก็สามารถแกล้งตายได้ 80 %เท่านี้ก็พอที่จะทำให้เราเป็นอิสระได้แล้ว เหมือนอย่างนกแก้วตัวนั้น ถ้าหากมันไม่แกล้งตายให้สมจริง มันแกล้งตายเพียง 80% หรือแกล้งป่วย ผู้คนจะต้องนำมันไปหาหมอ ถึงเวลานั้นค่อยหาทางบินหนีก็ได้ แต่มันจะเสี่ยงอันตรายเกินไป ดังนั้นแกล้งตายให้สมจริงจะดีที่สุด เวลาคนนำร่างมันไปโยนทิ้ง มันก็บินหนีไปทันที ผู้บำเพ็ญอย่างพวกเราก็เหมือนกัน เราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ขาดแคลนอะไรแต่เรารู้สึกไม่เป็นอิสระ สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือการหลุดพ้น การหลุดพ้น คืออะไร? ก็คือเราไม่มีความอยากได้และไม่มีความโลภอีก ชีวิตของเราดำรงไปด้วยความสงบสุขและพึงพอใจ ภายในของเรามีความสุขมาก ในขณะเดียวกันเราก็สามารถจัดการกับเรื่องภายนอกของเราได้ดี เวลานั้นเราก็หลุดพ้นทั้งที่มีชีวิตอยู่! ต่อมาเวลาตายจากโลกนี้ไป เนื่องจากเราหลุดพ้นแล้วในชาตินี้ ชาติหน้าของเราก็จะต้องหลุดพ้นอย่างแน่นอน เป็นเพราะว่าเวลามีชีวิตอยู่เราไม่ยึดติดกับโลก และเวลาตายเราก็ไม่ยึดติดโลกนี้ เหมือนนกแก้วตัวนี้ อยู่ในรังมีอาหารรสดีมันก็ไม่อยากกิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเวลามันบินเมื่อเวลามันได้เป็นอิสระ มันก็ยิ่งไม่อยากได้สิ่งเหล่านี้อีกอย่างแน่นอน ผู้บำเพ็ญก็เหมือนกันมีสภาพคล้ายกับนกแก้วตัวนี้! Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
ครั้งหนึ่งมีฤาษีตนหนึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางขุนเขาเขียวขจี ดวงจิตของท่านบริสุทธิ์และหัวใจก็ขาวสะอาด สัตว์ทั้งหลายในผืนแผ่นดินรวมทั้งฝูงนกในอากาศมาหาท่านเป็นคู่ๆ และท่านก็พูดกับมัน สัตว์เหล่านั้นฟังท่านพูดอย่างปลาบปลื้มไม่ยอมจากไปจนกระทั่งตกค่ำซึ่งท่านจะไล่พวกมันกลับไป ฝากฝังพวกมันไว้กับสายลมและป่าไม้ด้วยคำอำนวยพร เย็นวันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังพูดถึงความรัก เสือดาวตัวหนึ่งก็ผงกหัวขึ้นและกล่าวกับฤาษีว่า "ท่านพูดกับพวกเราถึงความรัก ขอจงบอกเราหน่อยสิขอรับว่าคู่ของท่านอยู่ที่ไหน" ฤาษีก็ตอบว่า "เราไม่มีคู่หรอก" ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องอย่างแปลกใจดังขึ้นจากกลุ่มสัตว์ป่าและฝูงนก พวกมันเริ่มปรารภกันเองว่า "เขาพูดถึงความรักและการครองคู่ให้เราฟังได้อย่างไรในเมื่อตัวเขาเองไม่รู้อะไรในเรื่องนั้นเลย?" ครั้นแล้วสัตว์ทั้งหลายก็ทิ้งฤาษีไปอย่างเงียบๆ ด้วยความรังเกียจ คืนนั้นฤาษีนอนคว่ำหน้าอยู่บนเสื่อ ท่านร้องไห้อย่างขื่นขมพลางเอากำมือทุบทรวงอกของตนเอง คาลิล ยิบราน Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
