9 พฤศจิกายน 2550 13:44 น.

ดอกรักบานในดวงใจ....

คีตากะ

จุมพิตแรกแทรกลมเชยชมเจ้า
แนบแก้มเนาหอมนานหวานจอมขวัญ
โอบกอดรัดเอวกลมภิรมย์จันทร์
ดุจแพรพรรณภูษาห่มกายา

คราวความรักฉาบฉายพรายแสงสาด
ฟ้าพิลาสเฉิดฉันแสนหรรษา
สวรรค์เปิดเพริศแพร้วแวววามตา
ยังอุราชื่นบานสำราญทรวง

ความกลัวแพ้แก่รักประจักษ์จิต
แปรชีวิตเป็นทำนองเพลงของสรวง
โลกสวยงามยามรักสลักทรวง
ทุกสิ่งปวงสดสวยด้วยพรพรหม

สำเนียงเจ้าเปลี่ยนไปพิไลแสน
ประหนึ่งแม้นสุขล้ำคำสวยสม
กลิ่นไอหอมเอมใจเพียงใฝ่ชม
ดังเทพพรมสุคนธ์ทิพย์หยิบโปรยมา

เจ้าคงงามล้ำแล้วแก้วตาเอ๋ย
หมายชื่นเชยเพียงครั้งยังโหยหา
ครั้นดอกรักเบ่งบานตระการตา
นางคงงามยิ่งกว่าธิดาใด....


*******อาจจะมีพร้อม แต่ชีวิตก็ยังวุ่นวาย 
ยังไม่พอดี ยังไม่พอใจ ถึงไม่หนาวกายแต่หนาวใจอยู่ดี 


อาจจะมีน้อย แต่ไม่ขอให้มีมากมาย 
มีแค่พอดี มีแค่พอใจ ถึงต้องหนาวกายแต่หัวใจอุ่นดี 


อุ่นใจแล้ว แค่มีเธอกับฉัน 
รักกันตลอดไปด้วยใจ ใจที่หวังดี 
อุ่นใจแล้ว หนาวเย็นสักแค่ไหน 
เมื่อมีรักเข้าใจ จะมีอะไรอุ่นกว่านี้ 


อยู่ในความรัก อาจจะเหมือนว่าไม่มีใคร 
แต่รู้ว่ามีเธอ เธอที่เข้าใจ 
ถึงต้องหนาวกายแต่หัวใจอุ่นดี 


อุ่นใจแล้ว แค่มีเธอกับฉัน 
รักกันตลอดไปด้วยใจ ใจที่หวังดี 
อุ่นใจแล้ว หนาวเย็นสักแค่ไหน 
เมื่อมีรักเข้าใจ จะมีอะไรอุ่นกว่านี้ 


อุ่นใจแล้ว แค่มีเธอกับฉัน 
รักกันตลอดไปด้วยใจ ใจที่หวังดี 
อุ่นใจแล้ว หนาวเย็นสักแค่ไหน 
เมื่อมีรักเข้าใจ จะมีอะไรอุ่นกว่านี้ 


อยู่ในความรัก อาจจะเหมือนว่าไม่มีใคร 
แต่รู้ว่ามีเธอ เธอที่เข้าใจ 
ถึงต้องหนาวกายแต่หัวใจอุ่นดี 


รู้ว่ามีเธอ เธอที่เข้าใจ ถึงต้องหนาวกายแต่หัวใจอุ่นดี 


แค่มี - พลพล

				
5 พฤศจิกายน 2550 15:53 น.

หงส์เหนือมังกร ตอน โอเลี้ยง....

คีตากะ

ฟังมาซิฟัง ฟังเรื่องรักเอย ใครแม้นเคยมีต้องฟัง ถึงจะช้ำตรม หรือขื่นขมบ้าง เก็บเอาไปเป็นครูสอนใจ....

คีตากะภูมิใจเสนอ.นวนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ เรื่องราวระหว่างหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินกับชายวิกลจริตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน  ในเรื่อง หงส์เหนือมังกร ตอน โอเลี้ยง...


ณ ดินแดนโลกียสถานโลกเบื้องล่าง นามว่า สุวรรณภูมิ ข้าพเจ้าได้แลเห็นความเป็นไปดังนี้.....

