21 พฤษภาคม 2552 10:18 น.
คนกุลา
....
เดินทางกลางพายุดูเหมือนบ้า
หากเปลี่ยนมาเป็นเมืองไทยที่ไกลแสน
หากนี้อยู่ระหว่างในต่างแดน
แม้สุดแสนหม่นหมองต้องเดินทาง
ฟิลิปปินส์ทุกปีมีพายุ
เราว่าดุเขาไม่แปลกเห็นแตกต่าง
พายุเก่าพัดผ่านไปไม่ทันจาง
ลูกใหม่คว้างเข้าซัดพัดระเนน
แต่เขามีการเตือนภัยพอได้ช่วย
จัดระดับนับหน่วยอย่างที่เห็น
สี่ สาม สอง หนึ่ง นี่สี่ อย่างที่เป็น
หมายถึงเน้นว่าอันตรายสุดร้ายแรง
เมฆฝนซัดพัดลมถล่มฟ้า
ดั้นด้นฝ่าข้ามทะลุพายุแกร่ง
เสาไฟโอนต้นไม้ไหวในลมแรง
เราเหมือนแข่งพายุไปในหนทาง
เปรียบเดินทางแรมรอนค่อนชีวิต
ตามความฝันที่นิมิตลิขิตร่าง
กับแผนที่ชีวิตขีดเส้นทาง
คนแนบข้างเหมือนไม่มีอย่างที่ควร
มาคราวนี้มาไกลอาลัยจาก
มาไกลมากเพียงใดใจยังหวล
ยามคำนึงเฝ้าคิดจิตทบทวน
อุปสรรคล้วนต้องฝ่าข้ามยามจำเป็น
ยามเดินทางระหว่างใจในชีวิต
ท่ามถูกผิดชั่วหรือดีอย่างที่เห็น
อันตรายร้ายมากหากจำเป็น
ร้าวรำเค็ญหากต้องไปเมื่อใจนำ
เมื่อเดินทางกลางพายุดูเหมือนบ้า
หากเปลี่ยนมาเป็นเมืองไทยที่ไกลล้ำ
ฝ่าแข่งข้ามความเป็นตายร่ายลำนำ
ดุจยิ่งย้ำไม่ร้ายกว่า...พายุใจ
กลางพายุดุร้ายยังได้หลบ
เมื่อได้พบแหล่งพักพิงอิงอาศัย
แต่พายุดุร้ายภายในใจ
จะหาแหล่งพักใด..ยังไม่มี
..........
20 พฤษภาคม 2552 12:07 น.
คนกุลา
.
เสียงฝนพร่างพรำพรำร่ำวิโยค
ดุจดังโลกจะละลายกลางสายฝน
ฤๅจะกลบช่องว่างระหว่างคน
ให้สายฝนสะสางชะล้างใจ
ฟ้าทั้งฟ้าฉ่ำน้ำฝนบนฟากฟ้า
ในคลองตาหม่นร้าวพราวน้ำใส
เหมือนย้ำเตือนให้อดทนเราคนไกล
อย่าเที่ยวไปห่วงหาใจอาวรณ์
ร้านอาหารเดินใกล้ใกล้ในสายฝน
เราคือคนมาเยือนเพื่อนรับต้อน
สั่งอาหารหวานคาวใจร้าวรอน
เย็นหรือร้อนพอประทังยังคำนึง
กับอะไรไม่ถูกปากเลยสักนิด
คงเพราะพิษใจฝังยังคิดถึง
อยู่ที่ไหนใจร่ำเฝ้ารำพึง
รักเคยซึ้งโศกศัลย์แต่วันวาน
เสียงฝนพรำร่ำฟ้าอุษาโศก
ร่ายโศลกมาร่ำพอฉ่ำหวาน
เขียนบทกลอนวอนมาภาษากานท์
ข้ามเมฆม่านหม่นฟ้าตากาล็อก
.
...............
19 พฤษภาคม 2552 15:20 น.
คนกุลา
.
....
