8 กุมภาพันธ์ 2555 20:13 น.
คนบางบอน
ก่อกายเกิด ลืมตา มาดูโลก
เผชิญโชค เผชิญกรรม ตามวิถี
วาสนา อาภัพ อับสิ้นดี
สิทธิ์เสรี ฉลาดเขลา มากเท่ากัน
อนาคต เป็นอย่างไร ไม่กำหนด
ไม่มีบท บาทเอก ร่วมเสกสรร
ปล่อยไปตาม ครรลอง ของชีวัน
นิจนิรันดร์ คือนิยาม มากความจน
เพียงวันนี้ วันนี้ เท่าที่รู้
ความเป็นอยู่ จำกัด และขัดสน
พรุ่งนี้ของ ชีวิต ปิดมืดมน
ความเป็นคน ไร้ความหมาย ทุกสายตา
กับความรัก ความ หวังทั้งชีวิต
จึงมีสิทธิ์ แค่คิดถึง คะนึงหา
ไม่มีวัน สำหรับ หงส์กับกา
คนไร้ค่า ใครจะปอง หมายต้องการ
เก็บหัวใจ จนจน ดั้นด้นต่อ
ไม่ร้องขอ กับใคร ให้สงสาร
ชีวิตเมื่อ จมปลัก ความดักดาน
ยอมวายปราณ กับนิยาม ความเป็นจริง
ปล่อยชีวิต ให้จบลง ที่ตรงนี้
ศักดิ์และศรี ล้มลุก สิ้นทุกสิ่ง
ความรักเคย อ้อนออด ถูกทอดทิ้ง
คนเย่อหยิ่ง ช้ำอุรา มันสาใจ
สมยศ เปียสนิท
2 กุมภาพันธ์ 2555 20:45 น.
คนบางบอน
ท่าน อยู่กรุง สบายดี มีความสุข
ผม ทนทุกข์ ฝืนใจ อยู่ในป่า
ท่าน กอดสาว อุ่นดี ชื่นชีวา
ผม กอดปืน เหว่ว้า อย่างอาดูร
ท่าน กินทิ้ง กินขว้าง อย่างล้นเหลือ
ผม กินเพื่อ กันตาย ชีพหายสูญ
ท่าน เที่ยวคลับ บาร์เสริม สุขเพิ่มพูน
ผม อากูล เที่ยวไป ตามชายแดน
ท่าน ฟังเสียง ดนตรี ที่เสนาะ
ผม ฟังเกราะ กระสุน วุ่นใจแสน
ท่าน มีสุข ขณะหลับ อยู่กับแฟน
ผม มีศพ เพื่อนแทน ต่างแฟนนอน
ท่าน อยู่ห้อง แอร์รวย ตึกสวยหรู
ผม หมกอยู่ กลางดิน ถิ่นสมร
ท่าน นั่งดู ทีวี ดีทุกตอน
ผม นั่งขอน ดูดาว ตามราวฟ้า
ท่าน เป็นไทย เจริญแล้ว อยู่แนวหลัง
ผม ต้องฝัง ชีพแกร่ว อยู่แนวหน้า
ท่าน สุขกับ แสงสี ที่ลานตา
ผม สุขกับ การฆ่า ผู้ราวี
ท่าน เคยคิด เปรียบเทียบ ดูบ้างไหม
ผม ก็ไทย ท่านก็ไทย ไว้ศักดิ์ศรี
ท่าน รักไทย ช่วยอะไร ไทยได้ดี
ผม รักไทย ยอมพลี ชีพนี้แทน
30 มกราคม 2555 19:49 น.