ปราศรัยเป็นภาษาจีน โดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะฟอร์โมซา วันที่ ๒๔ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๙๔ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาจารย์เซนชาวญี่ปุ่นและศิษย์ของเขา วันหนึ่งศิษย์ได้ถามอาจารย์เซนว่า "อาจารย์ ขณะนี้ไม่มีอะไรอยู่ในจิตของฉันเลย แล้วฉันควรจะทำอย่างไรดี?" เขาหมายถึงว่าเขาว่างเปล่า! เขาได้บรรลุถึงระดับของความสงบอย่างสมบูรณ์ สสารต่างๆ ไม่แตกต่างจากความว่าง และความว่างเปล่าก็ไม่แตกต่างจากสสาร การมีบางสิ่งบางอย่างก็เหมือนกับไม่มีอะไรเลย มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างการรับประทานอาหารมังสวิรัติและการรับประทานเนื้อ...(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) อะไรทำนองนั้นน่ะแหละ! ดังนั้นเขาจึงถามอาจารย์ของเขาว่า "อาจารย์! ฉันกำลังบำเพ็ญได้ดีมากแล้วนะนี่ ไม่มีอะไรอยู่ในจิตของฉันเลย ฉันควรจะทำอะไรต่อไปดีตอนนี้?" เขาหมายถึงว่าเพราะเขาบรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ยังมีอะไรอื่นที่เขาสามารถทำได้อีก! อาจารย์ของเขาจึงกล่าวแก่เขาว่า "ถ้าอย่างนั้น" เธอก็จงทิ้งมันไปเสีย! ลูกศิษย์ตอบว่า "แต่ฉันไม่มีอะไรเลย แล้วฉันจะสามารถทิ้งความไม่มีอะไรได้อย่างไร?" ถึงตอนนั้นอาจารย์ของเขาก็หมดความอดทนและพูดว่า "อย่างนั้นก็, เอามันออกมาซี" (อาจารย์หัวเราะ) เธอเข้าใจไหม?! บางทีเธออาจไม่มีอะไรอยู่ภายใน ดังนั้นเธอถึงไม่รู้ว่าจะเอาอะไรออกมา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) คิดดูซีแล้วเธอจะเข้าใจ ถ้าคนไม่มีอะไรอยู่ในใจเขาแล้วทำไมเขาถึงถามคำถามนี้? กังวลว่าจะทำอะไร ก็หมายถึงว่าเขายังมีอะไรเต็มอยู่ข้างใน เธอเข้าใจไหม? มันก็เหมือนอย่างที่เขาคิดว่า เขาไม่มีอะไรเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมอาจารย์จึงขอให้เขาละทิ้งมัน, ปล่อยวางมันลง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงเถีงว่า "ฉันไม่มีอะไร" แล้วจะให้ฉันปล่อยวางอะไร? ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงกล่าวว่า "ก็ดีแล้วนี่ ก็เอามันออกมาซี่" เขาหมายถึงว่าเนื่องจากเธอไม่สามารถปล่อยวางมันลงได้ ก็จงเอามันออกมาและแสดงแก่อาจารย์ และท่านก็จะวางมันลงให้เธอดู อาจารย์ต้องการแสดงให้เขารู้ว่าเขายังคงมีบางอย่าง เขายังคงผูกเป็นปมอยู่ คนที่ปราศจากเงื่อนปมใดๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับว่าเขาทำอะไรวันนี้ จะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากเขารู้แจ้ง หรืออะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเขาไม่รู้แจ้ง หรือเขาควรจะทำอะไรดีในขณะนี้ที่เขาอยู่ในระดับที่สูงอย่างนี้ หรืออยู่ในระดับที่ต่ำเช่นนี้ ในการบำเพ็ญของเขา....