27 กรกฎาคม 2553 00:46 น.

สัปดาห์แห่งความสุข

ครูกระดาษทราย

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แห่งความสุข ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าได้หยุดโรงเรียนติดต่อกันเป็นเวลา ๔ วันเท่านั้น แต่เนื่องจากมีวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสทำบุญหลายวัดที่เดียว เริ่มตั้งแต่วันพุธที่ ๒๑ กรกฎาคม จนถึงวันนี้

      วันพุธที่ ๒๑ กรกฎาคม ที่โรงเรียนได้ทำการหล่อเทียนจำพรรษาเพื่อให้ครู นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลร่วมกันโดยการหล่อเทียนถึง ๕ ต้น เพื่อนำไปถวายวัดที่ใกล้พื้นที่ของโรงเรียน 

      วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ กรกฎาคม เริ่มแกะแบบหล่อเทียนที่หล่อไว้ นำมาวางบนเชิงเทียนอันใหญ่ นักเรียนและครูช่วยกันประดับต้นเทียนด้วยดอกไม้หลากสีสัน อย่างงดงาม เพื่อรอการนำไปเวียนและถวายพระ

      วันศุกร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม นักเรียนและครู แบ่งเป็นคณะสี นำต้นเทียนไปยังวัดต่าง ๆ โดยเวียนรอบพระอุโบสถสามรอบ แล้วนำต้นเทียนถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ท่านได้เทศน์และให้ศีลให้พรแก่ทุกคน

      วันเสาร์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ดร.พาสนา  โทรมาชวนไปทำบุญวัดที่สุพรรณบุรี ต่างก็เตรียมเทียน หลอดไฟฟ้าเพื่อนำไปถวายพระที่วัดในจังหวัดสุพรรณบุรี ข้าพเจ้าขับรถไปรับ ดร.พาสนา ที่วัดใหม่พิเรนทร์ ถนนอิสรภาพ กรุงเทพฯ จะเดินทางไกลนัดเสียสาย ๑๐.๓๐ น. เฮ้อ ! ในระหว่างที่รอ ดร.พาสนาและ ดร.ปุ๋ย ขอเรียกชื่อเล่นแล้วกัน เพราะ ดร.ปุ๋ยนี่ เป็นศิษย์ ดร.พาสนา เหมือนข้าพเจ้า แต่ก็ยังดีที่วัดนี้มีการหล่อเทียนเช่นกัน ข้าพเจ้าจึงเดินไปหล่อเทียนและทำบุญร่วมด้วย พร้อมทั้งเก็บภาพเจ้าแมววัด ซึ่งกำลังหลับปุ๋ยอยู่มุมศาลาแต่มันก็หรี่ตามองข้าพเจ้า (ว้าว ! แมวมอง) ซึ่งมารบกวนเวลานอนของมัน  

      มากันครบแล้ว ดร.พาสนาจะไปไหนขาดสุนัขตัวโปรด คือเจ้าขาวขาวซึ่งเดี๋ยวนี้หล่อนเปลี่ยนชื่อเป็นจีจี้เสียแล้ว วันนี้จีจี้ได้นั่งโตโยต้าของข้าพเจ้า แทนที่จะนั่งชูคอในเมอร์ซิเดสเบนซ์ ของเจ้านายหล่อน ซึ่งบัดนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจแล้วว่า ดร.พาสนาเป็นเจ้านายหรือจีจี้เป็นเจ้านายกันแน่ ฮึ ! หมั่นไส้หมาจังเลยเรา ง่า วันนี้มาทำบุญทำไมเราคิดอกุศลล่ะนี่ แต่ช่างเถอะถึงอย่างไร หล่อนก็หลับได้เสมอล่ะนะแม่จีจี้ 

      รถมุ่งไปตลาดร้อยปีที่สามชุก ที่ตลาดนี้ผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง ยังไม่ทันได้ทำบุญเลย อาจารย์เราก็เริ่มจับจ่ายหมวกใบแรกไปเสียแล้ว ทิ้งต้นเทียนและหลอดไฟไว้ในกระโปรงรถข้าพเจ้านั่นเอง  ข้าพเจ้านึกขัดใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ตามใจอาจารย์น่ะ เดินไปซื้อข้าวห่อใบบัวก่อนใคร ตามด้วยขนมจุบจิบอีกหลายอย่าง หวาน ๆ ทั้งนั้น ขอตัวไม่ซื้อด้วยคนล่ะ อาจารย์เราน่ะเรื่องกินเรื่องใหญ่เสมอเชียว ไปหยุดที่ร้านนิสาลูกชิ้นยักษ์ โอย ! เห็นลูกชิ้นลูกละ ๑ กิโลกรัมแล้วอิ่มทันทีเลย แต่ก็สั่งมาคนละชามพร้อมลูกชิ้นซึ่งไม่ขนาดลูกละกิโลกรัม แต่ก็เล่นเอาทานอะไรไม่ไหวอีกเลย แต่อาจารย์เราก็แกะข้าวห่อใบบัวมาทานด้วยกันอีก โอย ! ถ้าอิ่มมาก ๆ แล้วอยากหลับเวลาขับรถทำอย่างไรดี

      ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นยักษ์ เดินเรื่อยเปื่อยดูนั่นดูนี่กันไป พอดีมีขบวนแห่เทียนผ่านมา ได้ทำบุญที่สุพรรณแล้วเราสบายใจ จากนั้นไม่ทราบอะไรต่อ ๆ ไร ค่อย ๆ เพิ่มอยู่ในมือทุกคนอย่างล้น ตัวเริ่มเอียงแล้ว ทุกคนผลัดกันอุ้มเจ้าจี้จี้ ชิชะ ! เจ้าตัวดี ไม่ช่วยหิ้วแล้วยังไม่เดินเอง ต้องอุ้มกันทุกที่เลย นี่อย่างไรล่ะที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า ดร.พาสนา หรือจีจี้กันแน่ที่เป็นเจ้านาย  ฮึ !

