12 เมษายน 2556 21:43 น.
คีตากะ
เพียงสายลมโบกไหวสั่นใจวุ่น
ธุลีฝุ่นบดบังนั่งกังขา
สร้างตัวตนบนฐานรากจากมายา
ย่อมไขว่คว้าอากาศธาตุปราศสิ่งใด
หลงยึดถือดื้อเอาว่าเขามี
ทั้งทั้งที่ตนว่างร้างไฉน
ทุกข์จึงเกิดเตลิดหลงเข้าพงไพร
ถูกหนามไหน่แทงทิ่มเลือดปริ่มเปื้อน
สิ่งแวดล้อมลวงหลอกกลับกลอกซ้ำ
ด้วยถ้อยคำแห่งมารพานเชือดเฉือน
เขาสมมุติกุกันจนฟั่นเฟือน
เราพลันเลือนตามเขายิ่งเมามัน
แกว่งจนเซแทบทรุดยากหยุดยั้ง
แต่เพียงนั่งมองตนบนรอยฝัน
พบความบ้าพาจิตวิปริตอัน
เพราะยึดมั่นความลวงพ่วงใจตน
ฟ้ายังสูง ดินยังต่ำ ลำธารไหล
ระหว่างใจสงบนิ่งอิงเหตุผล
สักแต่ว่าหาเกี่ยวข้องล่องตามชล
ย่อมหลุดพ้นภาพฝันอันเลื่อนลอย....
พุทธพจน์ : คนเขลาย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่ ก็ตนของตนยังไม่มี บุตรและทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน ?
(ตนประกอบด้วยธาตุ 4( ดิน น้ำ ลม ไฟ) และขัณฑ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) มีธรรมชาติว่างเปล่าหาแก่นสารสาระมิได้)
12 เมษายน 2556 21:44 น.
คีตากะ
ตะวันรอนอ่อนแสงอัสดง
สิ้นสูรย์คงรัตติผลิกลีบฉาน
พิรุณลับดับไปในห้วงกาล
ทิ้งสายธารเจิ่งนองครองปฐพี
นาฬิกาทรายหลั่งรินใกล้สิ้นสุด
วันเร่งรุดสู่ปัจฉิมปริ่มดิถี
จวนใกล้ค่ำย่ำแสงแห่งราตรี
หลายพันปีผ่านมายังอาลัย
หนึ่งพันวันที่เหลือเพื่อลาจาก
จำพลัดพรากจากนุชสุดหวั่นไหว
เคยขับกล่อมเพลงรักสลักใจ
ตราตรึงในดวงจิตคิดคำนึง
จะมั่นรักต่อเจ้าเฝ้าฟูมฟัก
แม้นโลกจักมลายสิ้นถวิลถึง
จะคงมั่นมิผันแปรแม่เอวกลึง
ร้อยรำพึงรักฝากก่อนจากลา...
12 เมษายน 2556 21:45 น.
คีตากะ
กลีบดอกคูนเหลืองอร่ามยามหน้าแล้ง
ยังกวัดแกว่งใต้ลมพรมพลิ้วหา
บ้างหลุดร่วงรองเรืองเนืองพสุธา
สีสดตาซีดจางกลางผืนดิน
สายลมร้อนพัดพามาปะทะ
ก่อนจะผละจากไปให้ถวิล
ห้วงเวลาแห่งนิรันดร์ผันชีวิน
ปลาสนาการสิ้นโบยบินไป
ชีวิตดั่งโอกาสวาดกำหนด
สรรค์สร้างบทนิยายคล้ายเหลวไหล
สร้างตัวตนตามฝันอันพิไล
เริ่มต้นใหม่ซ้ำซ้ำเหมือนจำทน
มาตรว่าคูนต้นนี้ในปีหน้า
คงแกร่งกว่าปีนี้มีดอกผล
แผ่ก้านใบไพศาลตระกานยล
วงปีต้นเพิ่มใหม่ไปอีกปี.....
12 เมษายน 2556 21:46 น.