เธอรู้ไหมว่า ฉันหมายความว่ายังไง? ถ้าภายในของเราว่าง ทำไมถึงถามปัญหาอะไรอีก? เราจะทำอะไรอื่นใดได้อีก เมื่อเราไม่มีอะไร? ไม่ใช่หรือ? ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีน้ำสักหยดอยู่ในถ้วยใบนี้ และเขายังพูดว่า "ไม่มีน้ำในถ้วยใบนี้ แล้วฉันจะดื่มมันได้อย่างไร?" ถ้าไม่มีน้ำอยู่ในถ้วย ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถามคำถามว่าจะดื่มมันหรือไม่ดื่ม จากคำถามของเขาก็หมายความว่า เขายังคงเต็มอยู่ข้างในเพียงแต่เขาคิดว่าไม่มีอะไรเต็ม ผู้บำเพ็ญส่วนมากก็เหมือนอย่างนี้ หลังจากบำเพ็ญไปได้สักระยะหนึ่ง พวกเขาก้เต็มไปด้วยทฤษฎีต่างๆ พวกเขาอ่านนิทานเซนหลายเรื่องเกินไป และเขาก็ฟังธรรมบรรยายของอาจารย์เขาหลายเรื่องเกินไป พวกเขาจึงพูดในทำนองไว้ภูมิ "สสารวัตถุต่างๆ ก็ไม่แตกต่างจากความว่างเปล่า, และความว่างเปล่าก็ไม่แตกต่างจากสสารต่างๆ" และคำพูดทำนองนั้นอื่นๆ พวกเขาก็กล่าวกันไปเรื่อยๆ และก้คิดว่าพวกเขาเก่งยิ่งใหญ่มาก พวกเขาเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว มีอยู่เพียงไม่กี่คน พวกพระและฆราวาสที่เป็นอย่างนี้ พวกเขาปฏิบัติตามฉันไปได้ระยะหนึ่ง พวกเขาได้ฟังเทปคาสเซ็ททั้งหมดแล้ว (อาจารย์หัวเราะ) และดูวีดีโอเทปทั้งหมด แล้วพวกเขาก็พูดว่า "ฉันควรจะทำอะไรดีตอนนี้? (อาจารย์หัวเราะ) ฉันขอพูดอย่างนั้นเพื่อเป็นตัวอย่างนะ แล้วพวกเขาก็จากไปและออกไปข้างนอก ไม่นานนักพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไร พอพวกเขาออกไปอยู่ข้างนอกเข้าเท่านั้น และต้องเผชิญกับการทดสอบหลายอย่าง พวกเขาจึงรู้ว่าพวกเขาก็ยังไม่เก่งมากถึงขนาดนั้น เราจำเป็นต้องระมัดระวังเมื่อเรารู้สึกว่า เราไม่มีอะไรเลย เราปิดขังทุกสิ่งไว้ข้างใน แล้วมองจากข้างนอกแล้วก็พูดว่า "ไม่มีอะไรอยู่ในบ้านเราเลย" ที่จริงเราเพียงแต่ปิดขังมันไว้ หลายคนทำอย่างนี้ ไม่ใช่มีเพียงผู้ที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเท่านั้น คนส่วนมากที่บำเพ็ญธรรมวิถีอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาทุกคนคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่ เธอได้พบคนประเภทนี้แล้วหรือยัง พวกเขามักจะชอบเถียงเสมอๆ และอ้างว่าพวกเขามีความรู้เรื่องพระคัมภีร์ต่างๆ เต็มไปหมด พวกเขาคิดว่าพวกเขาว่างเปล่า และคิดว่าอาหารมังสวิรัติก็เหมือนอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกัน เป็นต้น