16 กรกฎาคม 2554 00:57 น.
คนกุลา
(กลบทเบญจวรรณห้าสี)
๐ การก่อเกิดกิจการให้สานต่อ
ขาดเขินขอขีดเขียนพากเพียรหมาย
คือคนคาดเคียงคำลำนำราย
โง่งมงายเงอะงะอย่าละเรียน
๐ จึงจดจารจากใจเรียงใส่สิ้น
เฉิดโฉมฉินฉาวโฉ่โธ่ยังเขียน
ชิงชังชอบชมเชยเคยแวะเวียน
ซึมซับเซียนซอกซอนที่ซ่อนนัย
๐ ญาติหญิงใหญ่ญญ่ายกระจายหมู่
ดุจได้ดูดวงแดหวังแก้ไข
ตอนตกต่ำตรอมตรมยากข่มใจ
ถกเถียงไถถากถูเขาดูแคลน
๐ ท่องเที่ยวทางทุกที่มีค่าล้ำ
ธาตุเธียรธรรมธารธมภิรมย์แสน
เนิ่นนานนับแนบเนากลับเศร้าแทน
บดบี้แบนเบียดบังก็ยังทน
๐ เปิดปมปิดป้องปานกลัวพาลหมอง
ผลิตผลิผองผลีผลามหางามผล
เฝ้าฝึกฝืนแฝงฝังตั้งผจญ
พฤกษ์พงพนพากเพียรแม้นเจียนตาย
๐ เฟื่องฟากฟ้าฟูฟ่องอย่าพองขน
ภัทร์ภาคย์ภณเภทภัยให้ห่างหาย
มวลมิ่งมิตรมุ่งมั่นมีมากมาย
ยินย่ายายเยินยอหมายคลอเคียง
๐ รับรสรักรื่นเริงบันเทิงสินธุ์
ฤฤๅฤณฤกษ์ฤติยามาส่งเสียง
ลมลับเลยแล้งลาคราเคยเคียง
วาดวังเวียงวัดวาบอกว่างาม
๐ ศัสตร์ศรศิลป์ศักดิ์ศรีฤทธีแกร่ง
สาดสีแสงใสส่องผ่องไหวหวาม
หากหุนหันหกเหินเกินใครตาม
โอ้อ้ายอามอิงไออุ่นในทรวง
๐ การก่อเกิดกิจการให้สานต่อ
ขาดเขินขอขีดเขียนเพียรใหญ่หลวง
อกอิ่มอาบเอิบอวลล้วนใช่ลวง
เฮาเฮ็ดเฮือนฮามฮวงจุ้ยห่วงจำ
....................คน กุลา ๑๖ กค. ๕๔
15 กรกฎาคม 2554 18:02 น.
คนกุลา
๐ ปฐมเทศนากาล
ลุอาสาฬหบูชา
ไสวดวงสิจันทรา
ประดับฟ้าสถิตย์ไกล
๐ ธ โปรดปัญจวัคคีย์
พระทรงมีวินิจฉัย
นิโลบล ณ แหล่งใด
ก็สี่เหล่าเสมือนคน
๐ หะเหล่าแรกก็รอแรง
วะวับแสงตะวันดล
ผลิบานเบิกระบายชล
กระจายผลไสวงาม
๐ ก็เหล่าสองระเรื่อริม
ประปริ่มโผล่พยายาม
ประจักษ์แจ้งจะบานตาม
นะ หมู่แรกมิทันนาน
๐ ผิเหล่าสาม ฤ จมนอง
ณ ห้วงท้องชลาธาร
แสวงหาประจวบการ
ชอุ่มช่อก็หลายวัน
๐ สิเหล่าสี่จะจมโคลน
เกาะกอโคน มินานพลัน
ผิปูปลาจะพากัน
เลาะกัดกิน ณ ใต้ตม
๐ สดับเทศนาธรรม
สว่างล้ำมโนรมย์
ประหนึ่งฝนประพร่างพรม
ระลึกรู้ประดุจดัง
๐ ก็แก้วสามประการเคียง
ประดับเรียงประสานพลัง
พระพุทธังพระธัมมัง
พระสังฆังก็พร้อมพล
๐ ประดิษฐ์แต่บุราณกาล
และนับนานกระทั่งจน
อดีตกาลลุบัดดล
ประกาศชนประพฤติตัว
๐ มนัสน้อมประนมกร
ประจงวอนมิหมองมัว
ฤดีหวังจะพันพัว
ระเรียงถ้อยสิบูชา
..............................คน กุลา ๑๕ กค. ๕๔
(ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒)
9 กรกฎาคม 2554 12:31 น.