บ้านนิบงตรงกลางเมืองเคยเรืองรุ่ง
เคยผดุงยุติธรรมมานำขวัญ
ทั้งสะเตงท่าสาปพิลาปพลัน
เมื่อความฝันแสนสวยดับม้วยมรณ์
เมืองรามันวันนี้ไซร้ไฟลามลุก
ไม่มีสุขสงบสันต์เหมือนวันก่อน
ความแตกแยกแผกฝ่ายไร้อาวรณ์
ความเดือดร้อนคลุมผ่านทุกย่านไป
เมืองกาบังอยู่ไหนไม่เคยเห็น
ฤๅหลบเร้นหลีกลี้อยู่ที่ไหน
วันนี้ร้อนหรือเย็นเป็นเช่นไร
ในหัวใจคนหนหลังยังอยากเยือน
ส่วนยะหาได้เคยไปในครั้งโน้น
อยากปลอบโยนวันคนดีไม่มีเพื่อน
วันที่ฝันทุกอย่างดูลางเลือน
ยามเมื่อเปื้อนมายาการฆ่าฟัน
บันนังสตาท่ามหุบเขาในเงาเมฆ
ดังเช่นเฉกเมืองสวรรค์วันก่อนนั้น
วันที่ฟ้าสวยใสในทุกวัน
งามพระจันทร์ในเงาน้ำงามบางลาง
ผ่านธารโตโอ้งามล้ำน้ำตกสวย
รินระรวยรายทางป่ายางฝัน
แต่วันนี้เมื่อมีมาการฆ่าฟัน
เมืองในฝันก็ร้อนรุ่มดั่งสุมไป
ไปเบตงคงจะรู้ดูผิดแผก
คนจีนในหมู่แขกดูแปลกไหม
แขกเขมรจีนลาวก็ชาวไทย
ฤๅมีใครบ้างมิใช่สายเลือดเรา
กรงปีนังตามหน้าข่าวยิ่งเศร้าหนัก
ยามคนรักอยู่ไกลเกินใจเหงา
สวดมนต์วอนขอพรพระก่อนจะเนาว์
ดุอาร์เอาพรพระเจ้าเข้าคุ้มครอง
เมื่อยะลาวันนี้ฟ้าสีเลือด
สงครามเดือดลามไฟยังไหม้หมอง
สันติภาพยังห่างล้ำตามครรลอง
ใครฤๅต้องการรบราและฆ่าฟัน
คิดถึงเอยความหลังครั้งก่อนนี้
วันไม่มีควันสงครามตามป่าฝัน
แม้แตกต่างศาสนาภาษากัน
แต่ท่ามฝันความเป็นไปก็ใสงาม
มาวันนี้วันที่ฟ้าทาสีเลือด
แดงเดือดดุจลามไฟเกินใครห้าม
ความขัดแค้นเคืองคุกเข้าลุกลาม
ร่ายนิยามการเข่นฆ่าทุกนาที
ยังอยากฝันถึงวันไหนที่ไฟดับ
สงบระงับดับไปในทุกที่
ให้เพ็ญจันทร์พลันสว่างพร่างราตรี
คืนวันที่งามหรู..สู่ยะลา
...........
18 พฤษภาคม 2552 20:42 น.
คนกุลา
....
ออกมารำออกมาร้องป้องเสียงสาว
ดังฉาวฉาวไปถึงพี่มีบ้างไหม
ท่าทางนวยนาดผุดผาดเกินใคร
คนหัวไทรหัวใจอ่อนระรวย
ขยับจับเทริด..ว่าคนสวยจับเทริด..