คีตากะ
เทพธิดาแห่งฟ้าสง่าศักดิ์
ทวยเทพรักแหนหวงดวงสมร
งามหยาดฟ้ามาดินกลิ่นขจร
แม่งามงอนแสนสุขทุกทิวา
ด้วยบุญหนักศักดิ์ใหญ่ได้กายเกิด
รูปงามเลิศแดนดินถิ่นอนาถา
ใครเห็นรักปักใจในกานดา
หลงรูปพากลัดหนองปองนารี
บุญพาวาสนาส่งอนงค์นารถ
ให้พบปราชญ์เปี่ยมธรรมนำวิถี
รับทอดธรรมล้ำลึกนึกยินดี
ยังเทวีปรีดิ์เปรมเกษมทรวง
ธรรมวิถีบุราณสืบสานสร้าง
สอนปล่อยวางทุกสิ่งยิ่งแสนหวง
ละความงามทรามเชยเลยหวั่นทรวง
เกรงพ้นบ่วงแห่งบุญหนุนนำมา
ธรรมสุขุมลุ่มลึกคัมภีรภาพ
ทิ้งบุญบาปหนหลังเธอกังขา
เหนือวิสัยในโลกอุปโลกน์มา
ยังกานดาสงสัยในหลักธรรม
กร่อนอัตตาตัวตนนางทนทุกข์
ดุจไฟลุกร้อนไหม้ใจคมขำ
ชะล้างใจใสสดปลดบ่วงกรรม
เฉกยาล้ำรสขมพรมกายใจ
เหตุเพราะความถือตัวเมามัวจิต
เพียงน้อยนิดบังตาพาหลงใหล
รักสนุกสุขเทียมเปี่ยมทุกข์ภัย
ขาดวินัยบำเพ็ญเป็นอาจิณ
มิยอมทนขัดเกลาเสลาสลัก
ยอมจมปลักความเศร้าเฝ้าถวิล
หลงรูปลักษณ์แห่งตนก่นชีวิน
ย่อมยากสิ้นอาสวะละโพยภัย
กองคารวานแห่งธรรมเธอจำพราก
ฟังลมปากหมู่มารพานเฉไฉ
สู่สงสารธารเชี่ยวเคี้ยวคดไกล
เกลือกกองไฟแห่งทุกข์ลุกระทม
โชคเข้าข้างกานดาคราล่วงลับ
เคยพบกับสุคตหมดขื่นขม
จุติสรวงล่วงทุกข์สุขอารมณ์
กรกรานก้มเบื้องบาทนาถเมธี....
12 เมษายน 2556 21:46 น.
คีตากะ
หยาดพิรุณโปรยปรายลงมาแล้ว
นักพรตแน่วจิตหนึ่งพึงค้นหา
เงาตะเกียงวูบไหวพลิ้วไปมา
แฝงสัจจาแห่งจิตพินิจตรอง
หยาดพิรุณโปรยปรายแล้วหายลับ
กาย-จิตดับเวียนไปไร้เศร้าหมอง
น้ำค้างบนยอดหญ้าน่าชวนมอง
ยามสายล่องหนหายมลายไป
หยาดพิรุณโปรยปรายราวสายน้ำ
เย็นชุ่มฉ่ำอีกคราน่าหลงใหล
หนุ่มสาวคู่เคียงรักถักสายใย
เปี่ยมน้ำใสใจจริงอิงแอบกัน
หยาดพิรุณโปรยปรายมาทายทัก
สายลมยักย้ายเต้นเป็นสุขสันต์
แดดอ่อนอ่อนยอแสงแห่งสายัณห์
รุ้งลาวัณย์ทาทาบฉาบขอบฟ้า
หยาดพิรุณโปรยปรายยามสายสาย
เด็กเริงร่ายวิ่งเล่นเช่นปักษา
ดอกไม้ชื่นคืนชีพกลีบงามตา
แมกไม้พาฟื้นตื่นจากคืนหลับ....