โอเลี้ยงถูกดูดหมดไปตั้งแต่แรก !
ถุงโอเลี้ยงยังคงอยู่ในมือของเด็กหนุ่มมอซอคนหนึ่ง
ใบหน้าของเขาธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งพิเศษอะไร
หากแต่ดวงตาของเขาสามารถเปล่งแสงจรัสพอจะข่มกับแสงสุริยันจันทราได้ทีเดียว
ดวงหน้าของเขาฉายรัศมีไปไกลถึงดาวดึงส์เทวโลก
ท่วงท่าทีองอาจราวพญาราชสีห์ ราวองค์นารายณ์อวตาร ราวเทพยดาจุติ
เขานุ่งห่มกายไว้ด้วยเสื้อผ้าเก่าขาดมอมแมมดูน่าสมเพชยิ่งนัก
แต่บุคลิกลักษณะของเขากลับผิดแผกแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เขามีท่าทีผ่อนคลายราวเกียจคร้านแม้แต่จะก้าวเดินเหิน
มุมปากของเขาประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
ราวกับว่าเรื่องราวในโลกไร้ทุกข์โศกก็ปาน !
ด้วยบุคลิกอันประหลาดพิศดารนี้เอง
ยังให้หญิงสาววัยเยาว์มากมายสุดคณนานับคอยจับจ้องสายตาไม่กะพริบ
และมุ่งหวังว่าเขาจะเหลือบแลสายตาแม้เพียงชั่วขณะ
 แต่สุดท้ายยังคงต้องผิดหวัง
เพราะดวงตาของเขาดูเลื่อนลอยคล้ายไม่ไยดีต่อโลกใบนี้
เขามักจะแหงนมองฟ้าและส่งเสียงพรึมพรำคนเดียวอยู่เสมอ
ราวกับว่ากำลังสนทนากับใครบางคนที่บนสวรรค์ก็ปาน !

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เหมือนใคร 
เขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยมีมาในอดีตและจะไม่พบเจออีกในอนาคต
กล่าวกันว่า....สวรรค์สร้างเขามาเพื่อให้เขาเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
ในทุกๆ ด้าน ในทุกๆศาสตร์ ในทุกๆ แขนง
ดังนั้นทั้งร่างกายและจิตใจเขาจึงต้องถูกเคี่ยวกรำ
ถูกทดสอบในสิ่งที่ยากกว่าบุคคลอื่นนับร้อยเท่าพันเท่า !
หากเป็นเช่นนั้นจริง !
ไม่ทราบว่าตัวเขาควรจะรู้สึกสำนึกเสียใจหรือยินดีที่ได้ถือกำเนิดเกิดมา ?

เขาไม่สามารถปล่อยวางโอเลี้ยงถุงนั้นลงได้
เช่นเดียวกับจิตใจเขาที่ไม่อาจปล่อยวางเธอ
คาดว่าหากแผ่นดินแผ่นฟ้าถล่มทลายลงตรงหน้า
เขาก็คงไม่ใส่ใจมากไปกว่าโอเลี้ยงถุงนี้
เพราะเขาทราบว่าทันทีที่โอเลี้ยงถุงนี้หมดลง
เขาจะต้องพูดจากับเธอ คนที่เขากังวลสนใจยิ่งกว่าชีวิต
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พูดจากับเธอ
และอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบหน้าเธอ
จิตใจของเขาสับสนอย่างยิ่ง ว้าวุ่นอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะวันนี้เขามาเพื่อไล่เธอให้กลับไป !

ครั้งแรกที่เขาพบเธอ......
เป็นฤดูใบไม้ร่วง บริเวณหน้าห้องสมุดเต็มไปด้วยใบของต้นหูกวางหล่นเกลื่อนกลาด
คล้ายว่ากวาดเท่าใดก็ไม่หมดสิ้น เหมือนความคิดยึดติดในจิตใจคน
เธอดูไปไม่มีอะไรพิเศษพิสดารแสน ธรรมดา
ใบหน้าเธอก็ธรรมดา รูปร่างสูงโปร่ง
ปล่อยเสื้อนักศึกษาลอยชาย กระโปรงยาวคลุมถึงเข่า
สวมรองเท้าแตะ ในมือถือตำราแพทย์เล่มโต
ที่หน้าอกปักไว้ด้วยเข็มกลัดสีทองรูปเข็มฉีดยา
ท่วงท่าการเดินเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย สบายสบาย
ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
ไม่แต่งหน้า ไม่ทาปาก ไร้เครื่องประดับ ไร้อาภรณ์เลิศหรู !

หากแต่เมื่อใบหน้า รูปร่างเช่นนี้ การแต่งตัวเยี่ยงนี้
ท่าทีผ่อนคลายถึงเพียงนี้ รอยยิ้มที่ดูจริงใจปานนั้น
ได้ประกอบกันขึ้นเป็นบุคลิกลักษณะหนึ่งอันไร้ตำหนิ
งดงามราวเทพธิดาจุติจากสรวงสวรรค์
จัดได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน !
เธอคือความงามที่ซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย
คือหญิงงามในเหล่าหญิงงาม !

เธอคือดาวมหาวิทยาลัยในยุคนี้ !
รูปของเธอที่ถ่ายโดยชมรมช่างภาพ
ถูกนำมาแสดงภายในมหาวิทยาลัยบ่อยบ่อย
ใครใคร ก็รู้จักเธอ คงมีแต่เขากระมังที่ไม่รู้จัก !

