30 สิงหาคม 2550 13:50 น.
คีตากะ
อสรพิษตัวนิดน้อยกระจิริด
อาจแพร่พิษล้มพญาคชสาร
อัคนีที่น้อยด้อยปริมาณ
อาจเผาผลาญพฤกษ์ไพรให้วอดวาย
ลมเบาบางจางอ่อนร่อนตลบ
อาจสยบคลื่นบ้าคลั่งหยุดยั้งหาย
ละอองน้ำราวหมอกควันอันเรียงราย
อาจก่อสายพิรุณหลั่งโถมถั่งมา
ผมเพียงเส้นอาจบดบังทั้งบรรพต
น้ำเพียงหยดอาจทะลุแท่งภูผา
เชื้อโรคน้อยอาจผลาญพร่าคร่าชีวา
คลื่นบนฟ้าอาจกำเนิดเกิดอัสนี
เฉกดวงจิตกระจ้อยร่อยอันน้อยนิด
ยากเพ่งพิศร่องรอยใดไร้แสงสี
หากหลอมรวมเป็นหนึ่งพึงอาจมี
ยังโลกนี้เป็นผุยผงลงพริบตา...........
*****เอกัคตา : ความมีจิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว...
26 สิงหาคม 2550 16:24 น.
คีตากะ
อย่านำทรายกรวดหินดินไร้ค่า
เทียบเพชรนิลจินดาเลอค่ายิ่ง
อย่านำวิชาความรู้ดูอ้างอิง
เทียบปัญญารู้จริงสรรพสิ่งนัย
อย่านำหิ่งห้อยแสงน้อยนิด
มาเปรียบติดสุริยาเจิดจ้าใส
อย่านำพละกำลังแห่งกายใจ
เทียบเทียมในธรรมกายไร้เขตแดน
อย่านำทรัพย์ศฤงคารในล้านโลก
มาเทียบโมกขธรรมค่าล้ำแสน
อย่านำวิมานน่าหลงใหลในเมืองแมน
เทียบเปรียบแดนพุทธาสง่างาม
อย่านำน้ำเพียงน้อยในรอยเท้า
มาเทียบเท่าท้องนทีที่ล้นหลาม
อย่านำชีวิตนิดน้อยด้อยโมงยาม
มาเปรียบความอมตะแห่งอาตมัน.....
26 สิงหาคม 2550 14:41 น.
คีตากะ
ความทุกข์ ราวแสงแดดยามแผดกล้า
แจ่มเจิดจ้าทิวาวันสร้างสรรค์สี
เคี่ยวกรำใจให้เรียนรู้สู่ความดี
ยากหลีกหนีหลบพ้นจนสนธยา
ความสุข ราวแดดอุ่นยามอรุณรุ่ง
หอมจรุงฟุ้งเฟ้อละเมอหา
กำลังชื่นพลันลับหายกับสายตา
รอเวลาอุษาคืนหวังชื่นชม
ความว่าง ราวค่ำคืนยามดื่นดึก
ดูล้ำลึกกว้างไกลยากไถถม
ยังจิตคร้านเฉื่อยชาน่าภิรมย์
สุขทุกข์จมห่างหายมลายเลือน
ความรัก ราวสายลมพรมถ้วนทั่ว
อยู่รอบตัวทุกที่มีกลาดเกลื่อน
ยิ่งค้นหายิ่งห่างไกลให้รางเลือน
รู้สึกเหมือนไม่มีทั้งที่เต็ม............
24 สิงหาคม 2550 14:22 น.
คีตากะ
ฉันคือรวงข้าวงามเหลืองอร่าม
เธอเป็นด้ามคมเคียวเกี่ยวข้าวเหลือง
ฉันคือคลองหนองน้ำเจิ่งนองเนือง
เธอเป็นปลาตัวเขื่องเยื้องย่างกราย
ฉันคือทางทอดยาวให้ก้าวย่าง
เธอเป็นนักเดินทางต่างมุ่งหมาย
ฉันเป็นลมพลิ้วไหวอยู่ไม่คลาย
เธอเป็นนกเริงร่ายบินว่ายวน
เธอคือผีเสื้อสวยด้วยสะคราญ
ฉันเป็นดอกไม้บานทุกย่านหน
เธอคือเมฆล่องลอยเคลื่อนคล้อยวน
ฉันเป็นฟ้าเบื้องบนคำรนครวญ
เธอคือผลรังสรรค์อันไร้เขต
ฉันเป็นเหตุต้นตอรอสืบสวน
เธอคือฉันความฝันอันรัญจวน
ฉันคือเธอเพ้อครวญหวนหาคอย.....
31 กรกฎาคม 2550 19:14 น.
คีตากะ
คืนพระจันทร์ทรงกลดช่างงดงาม
แขวนกลางท่ามเมฆินทร์ถิ่นสวรรค์
กลบแสงดาวพราวแพรววับแววอัน
คราวสันต์เข้าพรรษาหน้าฤดู
เพียงพริบตาเวลาลับลาล่วง
วิตกห่วงกังวลไยใจอดสู
พลันหนุ่มสาววัยเยาว์ผมขาวพรู
ก้าวเข้าสู่วัยชราตาฝ้าฟาง
ท่องโลกไปด้วยใจที่เบิกบาน
สุขสำราญผ่านวันอันแตกต่าง
เปิดเผยใจให้เปลือยเปล่าจนเบาบาง
ล่องลอยคว้างกลางหาวก้าวล่วงกาล
ลืมตาตื่นขึ้นมองจันทร์อันผ่องผุด
ลอยสูงสุดสาดส่องแสงสืบสาน
เหนือขุนเขาซับซ้อนผ่อนวิญญาณ
คืนสะคราญปล่อยผ่านตาน่าเสียดาย....