10 ตุลาคม 2554 16:10 น.
คนกุลา
กาพย์ห่อโคลงเจนละ
๓๔)
๐ อีศานวรมันบุตรเจ้า.........................จอมไผท
มากฤทธีเกริกไกร.................................ยิ่งแล้ว
อีศานปุระไกล.....................................หมายมั่น
หวังเพื่อเป็นนครฯแก้ว..........................ฝั่งฟ้าสมุทรฝัน..ฯ
............
๐ บรรดาราชบุตร
เก่งที่สุดครองเมืองไกล
แห่งท้าวจอมไผท
กับนางนาคจากบาดาล
๐ เรืองเดชมากฤทธี
ประชาชีจึงกราบกราน
ขึ้นสืบสายวงศ์วาน
เพื่อต่อสานราชวงศ์
๐ หากพระฯท่านตั้งมั่น
เคยผูกพันจึงประสงค์
มุ่งหมายได้ดำรง
ท่ามเผ่าพงศ์ภูมิมารดร
๐ ทรงโปรดให้โก่นถาง
ป่าทามร้างสร้างนาคร
“อีศาน”ท่านวิงวอน
เพื่อรับพรจากนาคินทร์
๐ เหมือนราวเนรมิต
ทั่วทุกทิศงามดั่งจินต์
นาคน้ำดูดวารินทร์
จดเหือดแห้งก่อนแปงเมือง๚ะ๛
...........คน กุลา ๑๐ ตุลย์ ๕๔
(กว่าจะมาเป็นไทย ภาค ๒)
4 ตุลาคม 2554 23:18 น.
คนกุลา
๐ ชุนตาข่ายขาดปล่องเป็นช่องโหว่
ปลาตัวโตติดข่ายคงว่ายหนี
ค่อยถักสานป่านไยมั่นใจดี
ก่อนค่อยคลี่ออกตากบนฟากปู
๐ อยู่บนฝั่งดังคนที่จนยาก
ถูกถางถากทับกดให้อดสู
ไม่ใช่เป็นเช่นหมอหรือพ่อครู
เขามักดูถูกยับว่าอับจน
๐ เพราะศึกษามาน้อยจึงด้อยค่า
เพียงวิชาชีวิตประสิทธิ์ผล
เป็นหนทางสร้างค่ามานะตน
ฝึกอยู่บนผืนน้ำเพียงลำพัง
๐ ไล่ลอนคลื่นตื้นลึกพอนึกรู้
ต้นลำพูต้นไหนใครปลูกฝัง
กี่”กระเตง”ตังเกได้เพพัง
กี่คราวครั้งคลื่นลมขย่มเรือ
๐ หลายร่องน้ำย้ำย่านวิ่งผ่านล่อง
ยามเที่ยวท่องทุกหว่างนำหางเสือ
น้ำทะเลข้นเข้มเฝื่อนเค็มเกลือ
วักขึ้นเพื่อลดร้อนผ่อนแดดลม
๐ เสียงเครื่องเรือเมื่อจากริมปากน้ำ
แผดเสียงย้ำหยอกเย้าราวขื่นขม
หากินเหนือลอนคลื่นตื่นตาตรม
พริบพร่างพรมพราวน้ำอยู่รำไร
๐ แดดที่จ้าคราออกมานอกท่า
และฟากฟ้าฟ่อนเมฆสดเสกใส
มาครึ้มคล้ำดำพลันลงทันใด
โปรยปรายไยยวงยาวหนาวระคน
๐ เหม่อเกาะเคียงเรียงรายจรดปลายฟ้า
ดูแปลกตาแตกต่างกลางม่านฝน
คือที่หมายปลายทางสร้างงานตน
สาละวนเวียนมาฝ่าคลื่นแรง
๐ คราเย็นย่ำค่ำลงมืดตรงหน้า
ตะวันลาฟ้าคลี่หลายสีแสง
น้ำเงินดำดาดแดดสีแสดแดง
ก่อนลำแสงสุดท้ายมลายไกล
๐ จับคันเครื่องวาดหางบอกทางช่อง
มุ่งเที่ยวท่องจุดหมายไว้ที่ไหน
กี่เกาะแก่งแหล่งย่านเคยผ่านไป
ด้วยหัวใจกร้านล้ำขับลำลอย
๐ จนย่ำรุ่งคุ้งน้ำในค่ำเผย
ล่วงดึกเลยกลับเรือเพื่อล่าถอย
ที่ฟากฝั่งหวังว่าเมียมาคอย
ปูปลาร้อยเรียงรัดคัดแยกกอง
๐ รอพ่อค้ามารับจับจัดหา
แลกเงินตรามาใช้จ่ายซื้อของ
มีสังสรรค์กันบ้างอย่างทำนอง
หมู่เพื่อนพ้องน้ำเค็มเข้มหัวใจ
๐ รอเวลากลับหลังยังเวิ้งน้ำ
ทุกคืนค่ำคร่ำคร่าฝ่าคลื่นไหว
กับลำพองสองแขนท่องแดนไกล
ท่ามดาวใสในฝันม่านจันทร์นวล
๐ ไปยังที่มีความหมายให้ชีวิต
ที่ลิขิตย้อนยอกบอกใจหวน
กลิ่นทะเลเร่ร่อนวนย้อนทวน
ลอยลากอวนอิ่มหวัง”วังจ้าวเล”
....................คน กุลา ๔ ตุลย์ ๕๔