(พี่บ่าวเหอ) ..ตัวเหิดแลคนสวย
จ้องน้องจัง..จนจังงังงงงวย
จัดไรมวยพอช่วยแก้ขัดเขิน
ทิพย์โนราห์บอกว่ามาชอบกลอน
อรชรสวยแก้มแต่งแดงเผิน
ร้องโนราห์พอได้ว่าเพลินเพลิน
ขาดขาดเกินเกินเพราะจากเนิ่นนานมา
ปี่กลองโนราห์ดังมาคราวไหน
ในหัวใจยังสดใสเสดสา
หัวใจพี่นี่ยังมีโนราห์
เก็บรักษาในก้นบึ้งตรึงใจ
นานเท่าใด..น้องเหอคิดถึงเธอไม่หาย
หัวใจชายยังคำนึงถึงไหน
คนพรากบ้านแตกซ่านมาไกล
ไม่โร่วันไหนจึงอี้ได้คืนเรือน
ไปครองขวัญทิพย์โนราห์พันดาว
ใจพี่บ่าวไม่โร่ใจสาวอี้เหมือน
ขอเพียงน้องนางรับพี่บ้างเป็นเพื่อน
วันคืนเรือนให้น้องน้อยคอยแล
นะสาวเหอ...ให้นุ้ยน้อยคอยแล
.
...........
เรียนรู้คำถิ่นภาษาใต้
ฉาว = เสียงดังมาก
เทริด = เครื่องสรวมศรีษะมโนราห์ เหมือนชฎา
พี่บ่าว = พี่ชาย
เหอ = จ๋า จ๊ะ ครับม หรือจ๊ะ หรือครับ
เหิด = แหนหน้า
แล = มอง
โร่ = รู้
อี้ = จะ
นุ้ย = น้องสาว น้องชาย (ที่เป็นเด็กเล็กๆ)
เพิ่งนึกได้ ว่าควรมีการแปลบางคำเพื่อการเรียนรู้ ครับ
.....
18 พฤษภาคม 2552 14:57 น.
คนกุลา
....
จันทน์กะพ้อร่วงพรูอยู่ลานบ้าน
ยามเมื่อผ่านได้ดมกลิ่นประทินขวัญ
งามละออล้อแสงแห่งเพ็ญจันทร์
ที่ชื่อจันทน์กะพ้อพ้อถึงใคร
ดอกไม้ไทยใครไม่เน้นเห็นคุณค่า
ไร้มารยาร้อยร่ำทำสาไถย
เจ้าส่งกลิ่นรินหอมลอยย้อมใจ
เหมือนงามไทยอวลบุหงาในราตรี
เมื่อบานเหงาบอบบางย่างหน้าฝน
และร่วงหล่นเต็มลานบ้านที่นี่
ยังส่งกลิ่นรินหวลย้ำยวนยี
เหมือนเย้าพี่ที่รำพึงคิดถึงนวล
ขอรักจงอย่าเลือนเหมือนจันทน์กะพ้อ
ที่บานรอเพียงวันจันทร์ไห้หวล
เมื่อจันทรามาพบได้ทบทวน
ก็รีบด่วนร่ำลาไม่อาวรณ์
หากขอได้อยากให้รักเราหนักแน่น
ดุจดังแผ่นศิลานิ่งแห่งสิงขร
อย่าเหมือนจันทน์กะพ้อพออาทร
บานออดอ้อนเพียงข้ามวันก็พลันโรย
.
...........
ตอนแรกผมเขียนเป็น จันทร์กระพ้อ
คุณ พุด กรุณามาแนะนำ ว่าที่ถูก เขาเขียนว่า จันทน์กะพ้อ
ซึ่งถูกต้องตามที่คุณ พุด เธอ ว่านะครับ
เพราะไปค้นดูในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็เขียนว่า ไว้อย่างนี้ ครับ
จันทน์กะพ้อ น. ชื่อไม้ต้นขนาดกลางชนิด Vatica diospyroides Symington ใน
วงศ์ Dipterocarpaceae ขึ้นตามป่าดิบทางปักษ์ใต้และปลูกกันตามบ้าน
ดอกขาว หอมคล้ายนํ้ามันจันทน์.
ต้องขออภัย ทุกท่านนะครับโดยเฉพาะ อาจารย์ภาษาไทย ทั้งหลาย ที่เขียนผิดไป
และได้รีบไปแก้ เรียบร้อยแล้ว เพราะเชื่อ Google มากไป เลยผิด ไป ครับ
ขออภัย และขอบคุณ คุณพุด ผู้แสนดี ครับ
คนกุลา