ที่จริงแล้วพวกเขายังคงมีความยึดมั่นมากมายเหลือเกิน จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยเงื่อนปมต่างๆ พวกเขาไม่สามารถเปิดใจให้กว้างได้ ฉันเข้าใจนิทานเรื่องนี้ในทันทีที่ฉันอ่านมัน เป็นไปได้อย่างไรที่เธอยังไม่เข้าใจมัน หลังจากที่ฉันได้อธิบายให้เอฟังเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน? (เสียงปรบมือ) ดังนั้น อย่ามาถามฉันว่า "เราควรจะทำอย่างไรดี เมื่อเราว่างเปล่าอยู่?" ถ้าเธอว่างเปล่าจริงๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องถาม เธอไม่ควรที่จะมีคำถามใดๆ และเธอก็จะไม่สนใจอะไร ถึงตอนนั้นเธอก็จะไม่กังวลว่าได้รับหรือไม่ได้รับความเป็นพุทธะ เธอจะไม่กังวลเรื่องอะไรอีก มันไม่สำคัญสำหรับเธออีกต่อไปไม่ว่าเธอจะไปสวรรค์หรือนรกหรือไม่ว่าเธอมีบุญหรือกรรม เธอจะไม่สนใจอะไรเลย! ตอนนี้พวกเธอเข้าใจแล้วใช่ไหม? (ผู้ฟังตอบ ไช่") Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
ไบเบิ้ล-----Luke 14 : 26 เธอลองมามองดูโลก มองความทุกข์รอบๆ ตัวเธอและในตัวเธอเอง เธอรู้สาเหตุแห่งความทุกข์นี้หรือไม่? เธออาจบอกว่าสาเหตุก็คือความเหงา สงคราม ความกดขี่ ความเกลียดชัง หรือการไม่เชื่อพระเจ้า คำตอบนั้นผิดถนัด สาเหตุแห่งความทุกข์มีประการเดียวเท่านั้น คือความเชื่อผิดๆ ที่อยู่ในหัวสมองของเธอและแผ่ขยายออกไป เธอแบกมันไว้อย่างปกติมาก และไม่เคยที่จะสงสัยสอบถามเจ้าความเชื่อนั้นๆ ด้วยความเชื่อหรือความหลงผิดนี้เองที่ทำให้เธอมองโลกบิดเบี้ยวไป ข้อมูลที่เธอรับมาเก็บไว้ในสมองนี้มันแรงมากและความกดดันจากสังคมก็แรงด้วย จนกระทั่งเธอตกบ่วงแห่งความเชื่อว่าโลกมันบิดเบี้ยวเช่นนั้น ไม่มีทางออกเลย เพราะเธอไม่เคยแม้แต่จะสงสัยในการรับรู้อันบิดเบี้ยวของตน ไม่รู้เลยว่าความคิดของตนนั้นผิด และความเชื่อนั้นก็ไม่ถูกต้องด้วย เธอมองดูรอบๆ ตัว แล้วลองหามาซิว่ามีใครสักคนไหม ที่มีความสุขจริงแท้ ปลอดจากความกลัว อิสระจากความรู้สึกระแวงภัย หรือความกระวนกระวาย ความเครียดและความวิตกทั้งหลายแหล่ ถ้าเธอหาเจอสักหนึ่งในแสนคนก็นับว่าเธอโชคดีทีเดียว นี่แหละที่จะทำให้เธอชักสงสัยในโปรแกรมข้อมูลและความเชื่อต่างๆ ในหัวสมองที่พวกเธอมีอยู่เป็นปกติวิสัย พวกเธอถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้วว่าไม่ให้สงสัยอะไรทั้งสิ้น ให้เชื่อในสมมุติฐานที่กูกกำหนดโดยประเพณี วัฒนธรรม สังคมและศาสนา เวลาที่เธอไม่มีความสุข เธอก็ถูกอบรมมาให้โทษตัวเอง ไม่โทษตัวโปรแกรม ไม่โทษวัฒนธรรมหรือค่านิยมตลอดจนความเชื่อผิดๆ เล่านั้น ที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าคนส่วนมากถูกล้างสมองไม่ให้ตระหนักรู้ว่าพวกเขาเป็นทุกข์เพียงใด