30 กรกฎาคม 2558 13:08 น.
คีตากะ
ลูกกลมใส...สวยพราวราวดวงแก้ว
สีเพริศแพร้วยามต้องแสงส่องฉาย
มุมหักเหสร้างสรรค์พรรณราย
เกิดเส้นสายเจ็ดสีมณีปาน !
ดั่งมณีรัตน์สีใสในหัตถ์น้อง
รามสูรปองไล่ล่าเงื้อง่าขวาน
นางเมขลาหลบเร้นเผ่นทะยาน
ดลพิมานปั่นป่วนเสียงครวญครืน
ทรัพย์สมบัติพัสถานตระการเนตร
มักก่อเหตุเหลือคณาหากฝ่าฝืน
แหวกกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์อันยงยืน
พาล้มครืนเศรษฐกิจชีวิตพัง
แท้เป็นเพียงฟองสบู่แลฟูฟ่อง
ปัจฉิมล่องหนหายกลายสิ้นหวัง
ภาพงดงามแปรเปลี่ยนเพี้ยนน่าชัง
ความจีรัง...หามิได้...ในโลกา...
30 กรกฎาคม 2558 13:09 น.
คีตากะ
ท้องทุ่งร้าง...วังเวงแลเคว้งคว้าง
ไฟไหม้ฟางปลายนาวันว้าเหว่
ลมชายทุ่งทักทายพัดถ่ายเท
คงรวนเรลับหายคล้ายคนจร
หนุ่มรถไถ...คนคอยยังหงอยเหงา
เพียงแต่เฝ้ามองข้าวพราวสลอน
ริมคันนาหญ้ารกอกสะท้อน
ใจอาวรณ์อาลัยในกานดา
เธอจากทุ่ง...ไกลห่างร้างข่าวคราว
ร้อนฝนหนาวหลายหนทนโหยหา
ใต้พยอมต้นนั้นวันผ่านมา
เคยหรรษาเคียงสองต้องหมางทรวง
เจ้าพยอมลืมนา....อำลาทุ่ง
มุ่งเข้ากรุงกว้างใหญ่ใฝ่เมืองหลวง
หวังร่ำรวยเงินทองน้องพุ่มพวง
หลายปีล่วงลับหายคล้ายลืมเลือน
ชาวนาคนมอซอ...คงรอเก้อ
เฝ้าชะเง้อห่วงหาท่ามป่าเถื่อน
นั่งนับวันเวลาจนพร่าเลือน
กี่ปีเดือนคณานับ...ไม่กลับมา....
31 กรกฎาคม 2558 22:11 น.
คีตากะ
ข้าลูกทุ่ง...ด้อยชื่อระบือเลื่อง
คอยข้าวเหลืองรวงเรียวเกี่ยวรักษา
ใส่ยุ้งฉางเติมเสบียงเยี่ยงเคยมา
สิ้นหน้านาออกร่อนเร่พเนจร
ข้าลูกทุ่ง...ด้อยศักดิ์ประจักษ์ทั่ว
ยามฟ้าหลัวเหม่อดาวพราวสลอน
ใต้แสงจันทร์ส่องสว่างกลางดงดอน
สิ้นอาวรณ์นิทราด้วยล้าแรง
ข้าลูกทุ่ง...ด้อยเกียรติกำจรกว้าง
เดินตามทางคันนาหาหน่ายแหนง
กินน้ำคลองล่องเรือเมื่อคราแลง
เก็บผักแกงที่ท้ายทุ่งจรุงใจ
ข้าลูกทุ่ง...ด้อยทรัพย์นับอเนก
อยู่วิเวกดงแดนแคว้นไศล
ดำแต่ตัวมิมัวจิตคิดการไกล
มีเท่าไหร่แบ่งปันกันและกัน
ข้าลูกทุ่ง...ด้อยจิตคิดปรารถนา
มุ่งไขว่คว้าเกินตัวกลั้วโมหันต์
พึ่งพิงธรรมนำทางหว่างชีวัน
หาเมามันหลงวัตถุดั่งทุรชน
ข้าลูกทุ่ง...ด้อยคนรักสลักจิต
ขาดมิ่งมิตรรู้ใจในเหตุผล
ขับเพลงไพรกล่อมป่าธราดล
มาตรไร้คนเข้าใจไม่อาทร...