คนบางบอน
จากกรุงเทพ เมืองกรุง เมืองฟุ้งฟ้า
สู่บ้านป่า นาดอย อย่างหงอยเหงา
หิวหรืออิ่ม ก็มิอาจ จะคาดเดา
ยิ้มเศร้าเศร้า ปลอบใจ ให้อดทน
มองท้องฟ้า เวิ้งว้าง ความว่างเปล่า
มีเพียงเรา ในนิยาม ความสับสน
ผิดหรือถูก ยอมรับ ยังอับจน
มิอาจค้น คำตอบ มาปลอบใจ
ยอมรับว่า เหงาบ้าง ในบางครั้ง
ภาพความหลัง มันสะท้อน จนอ่อนไหว
กับความจริง วันนี้ ที่มาไกล
ทั้งโหยไห้ ห่วงหา ทั้งอาวรณ์
เพราะความหวัง เรืองรอง ของชีวิต
มันถูกปิด กั้นฉาบ เป็นภาพหลอน
อนาคต จำกัด ถูกตัดรอน
ใครจะย้อน คืนถิ่น แผ่นดินเมือง
ขอตั้งหลัก ปักฐาน ที่บ้านเกิด
เลิกเอาเถิด กับแสงสี ที่ฟูเฟื่อง
หันหลังให้ ไกลกรุง ที่รุ่งเรือง
บันทึกเรื่อง เก็บไว้ ในความจำ
ธรรมชาติ สะอาด บริสุทธิ์
คงช่วยหยุด หัวใจ ไหวระส่ำ
หันหน้าเข้า หาวัด ปฏิบัติธรรม
ฝังความช้ำ ไว้กับถิ่น แผ่นดินเดิม
22 มกราคม 2555 20:54 น.
คนบางบอน
ถ้าดอกไม้ ไมตรี ที่มอบให้
มันขุ่นข้อง หมองใจ จนไหวหวั่น
ขอโทษเถอะ แก้วตา อย่าว่ากัน
อยากสร้างสรรค์ บรรเลง บทเพลงกลอน
อยากมีใคร ให้สิทธิ์ ได้คิดถึง
อยากพูดคำ ซึ้งซึ้ง จึงออดอ้อน
เขียนคนเดียว เหว่ว้า มาหลายตอน
เหมือนละคร อกหัก รักโรยรา
เจตนา บริสุทธิ์ จุดไฟฝัน
หาคนร่วม แบ่งปัน สุขหรรษา
ในสวนศิลป์ ถิ่นถม คมปัญญา
เทิดคุณค่า ภาษาไทย ให้นิรันดร์
ถ้าต่างคน ต่างมีใจ รักในศิลป์
เทิดกวิน อยู่ใน ใจคงมั่น
อย่าทิ้งร้าง ห่างไป นานหลายวัน
มาร่วมกัน บรรเลง เพลงกวี
คนเดียวดาย ในโลกกว้าง ไร้ทางออก
เคยร้องบอก ออกไป ก็หลายที่
ไม่มีเลย สักหน คนปรานี
ยื่นไมตรี กลับมา เยียวยาใจ
ถ้ารบกวน เกินก็ ต้องขอโทษ
แต่...ได้โปรด พิจารณา...กลับมาใหม่
จะทนเหงา ชอกช้ำ อยู่ทำไม
มาจุดไฟ ความฝัน กันเถิดเราฯ
สมยศ เปียสนิท
22 มกราคม 2555 20:51 น.
คนบางบอน
ดอกแก้ว ที่แวววาว
สิอะคร้าว ประทับทรวง
หอมรื่น ชื่นแดดวง
เมื่อยามลม พรมพลิ้วมา
สีขาว พราวพิสุทธิ์
งามผ่องผุด ล้ำเลอค่า
ประดับดิน ประดับฟ้า
ประดับใจ ใครหนึ่งคน
ยามเหงา ยามเศร้าหมอง
เก็บประคอง แนบกมล
เคียงอยู่ คู่สกนธ์
ดลฤทัย ได้บรรเทา
รักล้น ดวงใจแล้ว
รักดอกแก้ว มากกว่าเก่า
ปลูกไว้ ในใจเรา
เท่าที่แรง ยังแกร่งพอ
ดอกแก้ว ที่บ้านเลน
จะเอียงเอน ทางไหนหนอ
รู้ไหม ใครเฝ้ารอ
จะดมดอม ดอกแก้วบาน
ฝากใจ กับฝนพรำ
ฝากน้ำคำ มาผสาน
อย่าให้ ใจร้าวราน
นะ ดอกแก้ว ดวงฤทัย
สมยศ เปียสนิท