      มีร้านหนึ่งคือร้านศิลป์ธรรมชาติ ซึ่งเจ้าของร้านค่อนข้างจะมีอายุสักหน่อย  ภายในร้านจะมีภาพถ่ายคนยุคเราท่านนี้เอง แต่แต่งภาพให้เหมือนภาพเก่าแก่เป็นร้อยปี มีกรอบรูปเป็นไม้ ราคาค่อนข้างสูง คือสองภาพสามร้อย แล้วต้องรอคิวเป็นเดือน ๆ ทีเดียว นั่นแสดงให้เห็นผู้คนสนใจร้านนี้อย่างมาก เนื่องจากมีห้องภาพโบราณใช้กล้องแบบโบราณและใช้ฟิล์มด้วย  ซึ่งน่าอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง 	
      อีกร้านหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุด คือร้านไอ๊หยา เป็นร้านขายของเล่นแบบโบราณทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้าพเจ้ากับของเล่นน่ารัก ๆ ถูกกันเสมอล่ะ แต่ทว่าราคาค่อนข้างสูงทีเดียว ก็ได้แต่มองดูด้วยความชื่นชม และเก็บภาพมาฝากกัน
      
      บ่ายสามโมงเย็นแล้วก็ขับกลับบ้าน  ตกลงเทียนและหลอดไฟฟ้าที่นำมากไม่ได้นำไปถวายพระเลย เฮ้อ ! อาจารย์เป็นอย่างนี้คราวหลังต้องให้แวะวัดก่อนกินเที่ยวแล้วล่ะ เป็นอันว่านำกลับมาถวายวัดใน กรุงทพฯ คือวัดใหม่พิเรนทร์จนได้

      วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กรกฎาคม วันนี้อยากนอนอยู่บ้านจังเลย เมื่อวานขับรถเมื่อย แต่ครูฝรั่งนัดเรียนภาษาอังกฤษไม่มีการหยุด แต่ก็ดีได้ Spoke English with my teacher. เรียนเสร็จเพื่อน ๆ และครูก็ชวนกันไปเที่ยวตลาดน้ำกันอีก ดอนหวายไกล ดำเนินสะดวกเดี๋ยวนี้ดำเนินไม่ค่อยสะดวกเลย ผู้คนมากมายเดินเบียดกันไม่สนุกเลย ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งก็เคยไปแล้ว แต่ครูฝรั่งไม่เคยไป  ก็พาไปอีกที เมื่อวานก็เดินตลาดวันนี้อีกแล้วเหรอ ไปถึงก็เลยได้ทำบุญและหล่อเทียนที่วัดบางน้ำผึ้งในด้วย รู้สึกดีมาก ๆ จากนั้นก็แวะทานก๋วยเตี๋ยว ส้มตำผลไม้รวม ไก่ทอด หมูสเต๊ะกับขนมปัง ครูฝรั่งทานเผ็ดไม่ได้เลย อา ! เสร็จคนไทยฟาดไม่เหลือ  จึงสั่งส้มตำผลไม้ใหม่ ไม่ใส่พริกสักเม็ดเลยให้ครู จากก็ทานแล้วเดินต่อไป  ทานไอศกรีมกะทิต่ออีก โอ ! อิ่ม
 
      วันจันทร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม วันนี้อยากนอนอยู่บ้านก็ไม่ได้ เพราะต้องไปอยู่เวรที่โรงเรียน พอไปนั่งห้องเวร พี่ที่โรงเรียนมาแก้บนผ่าน คศ.๓ นำขนมกล้วย ฟักทอง มะพร้าวอ่อนและส้มโอมาฝากให้ท่าน อิ่มแต่เช้าเลย บ่าย ๆ พี่เล็กที่ มศว แวะมาหานำหมูอบตะไคร้มาฝากหอมยั่วยวน ทานไปหลายคำ ยังไม่หมดนะมีขนมกุ้ยช่ายที่ครูที่โรงเรียนซื้อมาฝากอีก เวลาอยู่เวรที่โรงเรียนไม่ค่อยมีอะไรทาน แต่ก็มีคนมาแวะเยี่ยมและอิ่มทุกคราวไป 
      
      พรุ่งนี้วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม จะนอนตื่นสายเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่ต้องเข้าแถว แต่ว่าต้องซักผ้าและถูบ้าน  และดูแลหาข้าวปลาอาหารให้เจ้านายตาโต ๆ ตัวลาย ๆ ที่ชอบเรียกให้ข้าพเจ้าตื่นตอนตีห้ากว่า ๆ อีกอยู่ดี  สรุปว่าอดตื่นสายแน่เลยเรา 
      แต่ว่าคืนนี้ดึกมากแล้ว  จะสวดมนต์แล้วนอนก่อนล่ะ Good night and take care yourself.				
23 ธันวาคม 2552 12:18 น.

