18 กันยายน 2550 14:49 น.
คีตากะ
แขนและขาล้าอ่อนสัญจรทั่ว
ตาพร่ามัวเปียกชื้นสะอื้นหา
หยาดน้ำตารินไหลไหม้กายา
แบกความคิดหนักบ่าไล่คว้าเงา
เหนื่อยเกินไปหัวใจจึงได้หยุด
สู่วิมุตสงบเงียบเรียบว่างเปล่า
ตามความสุขค้นหาบ้ามัวเมา
เพียงใจเราหยุดฝันมันกลับมี
ว่างเปล่าจึงเต็มเปี่ยมใดเทียมเท่า
เพราะความเขลาครอบงำจำหลบหนี
ทิ้งตัวเองห่างไกลไร้ไมตรี
หลงวจีพูดพร่ำถ้อยคำมาร
อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้
มองให้ดีดูให้ซึ้งถึงแก่นสาร
เหนือร่างกายจิตใจไร้ห้วงกาล
สุขสราญมีเต็มแล้วเพริศแพร้วจริง.....
14 กันยายน 2550 14:26 น.
คีตากะ
ท้องฟ้ากว้างทางไกลสุดไพศาล
กางปีกต้านทานลมห่มเวหา
เหนือขุนเขาสูงเยี่ยมเทียมเมฆา
จ้าวแห่งฟ้าถลาบินนกอินทรี
ผงาดฟ้าท้าสู้มัจจุราช
ยังศัตรูขยาดหวั่นหวาดหนี
แสนองอาจสง่างามหยามไพรี
แจ้งวิถีแห่งสายลมคมปัญญา
รวดเร็วปานอัสนีที่ฉกาจ
พายุสาดฝนซัดใส่ไม่ผวา
บินสูงสุดรุดสู้สู่มรรคา
ใจแกล้วกล้าหาใครไหนเทียมทัน
เฉกชนบ่มอุดมการณ์หาญยิ่งใหญ่
ยอมสู้ภัยไม่ท้อถอยคอยแข็งขัน
ราวอินทรีผงาดฟ้ากล้าประจัญ
ใช่อกสั่นดั่งกระจอกหยอกหญ้ากอ......
13 กันยายน 2550 16:10 น.
คีตากะ
จะพอเพียงเยี่ยงไรใจไม่พอ
สืบสานต่อก่อภพมิจบฝัน
ปรารถนาหาหยุดทุกคืนวัน
คำพอนั้นหวั่นใจหาไม่เจอ
เมื่อสังคมห่มแพรแค่ภายนอก
ภายในหลอกกลอกกลิ้งหยิ่งเหิมเห่อ
คอยประชันขันแข่งแย่งเลิศเลอ
หลงละเมอเพ้อคลั่งในวังวน
ตราบจิตใจอยู่ในใต้ผ้าคลุม
สัจจะซุ่มซ่อนเร้นเห็นฉงน
ปัญญาเลือนเพราะกลั้วด้วยตัวตน
ย่อมสับสนหนทางก้าวย่างไป
อัตตาขวางกางกั้นปัญหาเกิด
ผู้ประเสริฐเลิศแล้วแพ้วถางไถ
ละอัตตาตัวตนบุคคลไป
ย่อมแจ้งในความพอหยุดก่อเวร.....
13 กันยายน 2550 13:45 น.
คีตากะ
วสันต์ห่างเหมันต์กรายสายลมเปลี่ยน
วันคืนเวียนหมุนไปไม่กลับหลัง
ฟ้าเปลี่ยนสีทุกนาทีมิหยุดยั้ง
เรื่องราวฝังจมหายมลายเลือน
ชายป่าเปลี่ยวริมเขาเห็นเงาไผ่
โอนเอนไหวใบลู่อยู่กลางเถื่อน
ลำต้นตรงคงมั่นผ่านวันเดือน
ภายในเลือนกลวงเปล่าทั้งเหล่ากอ
ดั่งคนตรงคงมั่นอันหน้าที่
สร้างความดีแก่ชนมิย่นย่อ
ฝ่าอุปสรรคหนักหนาหาย่อท้อ
ไม่คอยรอวาสนาคิดกล้าทำ
แต่ภายในใจจิตวิจิตรกว่า
แสนโสภาน่าชมยิ่งคมขำ
ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนแม้นสร้างทำ
มิจดจำเช่นลำไผ่ข้างในกลวง.....
8 กันยายน 2550 16:57 น.
คีตากะ
ผู้ใดเห็นความจริงในสิ่งลวง
ผู้นั้นล่วงจากทุกข์เป็นสุขสม
ผู้ใดเห็นเพชรใสในโคลนตม
ผู้นั้นคมนัยน์ตาหาเปรียบปาน
ผู้ใดเห็นความทุกข์ที่รุกเร้า
ผู้นั้นเล่าเห็นธรรมเลิศล้ำสาสน
ผู้ใดเห็นพุทธอยู่ในหมู่มาร
ผู้นั้นหาญเก่งกาจเปรื่องปราดชน
ผู้ใดเห็นความว่างท่ามกลางมี
ผู้นั้นมีปัญญาหาขัดสน
ผู้ใดเห็นฝุ่นฝ้าในตาตน
ผู้นั้นพ้นมัวหมองครองอุรา
ผู้ใดเห็นแจ้งกายใจไม่ยึดถือ
ผู้นั้นคือนักบุญการุณย์หนา
ผู้ใดเห็นผองสัตว์เป็นญาติกา
ผู้นั้นคือพุทธาปรีชาญาณ......