28 กุมภาพันธ์ 2551 20:53 น.
ลานเทวา
ละครลิงลิงเล่นเป็นตามเรื่อง
คนฝึกลิงจนลิงเชื่องออกมาเล่น
คนฝึกคนยลใจไยยากเย็น
ฝึกให้เป็นกลับไม่รู้หนอผู้คน
ลิงแสดงแต่งองค์งามทรงเครื่อง
แลปราดเปรื่องตามยะถาของหน้าขน
ต่างมนุษย์เพียงปัญญาเป็นค่ายล
แต่กมลหรือหยั่งถึงลึกซึ้งนัก
ละครลิงอิงธรรมย้ำเตือนจิต
แลชีวิตซึ้งใจใดตระหนัก
ยังวนอยู่แต่โลภหลงพะวงรัก
ย้ำโกธาหน้ายักมิเว้นวัน
ลิงแสดงจบทุกสิ่งลิงก้อหลับ
มิเคยซับใดมาคาใจฝัน
คนแสดงบทบาทอนาถพลัน
สวมตะบันในเครื่องทรงองค์แสดง
----------------------------------------------------------
ลานเทวา
27 กุมภาพันธ์ 2551 14:25 น.
ลานเทวา
พันธนาการแห่งหวัง.....รั้งเหนี่ยว
ตรึงใจข้ากับโค้งเรียว....บุหลัน
วาบหวานไหวชื่น..........ณ คืนวัน
เสกถ้อยรำพัน.......รักร้อย
มาเถิด..........สูเจ้า
มาจากความโศกเศร้า..........เหงาหงอย
เสพท่วงทำนอง..............ล่องลอย
สู้โลกอันพร่างพร้อย............กวีกานท์
ทิพย์ถ้อยลำนำ.............ฉ่ำชื่น
รอสูเจ้ามาเริงรื่น................ซึ้งซ่าน
โดยอักษราศุภฤกษ์...............เบิกบาน
สุขล้ำสำราญ.............เถิดชีวิต
หม่นโศกวิโยคใด...............ในหล้า
ประดับด้วยน้ำตา..........ตรึงจิต
จงสิ้นดับด้วยมนต์..........นิรมิต
สร้างสุขเสกสถิต..........ทุกดงแดน
ปรารถนาทอรัก..........แทนค่า
มอบแด่สรรพชีวา...........หมื่นแสน
กอบฝันจรุงเรือง............ณ เมืองแมน
มอบแด่ผู้ขาดแคลน...........ในชีวิต
--------------------
ลานเทวา
27 กุมภาพันธ์ 2551 13:22 น.
ลานเทวา
ระยับฟากจากห้วง....รัตติกาล
สู่ทิพย์แห่งจักรวาล....สำนึก
ดาริกาพริ้มพร่าง....ท่ามกลางดึก
ให้เหงาลึก...เร้าใจไหวครวญ
โอ้ มาณวิกา...แห่งราตรี
สั่งสายลมพรมวี....ให้หวน
เคยซ่านซึ้งตรึงฝัน....รัญจวน
อย่าเรรวน...เร่ร้างจนห่างไกล
สิเย้าหยอกดอกนภา...เพลาดึก
ตะกอนผลึก...อันห่วงหารึสาไถย
จักซุกโศกซ่อนเศร้า...เหงาใจ
สู่หนใด..หนอปรารถนาแห่งราตรี
ใช่ลวงปลื้มดื่มด่ำ....เพียงคำพก
แน่นหัวอก...ด้วยรักเชื้อนั้นเหลือที่
หวังเพียงเจ้าเมตตา...ปรานี
ทอประกายชีวี....โอบอ้อมข้า
โอ้ แก้วดาริกา...มารศรี
สาปสรรถ้วนฤดี....ปรารถนา
เทิดรักไว้แล้วหนอ....แก้วกัลยา
เจ้าคือจอมชีวา...แห่งข้าแล้ว
--------------------------------
ลานเทวา
26 กุมภาพันธ์ 2551 12:08 น.
ลานเทวา
ใครผู้กล้าใครวีรบุรุษ
รึใครแค่เศษมนุษย์อันไร้ค่า
อุดมการณ์ผ่านผันวันเวลา
บ่งราคาจิตใจใครบางคน
ใช่สายลมพรมแผ่วแล้วลาลับ
ทิ้งประทับผิวผ่านพอซ่านขน
ในมรรคาวิถีวีรชน
รึจักปนความระยำมาชำระ
บางความหมายลับเลือนใครเบือนบิด
แลบางนัยความคิดยังกักขฬะ
สิหักร้างสร้างแค่แพ้ชนะ
กาลเวลาปล่อยปละมาเช่นไร
กว่าชื่อจักได้เชิดว่าวีรชน
ก็เหลือเพียงเถ้ากระดูกป่นตั้งกราบไหว้
กว่าจะเห็นคุณค่าประชาธิปไตย
เขาก็เหยียบย่ำไปจนสิ้นแล้ว
กว่าจักซึ้งในสิทธิ์และเสรี
จากวิถีอันลาโรยระโหยแผ่ว
ฟังแต่เสียงปลอบปลุกอยู่ทุกแนว
ไร้วี่แววฟ้าสีทองผ่องอำไพ
เถอะเจ้าสวะการเมืองผู้ฉาบฉวย
กี่ศพซากที่ช่วยเอ็งเป็นใหญ่
กี่น้ำตารินพรากจากหัวใจ
กี่สมัยผ่านยุคอันทุกข์ทน
ความเป็นจริงไยเล่าต้องชำระ
ใดใดจะแจ่มแจ่งแสดงผล
อันความจริงโดยความจริงใช่อิงกล
อย่าเอาความโสมมปน มาชำระ
---------------------------------------
โดยคำ ลานเทวา
24 กุมภาพันธ์ 2551 23:07 น.
ลานเทวา
เพียงวูบหวานผ่านไหว
ข้าจะฝากชีวิตไว้ ณ ตรงนั้น
ตรงที่บทกวีร่ายรำพัน
ตรงแสงจันทร์ทาบม่านผ่านราตรี
ดอกดาริการะยับประดับห้วง
วาดศิลป์สรวงระยับประดับสี
บรรเลงกานท์ ณ.พิมานมณี
ด้วยหมื่นแสนเสรีแห่งถ้อยคำ
เพียงซึ้งซับสดับแว่ว
โดยร้อยกรองร้อยแก้วอันดื่มด่ำ
วูบหวานผ่านไหวในลำนำ
ปฏิภาณกวีจำจรดใจ
ด้วยมนต์เสกแห่งภาษา
จักปลุกมวลมาลาเริงสดใส
รติกาลห่มห้วงทรวงทหัย
เอมอิ่มในหวานพจน์บทกวี
เพียงวูบหวานผ่านไหว
ฉันขอฝากหัวใจไว้ตรงนี้
ตรงความฝันอันข้ามอบพลี
แด่ทุกพจน์บทวลีแห่งกลอนกานท์
มธุรสใดไหนเล่า
มาเทียมเท่าถ้อยล้ำอันฉ่ำหวาน
ฝันสุขใดในหล้าสิมาปาน
เท่าจินตนาการแห่งกวี
โดยคำ ลานเทวา