การเรียนรู้ตลอดชีวิต

ครูกระดาษทราย

73841944.gif

พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2551  

 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ และปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2551 วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2552  ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อำเภอองครักษ์จังหวัดนครนายก 

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี มีพระราโชวาท บัณฑิตไทยต้องพัฒนาตัวเองไม่หยุดยั้ง "เรียนรู้ตลอดชีวิต" พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ประปี 2551 ในปีนี้มีผู้สำเร็จการศึกษารวมทั้งสิ้น 4,028 คน โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก จำนวน 32 คน ปริญญาโท 973 คน ประกาศนียบัตรบัณฑิต 67 คน และปริญญาตรี 2,956 คน

ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนี้ พระบาทสมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์พระราชทานปริญญา แก่ผู้สำเร็จการศึกษา ทั้งนี้ มีพระราโชวาท ความว่า

บัณฑิตเมื่อผ่านการศึกษา ตั้งแต่ระดับต้นจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ย่อมต้องได้พัฒนาตนเองมาเป็นลำดับ ให้เป็นผู้มีความรู้ มีความสามารถสูง ความรู้ความสามารถเท่าที่แต่ละคนมีอยู่นั้น แม้จะเป็นพื้นฐานอย่างสำคัญในการปฏิบัติงานก็จริง แต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะการทำงานทุกอย่างให้บรรลุถึงความสำเร็จและความเจริญต้องอาศัยความรู้และความสามารถที่กว้างขวาง ลึกซึ้ง ชัดเจนซึ่งต้องได้มาจากการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเจริญขึ้นอยู่เสมอ บุคคลใดไม่พัฒนาตัวเอง กลับพอใจหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่วิชาการต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนผู้อื่นฝ่ายอื่นพัฒนาห้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ที่สุดบุคคลนั้นก็จะกล้ายเป็นคนล้าหลังและงานที่ทำก็จะเสื่อมถอยไปด้วย บัณฑิตที่ต้องการความเจริญก้าวหน้าจึงต้องพัฒนาตัวเอง พร้อมจะเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง และต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งชีวิต

index04.gif
				
23 พฤษภาคม 2552 07:35 น.

คิดถึงวันที่ฝนโปรยปราย

ครูกระดาษทราย

P8019932.jpg

                    โรงเรียนเปิดได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว  ฝนตกทุกวัน  วันนี้ก็เช่นกันฉันขับรถผ่านท่อซีเมนต์ที่กำลังจะวางท่อข้างทางที่กำลังสร้าง  ทำให้หวนคิดถึงครั้งหนึ่ง ณ วันที่ฝนโปรยปรายในยามเช้าตรู่  ครูกระดาษทราย และเพื่อนครู ที่เรียกชื่อติดปากว่า พี่ตุ่ม  ครูสาวสองคนเดินลงจากรถทัวร์  กรุงเทพฯ  รัตนบุรี  เราจะเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ พร้อมกันเป็นประจำ  
                      วันนั้นเป็นวันที่ฝนโปรยปรายเช่นกัน  พี่ตุ่มกับฉันนั่งรถจากกรุงเทพฯ มาลงที่รัตนบุรีแต่เช้า  เราไม่มีที่หลบฝน  รถสองแถวที่จะต่อเข้าไปโรงเรียนยังไม่มา  หันไปเห็นเจ้าหมาน้อยนอนขดตัวอย่างมีความสุข อยู่ในท่อซีเมนต์  เราสองคนย่องๆ เข้าไปขออาศัยกับเจ้าหมาน้อยด้วย  เจ้าของท่อไม่ได้รังเกียจหลับตาไม่รู้ไม่ชี้  ไม่ยินดียินร้ายกับแขกผู้มาเยือน  เมื่อฉันยื่นมือไปลูบหัวมันเข้า มันก็ค่อย ๆ ลืมตาแล้วยิ้มและกระดิกหางให้อย่างเป็นมิตร  ปกติแล้วฉันจะเป็นมิตรกับหมาทุกตัว แฮ่ๆ  เรามีขนมของรถทัวร์ให้เจ้าหมาน้อยกินมื้อเช้านี้ด้วย
                      ฝนยังไม่ซาลง  รถสองแถวมาแล้ว  ลาก่อนเจ้าหมาน้อย เดี๋ยวจะสายเพราะมีเด็กน้อยรอครูอีกมากมายเชียว  พี่ตุ่มกับฉันก้าวออกมาจากท่อ  ชาวบ้านเห็นครูสาวสองคนมุดออกมาจากท่อต่างก็ยิ้มทักทาย   เจ้าหมาน้อยก็มองตามเหมือนอาลัยอาวรณ์  

                headoutwindow.gif



				
21 กันยายน 2551 10:18 น.

เรื่องของฉัน

ครูกระดาษทราย

1de7b2fc60.gif

แม่ของฉันเป็นแมวสามสี  คุณหมอเคยบอกครูกระดาษทรายว่า  แมวสีแบบฉันกับแม่ต้องเป็นเพศเมียเท่านั้น  ครูกระดาษทราย  จึงได้ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับแมว   แม่ของฉันมาจากไหนก็ไม่รู้  อยู่ ๆ ก็โผล่มาที่โรงเรียนที่ครูกระดาษทรายสอนอยู่  แม่ของฉันเป็นแมวที่ฉลาดมาก  เอาอกเอใจเก่ง  ไม่ว่าครุจะเดินไปไหนก็เดินตาม แม้แต่เดินไปห้องน้ำก็ไปเฝ้า  อยู่ไม่เท่าไหร่ครูกระดาษทรายก็นำแม่ของฉันไปเลี้ยงที่บ้าน โดยไม่รู้ว่ามีฉันและพี่น้องอยู่ในท้อง จนกระทั่งท้องใหญ่และฉันกับพี่น้องก็ลืมตามออกมาดูโลก