เหมือนคนที่นอนหลับฝันจะไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังฝันอยู่ ความเชื่อผิดๆ อันใดเล่าที่สกัดกั้นความสุขของเธอ? มีตัวอย่างอยู่หลายเรื่อง เรื่องแรก : เธอรู้สึกว่าไร้ความสุขเมื่อปราศจากสิ่งที่เธอผูกพันและคิดว่ามันมีค่าเหลือเกิน ผิดเพราะในชีวิตนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เธอจำเป็นต้องมีเพื่อให้เป็นสุข ลองคิดดูสักนิดเถิด สาเหตุที่เธอไม่มีความสุขก็เพราะเธอมัวแต่เพ่งอยู่กับสิ่งที่เธอไม่มี มากกว่าจะสนใจสิ่งที่เธอมีอยู่แล้ว ความเชื่ออีกเรื่องหนึ่ง คือเชื่อว่าความสุขเป็นเรื่องของอนาคต ไม่จริงหรอก ที่นี่และขณะนี้เธอมีความสุขอยู่แล้ว แต่เธอไม่รู้ตัว เพราะเจ้าความเชื่อผิดๆ มันบิดเบือนการรับรู้ของเธอ มันทำให้เธอยึดติดอยู่กับความกลัว ความกระวนกระวาย ความผูกพัน ความรู้สึกผิด และจำต้องรับหน้าที่ไปตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ ถ้าเธอมองทะลุสิ่งนี้ได้ เธอจะประจักษ์ว่าตนเองมีความสุขอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว ยังมีความเชื่อเรื่องอื่นๆ อีก คือเชื่อว่าความสุขจะเกิดจากการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่และบุคคลรอบตัวเธอ ไม่จริงหรอก เธอสิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไปในการที่จะจัดการโลกนี้เสียใหม่ ถ้าการเปลี่ยนแปลงโลกนี้มันเป็นภาระหน้าที่ในชีวิตของเธอ ก็มุ่งหน้าจัดการไปเลย แต่อย่าไปเพ้อฝันว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอมีความสุข สิ่งที่จะทำให้เธอเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ได้มิใช่โลกนี้หรือบุคคลที่อยู่รอบตัวเธอ แต่คือความคิดในหัวสมองของเธอเองต่างหาก การแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอกมันยากเหมือนหารังนกอินทรีในมหาสมุทร (ภาษิตไทย "งมเข็มในมหาสมุทร" ผู้แปล) เพราะฉะนั้น ถ้าเธอต้องการแสวงหาความสุข เธอต้องเลิกเสียเวลาและเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ ไปกับการปลูกผมแก้ศีรษะล้านหรือตกแต่งร่างกายให้มีเสน่ห์ เปลี่ยนที่อยู่อาศัย เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนวิถีชีวิต หรือแม้แต่เปลี่ยนบุคลิกภาพของตนเอง เธอตระหนักหรือไม่ว่า ถึงแม้เธอจะอาจเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง หรือสามารถมีบุคลิกที่งดงามมีเสน่ห์ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีรื่นรมย์ไปหมด แต่เธอก็จะยังไร้ความสุขอยู่นั่นเอง ที่จริงในใจลึกๆ เธอก็รู้อยู่แล้วถึงความจริงข้อนี้ แต่เธอก็ยังมัวแต่ใช้ความสามารถและพลังงานของเธอไปในการแสวงหาสิ่งที่รู้ว่าไม่อาจทำให้เธอมีความสุขได้เลย ความเชื่อผิดๆ ยังมีอีก คือเชื่อว่าถ้าความปรารถนาทั้งหลายของเธอได้รับการสนองตอบละก็เธอจะมีความสุข ไม่จริงหรอก ที่แท้ความปรารถนาและความยึดติดนี้ต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกเกร็ง สับสน เครียด รู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัว เธอลองเรียงลำดับความยึดติดและความปรารถนาของเธอดูซิว่ามีกี่อย่าง แล้วลองพูดกับมันทีละอย่างว่า "ความจริงฉันรู้อยู่ในใจลึกๆ แล้วนะว่า ถึงแม้ฉันจะได้เจ้ามา ฉันก็ไม่มีความสุขหรอก" พูดพลางคิดพิจารณาความจริงในถ้อยคำนั้น แท้จริงแล้วความปรารถนาเป็นเพียงความสบายใจหรือความตื่นเต้นแวบเดียวเท่านั้น เธออย่าไปทึกทักเอาว่านั่นคือความสุข แล้วความสุขล่ะคืออะไร? น้อยคนนักที่จะรู้ และไม่มีใครจะบอกเธอได้ เพราะความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจพรรณนาได้ เธอจะอธิบายถึงแสงสว่างให้แก่คนที่นั่งอยู่ในที่มืดมาตลอดชีวิตได้อย่างไร เธอจะอธิบายความเป็นจริงให้แก่คนที่กำลังฝันอยู่ได้หรือไม่ เธอจะต้องเข้าใจ ความมืดมันจึงจะหายไป แล้วเธอก็จะรู้เองว่าแสงสว่างคืออะไร เธอจะต้องเข้าใจว่าฝันร้ายของเธอคืออะไร แล้วมันก็จะหยุด เธอจึงจะค้นพบความจริง เธอจะต้องเข้าใจความเชื่อที่ผิดๆ ของเธอมันจึงจะหมดไป แล้วเธอก้จะได้ลิ้มรสแห่งความสุข ถ้าหากผู้คนต้องการความสุขอย่างยิ่งยวดละก็ ทำไมพวกเขาจึงไม่พยายามเข้าใจความเชื่อผิดๆ ของเขาหล่ะ? ประการแรก ก็เพราะเหตุว่าเขาไม่เคยมองความเชื่อนั้นๆ ว่ามันผิด เขาเห็นว่ามันคือข้อเท็จจริงและความเป็นจริง สิ่งนี้ถูกบันทึกหรือจัดโปรแกรมไว้ในสมองอย่างแน่นแฟ้น ประการที่สอง เป็นเพราะพวกเขากลัวว่าจะต้องสูญเสียโลกโลกเดียวที่เขารู้จัก นั่นคือโลกแห่งความปรารถนา ความผูกพัน ความกลัว ความกดดันทางสังคม ความเครียด ความทะเยอทะยาน ความวิตกกังวล และความรู้สึกผิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้นำความสำราญขั่ววูบมาให้เขา ทำให้เขาตื่นเต้นยินดี บางคนกลัวที่จะออกไปจากฝันร้าย เพราะมันเป็นโลกแห่งเดียวที่เขารู้จัก ณ โลกนั้น เขามีภาพของตัวเองและผู้อื่นให้มองเห็นอยู่ ถ้าเธออยากจะก้าวไปถึงความสุขนิรันดร์ เธอต้องพร้อมที่จะเกลียดบิดามารดา เกลียดแม้แต่ชีวิตของเธอเอง แล้วก็พร้อมที่จะจากสิ่งเหล่านี้ไป ทำอย่างไรละ? ไม่ใช่ว่าก็สลัดทิ้งหรือเลิกไป เพราะสิ่งที่เธอเลิกไปโดยวิธีรุนแรง เธอจะต้องผูกติดมันไปตลอดกาล เธอควรจะมองว่ามันคือฝันร้าย และแล้วไม่ว่าเอจะเก็บมันไว้หรือไม่ก็ตาม มันจะค่อยๆ คลายมือจากเธอ คลายอำนาจที่จะทำร้ายเธอ เธอจะได้หลุดพ้นจากความฝัน พ้นจากความมืด ความกลัว และความทุกข์ ฉะนั้น เธอจงใช้เวลาพิจารณาสิ่งที่เธอเกาะเกี่ยวไว้เหล่านี้ว่าสิ่งใดคือ ความจริง สิ่งใดคือฝันร้าย ซึ่งให้ความสำราญและความตื่นเต้นเพียงชั่ววูบ แล้วก็ทิ้งไว้แต่ความวิตกกังวล ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความเครียด ความกระวนกระวาย ความกลัว และความทุกข์ บิดามารดา : คือฝันร้าย ภรรยา บุตร พี่น้อง : คือฝันร้าย ทุกสิ่งที่เธอครอบครองอยู่ : คือฝันร้าย ชีวิตเธอที่เป็นอยู่ขณะนี้ : คือฝันร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเกาะเกี่ยวไว้และเชื่อมั่นว่าเธอจะไร้ความสุขถ้าปราศจากสิ่งนั้น ก็คือฝันร้าย เมื่อมองเห็นเช่นนี้แล้ว เธอก็จะเกลียดบิดามารดา เกลียดภรรยาและบุตร พี่น้อง เกลียดแม้แต่ชีวิตของเธอเอง แล้วเธอก็จะจากสิ่งเหล่านี้ไปได้โดยง่าย เธอจะเลิกยึดติดมัน และจำทำลายพลังอำนาจของมันที่จะทำร้ายเธอ ในที่สุดเธอก็จะได้รับประสบการณ์จากสภาวะอันลึกล้ำ ซึ่งไม่สามารถบรรยายได้ด้วยถ้อยคำใดๆ เป็นสภาวะที่ดำรงไว้ซึ่งความสุขและความสงบ เธอจะได้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงความจริงที่ว่า ทุกคนที่เลิกยึดติดพี่น้อง พ่อแม่ หรือบ้านและที่ดิน จะเข้าถึงชีวิตนิรันดร์ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.com
ในบ้านอันเปล่าเปลี่ยวหลังหนึ่ง ชายหนุ่มในวัยต้นแห่งชีวิตคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ ประเดี๋ยวเขาก็มองลอดหน้าต่างไปดุท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดาว ประเดี๋ยวก้หันมาดูภาพของหญิงผู้หนึ่งในมือของเขา ภาพนั้นเองที่สะท้อนเอาเส้นและสีลงในใบหน้าของเขา ภาพใบหน้าของหญิงนั้นกำลังพูดกับเขาและทำให้ดวงตาของเขากลายเป็นโสตซึ่งรับรู้และเข้าใจในภาษาของดวงวิญญาณที่โฉบเฉี่ยวอยู่ในห้องนั้น ให้กำเนิดแก่หัวใจที่สว่างไสวด้วยความรักและบรรจุเต็มด้วยความใฝ่ฝันหาดังนั้นชั่วโมงก็ผ่านไปเหมือนนาทีแห่งความฝันที่เป็นสุขหรือเสมือนขวบปีหนึ่งจากอนันตกาล แล้วชายหนุ่มก็เอาภาพตั้งไว้ข้างหน้าเขาและหยิบกระดาษปากกาขึ้นมาเขียนว่า "เธอที่รักแห่งวิญญาณของฉัน ความจริงอันยิ่งใหญ่และสูงส่งมิได้ผ่านจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยคำพูดของมนุษย์ดอก เขามักเลือกเอาความเงียบเป็นถนนแห่งวิญญาณ ฉันรู้ว่าความสงัดในคืนนี้จะเป็นสื่อระหว่างดวงจิตของเราทั้งสองอันอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าสายลมที่ลิขิตอยู่บนผิวน้ำจะสื่อข้อความในหัวใจของเราสู่กันและกัน เพราะพระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์จะให้ดวงวิญญาณของเราต้องถูกขังอยู่ในคุกแห่งร่างกาย ดังนั้นความรักจึงกำหนดให้ฉันต้องเป็นนักโทษแห่งถ้อยคำ"ที่รักของฉัน เขาพูดกันว่าความรักที่มาจากความบูชานั้นจะกลายเป็นไฟที่กลืนกินตัวเรา ฉันได้พบว่าชั่วโมงแห่งการจากกันนั้นหากีดกั้นความสัมพันธ์ของตัวตนเหนือโลกของเราได้ไม่ ฉันได้ทราบมาตั้งแต่เราพบกันครั้งแรกว่าดวงจิตของฉันนั้นเป็นคู่ของเธอมาเป็นเวลาที่มิอาจประมาณได้ และการมองครั้งแรกของเธอนั้นแท้ที่จริงหาใช่การมองครั้งแรกไม่"โอ้ที่รักของฉัน แท้จริงแล้วชั่วขณะที่เชื่อมหัวใจทั้งสองของเราซึ่งมาจากโลกอื่นนั้นคือสิ่งหนึ่งในจำนวนหลายสิ่งที่ทำให้ฉันปักใจเชื่อในอนัตภาพแห่งจิตวิญญาณและความอมตะของมัน ในชั่วขณะเช่นนั้นเองธรรมชาติได้ดึงม่านคลุมทิ้งไปจากใบหน้าของความยุติธรรมอันไร้กาลเวลาซึ่งผู้คนมักคิดว่าเป็นความยุติธรรม "ที่รัก เธอจำได้ไหมถึงสวนที่เราเคยยืนอยู่ด้วยกัน เฝ้าจ้องมองดูใบหน้าผู้ที่เป็นที่รัก? และสายตาของเธอบอกฉันว่าความรักที่เธอมีต่อฉันนั้นมิได้เกิดจากความสงสาร สายตานั้นสอนฉันให้ประกาศแก่ตัวฉันและแก่โลกว่าของขวัญที่ได้มาจากความยุติธรรมนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ได้มาจากการขอทาน และความรักซึ่งเกิดจากเหตุแวดล้อมก้เหมือนน้ำที่ในหนอง"ที่รัก เบื้องหน้าฉันคือชีวิตซึ่งจะทำให้ฉันเป็นคนยิ่งใหญ่และงดงามชีวิตซึ่งจะเป็นที่รักแห่งความทรงจำของผู้คนในอนาคตละได้รับความรักและนับถือจากพวกเขา ชีวิตซึ่งมีจุดเริ่มที่การพบครั้งแรกของเธอ ผู้ซึ่งฉันแน่ใจในความเป็นอมตะเพราะฉันเชื่อว่าตัวเธอนั้นสามารถนำพลังซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้เอาไปจากฉันกลับมาได้เช่นเดียวกับที่ดวงอาทิตย์นำกลิ่นดอกไม้ขจรไปในทุ่งนา และดังนั้นความรักของฉันก็คงอยู่แก่ตัวฉันและแก่กาลเวลาทั้งหลายและดำรงอยู่โดยไม่มีความเห็นแก่ตน เพื่อว่ามันจักได้ขจรขจายไปและอยู่เหนือสิ่งเล็กน้อยทั้งมวลในการอุทิศตนแด่เธอ"ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินข้ามห้องไปช้าๆ แล้วก็หันไปมองดูที่หน้าต่างอีกและเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้น สาดแสงอันอ่อนละไมไปทั่วท้องฟ้าเขากลับมาที่จดหมายและเขียนต่อไปว่า"อภัยให้ฉันด้วยเถิดที่รัก ในการที่ฉันพูดกับเธอเหมือนเป็นอีกคนหนึ่งทั้งๆ ที่เธอคือส่วนครึ่งของฉันที่หายไปเมื่อเราออกมาจากหัตถ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าในขณะเดียวกันนั้น โปรดยกโทษให้ฉันด้วย" Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontac-thai.org