6 มิถุนายน 2550 15:44 น.
คีตากะ
หมู่เมฆน้อยลอยผ่านดวงจันทรา
แสงเจิดจ้ามามัวสลัวหมอง
ทั่วทุกทิศมืดมิดสนิทมอง
กลืนแสงทองส่องหล้าลับตาไป
ยามอารมณ์ห่มใจไม่ต่างจันทร์
บังจิตอันเดิมแท้แม้แจ่มใส
กลายขุ่นมัวตัวตนหมองหม่นไป
คลุกเคล้าใจในอารมณ์ผสมกัน
คราเมฆจางห่างไปลอยไกลผ่าน
จันทร์สะคราญรานตาฟ้าเฉิดฉัน
ความมืดมนพ้นหายกลับกลายพลัน
ทุกวารวันผันแปรหาแน่นอน
จันทร์ข้างขึ้นข้างแรมลอยแซมฟ้า
ขับดาราสง่างามทรามสมร
ถึงเมฆามาบังบางครั้งตอน
ประหนึ่งพรสอนฟ้าคราไร้จันทร์...
6 มิถุนายน 2550 15:23 น.
คีตากะ
มีดคมกริบหยิบถือในมือใคร
แท้หาได้ใช่มีดที่กรีดเฉือน
หล่อหลอมมาหนาบางต่างฟั่นเฟือน
จะถูกเถื่อนถามใครคนใช้มัน
หากผู้ถือคือหมอพอเชี่ยวชาญ
เพื่อภิบาลการรักษาพาสุขสันต์
ใช้ผ่าตัดบำบัดโรคโศกโรมรัน
ช่วยชีวันนั้นเลิศประเสริฐคุณ
หากคนถือเป็นมือฆ่าฆาตรกร
สิ้นสังวรบ่อนทำลายใจเฉียวฉุน
ไร้วิชาบ้าบิ่นสิ้นการุณย์
ย่อมปราศคุณวุ่นวายกลายโทษภัย
มือปราศมีดจิตใจไซร้มีมีด
จ้องเฉือนกรีดริดรอนซ่อนเฉไฉ
แม้นใช้มือถือจับกับสิ่งใด
ย่อมเปลี่ยนไปกลายมีดปลิดชีวา....
6 มิถุนายน 2550 15:00 น.
คีตากะ
พิรุณหลั่งสั่งฟ้าคราวสันต์
ฤดูผันวันเปลี่ยนเวียนมาหา
ปฐพีมีน้ำชุ่มฉ่ำพา
มวลพฤกษานาพันธุ์ประชันโต
หากแผ่นดินจินตนาดังว่าใจ
เมื่อคราใดได้ฝนจนอักโข
ย่อมอ่อนนุ่มอุ้มน้ำพืชงามโต
เฉกเช่นโพธิญาณบานสะพรั่ง
เพียรฝึกฝนจนได้ใจอ่อนโยน
ดุจดินโคลนโอนอ่อนค่อยสอนสั่ง
จิตใจน้อมถ่อมตนทนระวัง
ย่อมถึงฝั่งยั้งหยุดพุทธภูมิ
หากแต่ใจไม่ละหยาบกระด้าง
ดังดินร้างกลางแล้งเนื้อแห้งสุม
หว่านพืชธัญพันธุ์ไปกลายกลัดกลุ้ม
หวังไพรพุ่มพร่างพรายมิได้เลย...
26 พฤษภาคม 2550 17:58 น.
คีตากะ
รักฉันเถอะ !เสมือนเธอไม่เคยเจอใคร
รักฉันเถอะ ! ตลอดไปไม่แปรผัน
รักฉันเถอะ ! เราจะอยู่คู่เคียงกัน
รักฉันเถอะ !รักฉันเพียงผู้เดียว
รักฉันเถอะ ! เธอจะเป็นอิสระ
ตามฉันมา ! เถอะนะอย่าเฉลียว
สู่ดินแดนอันสอดคล้องและกลมเกลียว
ตามฉันเพียงผู้เดียว ตามฉันมา !
รักฉันเถอะ !เหนือกว่าชีวิตเธอ
ฉันคือชีวิตของเธอที่แท้หนา
เราจะอยู่เหนือความกลัวและโศกา
อยู่เหนือกว่าพรมแดนแคว้นทั้งมวล
รักฉันเถอะ !เหนือความรุ่งโรจน์ใด
ฉันคือความรุ่งโรจน์ไซร้ไม่ผันผวน
จงสละละทิ้งสิ่งทั้งมวล
ทุกสิ่งล้วนเพียงรักฉัน ตามฉันมา !
21 พฤษภาคม 2550 15:52 น.
คีตากะ
เหตุกวีทอดทิ้งหมึกจารึกถ้อย
ลืมเรียงร้อยร้อยกรองทำนองศิลป์
เพราะหัวใจไร้เขตขัณฑ์พลันหลั่งริน
เกินถวิลกินย่อยเป็นถ้อยเรียง
เหตุจิตรกรวางพู่กันอันพลิ้วไหว
ลืมกวาดไกวความงามทำบ่ายเบี่ยง
เพราะใจเผยภาพภายในไร้สำเนียง
เกินเทียบเคียงเยี่ยงอย่างทางจิตรกรรม
เหตุนักปราชญ์ปล่อยตำราสิ่งจารึก
ลืมสำนึกตรึกตรองครรลองย่ำ
เพราะดวงใจได้แจ้งทางแห่งธรรม
เกินปัญญาหาคำพร่ำบรรยาย
เหตุนักบวชละบทสวดเปี่ยมมนตร์ขลัง
ลืมสอนสั่งยังชนคนทั้งหลาย
เพราะในฌานพบญาณอันแยบคาย
เกินขอบข่ายในบัญญัติอัศจรรย์...