ฉันเกิดมาหน้าตา สีสันเหมือนแม่มาก ร่างกายฉันไม่แข็งแรงนัก ฉันมีน้องสี่ตัว  ครูกระดาษทรายจึงมีแมวสี่ตัวในบ้าน  ครูรักพวกฉันมาก  ฉันโตวันโตคืนและก็ซนเหลือหลาย  ที่บ้านครูปลูกกล้วย  ฉันก็ปีนต้นกล้วยจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่เหมือนต้นกล้วยทั่วๆ ไป  ที่ต้นชมพู่ ครุก็ปลูกกล้วยไม้เกาะไว้ ครูกระดาษทรายชอบกล้วยไม้มาก  พวกฉันก็ปีต้นชมพู่จนกล้วยไม้หลุดออกมา  ครูกระดาษทรายเรียกพี่น้องและตัวฉันว่า พวกลิง  

เวลาครูกระดาษทราย ไปโรงเรียนแม่ของฉันก็ไปชอบพาฉันไปเล่นนอกบ้าน  ฉันไปปีนรั้วบ้านคนอื่น ปีรถเขา ปีเสาบ้านเขา ชาวบ้านแถวนั้นพากันไม่พอใจพวกฉัน มาฟ้องครูกระดาษทราย  ให้นำกรงมาขังพวกฉันไว้  พวกฉันทำให้ครูกระดาษทรายหนักใจ  ครูกระดาษทรายจึงพาพวกฉันและแม่  ขึ้นรถกลับไปเลี้ยงที่โรงเรียน  พวกฉันก็เดินป่วนอยู่บนรถ  แม่ฉันก็ไม่อยากขึ้นรถ  พากันร้อง  ครูกระดาษทรายก็ให้กินอาหารเม็ด  ไม่มีใครอยากกินอะไรในเวลานั้น  พวกฉันตกใจ  พอถึงโรงเรียน ฉันก็สนุกสนานเพราะมีเด็กนักเรียนมาเล่นกับพวกฉัน  พอโรงเรียนเลิก แม่พาพวกฉันมายืนเข้าแถวข้างประตูรถยนต์ของครูกระดาษทราย  แม่คิดว่าครูกระดาษทราย  จะพาพวกฉันกลับบ้านตอนเย็น  แต่ครูกระดาษทรายก็บอกว่าอยู่ที่นี่ละ  เอาอาหารฝากภารโรงไว้ให้แล้ว  ครูกระดาษทรายไม่ได้ทอดทิ้งพวกฉัน  ดูแลอยู่ทุกวันที่โรงเรียน พวกฉันวิ่งเล่นสนุกสนาน

ต่อมาก็มีแมวหนุ่มหน้าแก่มาป้วนเปี้ยนที่โรงเรียน  ทำตัวเป็นแฟนแม่  อยู่มาไม่นานแม่ก็มีน้องใหม่อีกสี่ตัว  พี่ชายของฉันก็หายไป  ถึงแม่จะมีน้องใหม่พวกฉันก็ยังกินนมแม่อยู่ดี  ฉันได้ยินสัตวแพทย์บอกครูกระดาษทรายว่า  แมวเป็นสัตว์รักลูกรักหลาน  ก็จริงล่ะ ตัวฉันเท่าแม่แล้ว ยังกินนมแม่อยู่เลย 

วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาก็ไม่พบพี่ชายของฉัน  ครูกระดาษทรายถามภารโรงว่าแมวดำหายไปไหน ภารโรงก็บอกว่าคนเก็บขยะอุ้มไปเลี้ยง  ครูกระดาษทรายคิดถึงพี่ชายของฉันสีดำตัวอ้วน 

ในยามค่ำคืนหนึ่ง  ฉันได้ยินเสียงแมวร้อง  ภารโรงวิ่งไปดู  เห็นน้องของฉันถูกงูเหลือรัด  เขาช่วยไม่ทัน  มันแอบอยู่ใต้ถุนบ้านพักภารโรง  เนื่องจากบ้านพักใกล้ป่า  เวลาเงียบๆ มันก็เลื้อยมา เอาหางกระดิก  แมวอย่างพวกฉันก็เล่นหางมัน   ไม่นานพี่น้องของฉันทุกตัวก็ค่อยๆ หายไป และแม่ก็จากไป  คงจะไปเป็นอาหารของมัน  ฉันอยู่ตัวเดียว  เหงาเหลือเกิน  ฉันได้ยินหมอบอกครูกระดาษทรายว่า  ถ้าแมวโดนงูรัดแล้ว ถึงจะช่วยมาก็ไม่รอดเพราะกระดูกข้างในหักหมดแล้ว  ครูกระดาษทรายสงสารแม่และพี่น้องของฉัน  แต่ช่วยไม่ได้เลย  ครูกระดาษทรายจึงตัดสินใจพาฉันกลับมาอยู่ที่บ้านด้วย  กลัวว่าฉันจะโดนจับกินอีก

ครูกระดาษทรายพาฉันขึ้นรถมา  ฉันไม่โวยวาย  ฉันกลับมาคราวนี้ครูกระดาษทรายพาฉันแวะร้านหมอ  แล้วฉีดยาคุมให้ฉัน  หมอร้านนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก  ตรวจดูแล้วบอกว่าฉันไม่ได้ตั้งท้อง  

