30 มีนาคม 2550 17:47 น.
คีตากะ
เสียงนกเขาเฝ้าคูขันกู่ร้อง
กังวานก้องร้องเพลงบรรเลงขาน
กระรอกไพรไต่กิ่งวิ่งชำนาญ
หาอาหารจานเจือมิเบื่อกิน
นกไก่นาหาปลาเป็นอาหาร
ใกล้ลำธารนานนักจักโผผิน
ไก่คุ้ยเขี่ยเพรี้ยหนอนซอกซอนดิน
ผึ้งโบยบินถิ่นใดดอกไม้บาน
ลมพลิ้วไหวใบข้าวโพดลิงโลดเล่น
ต้นส่ายเอนเล่นล้อกอประสาน
เสียงก่อไผ่ไหวลมห่มทุ่งธาร
ทุกวันวารย่านป่าพนาไพร
นาฏกรรมรำเพยเผยลีลา
ทุกชีวามาผสานอิงอาศัย
ล้วนเกี่ยวพันสรรค์สร้างเส้นทางไป
หลอมรวมไซร้ให้เห็น...เป็นหนึ่งเดียว.....
30 มีนาคม 2550 16:52 น.
คีตากะ
ห้วยละหานธารหลากอันกรากเชี่ยว
โค้งคดเคี้ยวเลี้ยวลดมากโขดหิน
ปลาว่ายสวนทวนน้ำทำอาจิณ
เกรงแดดิ้นบนดินดอนตอนน้ำพา
กุมชีวิตคิดทวนสวนกระแส
มิยอมแพ้แม้ยากลำบากหนา
รางวัลให้ผู้ไม่แพ้แก่โชคชะตา
น้อยนักฝ่าจนมาถึงซึ่งเส้นชัย
คิดแตกต่างสร้างสรรค์ฝันนอกกรอบ
ดำหริชอบมอบประโยชน์โทษไฉน
ด้วยมรรคากล้าหาญมิหวั่นภัย
ดั่งปลาว่ายไม่ยอมแพ้กระแสชล
ม่านมายาหนาแน่นแสนคดเคี้ยว
ดุจน้ำเชี่ยวเกี่ยวใจให้หมองหม่น
มิคิดสู้รู้เรียนเพียรดิ้นรน
ย่อมไม่พ้นโดนซัดพัดไปไกล...
24 มีนาคม 2550 15:24 น.
คีตากะ
พระผู้สร้างทรงสร้างสรรค์จักรวาล
เกิดผลงานอันประณีตวิจิตรศิลป์
แต้มแต่งสีที่หลากล้ำได้ตามจินต์
ราวศิลปินจินตนาเกินกว่าเดา
สุริยันจันทราดาราพราย
พฤกษ์พงไพรสายธารลานหุบเขา
สร้างมนุษย์สุดประเสริฐเกิดแทนเงา
พระองค์เล่าเท่าเทียบเปรียบบิดา
โลกาล้ำงามตาตามประสงค์
น่าใหลหลงคงเวียนว่ายคล้ายปริศนา
เฉกละครหลากตอนย้อนวิญญา
มิเลิกลาน่าสนุกบ้างทุกข์ทน
อารมณ์ขันอันพระองค์จำนงหมาย
แฝงเลศนัยให้พินิจคิดสักหน
โบสถ์วิหารอันพระองค์ดำรงตน
กลับสร้างไว้ในใจคน....ค้นบ่เจอ !
24 มีนาคม 2550 14:29 น.
คีตากะ
เรือลำใหญ่ได้จอดทอดสมอ
เทียบท่ารอต่อชนคนทั้งหลาย
เพื่อพาข้ามลำธาราชลาลัย
สู่แดนใหม่ไร้ทุกข์สุขาวดี
ทะเลทุกข์กว้างไกลเหมือนไร้ฝั่ง
ลมบ้าคลั่งอาจฝังร่างกลางวิถี
คลื่นถาโถมโหมใส่ไร้ไมตรี
ห้วงนทีที่เชี่ยวกรากลำบากไป
เรือเทียบท่าชลาศัยจวนใกล้ออก
คู่รักบอกอำลาน้ำตาไหล
โบกมือลาญาติกาก่อนลาไกล
สุดใจหายหวังได้พบสบอีกครา
เรือออกแล่นสู่แดนที่นิรทุกข์
ยามกลียุคทุกข์เข็ญเข้าเข่นฆ่า
จำล่องเรือเหนือน้ำทางสัมมา
สุดขอบฟ้าคงฝ่าไปไม่หวนคืน...
22 มีนาคม 2550 17:56 น.
คีตากะ
อาทิตย์อุทัยไขแสงแดดแรงกล้า
ท้องนภาไร้เมฆเฉกทาสี
อากาศร้อนตอนบ่ายคล้ายอัคคี
ราวบดขยี้ชีวีเราเป็นเถ้าถ่าน
พลันลมแรงแฝงไอของสายฝน
ฟ้าคำรนต้นไม้ไหวใบโปรยหว่าน
ฟ้ามืดดำคล้ำหม่นดังมนตร์มาร
คนลุกลนอลหม่านทุกย่านไป
แต่แล้วฝนหล่นปลายคล้ายลวงล่อ
เพียงแต่ก่อส่อแววแล้วจางหาย
ฝนหลงฟ้ามาปรอยแล้วลอยไกล
ความร้อนคลายหายดับกลับลับตา
สิ่งทั้งหลายไม่พ้นเหมือนฝนนี้
เกิดดับมีหนีหายให้กังขา
แม้ความคิดจิตใจในอุรา
ยังพลอยฟ้าพลอยฝนสับสนจริง.....