คนกุลา
๐ ในท่ามกลางหว่างพงแห่งดงพร้าว
กับเรื่องราวลับหลืบให้สืบสาน
ไม่ได้ตั้งหวังจำเขียนตำนาน
พอพียงผ่านพ้นห้วงที่ล่วงไป
๐ มือไม่งอขอใครเขาได้หยัน
ทุกคืนวันวิ่งเรือหยดเหงื่อไหล
ตากแดดลมห่มฟ้าออกมาไกล
ก่อนคืนได้ดูหลังใครนั่งคอย
๐ ท้องทะเลเหว่ว้าถึงคราเปลี่ยน
บางคนเพียรพัฒนาให้ล่าถอย
เรือออกฝั่งตังเกร่อนเร่ลอย
ปลาลดน้อยเหนื่อยแรงการแย่งชิง
๐ ค่าน้ำมันพลันก็คอยรอขึ้น
เมฆทะมึนม่านฟ้าแปลกตายิ่ง
ลมฝนเอยเคยเห็นใสเย็นจริง
ให้เกรงกริ่งกลับกลายไม่คล้ายเป็น
๐ ในค่ำคืนดื่นดึกนอนปรึกษา
กับภรรยาย้ำเตือนไม่เหมือนเห็น
วันที่ฟ้า,ปลา,น้ำร้าวลำเค็ญ
ร้อนลมเร้นเลื่อนลั่นบอกผันแปร
๐ เหลือก็เพียงพวกเขาและเงาฝัน
ท่ามตะวันผันละตามกระแส
กลางเพ็ญเดือนเลือนลาครองตาแล
จะยอมแพ้ลาพ้องเพื่อนท้องเล
๐ หรือยืนสู้อยู่อย่างจนร่างดับ
แม้นล่วงลับลงนั่นไม่หันเห
ไหว้ย่านางสร้างหวังมิลังเล
กล่อมบทเห่หนหลังให้ขลังคืน.๚ะ๛
.............................คน กุลา ๙ กค. ๕๔
8 กรกฎาคม 2554 08:37 น.
คนกุลา
๐ เดือนรูปเสี้ยวเกี่ยวฟ้ากลางหน้าฝน
ดูมืดหม่นมัวหมองไม่ผ่องใส
ท่ามทางเทียวเลี้ยววนสุดจนใจ
กับหทัยทุกข์ท้อหากพอเพียง
๐ คืนกลับจากฟากโพ้นริมโคนรุ้ง
ทะเลปรุงเปลี่ยนปรับเงียบสรรพเสียง
เมื่อทิวปาล์มตามแนวเป็นแถวเรียง
สลับเคียงข้างข้างต้นยางราย
๐ มีคนเล่ากล่าวรู้แถบหมู่เกาะ
หลากชาติเลาะริมฝั่งตั้งใจหมาย
ยามเวลาคราร้อนเริ่มผ่อนคลาย
จนกลับกลายกลมกลืนน่าชื่นทรวง
๐ แต่เรื่องราวคราวใหม่ไยยากกว่า
ต่างมุ่งหน้าแย่งชิงทุกสิ่งหวง
ทรัพย์มากครันปันได้เมื่อไม่ลวง
ใช่หมายช่วงชิงชวนจนป่วนมาน
๐ เหลือเธอไว้ให้ฉันได้ฝันหา
ในเวลาผ่านไปสดใสหวาน
คืนโอกาสวาดฝันหลงวันวาน
สู่ห้วงกาลเกิดกายที่ชายเล
๐ เก็บความเก่าเล่าขานตำนานฝัน
แม้นคืนวันวุ่นหนักฟ้าหักเห
เมื่อลำนำคำหลังชาวตังเก
เริ่มลังเลริมฟ้าอันดามัน
.............................คน กุลา
กลางวสันต์
5 กรกฎาคม 2554 20:38 น.
คนกุลา
๐ เคลิ้มคำหวานผ่านแว่วจากแนวสรวง
ว่าแสนห่วงห่างไกลฤทัยฝืน
เฝ้าทนรอทอถักรักยั่งยืน
ในวันคืนคอยคำสุขย้ำจินต์
๐ ปลอบกานดาถ้าท้อมุ่งก่อหวัง
สร้างพลังครั้งเดิมเริ่มถวิล
ทุกเพลาคราประมาทพลาดพังภินท์
กลับแดนดินดุจสวรรค์น้องนั้นคอย
๐ เพื่อไปรับปรับแต่งสานแรงฝัน
ยลเรียวจันทร์จางเงาสุดเหงาหงอย
ปาดน้ำปริ่มริมแก้มหยดแต้มรอย
หยาดปรายปรอยปรางคมฤๅตรมตรอมฯ
๐ รอพี่กลับนับราตรีคลี่ดาวสวย
รื่นระรวยโรยระรินไอดินหอม
ลมรำเพยเลยล่วงพวงพะยอม
หมายเด็ดดอมไออวลเย้ายวนมาน
๐ ยังมิท้อรอนานกี่ม่านฝน
จากฟ้าหม่นมลายก็กลายหวาน
พับหนทางห่างเหินแม้นเนิ่นนาน
หุบห้วงกาลเก็บฟ้าเพื่อมาเคียง
๐ โดยแรงใดไหลหลั่งจากฝั่งฝัน
ราวคนธรรพ์ท่านหลับหยุดสรรพเสียง
ปล่อยดนตรีกวีร่ำร่ายสำเนียง
ให้เหลือเพียงพจน์พร่ำลำนำใจ
...................................