ฉันกลับมาอยู่บ้านครูกระดาษทราย  มี่ความสุขดี  กินอิ่มนอนหลับ  แต่ไม่มีเพื่อนเล่นเลย  ฉันจึงไม่ออกนอกบ้าน  เวลาครูกระดาษทราย   เดินไปไหนฉันก็เดินตาม  ชอบเอามือเกาะขาครูกระดาษทรายประจำ  เล็บฉันก็ข่วนขาครูทุกทีเลย  ครูกระดาษทรายบ่นว่า จะบ้าหรือไง  ฉันก็แค่หยอกครูกระดาษทรายเล่น  แต่เล็บฉันมันคมจริงๆ ด้วย  ฉันอยู่ไม่กี่เดือนท้องก็ใหญ่  ครูกระดาษทรายบอกว่า  มีลูกแน่ๆ เลย 

สามสี่เดือนมานี้   ฉันรู้สึกอึดอัด  ลูกไม่ออกมาสักที  ครูกระดาษทรายสังเกตเห็นเลือดออกมาจากช่องคลอด  ก็เตรียมผ้าปูไว้ให้ลูกก็ไม่ออกมาสักที    ไม่กี่วันก็มีเลือดออกมาแบบเลือดเสีย  ครูกระดาษทรายสงสัย  แต่ก็ยังไม่ได้ไปหาหมอ  เพียงแต่ไปถามเพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ซึ่งจบมาใหม่ๆ เขาแนะนำให้ครูกระดาษทราย  พาฉันไปผ่าตัดเอาลูกออกเพราะ  แมวหรือสุนัขที่ตั้งท้องแล้วฉีดยาคุม  มดลูกจะไม่เปิด  ต้องผ่าลูกจึงจะรอด  ครูกระดาษทรายไปทำงาน  ไปเรียน  กลับมาค่ำๆ ทุกที

แต่แล้ววันจันทร์ที่..........กันยายน  ครูกระดาษทรายขับรถมาจอด  ปกติฉันจะวิ่งมารอที่ประตู  แต่วันนี้ครูกระดาษทราย ไม่เห็นฉัน  ครูกระดาษทรายร้องเรียก พร้อมกับเดินตามหาทั่วบ้านก็ไม่พบฉัน  สองทุ่มแล้วฉันยังไม่มาอีก ฉันไม่เคยไปไหนนานๆ ปกติครูกระดาษทรายจะขึ้นบ้านอาบน้ำและอ่านตำราสองทุ่ม  แต่คืนนี้ครูกระดาษทรายยังยืนอยู่ริมรั้วบ้าน  และรอฉันโดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันนอนอยู่ใต้กอมะลิ ฉันจะตายแล้ว  ฉันไม่มีแรงจะส่งเสียงให้ครูรู้

คืนนี้ถ้าไม่มีใครรู้ฉันต้องตายตรงกอมะลินั้น  ฝนเริ่มตกลงมาแล้วและตกหนักทุกคืน  ฉันตายแน่เลย  ฉันนึกในใจ  บุญของฉัน ครุกระดาษทรายไม่เคยกวาดใบไม้หน้าบ้านตอนสองทุ่ม แต่คืนนี้ครูกระดาษทรายกวาดเพื่อรอฉันกลับมา  แต่ก็ไร้วี่แวว  ครูกระดาษทรายกวาดเสร็จแล้ว จะเข้าบ้านแล้ว  แลเห็นใบราตรีเหลืองก็เอื้อมมือเด็ดออกทีละใบ แล้วนำไปใส่ไว้ที่ดินใต้ต้นโมก ก้มลงไปที่กอมะลิซึ่งใกล้เคียงกับต้นโมก  ฉันไม่มีเสียงเรียก แต่ครูกระดาษทราย  มองเห็นฉัน  ร้องเรียกฉัน ฉันก็ไม่โต้ตอบ  ม่านตาฉันจะปิดอยู่แล้ว  

ครูกระดาษทรายอุ้มฉันวางหน้ารั้ว  เห็นเลือดเสียออกจากช่องคลอดฉันมากมาย  มีกลิ่นเน่า  ครูกระดาษทรายรีบหาตะกร้ารองผ้าใส่ฉัน ตะโกนบอกคนในบ้านว่า เดี๋ยวมาจะพาแมวไปหาหมอ  ครูกระดาษทรายขับรถออกไปไม่นานก็พบคลินิกสัตวแพทย์  จึงย้อนรถกลับมา  คุณหมอหนุ่มท่าทางใจดี  ออกมารับฉัน  แล้วบอกว่าแย่แล้ว  ต้องผ่าตัดด่วน  คุณแม่หมอออกมาดู  บอกให้รอสักครู่  เพราะหมอกำลังผ่าตัดให้สุนัขที่มีอาการเดียวกับฉัน  แล้วถามว่าจะยอมให้ผ่าหรือไม่ ไม่ผ่าฉันต้องตายแน่ๆ  ครูกระดาษทรายตกลง  คุณหมอนำกระดาษมาให้ครูกระดาษทรายเขียนอนุญาตวางยาและผ่าตัด  ฉันเห็นครูกระดาษทรายใช้ปากกาฆ่า สระอิ ที่พยางค์ท้าย  ของคำว่า  อนุญาต  เป็นอนุญาต  พร้อมทั้งจ่ายเงินค่ารักษาล่วงหน้า ๑,๕๐๐  บาท  