ในความคิดเห็นของเธอ
เธอเห็นว่าเครื่องสำอางเกินความจำเป็น
เธอเห็นว่าเครื่องประดับและอาภรณ์เลิศหรูไร้ประโยชน์
เนื่องเพราะเพียงเท่านี้
ความงามของเธอก็เพียงพอจะสะกดสายตาทุกคู่ได้แล้ว !

เธอยิ้มให้เขา รอยยิ้มอันเปี่ยมเสน่ห์ น่ารัก น่าผูกพัน
แต่เขาคล้ายคนตาบอด เขาไม่รู้จักเธอ
ซ้ำร้ายเขาไม่ยิ้มตอบเธอตามมารยาท
เขาอาจเป็นคนวิกลจริตอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ในยุคนี้ ด้วย !

ครั้งหนึ่งเขากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในโรงอาหาร
เธอเดินผ่านเขาไปถึงสามรอบ เขาพึ่งจะมองเห็น
หรือว่าสายตาของเขาเริ่มใช้การไม่ได้แล้ว ?
เธอจากไปแล้ว พร้อมความคิดว่า
เขาคงจะเก็บใบหน้าอันสวยซึ้งของเธอไปนอนหลับฝันเป็นแน่ !
แต่น่าเสียดาย ! เขาโง่มาก สมองว่างเปล่าเหมือนเด็กทารก
กระทั่งหน้าตาเธอยังจดจำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะเก็บไปนอนฝัน
เขายังคงแปลกหน้าต่อเธอ !

ฤดูร้อนมาเยือนแล้ว... ดอกคูนสีเหลืองอร่ามเบ่งบานสะพรั่ง !
ดอกคูนใช่บานแล้วจะร่วงโรยหรือไม่ ?
บ่อยครั้ง......ที่เขาเริ่มเห็นเธอมาปรากฏตัวตรงทางเข้าบ้าน
เธอมักมายืนคุยกับพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น
คล้ายว่ามีเรื่องคุยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ปาน
เขาเริ่มจดจำใบหน้าเธอได้บ้างแล้ว
เขามักสงสัยว่าทำไมถึงจำใบหน้าเธอไม่ค่อยได้
หรืออาจเป็นเพราะว่าใบหน้าของเธอไร้ตำหนิ
จมูกไม่โด่งเกินไป ตาไม่เล็กเกินไป ปากไม่กว้างเกินไป
ไม่มีส่วนใดให้สังเกตจดจำ
หรือว่าเขาเองที่มีความจำเลอะเลือน ?

บางครั้งเธอนั่งมอเตอร์ไซค์ที่จอดนิ่ง
คุยกับพ่อค้าขายเงาะ ทุเรียนตรงหัวถนน
บางคราเธอก็คุยกับแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว
บางคราวเธอก็นั่งกินข้าวอยู่ร้านขายข้าวแกง
บางทีเธอก็คุยกับแม่ค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง
หรือไม่ก็อยู่ร้านขายกาแฟตรงมุมถนน
คล้ายว่ากำลังรอคอยใครบางคน คล้ายว่ามีนัดหมายกับใคร !

เขาพบเห็นเธอเกือบทุกวันบริเวณใกล้ๆหอพักของเขา
แต่เขาไม่เคยยิ้มให้ ไม่เคยพูดคุย ไม่เคยหยุดทักทาย
เขาคล้ายว่าไม่เคยสนใจใครใคร ไม่แคร์ใครใคร
เขาเรียนด้านวิศวะเครื่องกล ชีวิตเขาคล้ายว่าถูกกำหนดแน่แล้ว
ให้พูดคุยกับเครื่องจักรกล ไม่ใช่ผู้คน
เขาจึงดูคล้ายเครื่องจักรกล ไม่คล้ายผู้คน !
ไร้อารมณ์ ไร้จิตใจ ไร้ชีวิต!  แต่ใช่ไร้น้ำใจด้วยหรือไม่?

ฝนเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกล สายลมก็พัดแรง
ไม่ทราบสายลมจะพัดพาสายฝนไปตก ณ ที่ใด ?
วันหยุดวันหนึ่ง เขาพึ่งกลับมาจากที่ไปเที่ยวกับเพื่อนเพื่อน
เขาสวมกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อแขนกุด ใส่หมวกปกปิดใบหน้า
ดูคล้ายว่าพึ่งผ่านการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น น่าตื่นตระหนกมา
คล้ายว่าพึ่งออกมาจากป่าหลังจากที่หลงอยู่หลายวัน
คล้ายว่าพึ่งหลบรอดมาได้จากกรงเล็บของเสือโคร่ง
เรื่องราวของเขาคงพอจะสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินเป็นแน่ !
สภาพของเขาจึงดูซอมซ่อมอมแมมไม่คล้ายผู้คนสักเท่าใดนัก...

เขาเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์
พลางคิดว่าได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกสักวันสองวันก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เขาพบเธอมายืนขายข้าวเหนียวหมูปิ้งตรงปากซอย !
เขาประสานสายตาเข้ากับเธออย่างจัง
เขาหลบสายตาของเธอและเดินผ่านไป
เธอมองตามเขาตาไม่กะพริบ
ทุกฝีก้าวของเขาไม่อาจเล็ดลอดสายตาเธอไปได้
ถึงแม้จะผ่านไปอย่างช้าช้า แต่มันก็บีบคั้นจิตใจ
คล้ายว่ามีเสียงอ้อนวอน เสียงตัดพ้อต่อว่า ขอความเห็นใจ
เธอเหม่อมองเขาจากไปคล้ายคนรักที่กำลังจากไป
หรือเขาคือคนที่เธอรอมานาน คือที่พักพิง คือคนที่เธอไว้ใจที่สุด ?
เขาคือใครกันแน่สำหรับเธอ? เธอเองก็ตอบไม่ได้...

ครั้งหนึ่งเขาหยุดซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านเธอ
เธอแถมให้เขามากมาย เขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวขอบคุณเธอ ก่อนที่จะเดินพลางกินหมูปิ้งพลางอย่างเอร็ดอร่อย
เขาจากไปโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ
ผู้ช่วยของเธอที่เป็นหญิงชราซักถามเธอว่า
ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร?
เพราะปกติเธอไม่ค่อยแถมให้ใครมากขนาดนี้มาก่อน !
เธอตอบว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของเธอเอง เขาได้ยิน
และเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นเพื่อนกับเธอตั้งแต่เมื่อไร?
ซึ่งความจริงเขาเป็นเพียงลูกค้าของเธอ มิหนำซ้ำพึ่งซื้อครั้งแรก !

เขาขบคิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจ
เธอเรียนหมอ ดูเป็นไฮโซ ทำไมมาขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง
หรือเธอยากจนจำเป็นต้องหาทุนเล่าเรียน
เขาจึงกลายมาเป็นลูกค้าประจำของเธอเพราะความอยากรู้...
จากนั้นมาเขาก็มากินข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านเธอแทนข้าวเกือบทุกมื้อ
แต่เขาก็ยังไม่เคยพูดจาอะไรกับเธอ !

วันหนึ่งเขารู้สึกสนุกสนานยิ่ง...
ร้านข้าวเหนียวหมูปิ้งของเธอกลายเป็นศูนย์รวมหนุ่มหล่อ สาวสวย
ลูกค้าของเธอนับวันยิ่งมาก กิจการนับวันยิ่งเจริญก้าวหน้า
เขายืนมองอย่างพึงพอใจ
เพราะเขาไม่จำเป็นต้องกินข้าวเหนียวหมูปิ้งอีกแล้ว
มีหนุ่มหล่อ พ่อรวยมาอุดหนุนร้านของเธออยู่ไม่ขาดสาย
จนกลายเป็นแหล่งชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์...
แต่ละคนไม่ทราบมาซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง
หรือหวังมาซื้อใจของแม่ค้า...ก็คงสุดจะคาดเดา?

เมื่อหนุ่มหล่อพ่อรวยชุมนุมกันอยู่ที่นี่
เหล่าสาวสวยไหนเลยจะพลาดโอกาสนี้ไปได้
จึงก่อเกิดเป็นสภาพดาวล้อมเดือน เดือนล้อมดาวขึ้น !
ที่นี่นอกจากจะเป็นตลาดแล้ว....
ยังกลับกลายเป็นลานเลือกคู่ของหนุ่มสาวอีกด้วย
เวลานัดหมายไม่ขาดไม่เกินคือหลังเลิกเรียนพอดิบพอดี
ตลาดที่เล็กเล็ก ผู้คนบางตากลับกลายเป็นคับคั่งขึ้นมาทันที..
รถลาติดกันวุ่นวายดูแล้วก็น่าตื่นตระหนก !
สำหรับเขาแล้วมองเห็นละครฉากนี้จนชินตา

ท่ามกลางฝูงชนคับคั่ง
เธอสบตากับเขา เขาสบตากับเธอ
ท่ามกลางหนุ่มหนุ่มที่มารายล้อมรอบตัวเธอ
เธอกังวลสนใจแต่เขา เขาก็กังวลสนใจแต่เธอ
เธอมองดูเขาคล้ายกับว่าใบหน้าของเขามปรากฏดอกไม้งอกเงยก็ปาน !
เขามองดูเธอคล้ายเจอโจทย์ที่ยากทางวิศวกรรมก็ปาน !
ยังคงไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเธอทำไปเพื่ออะไรแน่ ?

