26 ธันวาคม 2550 15:17 น.
ลานเทวา
จักเร้นรอยเหน็บหนาวอันร้าวเรื้อ
หรือดับเชื้อสเน่หาลับลาหาย
พิศวาสแห่งฝันพรรณราย
ยังกล้ำกรายอุราพาคะนึง
จะเร้นหมอกซอกดาว ณ หาวห้วง
รึซ่อนทรวงหลีกพ้นมนต์คิดถึง
แอบอยู่ใดหรือพ้นพรากจากรำพึง
ความตราตรึงในรักยากหักใจ
แม้นความตายสิมาพราก
แลแม่นาคยังตามรักแม้ตักษัย
กี่เหล้ารินกินย้อมหลอมหทัย
ยิ่งเมาในความรักเกินหักวาง
ลีลาวดีเกิดใหม่ยังไม่ละ
เฝ้าปลื้มหลงเรวัตตะมิเว้นสร่าง
คนคู่กันมั่นจิตมิคิดจาง
ตายกี่ร่างเกิดกี่หนยังวนรัก
----------------------------
ลานเทวา
26 ธันวาคม 2550 15:14 น.
ลานเทวา
ข้าคือ คนฟั่นเฟือน
ที่ผูกมิตรเป็นเพื่อนกับความฝัน
ทุกยามเช้าตื่นมายิ้มรับตะวัน
กลางคืนร้องเพลงกล่อมจันทร์ให้หลับนอน
ข้ามีเพื่อนเป็นแมลง
ทุกราตรีกล่อมเสียงแต่งให้พักผ่อน
อีกสหายคือสายลมจร
ชายโชยมาอ่อนอ่อนช่วยพัดวี
เพื่อนสาวข้าคือมวลดอกไม้
เธอเบ่งบานสวยไสวไปทุกที่
นกน้อยนั่นก็เพื่อนที่แสนดี
ฝูงปลาในวารีก็เพื่อนกัน
ผีเสื้อน้อยบินมาคุยกับข้า
คอยถามหาถึงเจ้าจอมขวัญ
ข้าบอกเธอยังอยู่ตรงนั้น
อยู่ตรงที่รักนิรันดร์มิเปลี่ยนแปร
ข้าชอบเดินไปทักทายท้องทุ่ง
งามรวงข้าวจรุงนั้นเผื่อแผ่
ชักชวนสายรุ้งฟ้าให้มาแล
นั้นชีวิตแท้แท้ของชาวนา
ก้อนเมฆเรียงรายประพรายพริ้ม
ดวงตะวันโปรยยิ้มมาสู่ข้า
แจ้งแล้วหนอหุบห้วงมรรคา
ธรรมชาติแห่งชีวา งามนัก
ข้าคือคนฟั่นเฟือน
มีตัวอักษรเป็นเพื่อนไว้ทอถัก
ข้าเขียนทุกสิ่งด้วยความรัก
เพื่อกล่อมเหงาให้ผ่อนพักจากจิตใจ
-------------------------------------------
ลานเทวา
25 ธันวาคม 2550 18:09 น.
ลานเทวา
เทวษหวั่นไหวเชื้อสิเรื้อร้าง
ปานทัณฑ์วางแก่ชีวาจักหาไหน
หากแม่ผันจิตพรากจากสายใย
ปลิดเอาชีพข้าไปด้วยเถอะแม่
ภูรโลกจักโศกสิ้นถวิลวาด
ยามนุชนารถสิ้นเชื้อมาเผื่อแผ่
สวาทเคยรัญจวนกลับปรวนแปร
รั้งดวงแดตรอมตรมระทมร้าว
สูรลับสิ้นกาลล่วงจากห้วงแล้ว
พร่างดาวแพรวระยับประทับหาว
หวนคนึงถึงแก้วตาทุกคราคราว
เหน็บใจราวจะเรื้อในเชื้อรัก
วิตกย้ำคำนึงร้าวหทัยรอน
หวั่นสะท้อนไหวทรวงล่วงตระหนัก
อุ่นเคยอิงเป็นทิ้งร้างไกลห่างพักตร์
ฤานุชเจ้าหาญหักน้ำใจแล้ว
พิลาปร่ำคร่ำครวญรวนจิตพ่าย
น้ำตาชายหลั่งรื้นสะอื้นแผ่ว
เกินซ่อนช้ำกล้ำหนไปพ้นแนว
หยดหยาดแก้วรินไหลชุ่มนัยตา
---------------------------------------------------
ลานเทวา
18 ธันวาคม 2550 01:20 น.
ลานเทวา
กระแสสายแห่งปลายหนาว
ผะแผ่วพราวพริ้มลมพร่างพรมสาย
สดับดึกลึกร้าวหนาวในกาย
ยะเยือกปลุกทุกภาย ณ ดงแดน
เสกผสมอักษรสร้างบนทางฝัน
ร่ายรำพันรำพึงคนึงแสน
ประทับถ้อยกวีเฟื่อง ณ เมืองแมน
ประดับบทประพจน์แทนความทุกข์ตรม
สานสื่ออักษรสร้างทางอักษร
อยู่ท่ามบ่วงกามาพจรอันร้าวข่ม
รื่นโดยคำดำริร่ายภิรมณ์
เพื่อปลอบปลุกทุกข์ระทมในชีวิต
โดยคำนำนัยยะ
สารัตถะแห่งบทร้อยถ้อยประดิษฐ์
สร้างบทฝันรัญจวนเพื่อมวลมิตร
กล่อมทางทิศอันเหน็บหนาวแลร้าวราน
บริบทเปลื้องชีวาวาด
ไหวพิลาสโดยคำอันย้ำผ่าน
กลบทอักษรแห่งกลอนกานท์
จักแย้มบานความฝัน ณ ครรลอง
มนุษย์เอย ! ผุดผ่องเถิดผองมนุษย์
ผ่องให้สุดรากใจอันใสผ่อง
ทองประกายฉายทาบในวาบทอง
งามครรลองแจ่มแจ้งในแรงงาม
----------------------------
ลานเทวา
13 ธันวาคม 2550 03:30 น.
ลานเทวา
ระชวยโชยโบยพลิ้วผะผิวแผ่ว
กังวานแว่วอื้ออึงตรึงสดับ
ไหวไหววาบผัสสาแล้วลาลับ
ยะเยือกหนาวหนึ่งซับโดยชีวา
ณ เรือนดาวพราวระยิบกระพริบห้วง
เด่นเสี้ยวดวงเดือนแหว่งขึ้นแต่งฟ้า
หอมกลิ่นโศกลั่นทมยามลมพา
เหน็บหนาวห้วงมรรคาแห่งสัญจร
มโหรีปีพาทย์เริ่มวาดเสียง
โศกสำเนียงผ่านใจอันไหวอ่อน
โหยสดับในคราแห่งอาวรณ์
ห้วงระทมรอนรอนโดยแรงร้าว
หอมเอย หอมลั่นทม
ยามสายลมพัดชื่นในคืนหนาว
ทิ้งกลีบร่วงเป็นซากลงตากดาว
แลเกลื่อนพราวขาวพร่างอยู่กลางลาน
ดอกน้ำค้างวางหยอกบนดอกหญ้า
ดอกน้ำตาใสใสรินไหลผ่าน
พญาโศกตรึงซับขับห้วงกาล
กล่อมดวงมาลย์ ....... สู่สุขคติ ... อันนิรันดร์....
------------------------
ลานเทวา