เมื่อหมอผ่าตัดสุนัขเสร็จพบลูกในท้องตายไป ๕ ตัว เหลือ สี่ตัว ลูกๆ ทั้งสี่ส่งเสียงร้องประสานเสียงกัน  ฉันได้ยินแว่วๆ มาจากห้องเด็กอ่อน  ครูกระดาษทรายไปยืนมองเด็ก ๆ ร้องประสานเสียงก็ยิ้ม  ครูกระดาษทรายอยากจะถ่ายรูปน้องหมาจัง  เสียดายจริงๆ  ลืมนำโทรศัพท์ออกมาจากรถ   เพราะมัวแต่อุ้มฉัน  ปกติแล้วครูกระดาษทรายก็ชอบลืมโทรศัพท์ไว้ในรถทั้งคืน  และบางวันทั้งวัน  ใครโทรหาไม่เคยจะรับสายสักที  มีแต่โทรกลับถ้าเห็นสายเข้า  จะมีใครโทรหาเสียอีกเล่า นอกจากบรรดาผู้ปกครองเด็ก ๆ เท่านั้นล่ะ

แม่สุนัขตัวนี้ไม่มีเจ้าของ คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างพามาหาหมอ  ด้วยความสงสาร  คนในซอยช่วยกันออกค่ารักษาให้ถามนำรถกระบะมารอรับกลับบ้านปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก  ครูกระดาษทรายนับถือน้ำใจชาวบ้านซอยนี้จริงๆ  
คุณหมอเดินออกมาคราวนี้ไม่ได้แต่งชุดเดิม  ครูกระดาษทรายงง  คนที่พาสุนัขมาจึงบอกว่า  หมอสองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน  อืม! จริงๆ นะครูกระดาษทรายไม่ได้สังเกตเลย  จึงหันไปมองใบประกอบวิชาชีพ  กับรูปที่คุณหมอรับปริญญา  คนหนึ่งจบสัตวแพทย์จุฬาฯ  อีกคนหนึ่งก็จบสัตวแพทย์เกษตรศาสตร์  ส่วนผู้ช่วยหมอก็คือ คุณแม่ของหมอนั้นเอง  น่ารักจริง  ทั้งแม่และหมอ

ครูกระดาษทรายรอจนคุณหมอล้างตัวให้ฉัน  วางยาสลบ  โกนขนฉันแล้ว  ครูกระดาษทรายก็กลับบานเกือบสี่ทุ่ม  ครูกระดาษทรายนอนไม่หลับ  เป็นห่วงฉัน ผิดกับฉันตอนนี้ไม่เจ็บปวดอะไรแล้ว  ครูกระดาษทรายกลัวคุณหมอโทรมา  จึงนึกในใจว่าขออย่าให้คุณหมอโทรเลย  เพราะครั้งหนึ่งครูกระดาษทรายได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลตอนห้าทุ่มครึ่ง ว่าคุณพ่อเสีย  ครูกระดาษทรายตกใจมาก  ขับรถไปโรงพยาบาลจุฬาฯ  ทันทีไม่ได้นอนถึงเช้า  ครูกระดาษทราย  ไม่อยากได้ยินเสียงโทรศัพท์ดึกๆ  โดยเฉพาะโทรศัพท์จากคุณหมอ

แต่คืนนั้นก็ผ่านพ้นไปด้วยดี   ครูกระดาษทรายไปทำงานแต่เช้า  จึงแวะมาดูฉันตอนเลิกงาน  คุณหมอยังไม่ให้ฉันกลับบ้าน  ฉันเห็นครูกระดาษทรายมาหา  ฉันโดนเสียบสายน้ำเกลือด้วย  ฉันร้อง เหมียว  เหมียว แล้วก็หลับตา ไม่มีแรงคุย  ฉันได้ยินครูกระดาษทราย คุยกับคุณหมออยู่นาน  คุณหมอเล่าว่า ฉันชอบนอนในกรง  พอให้เดินเล่น  ฉันก็จะเดินเข้าแต่กรง  ครูกระดาษทรายบอกว่า ไม่เคยเลี้ยงในกรง  

คุณหมอนอกเรื่องไปแล้วล่ะตอนนี้  ฉันได้ยินคุณหมอถามครูกระดาษทรายว่า  
คุณเป็นคุณครูหรือครับ
ใช่ค่ะ ครูกระดาษทรายตอบทำหน้าสงสัย
สอนภาษาไทยหรือครับ  คุณหมอถามอีก
ค่ะ  ครุกระดาษทรายก็นึกในใจ เอ๊ะ! ทำไมรู้นะ
ผมเห็นคุณครูลายมือสวย แล้วก็เห็นขีดฆ่า สระอิ ข้างหลังคำว่า อนุญาต ในใบยินยอมให้แมวผ่าตัด
ค่ะ ขอบคุณค่ะ  ครูกระดาษทรายไม่ปฏิเสธ
ครูกระดาษทรายอยากต่อว่าคุณหมอตั้งแต่วันแรก  แต่มัวแต่ห่วงฉันจนไม่ได้บอกคุณหมอ  แต่คุณหมอก็รู้ความผิดของตนเองไวดีเหมือนกัน  ครูกระดาษทรายเห็นใบยินยอมให้ผ่าตัด  ถูกน้ำยาลบคำผิดป้ายที่ สระอิ  หลังคำว่า อนุญาต  ทุกใบ  
นี่ถ้าเป็นลูกศิษย์จะให้คัดใหม่สักร้อยจบเชียว คุณหมอนี่  ครูกระดาษทรายนึกในใจ  แล้วก็อมยิ้ม
ขอบคุณครับ  คุณหมอเองก็กล่าวขอบคุณพร้อมทั้งก็ยิ้มแก้เก้อ  


