4 ตุลาคม 2556 23:11 น.
คีตากะ
ตามทฤษฎีการแพทย์ไทย กล่าวว่า คนเราเกิดมาในร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งในแต่ละคนจะมีธาตุเด่นเป็นธาตุประจำตัว เรียกว่า “ธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งธาตุเจ้าเรือนนี้มี ๒ ลักษณะ คือ ธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งจะเป็นไปตามวัน เดือน ปีเกิด และธาตุเจ้าเรือนปัจจุบันที่พิจารณาจากบุคลิก ลักษณะ อุปนิสัยและภาวะด้านสุขภาพกายและใจ ว่าสอดคล้องกับลักษณะของบุคคลธาตุเจ้าเรือนอะไร
ตามทฤษฎีโบราณจะใช้รสชาติของอาหารเป็นยารักษาโรค โดยรสชาติต่างๆ จะมีผลต่อการปรับสมดุลของร่างกาย เมื่อธาตุทั้งสี่ในร่างกายสมดุล บุคคลจะไม่ค่อยเจ็บป่วย หากขาดความสมดุลมักจะเกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากจุดอ่อนด้านสุขภาพของแต่ละคนตามเรือนธาตุ
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้น สิ่งที่สามารถช่วยได้ระดับหนึ่งในเบื้องต้นคือพฤติกรรมการบริโภคอาหารของแต่ละคนในชีวิตประจำวัน โดยใช้รสและสรรพคุณของอาหารเป็นยาเพื่อปรับสมดุลของร่างกายป้องกันความเจ็บป่วยได้ในระดับหนึ่ง
ธาตุดิน
ธาตุดิน คือ คนที่เกิดเดือน ๑๑, ๑๒, ๑ หรือ ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม
ลักษณะรูปร่าง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำผมดกดำ กระดูกใหญ่ ข้อกระดูกแข็งแรง น้ำหนักตัวมาก ล่ำสัน เสียงดังหนักแน่น
ควรบริโภคอาหาร รสฝาด หวาน มัน และเค็ม
ตัวอย่างผัก ผลไม้ที่รสชาติเหมาะกับคนธาตุดิน เช่น มังคุด ฝรั่ง ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ เงาะ หัวมันเทศ ผักกระโดน กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะยม สมอไทย กระถินไทย กระโดนบก กระโดนน้ำ ผักหวาน ขนุนอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ขจร ยอดฟักทอง ผักเซียงดา ลูกเหนียงนก บวบเหลี่ยม บวบงู บวบหอม เป็นต้น
ธาตุน้ำ
ธาตุน้ำ คือ คนที่เกิดเดือน ๘, ๙, ๑๐ หรือ กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน
ลักษณะรูปร่าง รูปร่างสมบูรณ์ สมส่วน ผิวพรรณสดใส เต่งตึง ตาหวาน น้ำในตามาก ท่าทางเดินมั่นคง ผมดกดำงาม ทนหิว ทนร้อน ทนเย็นได้ดี เสียงโปร่ง ความรู้สึกทางเพศดี อากัปกิริยามักเฉื่อย และค่อนข้างเกียจคร้าน
ควรบริโภคอาหาร รสเปรี้ยวและขม
ตัวอย่างผัก ผลไม้ สำหรับคนธาตุน้ำ เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน ขี้เหล็ก แคบ้าน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะอึก มะเขือเครือ สะเดาบ้าน มะระขี้นก มะระจีน มะแว้ง ใบยอ เป็นต้น
ธาตุลม
ธาตุลม คือคนที่เกิดเดือน ๕, ๖, ๗ หรือ เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน
ลักษณะรูปร่าง ผิวหนังแห้งหยาบกร้าน รูปร่างโปร่ง ผอมบาง ข้อกระดูก มักลั่นเมื่อเคลื่อนไหว ขี้อิจฉา ขี้ขลาด รักง่ายหน่ายเร็ว ทนหนาวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ช่างพูด เสียงต่ำ ออกเสียงไม่จัดเจน ความรู้สึกทางเพศไม่ค่อยดี
ควรบริโภคอาหารรส เผ็ดร้อน
ตัวอย่างผัก ผลไม้ สำหรับคนธาตุลม เช่น ขิงข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย กระทือ ดอกกระเจียว ขมิ้นชัน ผักคราด ช้าพลู ผักไผ่ พริกขี้หนูสด สะระแหน่ หูเสือ ผักแขยง ผักชีลาว ผักชีล้อม ยี่หร่า สมอไทย กานพลู
ธาตุไฟ
ธาตุไฟ คือคนที่เกิดเดือน ๒, ๓, ๔ หรือ มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม
ลักษณะรูปร่าง มักขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยได้ หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน ผิวหนังย่น ผม ขน แลหนวดอ่อนนิ่ม ไม่ค่อยอดทนใจร้อน ข้อกระดูกหลวม มีกลิ่นปากกลิ่นตัวแรง ความต้องการทางเพศปานกลาง
ควรบริโภคอาหารรส ขม เย็น และจืด
ตัวอย่างผัก ผลไม้ สำหรับคนธาตุไฟ เช่น แตงโม มันแกว พุทรา แอปเปิ้ล ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด ผักกระสัง สายบัว ผักกาดจีน ผักกาดนา ผักกาดนกเขา มะระ ผักปลัง มะรุม มะเขือยาว ผักหนาม ยอดมันเทศ กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง หยวกกล้วย หม่อน มะเขือยาว กุยช่าย เป็นต้น
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
5 ตุลาคม 2556 21:58 น.
คีตากะ
ฟ้าทะลายโจร ขิง กระเทียม หอม กะเพรา กระเจี๊ยบ มะขามป้อม
ข้อตกลง...ของเรา นักสู้กับไข้หวัด 2009
อย่ามือบอน อย่าเอามือไปสัมผัสกับเยื่อบุของร่างกาย เช่น ขยี้ตา แคะจมูก กัดนิ้ว หรือหยิบอาหารใส่ปาก โดยไม่ล้างมือ
ล้างมือบ่อยๆ เพราะเชื้อไข้หวัด 2009 จะอยู่กับสิ่งคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย เราจะไปสัมผัสเมื่อใดก็ไม่รู้ (ล้างด้วยน้ำและสบู่ดีที่สุด ยกเว้นไม่มีน้ำ ให้เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% แทนได้) ผู้ป่วยเป็นหวัด ยิ่งต้องล้างมือบ่อยๆ
สวมหน้ากากอนามัย ถ้าป่วยเป็นหวัด ไม่ว่าจะเป็นหวัดชนิดไหนก็ควรใส่ ส่วนคนไม่ป่วย ถ้าเราไปในที่ๆ มีความเสี่ยง เช่น ในที่ๆ คนข้างๆ จะไอ/จาม มาถึงตัวเราได้ ก็ควรใส่หน้ากากอนามัยด้วย
ถ้าเป็นหวัด หาทางช่วยภูมิคุ้มกันแบบไทยๆ
- พัก นอนหลับ ให้เพียงพอ (ยาตัวนี้สำคัญมากๆ)
- อย่าให้ขาดน้ำ ดื่มน้ำมากๆ เพราะถ้าปากคอเราแห้ง เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย และเราก็กำจัดเชื้อออกไปจากเราไม่ได้ด้วย หลีกเลี่ยงอาหารมันและย่อยยาก รับประทานอาหาร เครื่องดื่มร้อนย่อยง่าย
- รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ผลยอ มะขามป้อม ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ
- รับประทานกระเทียมวันละ 6 กลีบ หรือหอมใหญ่วันละ 1/4 - 1/2 หัว
- ดื่มน้ำขิง น้ำกะเพรา น้ำตะไคร้ น้ำใบเตย น้ำกระเจี๊ยบเป็นประจำ
- อมบ้วนปาก กลั้วคอ ด้วย น้ำต้มเปลือกมังคุด น้ำต้มใบฝรั่ง หรือน้ำต้มใบชา เช้า - เย็น (ถ้าทำได้)
สมุนไพร...ช่วยได้
เริ่มต้นที่ภูมิคุ้มกัน+แข็งแรง
รุ่นแล้วรุ่นเล่าเฝ้าสะสม
ได้เพาะบ่มส่งความรู้สู่ลูกหลาน
เป็นเผ่าพันธุ์ไทยคงดำรงนาน
เพียงสืบสานความรู้..ปู่ย่าตายาย
เลือกสิ่งที่ปลอดภัยในครัวแม่
นำมาแก้ปัญหาพาไข้ (หวัด 2009) หาย
ไม่เห็นกลัวในครัวแม่มีมากมาย
พร้อมทะลายโรคภัยให้ไกล...เอย
ฟ้าทะลายโจร
(Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall. ex Nees)
มีการใช้มายาวนานนับพันปี ปลูกง่ายในบ้านเรา
- มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ครบถ้วน ในการป้องกันและรักษาหวัด หวัดใหญ่ มีความปลอดภัยสูง
- อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทย ในการรักษาหวัด
- ออกฤทธิ์โดย
1. ทำให้เชื้อแบ่งตัวได้ลดลงและเข้าสู่เซลล์ได้ยากขึ้น
2. เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายเอาไว้สู้กับไวรัสทุกสายพันธุ์
3. ลดการอักเสบ ไอ จาม ปวดตามตัว และการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ
- รับประทานป้องกัน วันละ 1 - 2 แคปซูล
- รับประทานเพื่อรักษา รับประทาน ครั้งละ 1.5 - 3 กรัม วันละ 4 ครั้ง (ครั้งละ 2 - 4 แคปซูล)
ข้อควรระวัง ไม่ควรรับประทานขนาดสูงๆ ติดต่อกันนานๆ ร่างกายจะเย็นเกินไป
ขิง
(Zingiber offcinale Roscoe)
- ทั่วทุกส่วนของคนทุกมุมโลกใช้ขิงแก้หวัด แก้ไอ
- มีสารหลายชนิดในขิงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่
- มีการทดลองพบว่า น้ำขิงต้มทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาส (Macrophage) จับกินเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น
กระเทียม
(Allium sativum L.)
- สมุนไพรที่ใช้รักษาหวัดมานานนับพันปีที่อยู่คู่ครัวไทย
- มีการศึกพบว่า การกินกระเทียมสดป้องกันและลดระยะเวลาการเป็นหวัด
- มีรายงานการศึกษาวิจัยของญี่ปุ่นใช้กระเทียมดอง Aged Garlic Extact (AGE) พบฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูถีบจักร เมื่อให้ AGE ทางปากหนู 10 วัน ก่อนให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทางจมูก พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันหวัดได้ดีเท่ากับวัคซีน
- กระเทียมยังเป็นสมุนไพรที่บำรุงร่างกายที่ดีเยี่ยม
หอมใหญ่
(Allium cepa L.)
- คนไทยใช้หอมในการรักษาหวัดมาตั้งนานแล้ว
- พบว่าทั้งหอมใหญ่ และหอมเล็กมีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านฮิสตามีน ช่วยขยายหลอดลม
- หอมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย
กะเพรา
(Ocimum tenuiflorum L.)
- เป็นสมุนไพรที่คนไทยและคนอินเดียนิยม แก้ไอ แก้หวัด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง จึงมีประโยชน์ในคราวที่เราต้องเผชิญกับไข้หวัด 2009
- กะเพรา มีฤทธิ์ต้านอาการไอ คลายเครียด แก้อักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ
ตะไคร้
(Cymbopogon citratus (DC.) Stapf)
คนจีนและคนไทยสมัยก่อน ใช้ตะไคร้ รักษาหวัด หวัดใหญ่ แก้ไข้ แก้ปวดหัว ปวดท้อง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ แก้อักเสบ ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาไข้หวัดทั่วไป และไข้หวัดใหญ่ คนไทยใช้บรรเทาและรักษาอาการเหล่านี้มานาน
กระเจี๊ยบ
(Hibiscus sabdariffa L.)
- น้ำมสมุนไพรให้สุขภาพดี สีสวย แก้ไข้ แก้ไอ ขับปัสสาวะ
- แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ที่พบมากในกระเจี๊ยบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ทั้งฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง และลดปริมาณไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
- นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าการรับประทานผัก ผลไม้ ที่มีแอนโธไซยานิน จะช่วยลดการติดเชื้อและลดปริมาณเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการตายในปัจจุบัน
มะขามป้อม
(Phyllanthus emblica L.)
- มะขามป้อม ยาอายุวัฒนะมาตั้งแต่โบราณกาล
- มีสรรพคุณแก้ไอ บำรุงเสียง ทำให้ชุ่มคอ
- มีฤทธิ์ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และมีสารโพลีฟีนอล (polyphenol) ที่ออกฤทธิ์เหมือนวิตามินซี ปัจจุบันพบว่า สารชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่
- เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด
ยาดี สมุนไพรดีแค่ไหน...ก็แค่นั้น ถ้าไม่ป้องกันตัวเอง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ..อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอเมื่อเป็นหวัด
กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
5 ตุลาคม 2556 21:59 น.
คีตากะ
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
รวบรวมจากวรสาร
พวกเรายิ่งใหญ่มาก
แผ่ออกไปกว้างขวางมาก
แต่เรากลับใช้ปัญญาอันยิ่งใหญ่นั้น
เพียงเพื่อเข้าใจความรู้ทางโลกเล็กๆน้อยๆ
ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ทางการแพทย์
หรือความรู้ทางกฎหมาย อะไรพวกนี้
แล้วเราก็ยึดติดอยู่ตรงนั้น
ปัญญาทั้งหมดที่มีอยู่
เรากลับเอาไปให้ความสนใจแค่
ความรู้มุมนี้มุมเดียว
เพราะฉะนั้นเราจึงลืมส่วนใหญ่ทั้งหมด
นี่แหละมันเป็นแบบนี้
แล้วเราก็คิดว่าตัวเรานี้ยิ่งใหญ่มากแล้ว
เราเป็นนายแพทย์คนนี้
เป็นดอกเตอร์ซึ่งจบปริญญาเอกคนนั้น
เรายุ่งเกินไปกับการพัฒนาตนเอง
ในด้านวิทยาศาสตร์
ในด้านวรรณคดี
ในความสำเร็จด้านเครื่องยนต์กลไก
และเราไม่พยายาม
พัฒนาพลังที่สมบูรณ์ทั้งหมด
มีอิสรภาพอยู่ชนิดหนึ่ง
ซึ่งหากเราได้รับมันแล้ว
จะไม่มีใครดึงมันออกไปจากเรา
ไม่มีใครสามารถทำลายมันได้
อิสรภาพทางจิตวิญญาณชนิดนี้
สามารถมีได้เฉพาะผู้บำเพ็ญปฏิบัติ
เมื่อใดที่เรามีอิสรภาพแบบนี้
แม้ร่างกายของเราจะถูกขัง
หรือได้รับการทรมาน
จิตใจของเราจะไม่ได้รับผลกระทบเลย
เป็นเรื่องง่ายมาก
ที่จะอยู่ในภาวะแห่งความสุข
ถ้าเราต้องการความสงบสุข
เราก็ควรแสวงหาจากภายใน
ไม่ใช่จากภายนอก
เรารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
หนทางของบุคคลที่รู้แจ้งก็คือ
อิสรภาพ คือความสุขและปัญญา
นี่แหละคือชีวิต
ที่พวกเราทุกคนควรจะจำได้
เพราะว่านี่คือตัวตนจริงๆ ของเรา
ความสุขที่แท้จริง
มิใช่ได้รับมาจากการมีตำแหน่งที่สูงส่ง
ภายในโลกหรือจากความรู้ที่เราได้รับ
จากหนังสือหรือจากสังคม
หรือจากสิ่งต่างๆ ที่เราครอบครองอยู่
แต่ความสุขที่แท้จริงจะมาถึงตัวเรา
ก็ต่อเมื่อ...
เรารู้จักตนเอง เราได้รับการรู้แจ้ง
พระเจ้าอยู่ภายในตัวของเรา
สิ่งนี้ก็คือพลังอันทรงอานุภาพ
ซึ่งหลับอยู่ข้างใน
และเราสามารถจะปลุกให้มันตื่นขึ้นมา
เมื่อใดก็ได้
และก็ใช้ประโยชน์จากมันได้
อย่างน้อยก็เพื่อความพอใจของเรา
ถ้าเราเข้าใจว่า
อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา
และถ้าเราได้ลิ้มรสน้ำอมฤต
แห่งอาณาจักรของพระเจ้านี้แล้ว
เราก็คงไม่ต้องการจะขัดขืนอะไรทั้งสิ้น
หากเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ที่นี่นานขึ้น
เพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ก็ปล่อยให้มันเป็นไป
หากเราจำเป็นต้องไป
เพราะถึงเวลาของเราแล้ว
หรือเพราะใครบางคน
ต้องการจะปลิดชีวิตของเรา
ก็ปล่อยให้มันเป็นไป
เพราะเรายังมีอาณาจักรอื่นๆ
ที่จะอาศัยอยู่ต่อไปได้
จริงๆ แล้วโลกนี้ไม่มีคนบาปหรอก
มีแต่เพียงบุคคลที่เพิกเฉย
ละเลยไม่รู้จุดหมายของชีวิตนั้น
และไม่รู้จักวิธีปฏิบัติให้สอดคล้อง
กับแผนการอันยิ่งใหญ่ของจักรวาล
ความทุกข์ยากในโลกนี้
จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยทันที
หากเรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา
ตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ของเรา
เวลาเรารู้แจ้ง
เราจะสร้างสวรรค์ขึ้นมาใหม่
และเวลาที่เราทำสิ่งที่ไม่ดีหรือเป็นบาป
เราก็สร้างนรกแห่งใหม่ขึ้นมา
อย่าคิดว่านรกมีอยู่แล้ว
กำลังรอคอยให้เราตกลงไป
เปล่าเลย...
เราเป็นผู้สร้างมันเอง
สวรรค์และนรก
เป็นสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมาเองทั้งสิ้น
หากเราพลาดโอกาส
ที่จะศึกษาเรียนรู้จากพุทธะไปครั้งหนึ่ง
เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะมีโอกาส
ได้มาเรียนรู้อีก
เพราะพุทธะอาจจะไม่กลับมาอีก
ในเร็วๆ นี้ ในชาตินี้
เพื่อที่จะมาสอนเรา หรือมานำทางเรา
หรือบางทีพุทธะอาจจะมา
แต่ก็อาจจะไม่มีบุญสัมพันธ์กับเรา
ดังนั้น เราจึงต้องรอแล้วรออีก
จนกว่าจะมีพุทธะซึ่งมีบุญสัมพันธ์กับเรา
กลับมาในโลกนี้
แล้วเราก็ต้องกลับมาเกิด
ในช่วงเวลาเดียวกันกับพุทธะองค์นั้น
เพื่อจะได้มีโอกาสแบบนี้อีก
ซึ่งเป็นโอกาสเพียงหนึ่งในหลายล้านชาติ
ผู้รู้แจ้งแล้ว
ไม่เคยรู้จักการไม่พอใจ
ไม่รู้จักความอยาก
ไม่รู้จักการไม่มีความสุข
มนุษย์ที่แท้จริง
ไม่ใช่เป็นแค่เนื้อและกระดูกเท่านั้น
สิ่งที่สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้
หรือทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้นั้น
มิใช่ลักษณะภายนอก
ที่ดูสวยงามหรือมีเสน่ห์
แต่เป็นแหล่งของปัญญาอันยิ่งใหญ่
ของพระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพ
ความทุกข์ทั้งมวลจะจบสิ้น
ทันทีที่เราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา
ถึงแม้ว่าบางครั้ง
เราจะยังรู้สึกกระทบกระเทือน
จากความทุกข์ของคนอื่น
แต่ตัวเราเองจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์มากมาย
เหมือนตอนก่อนที่เราจะรู้แจ้ง
เมื่อเราทำให้ตัวเราเป็นอิสระ
จากการยึดติดความคิดที่ไม่ดี
และตัณหาที่เหนี่ยวรั้ง
เราก็จะหลุดพ้นได้ในชาตินี้
เพราะว่าเราไม่รู้จักธรรมชาติที่รู้แจ้งของเรา
เราก็คอยใฝ่หาอะไรบางอย่าง
ที่ทำให้เรามีความสุข
หรือเรามัวแต่คิดว่า
สิ่งนั้นจะทำให้เราสุข
ดังนั้นบางครั้งเราจึงทะเยอทะยาน
แสวงหาชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ
ความสวยงามและ
ความรักอันไม่จีรังยั่งยืน ฯลฯ
โดยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสุข
จนในที่สุด เราก็ตระหนักแน่ชัดว่า
สิ่งเหล่านี้ได้แต่นำความโศกเศร้า
มาให้เราเป็นส่วนใหญ่
สิ่งที่พระเยซูได้ทำไปแล้ว
เป็นเพียงแค่ของเด็กเล่น
สิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงให้เราดู
ตอนที่ท่านยังอยู่ในโลกนั้น
เป็นเพียงแค่เรื่องตลก
เพราะสิ่งที่พระเยซูทำได้
หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทำได้จริงๆ นั้น
เหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
มันมีความยิ่งใหญ่
เป็นพันล้าน หมื่นล้านเท่า
และเราก็สามารถทำได้
เราจึงควรหันความสนใจเข้าสู่ภายใน
และเราก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูรู้
ที่พระพุทธเจ้ารู้และ
บรรดานักปราชญ์ทุกคน
ทั้งในอดีตและอนาคตรู้
เพราะธรรมชาติของเราเป็นเช่นนั้น
การรู้แจ้งไม่ใช่เรื่องใหม่
ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องร้องขอ
ไม่ใช่สิ่งที่ลึกลับ
มันเป็นเพียงพลังอำนาจทางบวก
ที่พวกเรามีอยู่ภายในตัวเราเอง
กำลังนอนหลับอยู่
ไม่ได้ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์
จนกระทั่งบัดนี้
ยิ่งเรายึดติดกับชีวิตอย่างมั่นคงมากเท่าไร
เราก็จะมีความสุขกับรสชาติของมัน
น้อยลงเท่านั้น
ดังนั้นผู้ที่รู้แจ้งจึงมีความสุขมากกว่า
มีความพอใจมากกว่า
และในสภาพเช่นนี้
เนื่องจากภาวะจิตใจของเขา
มีความมั่นคงมาก
เขาก็จะสามารถทำสิ่งที่น่าพิศวงต่างๆ
ได้มากมาย
เพราะเขาเงียบสงบพอที่จะเข้าใจว่า
ปัญญาของเขาอยู่ที่ไหน
ความยิ่งใหญ่ของเขาอยู่ที่ไหน
เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากมันได้
เราอยากจะช่วยโลกนี้เหลือเกิน
อยากจะนำสันติภาพมาสู่โลก
ทำให้โลกกลายเป็นสวรรค์
แต่เราจะทำอย่างไร
ถ้าเราไม่มีปัญญา
จะทำได้อย่างไร
ถ้าเราไม่อยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย
เราจะไม่ให้หัวของเราเปียกได้อย่างไร
ถ้าเราไม่อยู่เหนือนำ
ดังนั้น
การรู้แจ้งจึงเป็นเครื่องมือ
สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
ในชีวิตนี้ และชีวิตหน้า
เราจะเดินทางท่องไปได้กว้างไกล
ในแกแล็กซี่ของจักรวาล
ถ้าเรารู้สิ่งต่างๆ
ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์
ที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ยังไม่รู้
นี่แหละคือความสามารถของมนุษย์
ต่อเมื่อเรารู้แจ้งเท่านั้น
เราจึงจะมีความสุขในทุกๆ สิ่ง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ยินดี
ถ้ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเราก็รับไว้
เหมือนกับเป็นของขวัญจากพระเจ้า
เราจะยินดีเต็มที่โดยไม่รู้สึกมีความผิด
ไม่ต้องสงวนท่าที ไม่มีอะไรมาขวางกั้น
ไม่ว่าจะภายในหัวใจ
หรือภายในความคิดของเรา
การรู้แจ้ง
จึงเป็นเครื่องมือรักษา
สำหรับความเจ็บป่วยทุกชนิด
สำหรับปัญหาของโลกทุกอย่าง
สงครามทุกแห่ง
และเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ได้
สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
จบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
www.godsdirectcontact-thai.org
12 สิงหาคม 2554 08:17 น.
คีตากะ
ความอุดมสมบูรณ์ของธรมชาติทำให้เรามีกินมีใช้ มีที่อยู่อาศัย ได้ความอบอุ่น และมีเสื้อผ้าสวมใส่ ดินไม่อาจรองรับเกษตรกรรมหากไม่มีแบคทีเรียช่วยทำให้อินทรีย์สารแตกตัว พืชผลคงแพร่พันธุ์ไม่ได้หากไม่มีผึ้งคอยผสมเกสร อากาศคงไม่อาจสูดดมได้หากพืชและแพลงตอนไม่ดูดคาร์บอนไดออกไซด์ไปสังเคราะห์แสง น้ำคงดื่มไม่ได้หากไม่ผ่านการกรองโดยป่าไม้และป่าชายเลน ยาหลายชนิดที่ช่วยยืดอายุของเราก็พัฒนามาจากสารธรรมชาติของพืชและสัตว์ และเชื่อว่ายังมีอีกหลายชนิดที่เรายังค้นไม่พบ ชีวิตยังควบคุมวงจรอาหารของโลกด้วย หากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมหาสมุทรไม่เปลี่ยนคาร์บอนส่วนเกินให้เป็นหินปูนและชอล์กเมื่อหลายล้านปีก่อน โลกที่เราอยู่อาศัยอาจกลายเป็นแบบดาวศุกร์ไปนานแล้ว พื้นที่ผิวน่ากลัวมีอุณหภูมิ ๕๐๐ องศาเซลเซียส ร้อนพอให้ตะกั่วละลาย ทั้งนี้เพราะบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อการอยู่อาศัยประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๙๖ เปอร์เซ็นต์
ช่วงระยะเวลา ๕๐ ปีหลังมานี้โลกมีการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด นับตั้งแต่เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีก่อน ทำให้การผลิตทั้งทางด้านการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกๆ ด้าน เราสามารถผลิตได้ปริมาณที่มากขึ้น ด้วยเวลาที่สั้นลง และต้นทุนต่อหน่วยลดลง ผลิตผลที่มากขึ้นก็เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้นและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ในขณะที่ประชากรของโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดจึงมีขนาดใหญ่ขึ้น การผลิตและการลงทุนจึงเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว การมุ่งเน้นผลประโยชน์เป็นหลักทำให้เราละเลยการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ จนทำลายธรรมชาติอย่างเป็นระบบเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะทรัพยากรที่มีค่าทางธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ อากาศ และป่า ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกรวมทั้งตัวเราด้วย ภัยพิบัติทางธรรมชาติเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้นจากการปรับตัวของธรรมชาติที่เสียสมดุลในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่บ่อยครั้งขึ้น การเกิดสึนามิ หิมะตกหนัก การละลายของธารน้ำแข็งอันเป็นแหล่งน้ำจืดและลดความร้อนให้แก่โลก พายุที่รุนแรงขึ้นและถี่ขึ้น น้ำท่วม ภัยแล้ง คลื่นความร้อน โรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ ตลอดจนการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมากมายหลายสายพันธุ์ ฯลฯ
ผลจากการที่เราปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์โลกไม่ว่าจะในยุคไหนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างรุนแรงตามมา จากหลักฐานทางธรณีวิทยาก่อนที่จะมีเผ่าพันธุ์มนุษย์การจะสะสมก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศจนถึงขั้นวิกฤติที่สามารถก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้นั้นจะต้องใช้เวลานับล้านๆ ปีซึ่งเกิดขึ้นตามกลไกทางธรรมชาติอย่างช้าๆ เว้นแต่จะมีอุบัติเหตุทางธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างเช่นอุกกาบาตจากห้วงอวกาศพุ่งชนโลก เหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของยุคครีเทเชียส-เทอร์เทียรี เมื่อ ๕๕ ล้านปีก่อน ซึ่งไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเพราะการปลดปล่อยก๊าซมีเทนอย่างฉับพลันจากการถูกพุ่งชนจากอุกกาบาตจากนอกโลกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างเฉียบพลันตามมา แต่ในครั้งอดีตการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตล้วนเกิดมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น และมันก็เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ช่วยให้เกิดวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดของชีวิตจนนำมาสู่ยุคที่มนุษย์ครองโลกในปัจจุบันนั่นเอง ขณะที่ปัจจุบัน สาเหตุของภาวะโลกร้อนล้วนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก มนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง และรวดเร็วกว่ายุคใดๆ ในประวัติศาสตร์ของโลกที่เคยมีมา
การเบียดเบียนสัตว์และพืชทั้งบนบกและในทะเลอย่างเป็นระบบมากจนเกินไปโดยผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมถูกมองว่าเป็นต้นตอหลักของปัญหาภาวะโลกร้อนถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมองเห็นต้นตอนี้ได้ คนส่วนใหญ่ยังคงโทษการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติหรือปัญหาปลายแถวอย่างขยะ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนในระยะยาว แต่ในระยะเวลาสั้นๆ การทำฟาร์มปศุสัตว์สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่าหลายเท่านัก เพราะทุกกระบวนในการผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกอย่างมากมายมหาศาลแทบทั้งสิ้น เช่น การถางป่าเพื่อใช้ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ และปลูกพืชอาหารสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูป การขนส่ง การจัดเก็บ การจัดจำหน่าย ฯลฯ โดยเฉพาะมันเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกอายุสั้นที่มีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึงเกือบ ๑๐๐ เท่าในช่วงเวลา ๒๐ ปี นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งผลิตไนตรัสออกไซด์ที่มีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึงเกือบ ๓๐๐ เท่า และยังเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญอีกด้วย
สภาพภูมิอากาศที่มีความแปรปรวนและคาดการณ์ไม่ได้ผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรเป็นไปอย่างยากลำบาก ส่งผลต่อความมั่นคงทางด้านอาหารของโลกตามมา การเพราะปลูกที่ต้องคอยพึ่งพาดินฟ้าอากาศและระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพเริ่มมีปัญหา เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนไปจนเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ทิศทางและเวลาของการเกิดลมมรสุมผิดแผกไปจากเดิมจนวิปริต นอกจากนั้นยังมีปัจจัยที่มาจากจำนวนและความรุนแรงของพายุที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย ปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักในบางช่วงเวลามีปริมาณใกล้เคียงกับปริมาณฝนโดยรวมตลอดทั้งปีเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับอดีต ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน บางพื้นที่เกิดดินถล่มสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ทางการเกษตร ที่อยู่อาศัย ชีวิตและทรัพย์สินของเกษตรกรมากมายมหาศาลไปทั่วทุกมุมโลก ในขณะที่บางช่วงเวลาหรือบางพื้นที่ก็เกิดภัยแล้งเล่นงานพืชผลทางการเกษตรอย่างหนักจนสุดจะเยียวยา แม่น้ำสายหลักหลายสายของโลกถึงกับแห้งขอดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อการเพาะปลูกเกิดปัญหา ทำให้พืชผลทางการเกษตรเกิดการขาดแคลน ราคาอาหารจึงพุ่งทะยานสูงขึ้นตามกลไกทางการตลาดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ส่งผลกระทบต่อคนระดับรากหญ้าจนถึงชนชั้นกลางที่ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่รายได้เท่าเดิม ประกอบกับโรคระบาดทั้งสายพันธุ์เก่าและใหม่ทั้งในคน พืชและสัตว์ก็เพิ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนสถานพยาบาลต่างๆ ไม่พอจะรองรับกับผู้เจ็บป่วยอันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่อากาศมีความอุ่นและชื้นมากขึ้น โดยเฉพาะศัตรูพืชที่จ้องคอยทำลายพืชผลทางการเกษตรอย่างรุนแรงและเรื้อรัง กระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ วนเวียนจนกลายเป็นวัฏจักรที่ยากจะหลุดพ้นจากวงจรอันอุบาทว์นี้
เมื่อเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักจนหลงลืมปัจจัยในการดำรงชีพขั้นพื้นฐานอย่าง อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคให้เพียงพอต่อประชาชนภายในประเทศเสียก่อน ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบไม่ยั่งยืน การมุ่งเน้นความมั่งคั่งทางด้านการเงินโดยหวังเงินตราจากต่างประเทศจากการส่งออกโดยไม่พึ่งพาตัวเองเป็นหลักก่อให้เกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจดังที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน เมื่อเงินถูกอ้างอิงกับเงินตราที่เป็นเพียงกระแสเงินที่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนสายน้ำมีค่าเปลี่ยนแปรไปได้ไม่คงที่ (สมัยก่อนเงินใช้อ้างอิงกับทองคำ แต่ภายหลังสหรัฐได้เปลี่ยนมาอ้างอิงกับเงินตราแทน) อย่างเช่นเงินสกุลดอลล่าร์ที่อ่อนค่าลงอย่างหนักเพราะประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาต้องถูกลดความน่าเชื่อถือลงจากปัญหาหนี้สินของประเทศที่รุมเร้าอย่างหนัก ทำให้นักลงทุนจากทั่วโลกที่ถือครองเงินสกุลดอลล่าร์อยู่ทั้งในรูปของเงินสด หุ้นและเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ต่างเทขายออกมาสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหลักทรัพย์ไปทั่วโลกจนมีค่าติดลบลงอย่างมากในรอบหลายปี ความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจของสหรัฐฯรวมทั้งสกุลเงินดอลล่าร์ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในทองคำแทน ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนสร้างสถิติใหม่อย่างน่าตระหนกในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงชั่วข้ามคืน นักวิเคราะห์ฟันธงว่าการที่ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดปกติแบบนี้จะต้องเกิดจากการปั่นราคาของนักลงทุนรายใหญ่อย่างแน่นอน แม้ทองคำจะมีคุณค่าในทางการเงิน แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธก็คือว่ามันยังคงไม่ใช่ปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยส่วนใหญ่ ยังคงมีการเปลี่ยนมือซื้อขายกันได้อย่างต่อเนื่อง มีการเก็งกำไร และมีการเปลี่ยนค่าได้ตลอดเวลา นักลงทุนบางรายยังพอใจที่จะถือเงินสดเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของตนเองมากกว่า หุ้น ทองคำ ตราสารทางการเงิน และสินทรัพย์อื่นๆ ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินสำหรับนักลงทุน ซึ่งแน่นอนการลงทุนมีผลตอบแทนแต่ก็มีความเสี่ยงตามมาด้วย ดังมีคำกล่าวที่ว่า “เงินทองของมายา ข้าวปลาสิของจริง” แต่ไม่ว่าอะไรล้วนแล้วแต่มีด้านที่ดีและไม่ดีควบคู่กันอยู่ที่จะใช้ประโยชน์มันอย่างไร? เพื่อจุดประสงค์อะไร? เพื่อการสร้างสรรค์หรือการทำลาย ซึ่งแน่นอนผู้เลือกนั้นจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งการเลือกนั้นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแบกรับภาระนี้แทนได้....
สถานการณ์ความขัดแย้งวุ่นวายต่างๆ ที่กำลังทวีความรุนแรงไปทั่วโลกเวลานี้ หากมองให้ลึกซึ้งจะพบว่าปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุในลำดับต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจแบบทุนนิยมไม่อาจตอบโจทย์ของการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้ การมุ่งเน้นความมั่งคั่งก่อให้เกิดการแข่งขันกันมากยิ่งขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่การผลิตและบริการสินค้าผลิตภัณฑ์ให้สามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่คนจ่ายเงินนั่นคือผู้บริโภคได้เป็นหลัก ทำให้เกิดระบบต่างๆ ทางด้านการบริหาร การผลิต การเงิน และการตลาดขึ้นมากมายจนซับซ้อน เช่น ระบบคุณภาพ ระบบตรวสอบ ระบบการขาย ระบบการสร้างเครือข่าย ระบบบัญชี ฯลฯ แต่เมื่อทรัพยากรที่มาจากธรรมชาติและมีอยู่อย่างจำกัด อย่างเช่นน้ำมัน เชื้อเพลิง ดิน น้ำ อากาศ และป่า หรือวัตถุดิบต่างๆ ที่จะต้องป้อนให้แก่โรงงาน เกิดปัญหาขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้หรือบริหารจัดการยากยิ่งขึ้น ผลสืบเนื่องจากภัยพิบัติต่างๆทางธรรมชาติที่ไม่คาดฝัน ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและถี่ขึ้น การลงทุนที่มีความเสี่ยงก็อาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวได้ในชั่วพริบตา ดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้คือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อตลาดหลักทรัพย์ประกาศว่าหุ้นในกลุ่มธนาคาร พลังงาน และอาหาร ติดอันดับสูงสุดของตาราง นั่นหมายความว่าอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่นหุ้นในกลุ่มธนาคาร นั่นหมายความว่าผลประกอบการของธนาคารนั้นดี สามารถสร้างกำไรอย่างงาม นักลงทุนซื้อเอาไว้เพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นสามารถทำเงินได้หรือถือเอาไว้ในระยะยาวก็มีการจ่ายเงินปันผลที่ดี โดยวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ เข้าประกอบในการพิจารณา สามารถให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นของบริษัทอื่นๆซึ่งจะต้องพิจารณาความเสี่ยงเข้าประกอบกันด้วยเสมอ แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งนั่นหมายความประชาชนส่วนใหญ่มีหนี้สินมากขึ้นหรือไม่? หรือประชาชนชอบกู้เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? หรือธนาคารมีการลงทุนที่ดี?
เมื่อผลตอบแทนลดลงและความเสี่ยงมีมากขึ้น โรงงานก็อาจไม่ลงทุนเพิ่ม มีการปลดคนงาน ลดกำลังการผลิตลง จำนวนคนตกงานเพิ่มขึ้น ขณะที่สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ก็มุ่งเน้นผลิตบัณฑิตออกมาเพื่อเป็นลูกจ้างเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งเน้นปัญญาให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ก่อนเป็นลำดับแรก ทำให้จำนวนคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความต้องการภายในจิตใจยังคงมีได้อย่างไม่สิ้นสุดและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มีความคาดหวังสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้น สำหรับมนุษยชาติ มีแนวโน้มจะเกิดยุคใหม่ของลัทธิท้องถิ่นนิยมแกมบังคับ เมื่อกระบวนการโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ และผู้คนหวนกลับไปยึดติดกับอัตลักษณ์ของตนอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น ปัจจุบันนี้ระบบเศรษฐกิจของเราเชื่อมโยงกันไปทั่วโลก ปริมาณการค้ามากมายมหาศาลเกิดขึ้น ระหว่างดินแดนที่ห่างไกลกัน ทว่าในอนาคตผู้ที่เคยเป็นลูกค้าตามเมืองแนวชายฝั่งที่ประสบกับภัยพิบัติไม่สามารถจะซื้ออะไรได้อีกต่อไป ในขณะที่ผู้ผลิตในเขตกึ่งร้อนที่ประสบกับความแห้งแล้งก็ไม่มีอะไรจะขายอีกต่อไปเช่นกัน ก่อนสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น ตลาดทุนที่ผันผวนและอ่อนไหวจะล่มสลายลงอย่างแน่นอน เงื่อนไขผูกมัดความเป็นเจ้าของระหว่างทุนต่างประเทศและในประเทศจะหมดไป ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในอดีตที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ายากลำบากแค่ไหนที่สังคมจะปรับตัวเข้ากับแรงกดดันเช่นนั้นได้ และรวมทั้งความวุ่นวายที่จะตามมาเพราะผู้คนหันไปคลั่งไคล้ปรัชญาทางการเมืองในขณะที่ความไม่มั่นคงทางสังคมสูงขึ้น ความขัดแย้งและสงครามก็จะตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นอกจากฝนฟ้าอากาศที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกแล้ว ความร้อนขึ้นของอากาศยังทำให้พืชผลทางการเกษตรเหี่ยวเฉาและล้มตายได้ง่ายขึ้น บริเวณที่เพาะปลูกไม่ได้จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจากการที่ทะเลทรายขยายวงกว้างมากขึ้น หรือดินเสื่อมสภาพลงอย่างหนักจากการใช้สารเคมีในการเกษตรมายาวนาน ปลูกพืชอะไรไม่ขึ้น หรือน้ำเค็มรุกเข้ามาทำลายพื้นที่ทางการเกษตร ทรัพยากรทางธรรมชาติลดน้อยลงในทุกภูมิภาคยกเว้นในเขตละติจูดที่สูงขึ้นไปที่เริ่มกลายเป็นเขตอบอุ่นมากขึ้น การอพยพโยกย้ายถิ่นฐานของประชากรโลกก็จะติดตามมา โดยเฉพาะจากเขตร้อนและกึ่งร้อนตามแนวชายฝั่ง แน่นอนว่าไม่มีทางออกไหนเป็นไปได้เลย ถ้าประเทศทางเหนือเหล่านี้ปฏิเสธจะรับผู้อพยพเพิ่ม จีนจะบุกไซบีเรียและสหรัฐบุกแคนาดาเพื่อยึดที่ดินสำหรับอยู่อาศัยซึ่งยังเหลืออยู่ด้วยกำลังทหาร ความขัดแย้งทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างแพร่หลายจึงกลายเป็นผลพลอยได้ซึ่งทำให้บริเวณพื้นผิวโลกที่ถือว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่อาศัยได้เพิ่มมากขึ้นอีก ดังตัวอย่างล่าสุดที่เกิดข้อพิพาทเรื่องเขตแดนในทะเลจีนใต้ระหว่างจีนกับหลายประเทศที่อ้างกรรมสิทธิของตนเหนือบริเวณดังกล่าว เช่น เวียตนาม ฟิลิปินส์ ไต้หวัน ฯลฯ ภายหลังจากที่จีนได้ทำการสำรวจและค้นพบน้ำแข็งติดไฟ (มีเทนไฮเดรต) บริเวณตอนเหนือของทะเลจีนใต้กลางปี ๒๕๕๐ ซึ่งทุ่มความพยายามขุดค้นนานถึง 9 ปี และใช้เม็ดเงิน 500 ล้านหยวน (2,150 ล้านบาท) ทั้งนี้ น้ำแข็งติดไฟเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง สามารถใช้ทดแทนพลังงานอื่นๆ อาทิ ปิโตรเลียม คาร์โบเนียน น้ำแข็งติดไฟนี้ เป็นสารผสมระหว่างแก๊สธรรมชาติและน้ำ มีอยู่บริเวณใต้ทะเลและเขตน้ำค้างแข็ง เกิดจากการที่ก้อนน้ำแข็งฝอยตกอยู่ภายใต้แรงกดดันสูงของผิวโลกและอุณหภูมิ ที่ต่ำ ได้ตกผลึกเกาะตัวกัน เป็นเครือข่าย และมีช่องว่างให้แก๊สอื่นๆแทรกตัวอยู่ มีลักษณะเป็นก้อนผลึกสีขาว คล้ายหิมะน้ำแข็ง ก้อนสารผสมระหว่างแก็สธรรมชาติกับน้ำขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร สามารถปล่อยพลังงานแก๊สธรรมชาติออกมา 164 ลูกบาศก์เมตร จากการสำรวจ จีนมีแหล่งน้ำแข็งติดไฟ 3 แห่งกระจายตัวอยู่ในทะเลจีนใต้ และทะเลตะวันออกของประเทศ และมีแผนดำเนินการขุดเจาะน้ำแข็งติดไฟระหว่างปี 2010-2015 และจะดำเนินการขุดเจาะเชิงพาณิชย์ในปี 2020 ทั้งนี้ จีนเป็นประเทศที่ 4 ตามหลังสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดีย ที่ค้นพบขุมพลังงานน้ำแข็งติดไฟนี้....
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
www.godsdirectcontact-thai.org
5 ตุลาคม 2556 22:02 น.
คีตากะ
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
รวบรวมจากวารสาร
การช่วยเหลือคนอื่น
ก็คือการช่วยตัวเราเอง
เพราะฉะนั้น ทุกๆ ครั้ง
เราควรสร้างความคิดที่บริสุทธิ์มากๆ
ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
และความตั้งใจที่ดีตลอดเวลา
โดยไม่หวังสิ่งใดๆ ตอบแทน
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด
สิ่งที่เลวไม่ได้มาจากหัวใจ
แต่มาจากนิสัย
ส่วนสิ่งที่ดีนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด
สิ่งที่ดีมาจากหัวใจเธอ
เพราะเธอเกิดมาพร้อมๆ กับสิ่งเหล่านี้
เธอเกิดมาโดยมีคุณสมบัติจากสวรรค์
บางครั้ง...
ความยากลำบากที่เราเผชิญอยู่
ไม่ได้ลำบากอะไรมาก
เพียงแต่เราคิดมากไปเอง
เรากลัวมากเกินไป
ก็เลยใช้จินตนาการของตนเอง
เพิ่มความยากลำบากให้มากขึ้น
ดังนั้น...
สิ่งที่เราควรจะกลัวมากที่สุดก็คือ
จิตใจที่หวาดหวั่นของเราเอง
แทนที่จะเป็นสิ่งต่างๆ
จงทำสิ่งทุกอย่าง
เพื่อครอบครัวของเธอ
เพื่อสังคมของเธอ
เพื่อตัวเธอเอง
อย่าไปรอให้คนอื่น
มาทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น สดใสขึ้น
จงสร้างชีวิตของเธอด้วยตัวเธอเอง
เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง
อย่าคิดว่าศีลทั้งหลาย
ทำให้พวกเราไม่เป็นอิสระ
ยึดเราไว้ให้อยู่ภายในกรอบ
แต่มันเป็นวิธีหนึ่งของอิสรภาพ
อิสระจากความรู้สึกผิด
อิสระจากความกังวล
อิสระจากโรคภัย
อิสระจากกรรม
อิสระจากหลายสิ่งหลายอย่าง
ถ้าเราต้องการจะเปลี่ยนโลกของเรา
ให้เป็นสวรรค์
เราจำเป็นต้องมุ่งหน้า
สู่หนทางของความจริง
คุณธรรม และความงาม
เราต้องเรียนรู้จากนักปราชญ์
เพื่อแสวงหาอุดมคติอันสูงส่ง
และปัญญาภายใน
โลกนี้จึงจะกลายเป็นสวรรค์
เรามายังโลกนี้
เพื่อจะเรียนรู้ความสมบูรณ์เพียบพร้อม
ดังนั้นเราจึงต้องมีคุณสมบัติต่างๆ ทุกอย่าง
และเรียนรู้ที่จะใช้มันในทางสายกลาง
มันไม่ถูกต้องที่แค่พูดว่า
เรากล้าหาญมาก ไม่กลัวอะไรเลย
แล้วก็วิ่งเข้าใส่อย่างไม่พินิจพิจารณา
เราต้องนำสันติสุขไปสู่ทุกหนทุกแห่ง
เราต้องปลูกฝังสิ่งที่ดีขึ้นภายใน
เพื่อว่าเราจะได้เป็นตัวแทนแห่งสันติสุข
ไม่ว่าเราจะไปที่ใด เราคือสันติสุข
เราคืออาณาจักรของพระเจ้า
เราคือเทวดา
เราคือพุทธะ
มันมีประโยชน์
ที่จะบังคับตัวเองให้หัวเราะบ้าง
ในบางครั้งนะ
เพราะว่า...
เซลล์ของร่างกายของเรามันจะตอบสนองดีมาก
มันจะฟังแต่สัญญาณที่สั่งมาเท่านั้น
เวลาเซลล์ร่างกายตรงปากหัวเราะ
เซลล์ในร่างกายทั้งหมดก็จะหัวเราะไปด้วย
เราต้องศึกษาแล้วศึกษาอีก
เริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงขึ้น
วันนี้เราล้มเหลว เราก็ลุกขึ้น
เพื่อเราจะสามารถก้าวหน้าไป
ด้วยเจตนาที่แน่วแน่
แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น
และมีปัญญามากขึ้นในสวรรค์
วิญญาณไม่เคยกลับมาเกิดใหม่
มีแต่ความคิดที่เป็นนิสัยของเรา
ความปรารถนาของเรา
และการยึดติดของเราที่กลับมาเกิดใหม่
ถ้าเรารู้จักวิญญาณ, ถ้าเรารู้แจ้ง
ถ้าเรารู้จักการติดต่อกับทั้งจักรวาล
เราก็จะไม่กลับมาเกิดที่ไหนอีกเลย
เราอยู่ที่นั่นอยู่เสมอ
เราไม่เคยเกิดและไม่เคยตาย
เวลาที่เราคิดว่าเราเก่งมาก ยอดเยี่ยมมาก
เราอาจจะถูกหลอกโดยสมองของเรา
สมองของเราชอบความรุ่งโรจน์
คำสรรเสริญ จินตนาการอันสวยหรู
และคิดว่าเราเก่ง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง สมองก็ดูถูกตัวเรา
หรือลดชั้นตัวเราเองด้วย
มันอาจจะจมอยู่ในความหดหู่ เศร้าหมอง
และความรู้สึกมีปมด้อย
รวมทั้งหลอกเรา
เกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของเราด้วย
มันอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองทาง
ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
ระหว่างตัวเรากับนักปราชญ์
ต่างกันเพียงเส้นผมเส้นเดียว
และเมื่อเราก้าวข้ามไปได้
เราก็จะอยู่ในกลุ่มของบรรดานักบุญ
และถ้าเราอยู่ข้างหลัง
ห่างไปเพียงเส้นผมเส้นเดียว
เราก็เป็นบุคคลที่โง่เขลา
เที่ยวก้มหัวให้แก่ความกดดันทุกอย่าง
ของโลกนี้
กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน
และไม่รู้ว่าชีวิตของเราก่อนหน้านี้
รวมทั้งหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
แม้ว่าเราจะมีตา แต่เราก็เหมือนคนตาบอด
เรามีหู แต่ก็เหมือนหูหนวก
ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ยินคำสอนจากสวรรค์
ตัวบุคคลก็เป็นเพียงนิสัยและความคิด
ที่สะสมมาชาติแล้วชาติเล่าเท่านั้น
เราไม่ได้เป็นบุคคลนั้น
เราไม่เคยถูกแบ่งแยกจากกัน
เราคือปัญญา เราคือความรัก
สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วไป
ทุกหนทุกแห่งในจักรวาล
มันจะถูกแบ่งแยกจากกัน
ด้วยผิวหนังเพียงแค่ชั้นเดียวได้อย่างไร?
ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว
ผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่
กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
และบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ล้วนประสบความสำเร็จ
ด้วยความบากบั่นพากเพียร
ไม่ใช่คนเหล่านั้น
ได้รับความสำเร็จในชั่วพริบตา
ดังนั้นเมื่อเราประสบความยากลำบาก
เราควรต้องขอบคุณพระผู้สร้าง
ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ
ที่ให้โอกาสเรา
ในการฝึกความอดทน
เวลาเธอยิ้ม
ทั้งกายและใจของเธอก็ยิ้มไปด้วย
และระดับของจิตสำนึกของเธอ
ก็จะสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง
โดยอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้น จงยิ้มไว้ให้มากๆ
จงยิ้มในเวลาที่มีความสุข
และเวลาเศร้าโศกเสียใจ
ร้องไห้เวลาที่เธอต้องร้อง
แต่จงยิ้มไปด้วยในเวลาที่เธอร้องไห้
ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมา
แต่ก็ยิ้มอยู่ในใจด้วย
พยายามยิ้มเข้าไว้
เมื่อใดก็ตามที่เธอสามารถจะทำได้
น่าเสียดาย...
ที่มีสิ่งต่างๆ มากมาย
ที่คอยขัดขวางไม่ให้ผู้คนสามารถเข้าใจ
สัจธรรมขั้นพื้นฐาน
ว่าความรักคือกฎอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
ดังนั้น...
หลายๆ คนจึงไม่ได้มีความสุขในชีวิต
อย่างที่เขาควรจะมี
ปัญหาในโลกนี้
ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาตำหนินักการเมือง
หรือมาโทษระบบเศรษฐกิจของประเทศไหน
หรือโทษนิกายลัทธิอะไรของชาติใด
แต่ต้องโทษความเพิกเฉย
ของธรรมชาติของตัวเราเอง
ที่เราไม่รู้ว่าตัวเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน
ไม่รู้ว่าตัวเรานั้นคือความสุข
ความพอใจที่ติดมาอยู่กับร่างกาย
เราไม่รู้ว่าเราคือความรัก
ซึ่งอยู่ในรูปของบุคคลคนหนึ่ง
โลกไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้
ถ้าพวกเราทุกคนรู้แจ้ง
หรืออย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งของพวกเรารู้แจ้ง
แต่จะยิ่งดีขึ้นถ้าพวกเราส่วนใหญ่รู้แจ้ง
ถ้าเป็นเช่นนั้น
ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพ
สันติภาพจะมาเอง
ไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไร
เพราะว่าเรามีปัญญาแล้ว
"ปัญญาคือพระเจ้า
พระเจ้าคือชุมพาบาลของฉัน
ฉันจะไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว"
ถ้าเราเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
เราจะสามารถกลับตัวได้ทันที
และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกสถานการณ์
ถ้าเป็นแบบนี้
ใจของเราก็จะไม่ติดอยู่ที่ไหน
เราจะไม่ล้มคว่ำ
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน
เรายังต้องช่วยเหลืองานสังคมด้วย
ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม
ที่เราสามารถจะช่วย
ให้ความทุกข์ยากลดน้อยลง
นั่นแหละคืองานที่สูงส่ง
ซึ่งไม่เพียงจะได้รับการจดจำ
ในโลกนี้เท่านั้น
แต่จะได้รับการสรรเสริญ
จากสวรรค์ด้วย
เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยาก
ไม่ได้มาพร้อมกับความเกลียด
หรือการแบ่งแยกผิว
เราเกิดมาจากความบริสุทธิ์
และความงาม
เราจึงควรคงไว้ในสภาพนั้น
นอกจากจะบริสุทธิ์แล้ว
เรายังคงจะต้องฉลาดมากขึ้น
นี่แหละ คือหนทางของสุภาพบุรุษ
นี่แหละ คือหนทางของผู้ยิ่งใหญ่
ความจริงแล้ว
กาย วาจา และใจ
เป็นสิ่งเดียวกัน
ซึ่งมีรูปแบบต่างกันเท่านั้น
ดังนั้น ความคิดของเรา
ก็เหมือนการกระทำของเรา
การมีความจริงใจต่อผู้อื่น
คือเกราะคุ้มกันที่ดีที่สุด
ในการรักษาเกียรติภูมิ
และสัญชาตญาณการรู้ของเราเอง
และเป็นวิธีที่ดีที่สุดด้วย
ทำไม?
เราจึงต้องก้มหัวของเรา
ให้แก่ความกดดันของสังคม
และทำตัวเหมือนกับคนอื่นๆ?
เราควรจะต้องมีความกล้าหาญและแข็งแกร่ง
เพื่อจะได้แตกต่างจากคนอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อความแตกต่างนั้น
ทำให้เราสูงส่งขึ้น มีความสุขขึ้น
ฉลาดมากขึ้น มีความรักมากขึ้น
และสามารถช่วยตัวเราเอง
ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ
รวมทั้งสังคมและโลกของเราได้ดีกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น
การเสียสละทั้งหลายนั้นจึงคุ้มค่ามาก
เราควรจะต้องเป็นวีรบุรุษแห่งศตวรรษ
ไม่ใช่เพียงแค่ "ใช่ ใช่ - ไม่ใช่ ไม่ใช่"
เหมือนคนทั่วไป
แล้วเราก็จะตายไปโดยไม่ได้อะไรเพิ่มมากขึ้น
เธออย่าฟังด้วยหูเพียงอย่างเดียว
ต้องฟังด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดของเธอ
และก็เข้าใจด้วยปัญญาของเธอเอง
นั่นแหละคือคำสอนที่แท้จริง
ไม่ใช่คำพูด
เพราะอาจารย์หลายคนสอนด้วยคำพูด
ฉันไม่ใช่หมายถึงสิ่งนั้น
คำสอนที่แท้จริงก็คือ
พลังที่มองไม่เห็นซึ่งติดมากับคำพูด
ติดมากับคำสัญญาทุกข้อ
ที่อาจารย์ผู้นั้นให้แก่เธอ
สิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริง
เพราะฉะนั้น
เราต้องรู้ว่าการลอกเลียนแบบนั้น
มีความแตกต่างจากสิ่งดั้งเดิมที่แท้จริง
หลายคนมองว่า
โลกนี้มีความทุกข์ยากมาก
มีเครื่องหลอกล่อยั่วยวนมาก
แต่บางคน
ก็มองว่าโลกนี้เป็นโรงเรียน
เป็นโรงเรียนที่ดีสำหรับการฝึกฝน
มันขึ้นอยู่กับทัศนคติในใจของเรา
ถ้าฉลาด มีปัญญามาก
และบำเพ็ญในวิถีของเราได้ดี
เราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ดี
พวกเราไม่ได้เรียนรู้การยืดหยุ่น
ดังนั้นพวกเราจึงหกล้ม
จึงทนทุกข์เวทนา
ด้วยเหตุนี้
พวกเราจึงสมควรเรียนรู้
การติดต่อกับต้นกำเนิดปัญญา
ที่แท้จริงของพวกเรา
จากนั้น อาศัยแต่ความรัก
และความเห็นอกเห็นใจกัน
จะไม่ใช้การโจมตีประนาม
ไปจัดการกับเหตุการณ์ต่างๆ
จริงๆ แล้วไม่มีใครที่เลวจริงๆ
เพียงแต่เขาเกิดมา
พร้อมกับความโน้มเอียงที่จะเรียนรู้
เขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก
ไม่ว่าสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เลว
ถ้าเขาเรียนสิ่งที่ดี
เขาก็จะกลายเป็นคนดี
ถ้าเขาเรียนสิ่งที่เลว
เขาก็มีแนวโน้มที่จะเลว
ไม่ใช่คอยมองหาความสำเร็จอยู่เสมอไป
เพื่อที่จะวัดสติปัญญา
หรือความสามารถของพวกเธอ
เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนความล้มเหลว
ก็เป็นความสำเร็จ
และบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนความสำเร็จ
ก็กลายเป็นความล้มเหลว
เพราะมีบางครั้งที่ความล้มเหลวนั้น
กลับเป็นประตูไปสู่ความสำเร็จ
ถ้าเราถอยทุกครั้ง
ที่เผชิญความยากลำบาก
ไม่ช้าไม่นาน
เราก็ต้องเจอกับสถานการณ์เช่นเดิมอีก
เราควรจะเผชิญหน้ากับมันจะดีที่สุด
จะได้มีประสบการณ์ด้วย
เราจะได้ทราบว่า
ถ้าเจอเช่นนี้ในครั้งต่อไปควรจะทำอย่างไร
ต่อไปภายหน้า
เมื่อเราต้องเจอกับความลำบาก
ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เราก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่
ไม่มีใครกำลังทำสิ่งใดๆ อยู่
เว้นแต่ความรักของพระเจ้า
ปัญญาที่แท้จริงเท่านั้น
คือสิ่งที่เราสามารถพึ่งได้มากที่สุด
ไม่ใช่ตำแหน่งหรือความมั่งมีในทางโลก
ไม่ใช่ความงามหรือความสามารถพิเศษทางโลก
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่นั้น
มีความถ่อมตนอย่างมาก
เมื่อใดที่เราไม่ยอมถ่อมตน
เราก็ไม่มีความยิ่งใหญ่
ศาสนาทั้งมวลจะเป็นเรื่องสูญเปล่า
ถ้าปราศจากประสบการณ์จริง
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
www.godsdirectcontact-thai.org