เขาเคยแกล้งสมมติเล่นเล่นว่า ถ้าเธอมาเพราะเขา
เขาอยู่เธอก็ต้องอยู่ เขาไปเธอก็ต้องไป
วันหนึ่งเขาทำแกล้งขับรถผ่านเลยไป
แล้วคอยแอบซุ่มดูเธอว่าจะเป็นอย่างไร
ปรากฏว่าเธอก็คว้ารถมอเตอร์ไซค์ขับจากไปเช่นกัน
หรือว่าเธอมาเพราะเขาจริงจริง ?
หรือเรื่องราวทั้งหมดนี้มีเขาเป็นต้นเหตุ?
เนื่องเพราะเขาอยู่ เธออยู่ เขาไม่อยู่ เธอไม่อยู่ !

ฝนตกแล้ว สายฝนโปรยปราย
ท้องฟ้าคล้ายเกิดสงครามต่อสู่กัน
ระหว่างฝ่ายมารและเทพจึงเกิดเสียงประหนึ่งว่าแผ่นฟ้าจะถล่มทลาย !
เขาเกิดความคิดขัดแย้งอย่างรุนแรงในจิตใจ
เขาอาจเริ่มชอบเธอ แต่เขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
เขาเริ่มว้าวุ่นใจ เริ่มนอนไม่หลับ
เขาขลาดเขลาเกินไปกว่าที่จะกล้าพูดคุยกับเธอ
เขาพบว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่งมถึงเพียงนี้
ในที่สุดจุดจบก็มาถึง !

เย็นหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง
สายลมยามเย็นโชยพลิ้วผ่านหัวใจของหนุ่มสาว...
จากใจถึงใจคล้ายกระซิบถ้อยคำหวานซึ้ง
เขาขับมอเตอร์ไซค์จากคณะวิศวะกลับหอพัก
เธอก็ขับมอเตอร์ไซค์จากคณะแพทย์กลับหอพัก
ซึ่งแต่เดิมเธอพักอยู่หอพักหญิงภายในมหาวิทยาลัย
แต่วันนี้ดูท่าจะผิดคาด !
เธอมาพบกับเขาตรงทางแยกแต่กลับเลี้ยวรถไปทางเดียวกัน
หนึ่งหญิง หนึ่งชาย ขับรถเคียงคู่กันไปทางเดียวกัน
เธอยิ้มให้เขา แต่เขายังคงไม่กล้ายิ้มให้เธอ
ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องหอซึ่งห่างกันแค่เพียงซอยเดียว !

ในที่สุดเธอก็ย้ายออกจากหอพักหญิงของมหาวิทยาลัย
เพื่อมาอยู่หอพักนอกของเอกชนซึ่งเป็นหอพักรวม
และห่างกับหอพักของเขาแค่เพียงซอยเดียว
หรือเธอมาเพื่อยึดอาชีพขายข้าวเหนียวหมูปิ้งจริงจริง ?

เขารู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาทันที
หากว่าเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เขาก็ควรดูแลเธอ
หากเกิดอะไรขึ้นที่ไม่ดีกับเธอ เขาสมควรต้องรับผิดชอบ
หญิงสาวอย่างเธอจะมาอยู่ในสถานที่อันตรายนี้ได้อย่างไร?
ที่ที่เต็มไปด้วยอันธพาล อบายมุข พวกขี้เหล้าเมายา
อิทธิพลเถื่อน สิ่งผิดกฎหมาย คนเสเพล คนไร้ราก
มีแต่เขาที่อยู่ที่นี่ได้ เนื่องเพราะเขาก็มิใช่ตัวดีอะไร !

ในเหล่าพวกโจรร้าย เขาคือขุนโจรที่อันธพาลไม่กล้ายุ่ง
เขาเป็นนักกีฬาเหรียญทองของมหาวิทยาลัย
ดังนั้นเวลาต่อยตีกันเรี่ยวแรงคงไม่ถึงกับน้อยเกินไป
เขาเป็นนักกรีฑาเหรียญทองของคณะวิศวะ
ดังนั้นเวลารุกและถอยคงไม่ถึงกับเชื่องช้าจนเกินไป
เขาชมชอบเล่นเพาะกายอยู่เป็นประจำ
ดังนั้นร่างกายก็คงไม่ถึงกับอ่อนแอจนเกินไป
ในชีวิตเขาไม่เคยป่วยเข้าโรงพยาบาลมาก่อน
ไม่เพียงอันธพาลไม่กล้าตอแย โรคภัยก็ไม่กล้ากล้ำกลาย !
นี่คือเขา !