ครบสามวันแล้ว  ครูกระดาษทราย มาถึงคลินิก  คุณหมออยู่คนเดียว  ครูกระดาษทรายชวนฉันกลับบ้าน  ฉันก็ไม่ยอมออกจากกรง  คุณหมอบอกว่าให้ยืมกรงกลับบ้านได้  คุณครูเกรงใจคุณหมอ   จึงขอบคุณและปฏิเสธไป   ฉันรู้สึกเสียดายกรงจัง  ครูกระดาษทรายอุ้มฉันออกมา  คุณหมอมานั่งข้างๆ  สอนวิธีป้อนยาและทำแผลให้ครูกระดาษทรายด้วย  แล้วอุ้มฉันมาส่งที่รถ
ขอบคุณค่ะ  แล้วขับรถจากไป  

กลับมาบ้านวันแรก  ครูกระดาษทรายเอาใจฉันทุกอย่าง  แรกๆ ฉันก็ยอมกินยาง่ายๆ สองวันต่อมาฉันเห็นหน้าครูกระดาษทราย  ฉันก็แอบไม่อยากกินยา  แต่ฉันก็โดนจับมากิน  ครูกระดาษทรายไม่กินก็ต้องไปหาหมออีกนะ  ตาบไม่รู้ด้วย  เพราะคุณหมอบอกกับครูกระดาษทรายระวังแผลติดเชื้อ  แผลอักเสบ  ฉันก็จำใจกินยา  ฉันชอบกัดผ้าปิดแผลออก  โดนครูกระดาษทรายดุทุกทีเลย  พรุ่งนี้วันจันทร์ที่  ๒๒  กันยายน  คุณหมอนัดให้ครูกระดาษทราย  พาฉันไปตัดไหมแล้ว  ฉันจะได้ไม่รำคาญผ้าปิดแผลสักที

ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านเรื่องของฉัน  ซึ่งเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง  ก่อนที่คุณจะฉีดยาคุมให้พวกฉัน  คุณควรแน่ใจก่อนว่าฉันไม่ได้ตั้งท้อง   มิฉะนั้นพวกฉันจะทุกข์ทรมานมากค่ะ

00a06b5513.gif				
24 สิงหาคม 2551 08:49 น.