31 กรกฎาคม 2558 22:25 น.
คีตากะ
ดาวเหนือส่องสว่างกลางห้วงหาว
แสงแพรวพราวคืนแรมแต้มเวหน
เคยพิลาสบาดทรวงดวงกมล
ยามแลยลสนธยาพาเปรมปรีดิ์
หริ่งเรไรร่ำระงมกลางร่มพฤกษ์
ค่ำคืนดึกประดับดาวพราวแสงสี
ตราบใกล้รุ่งฟ้าสางหว่างราตรี
หาได้มีดาวเจ้าเฝ้าเหม่อมอง
นภาสลัวฤาดาวแสนร้าวรวด
จึงมิอวดแสงนวลชวนหม่นหมอง
ฤาเมฆินทร์ขวางกั้นบั่นลำพอง
จึงลอยล่องลาสรวงล่วงพรหมินทร์
แหงนมองฟ้าคราวใดให้หนักจิต
ดาวเคยสถิตกลางใจไยโผผิน
ฤาพิษรักหนักทรวงหล่นล่วงดิน
จึงสูญสิ้นดาวเหนืองามเรื่อเรือง....
31 กรกฎาคม 2558 22:30 น.
คีตากะ
เศรษฐกิจทรุดฉุดจีดีพีต่ำ
นาจมน้ำเสียหายหลายสถาน
บริษัทปิดลอยแพแย่คนงาน
ทั้งราคาอาหารพานลอยตัว
ทำธุรกิจอะไรก็ไม่รุ่ง
คนทิ้งกรุงเข้าป่าน่าเวียนหัว
หุ้นตกต่ำซ้ำร้ายแทบขายตัว
ประชาทั่วเดือดร้อนล้าอ่อนแรง
มุ่งทำงานหาเงินเผชิญโชค
ต้องย้ายโยกไปทั่วหัวระแหง
นอนกลางดินกินกลางทรายคล้ายแมลง
ผ่านร้อนแล้งน้ำท่วมอ่วมเพราะเงิน
คิดถึงน้องคนดีชวนพี่หนี
ทิ้งแสงสีเมืองใหญ่ไปหาวเหิน
ชมธรรมชาติวาดภาพพอเพลิดเพลิน
พากันเดินสู่ป่าพนาลัย
ฤาน้องเป็นสีดาคิดว่าพี่
เป็นคนดีศรีรามงามไฉน
อยู่ข้างน้องลุ่มหลงจงเตรียมใจ
อาจมิได้วาดภาพซาบซึ้งธรรม
คนพเนจรไร้รากอยากฝากฝัง
ปล่อยพี่ไว้ลำพังนั่งขันขำ
เป็นคนบ้าต่อไปชดใช้กรรม
อย่าถลำเดี๋ยวลึกตรองตรึกดู
ชื่อเสียงพี่ใครเขาเล่าขานทั่ว
อย่าหลงกลั้วคบค้าพาอดสู
เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็บ้าถ้าเอ็นดู
ปล่อยพี่อยู่คนเดียวอย่าเหลียวมอง
โลกวันนี้แปลกหน้ากว่าที่คิด
ธรรมชาติวิปริตจิตกลัดหนอง
โลกจะแตกหรือเปล่าเฝ้าแต่มอง
แค่น้ำนองสยองแล้วนะแก้วใจ
ปีหน้านี้พี่ว่าต้องมาลุ้น
โลกจะหมุนหรือเปล่าเฝ้าสงสัย
ถ้าพระดีคุ้มเกล้าเราปลอดภัย
จะชวนน้องล่องไพรให้สมปอง....