ในเหล่าคนดี เขาคืออันธพาล !
เขาไม่ชมชอบพิธีรีตอง ดังนั้นไม่ชมชอบเข้าวัด
เขาถือว่าพระอยู่ในใจ ดังนั้นไม่กราบไหว้รูปปั้น
เขาค้นหาธรรมะในใจ และฉีกตำราที่เขียนธรรมะ
เขายึดถือธรรมชาติ จึงปฏิเสธกฎระเบียบข้อจำกัดที่คนสร้างขึ้น
เขาถือว่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่หาใช่ใครไม่ !
แต่คือตัวเอง คือสมอง คือนิสัย คืออัตตา
ดังนั้น ไม่ชมชอบนินทา วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น 
แต่ชมชอบนินทาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง ตรวจสอบตัวเอง
หากว่าเขาไม่ชมชอบกระทำสิ่งใด ถึงมีมีดพาดคอ ปืนจ่อศีรษะ เขายังคงไม่กระทำ
นี่คือเขา !

ในท่ามกลางคนปกติทั่วไป เขาคือคนไม่ปกติ
เขาถือว่าคนทั่วไปไม่ปกติ !
ทุกคนถูก รัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำจิตใจ
ทุกคนถูก ลาภ ยศ ชื่อเสียง ครอบงำจิตใจ
ทุกคนถูกความไม่รู้หรือรู้ผิด ครอบงำจิตใจ
ทุกคน เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สุข
เขาจึงเห็นว่าคนปกติทั่วไปไม่ปกติ !
นี่คือเขา !

เขาถือว่าคนที่ปกติ คือคนที่กาย วาจา ใจ ปกติ
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ไม่วุ่นวาย ไม่วิตกจริต ไม่นินทาว่าร้าย
จะเดิน ยืน นั่ง นอน หรือทำงาน จิตใจก็สงบร่มเย็น
หลุดพ้นจากความทุกข์และปัญหาทั้งปวง
ร่าเริงเบิกบานประหนึ่งดอกบัวที่บานพ้นน้ำ
แม้จะก่อเกิดจากโคลนตมเสมือนคนที่อยู่ท่ามกลางกองทุกข์
ยังสามารถเบ่งบานได้ มีความสุขสงบได้
พึงพอใจอยู่ได้ในทุกสถานการณ์แวดล้อม
ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับธรรมชาติ
ค้ำจุนสรรพสิ่ง เรียบง่าย ละเอียดหลักแหลม เอื้ออารี

เขาเรียนไม่ได้เรื่องได้ราวที่สุดในชั้นเรียน !
แต่มีเพื่อนเพื่อนรุ่นเดียวกันเรียกเขาว่าอาจารย์
เขาโง่เขลาเบาปัญญาที่สุด !
แต่มีคนที่เรียนเก่งที่สุดระดับเกียรตินิยมเรียกเขาว่าปรมาจารย์
เขาเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องที่สุด !
แต่เขาเคยได้รับประกาศนียบัตินักพูดยอดเยี่ยมด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง
เขาไม่ใช่นักเขียนหรือนักกวี !
แต่ผลงานของเขาเคยได้รับรางวัลชนะเลิศ
เขาไม่ใช่นักวางแผนหรือเซียนหมากรุก!
แต่เคยมีเซียนหมากรุกมือหนึ่งเหรียญทองของมหาวิทยาลัย
ที่ไม่เคยยอมรับนับถือใคร แต่กลับยอมรับนับถือเขาอย่างหมดใจ
มิหนำซ้ำคบหากับเขาเป็นเพื่อนตาย
เขาเคยสอบตกวิชาพุทธศาสนา!
แต่เคยมีพระภิกษุ แม่ชี ระดับนักธรรมเอกไม่อาจโต้แย้งเมื่อถกหลักธรรมขั้นสูงกับเขา

เขาเคยล้มเหลวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่สุดท้ายยังคงสามารถลุกขึ้นยืนได้ทุกครั้ง
ชีวิตเขาเคยเฉียดใกล้กับความตายหลายครั้งหลายครา
แต่วันนี้เขายังยิ้มได้ มิหนำซ้ำรื่นเริงบันเทิงใจยิ่ง
สุขสำราญอย่างยิ่ง ! ราวกับว่าในโลกไร้เรื่องทุกข์โศกก็ปาน !

ในที่สุดถุงโอเลี้ยงก็ถูกหย่อนลงถังขยะ .......
พร้อมกับเสียงก้าวเท้าอันคล้ายหนักอึ้ง
จิตใจของเขาคล้ายแบกฟ้าไว้ทั้งแผ่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวเสียงฟ้าผ่า
มือเรียวยาวงดงามราวประติมากรรมชั้นเลิศ
เปิดประตูแง้มออกมา พร้อมรอยยิ้ม
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากกล่าววาจา
กลับถูกบุคลิกอันสูงส่งของเธอซึ่งสามารถสยบสรรพสิ่ง ไร้ผู้ต่อต้าน สยบเอาไว้ !
เมื่อสายตาทั้งคู่ได้มาประสานกันแน่วนิ่งราวถูกมนต์สะกด
คล้ายบังเกิดห้วงกาลเวลาอันไร้ขีดจำกัด
 คล้ายห้วงอวกาศกว้างไกลสุดคณานับ
คล้ายกำลังวิ่งเข้าสู่ท้องทะเล ยิ่งเนิ่นนานยิ่งเหนื่อยล้า
คล้ายกำลังว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร ที่มองไม่เห็นฝั่ง
คล้ายเสือกับสิงห์สองตัวกำลังจ้องดูเชิง พร้อมลงมือได้ทุกเวลา แต่ก็ไม่มีโอกาส !
คล้ายเซียนหมากรุกกำลังเผชิญหน้า แต่ไม่อาจหาตาวางหมาก!
คล้ายแจกันดอกไม้ที่งามพร้อมไร้ตำหนิ แต่ไม่อาจหาที่ปักดอกไม้ลงไปได้อีก !
ในความมีรูปลักษณ์ย่อมไม่ไร้รูปลักษณ์
ในความไร้รูปลักษณ์ย่อมไร้ตำหนิ
ในความว่างเปล่า ย่อมเต็มเปี่ยม สมบูรณ์ ไม่เหลือเค้าลางให้สังเกต
ในความเงียบสงบที่อาจสยบความเคลื่อนไหว
ในความเรียบง่ายที่อาจสยบความซับซ้อนหลากหลาย
ในความอ่อนโยนที่อาจสยบความเข้มแข็ง
เสมือนด้ายเลื่อยไม้ขาด น้ำหยดหินทะลุ !
เสมือนดาบคมกริบแต่ตัดสายน้ำไม่ขาด !
เสมือนม้าฝีเท้าเร็วแต่ไม่อาจสลัดเงาพ้นตัว !
คล้ายกับว่าหากเสียสมาธิแม้เพียงชั่วขณะจิต  ก็อาจผิดพลาดถึงแก่ชีวิต !
คล้ายหมากรุกที่เดินผิดเพียงหนึ่งตาอาจพ่ายแพ้ทั้งกระดาน !
เขาพบว่าเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรสำหรับเธอแล้ว !

ขณะที่เขากำลังลังเลเพื่อที่จะจากไป
เธอชิงกล่าวขึ้นก่อนด้วยเสียงอันไพเราะดุจเสียงระฆัง
เธอบอก.....เธอรู้จักเขา รู้จักชื่อเขา รู้ว่าเขาเรียนคณะอะไร
รู้ว่าเขาอยู่หอพักห้องไหน รู้ว่าเขาเป็นใคร.........
เขาชะงักค้างกับคำพูดของเธอ !
เธอรู้แม้กระทั่งชื่อเล่นของเขา เธอทราบจากใคร ?
เขาบอก.....ที่นี่ไม่เหมาะกับผู้หญิงอย่างเธอจะมาอยู่
เขายกเหตุผลต่างต่าง นานา รวมทั้งขู่ขวัญให้เธอกลัว
และขอให้เธอย้ายกลับไปในมหาวิทยาลัยจะดีกว่า !

แต่น่าเสียดาย !.... เธอไม่เพียงไม่มีท่าทีหวาดกลัว
กลับยังหัวเราะคล้ายว่ากำลังฟังเรื่องราวตลกขบขันอยู่ก็ปาน !
คล้ายน่าสนุกสนานก็ปาน คล้ายน่าเล่นก็ปาน !
สุดท้ายเธอกลับบอกว่าถ้าเป็นห่วงกันก็หมั่นมาเตือนทุกวันซิ !
เขาได้แต่คันจมูก ไม่ทราบจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

ดอกรักเริ่มผลิบานแล้ว.....
ดอกรักเมื่อผลิบานแล้วใช่จะมีเวลาร่วงโรยหรือไม่?
คนเมื่อพบเจอแล้วใช้ต้องจากพรากหรือไม่?
จากวันนั้นมาเขาก็มาดูแลเธอแทบทุกวัน
บางครั้งก็หาหนังสือมาให้อ่าน
บางคราก็เขียนบทกวีมาให้เธออ่านแก้เหงา
บางทีก็มาชวนเธอไปกินข้าว
บางคราวก็มาชวนเธอไปอ่านหนังสือ
บ่อยครั้งที่มานั่งคุยกับเธอหน้าบ้าน
..................ราวกับว่าเขากับเธอมีเรื่องที่ต้องคุยกันไม่มีวันจบสิ้นก็ปาน.....................

.........................................................................
เล่าลือกันว่า...วันหนึ่งชายหนุ่มกับหญิงสาวเกิดขัดใจกันอย่างรุนแรงจนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดินกันได้ ทำให้ความรักต้องอับปางลงในที่สุด จนกระทั่ง 10 ปีผ่านไปมีข่าวหนาหูไปทั่วยุทธจักรว่าฝ่ายหญิงได้ครองตำแหน่งหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน มีชื่อเสียงก้องฟ้า ส่วนฝ่ายชายเพราะความตรอมใจเขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งสู่ป่าแดนกันดารหายสาบสูญจนไร้ร่องรอย บ้างก็ว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว บ้างก็ว่าเขาสำเร็จวิชายุทธขั้นสูงสุดไร้ผู้ต่อต้าน บ้างก็ว่าเขาบรรลุธรรมขั้นสูง แต่แท้ที่จริงเป็นเช่นใดก็หามีใครสามารถยืนยันได้ไม่.......

ใช้คนน้อยพิชิตคนมาก
ใช้อ่อนด้อยพิชิตแข็งกร้าว
ใช้ไร้รูปพิชิตมีรูป
ครอบครองโดยไม่ทำลายร้าง
ใช้ดาบโดยไม่ถอดออกจากฝัก
ชนะโดยไม่ต้องรบ..


คีตากะ				
5 พฤศจิกายน 2550 12:36 น.

ผิดเป็นครู....จากคนเลว....

คีตากะ

เธอเจ็บปวดรวดร้าวจนลึกล้ำ
ใจบอบช้ำจำนนคนทำร้าย
ซ่อนเก็บลึกนานเนิ่นเกินระบาย
แทบวางวายชีวาทรมาน

พบใครหนึ่งซึ้งบ้างแต่ต่างแตก
เธอจึงแบกทุกข์ซ้ำจำหักหาญ
ทุกข์ทวีทับกับทรวงล่วงดวงมาน
ยากกล่าวขานถ้อยคำพร่ำบรรยาย

เขาอุตสาห์ให้เวลากานดาเลือก
เพื่อมิต้องคว้าเผือกตาแดงพาแหน่งหน่าย
เขาหวังดีไมตรีมีมากมาย
สื่อความหมายน้ำมิตรจิตการุญย์

แม้นเธอพบพานใครที่ใช่แน่
เขาพ่ายแพ้อีกครั้งดังหัวหมุน
ยังยินดีปรีดาพาเจือจุน
แม้เธอขุ่นเคืองเขายังเข้าใจ

ค่อยค่อยเรียนรู้ไปใจตนนั้น
อย่าหุนหันพลันแล่นคลอนแคลนไหว
ผิดเป็นครูรู้แก้ดูแลใจ
ปล่อยเกินไกลจะช้ำระกำทรวง......				
4 พฤศจิกายน 2550 13:29 น.

ท่าน...ท่านคือใคร...

คีตากะ

ท่าน...ท่านคือใคร
ท่านยอมทิ้งได้แม้พระราชวัง
ทิ้งทรัพย์ศฤงคารมากมายไว้เบื้องหลัง
ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความจริง

ท่าน...ท่านคือใคร
ท่านยอมได้แม้สละชีวิตนั้น
เพื่อปลดปล่อยผองสัตว์นับอนันต์
ยอมละทิ้งสวรรค์มาทุกข์ทน

ท่าน....ท่านคือใคร
ท่านยอมสละได้แม้สหายที่รักยิ่ง
เพื่อมุ่งสู่ทางสายกลางอย่างแท้จริง
ไม่เอนอิงสุดโต่งไปทางใด

ท่าน...ท่านคือใคร
ท่านโอบกอดแม้มหาโจรใจบาป
ผู้มีมือเปื้อนเลือดจนยอมศิโรราบ
ผู้ที่ทุกคนแช่งสาปทั้งแผ่นดิน

ท่าน...ท่านคือใคร
ท่านยอมเสี่ยงภัยเพื่อก่อตั้งศาสนา
บนแผ่นดินที่มีแต่คนแช่งด่า
ต่างประนามว่าท่านบ้าบอ

ท่าน....ท่านคือใคร
ท่านโอบอุ้มลูกแพะบาดเจ็บตัวหนึ่งไว้
เพื่อพาขึ้นภูเขาสุดฟ้าไกล
ไม่สนใจแม้นใครใครจะหัวเราะเยาะ

ท่าน...ท่านคือใคร
ท่านกล้ายอมตายเพื่อชนทั้งผอง
โดยไม่มีความโกรธแค้นเข้าครอบครอง
แม้นจะต้องโดดเดี่ยวและเดียวดาย

ท่าน...ท่านคือใคร
ท่านเคยช่วยชีวิตหญิงโสเภณีหนึ่ง
ผู้ที่ไม่เคยมีใครคิดจะฉุดดึง
ท่านเป็นที่พึ่งท่านยื่นมือ

ท่าน...ท่านคือใคร
ท่านยอมถูกใส่ไคล้ตั้งหลายหน
ยอมถูกบางชนตามฆ่าพร่าผจญ
เพียงหวังชนทั้งหลายได้แจ้งสัจจ์จริง

ท่าน....ท่านคือใคร
ท่านไม่ยอมฆ่าแม้มดตัวน้อย
ไม่เคยทำลายแม้หญ้าต้นต่ำต้อย
ไม่ยอมท้อถอยบนทางแห่งความรักและเมตตา.....
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