ควายโดนเข้าอีกแล้วหรือ

ครูกระดาษทราย

kahq8.gif        

         ในคาบเรียนที่เจ็ด  ของทุกวัน  เป็นคาบเรียนที่ทุกคนใจจดใจจ่อรอเสียงสวรรค์  ซึ่งเด็กๆ เรียกเสียงสัญญาณบอกเวลาของโรงเรียน  ครูบางคนก็ไม่ชอบสอนคาบนี้  แต่ครูกระดาษทรายชอบจังเลย  
          ในคาบที่เจ็ดวันนี้เช่นกัน  ครูกระดาษทรายออกจากห้องสอนชั้นหก   ซึ่งเป็นนักเรียนห้องหัวกะทิ  กว่าจะออกมาได้ก็ต้องตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ของเด็กเกินเลาอีกแล้ว  รีบสาวเท้าไปยังชั้นสี่  อีกอาคารหนึ่งอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากห้องที่กำลังรอนั้นเป็นนักเรียนชั้น ห้องห้า  ซึ่งใคร ๆ ก็ชอบเรียกพวกเขาว่า ห้องห่า  เด็กห้องนี้ก็รอใครไม่เป็นเสียด้วย  ถ้าเข้าช้าก็จะเปิดวงดนตรีบ้าง  เวทีมวยบ้าง  บางรายกงัดข้อกัน  หรือไม่ก็ปั่นแปะ  บางคนก็โต้วาทีกันสนั่นห้อง  ครูกระดาษทรายเดินมาถึง  หลายคนยังไม่เข้าห้องมารอ  เนื่องจากเด็ก ๆ เองก็ย้ายห้องเรียนจากห้องนาฏศิลป์  ของครูโอ้มา  ก่อนถึงประตูห้อง  มีคนแอบมองต้นทางไว้แล้ว  ครูมาถึงนั่งกันเงียบเชียว  ด้วยรู้ว่า  ถ้าขืนเสียงดังวันนี้ครูกระดาษทรายกักตัวไว้แน่ ๆ 
          นักเรียนตรง  หัวหน้าสั่ง   ทุกคนยืนขึ้น  บางคนตัวยืน  แต่มือไปป่ายอยู่บนหัวเพื่อน จนหัวหน้าบอก
          ทำความเคารพ  
          สวัสดีครับ
          สวัสดีค่ะ
          ทุกคนเงียบ  เรียบร้อยแล้ว  ในใจก็คงรอให้ครูบอกให้นั่ง  ครูกกระดาษทรายก็ยังไม่บอกสักที  เด็กบางคนเหลือบตามอง  วันนี้ครูจะมาไม้ไหนน้า
          อ่ะ สำรวจตัวเอง  แต่งตัวให้เรียบร้อย  เด็กหญิงไม่เท่าไหร่  เด็กชายรับรวบชายเสื้อยัดเข้าไปในกางเกง  ทันที
          เสร็จแล้วก้มลงไปดูพื้นใต้โต๊ะใครมีเศษกระดาษก็เก็บไปทิ้ง
เด็กชายที่นั่งท้ายห้องรีบหยิบถังขยะเดินไปตามแถว เพื่อนๆ นำขยะใส่ให้  เรียบร้อยแล้วยืนนิ่ง  ครูจึงให้นั่ง    พอก้นถึงเก้าอี้ ปากก็เริ่มทำงาน อิอิอิ  ทำอะไรบ้างล่ะปาก  บ้างก็เคี้ยวหมากฝรั่ง  บ้างก็คุย  ถามกัน
           อืม ! ครูคิดว่าจะให้นักเรียนกคุยกันก่อนสัก ๓๐ นาทีแล้วเราเริ่มเรียนจะดีไหม  ครูกล่าวลอย ๆ    เด็ก ๆ เงียบโดยอัตโนมัติ  ก็วิธีนี้เคยเห็นครูทำกับห้องอื่นมาแล้ว  จึงไม่คุยกันทั้งห้องเชียว  อยากรู้ว่าวันนี้ว่าครูจะให้ทำอะไร หรือว่าจะมาไม้ไหน  ครูเริ่มทบทวนเรื่อง ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง  ซึ่งได้สอนจบไปแล้วเมื่อคาบก่อน  แล้วให้นักเรียนนั่งด้วยกัน  จากนั้นก็ให้ใบงานไป ๒ ใบ  แล้วให้นักเรียนตอบคำถามลงในใบงาน  
            กลุ่มใครเสร็จก่อนครูจะปล่อยกลับบ้านก่อนหมดเวลา (ก่อนหมดเวลาหนึ่งนาที อิอิอิ)  เด็ก ๆ รู้อยู่แล้วว่าครูกระดาษทรายไม่ค่อยปล่อยก่อนเวลาบ่อยนัก ยกเว้นมีธุระเรื่อง ผุ้ปกครองเด็กมีปัญหามารอบ้าง  มีงานเร่งด่วนบ้าง จึงจะปล่อยเด็กก่อนเวลา  ทุกคนตั้งใจทำงานเพื่อให้กลุ่มตัวเองเสร็จก่อนใคร ๆ 
เด็กชายมดดำ เพื่อน ๆ เรียกเขาแบบนั้น  ตัวเล็ก ดำ ๆ  ตาโต  ท่าทางพูดมาก  แต่วันนี้ตั้งใจเรียน  เดินมาถามครูว่า
             ครูครับ  ผมมีอะไรจะถามหน่อยครับ
              ถามมาสิครับ    
              เด็กชายมดดำป้อนคำถามมาว่า
              ครูครับ  พ่อขุนรามคำแหง ชนช้างชนะขุตสามชน  ตอนอายุสิบเก้าใช่ไหมครับ
              อืม ! ใช่แล้วครับ    ปกติ ครูกระดาษทรายจะพูดครับกับเด็กชาย  บางครั้งก็พูด  ครับผม  แต่ถ้ากับเด็กหญิง  ครูก็พูด ค่ะ  แต่ไม่เคยพูดว่า ค่ะ ดิฉัน อิอิอิ
              เด็กชายมดดำหันหลังกลับยังไม่ทันถึงกลุ่มเพื่อนก็ตะโกนว่า
             เห็นไหม ไอ้พวกควาย !  กูบอกแล้วว่าสิบเก้าไม่เชื่อ  ไอ้โง่เอ๊ย โห ! ดูกลุ่มเพื่อนเค้าสนทนากัน ควายโดนอีกแล้ว  สงสารควายจริง ๆ  เอามันไปเปรียบเทียบกับความโง่เสียหายหมด  ที่ดี ๆ ไม่ยอมมาเปรียบให้ควายเลยนะ เช่น ควายอดทน  ความซื่อสัตย์  ความขยัน  ควายช่วยงาน  ควายไม่เคยบ่น  ควายไม่โกงกิน ก็ไม่พูดเปรียบกันบ้าง
            มดดำ !  ครูกระดาษทรายทำเสียงปราม  
            ครับ...........    เด็กชายรีบกลับไปนั่งที่แล้ว  จะอะไรเสียอีก เพื่อนกำอากาศวางบนหัวมดดำล่ะสิ  
            ทุกคนทำแบบฝึกหัดกันไปเรื่อย ๆ เงียบ  สลับกับการสนทนา ภาษาพ่อขุน   ก็มีเสียงใครคนหนึ่งถามเพื่อน ด้วยความไม่รู้ หรือว่าไม่ได้ค้นหาคำตอบก่อนกันแน่
           เฮ้ย !  พ่อขุนรามคำแหงทรงช้างชื่ออะไร  เด็กชายคนหนึ่งอ่านคำถามกันในกลุ่ม แต่ดังมาถึงหน้าห้อง
           ชื่อก้านกล้วย  หรือชบาแก้วนี่แหละ  เด็กชายภูริชญ์   หรือไอ้ตั้ม   ปากเปราะตะโกนตอบทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบ แต่ก็ตอบไปตามปากของเขาล่ะ  คะนองนัก
           ไอ้โง่ ! เอ๊ย   ก้านกลัวยช้างพระนเรศวรโว้ย! คนละสมัยเลย  เจ้ามดดำคนเดิมคิดว่าเพื่อนไม่รู้  ก็ตอบด้วยความหวังดี พร้อมทั้งเอามือไปตบหัวไอ้ตั้มเบาๆ  เชิงหยอกล้อ  ไอ้ตั้มไม่ว่าอะไร  ผลักกันตบบ่อยจนชินกระมัง
            เออ  กูรู้แล้ว  ไอ้ตั้มตอบ แล้วทำหน้ากวน ๆ

            แต่ถึงอย่างไร  คำว่า กู  มึง  ยังคงใช้สืบต่อมากจนถึงปัจจุบันนี้ เออ! ช่างรักษ์ภาษาเสียจริง ๆ เด็กห้องนี้  ใครมีวิธีแก้ไขช่วยเสนอแนะบ้างค่ะ  ขอบคุณค่ะ


 7041291gifkr3.gif


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟครูกระดาษทราย
Lovings  ครูกระดาษทราย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟครูกระดาษทราย
Lovings  ครูกระดาษทราย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงครูกระดาษทราย