14 ตุลาคม 2553 22:20 น.
คนกุลา
๐ แม้ไร้ฝนบนฟ้าทาสีหม่น
เมฆเบื้องบนพรมคล้ายระบายสรวง
ราวควันธูปรูปรอยคอยบำบวง
บูชาปวงเทพไท้แดนใกล้ไกล
๐ เมื่อฟ้าใสใจหวังมานั่งเฝ้า
รอคอยเจ้าดาวดวงโชติช่วงใส
ที่เหมือนหลักชักนำย้ำหทัย
เป็นธงชัยในฝันทุกวันคืน
๐ ยามเงียบเหงาเศร้าหงอยเจ้าคอยปลุก
ให้รีบลุกขึ้นใหม่ปลอบใจฝืน
ดังประคองเคียงใจให้หยัดยืน
แม้นหลับตื่นชื่นสุขอยู่ทุกยาม
๐ เปล่งประกายปรายแสงตบแต่งฟ้า
ราวดวงตาห่วงใยส่องไถ่ถาม
ปลอบยามเหงาทุกคราขัางฟ้าคราม
ชั่งวาววามวิบวับงามจับใจ
๐ ทุกคราเศร้าเคล้าโศกวิโยคหวล
จิตรัญจวนหม่นหมองมิผ่องใส
ทุกคืนคราครั้นคราวร้าวทรวงใน
เหมือนคนไกลมาเย้าให้เศร้าคลาย
๐ คือดั่งดวงประดับคอยรับขวัญ
คราตะวันลับไศลมุ่งใจหมาย
กระพริบพริ้มพิมพ์พักตร์ราวทักทาย
ทุกข์มลายคลายลงตรงพบกัน
๐ เมื่อไร้ฝนบนนภาทาสีหม่น
เมฆเบื้องบนราวล่องแต่งห้องฝัน
กระพริบพราวดาวรายคล้ายจำนรรจ์
เป็นคำมั่นแด่เจ้าผู้เฝ้าคอย.....
...............
คนกุลา
ปลายวสันต์
29 กันยายน 2553 17:33 น.
คนกุลา
๐ เสียงปืนดังหวังฟ้ารู้ว่าสู้
แม้ไม่รู้ชัยชนะจะวันไหน
ถึงรู้ว่าวันหวังจะยังไกล
แต่คำ"ไต"คือเสรีที่ติดตน
๐ จะไม่ยอมค้อมหัวด้วยกลัวหงอ
จะไม่ย่านระย่อต่อหาวหน
บนหนทางสร้างชาติอาจต้องทน
ฟื้นฟูชนเผ่า"ไต"ในตำนาน
๐ รุ่นต่อรุ่นหนุนนำคำบอกเล่า
บอกเรื่องเก่าก่อร่างสร้างถิ่นฐาน
จากไทยใหญ่สมัยหลังตั้งรัฐชาน
คือรบ"ม่าน"มุ่งหวังสร้าง"ชาติไต"
๐ มือเหนียวหนับจับปืนขึ้นยืนหยัด
ประกาศชัดความจริงต้องยิ่งใหญ่
ปวงหมู่ข้าจะทวงถามความเป็นไท
ด้วยหัวใจมิยอมแพ้แก่อธรรม
๐ ออกตระเวนวนรอบทุกขอบเขา
เพื่อนำเอาข้อความอันงามล้ำ
และบอกข่าวเล่าบทให้จดจำ
เป็นถ้อยคำกวีที่ปลุกจินต์
๐ เสียงปืนดังฟังฟ้าว่าให้สู้
และเชิดชูไทผองแม้นต้องสิ้น-
ชีวิตวายตายไปในแผ่นดิน
ปกป้องถิ่นแดนไว้ให้ยืนยง
๐ จะยืนหยัดดำรงคงความหมาย
แม้นร่างกายสลายยุ่ยเป็นผุยผง
ป้องอิสสระเสรีที่ดำรงค์
ให้คู่คงคน"ไต"ไปนิรันดร์
............
คนกุลา
ปลายวสันต์
25 กันยายน 2553 23:38 น.
คนกุลา
๐ เห็นเขานั่งอยู่นานยามพานพบ
ไม่เคยสบตาใครที่ได้ผ่าน
เหมือนเหม่อลอยเลือนล่องจับท้องธาร
อาจวาดงานสานฝันตามครรลอง
๐ ลมยามเย็นโลมไล้ล้อสายน้ำ
บอกเตือนย้ำคนเหงายิ่งเศร้าหมอง
ส่งสายตาฝ่าไฟบ้านในคลอง
กระทบท้องธารน้ำที่ย้ำเงา
๐ เขาก้าวข้ามแคมเรือเมื่อใกล้ออก
ท่าบ่งบอกอ่อนโยนเจือโทนเหงา
แลเลยไปไกลตาฟากฟ้าเทา
ปานเพียงเขาดื่มด่ำเพียงลำพัง
๐ ข้ามมาจากฟากข้างฝั่งขะโน้น
เพื่อปลอบโยนหัวใจพอให้หวัง
ฝืนคำปลอบตอบใจเติมใส่พลัง
ราวรอฟังแสนนานแต่ผ่านเลย
๐ เรือตีวงคงคล้ายเคยหมายรุด
นายท้ายฉุดคันเร่งตาเพ่งเฉย
เรือเทียวไปเทียวมาฝ่าคุ้งเคย
มุ่งเทียบเกยโป๊ะทอดจอดเทียบลำ
๐ คอยลอบมองรอบกายคนคล้ายรีบ
เวลาบีบสัญญาณโชว์มาโทรฯย้ำ
ซื้ออาหารหวานคาวเจ้าประจำ
เผื่อมื้อค่ำบางทีมีใครคอย
๐ ขับโต้คลื่นฝืนกรายแหวกสายน้ำ
ห้วงลึกล้ำฝ่าแยกแตกเป็นฝอย
ใกล้ถึงฝั่งตั้งใจให้ล่องลอย
จังหวะคอยถอยให้ได้พอดี
๐ เรือถึงท่าปะปนต่างคนเร่ง
กระโดดเกร็งขาก้าวซอยเท้าถี่
ต่างไปสู่จุดหมายที่ได้มี
มุ่งไปที่พักผ่อนแต่ก่อนมา
๐ เขาเริ่มยืนหยัดกายเกือบท้ายสุด
ก่อนก้าวมุดขึ้นฝั่งไปยังท่า
หากก้าวข้ามตามทางอย่างเฉยชา
คงเพราะว่าหามีใครที่ให้รอ..
...............
คนกุลา
ปลายวสันต์
5 กันยายน 2553 19:29 น.
คนกุลา
๐ เสียงปืนปังดังลั่นสนั่นป่า
เลือดแดงทาคราซบลงทบฝัน
หากเป็นใครไม่กล้าเกินจาบัลย์
ปลิดชีพนั้นพลันดับกับมือตน
๐ หวังใดซึ่งจึงกล้ามาลาโลก
ปลิดดอกโศกเศร้าล้ำมานำหน
เพื่อหวังสื่อสารนำย้ำผู้คน
พลีค่าล้นตนมีชีวีเดียว
๐ เคยคิดกันบ้างไหมให้ใครคิด
คนทำผิดชนิดไหนใครเฉลียว
“สืบ”ทอดร่างวางวายเพียงดายเดียว
ให้ธารเชี่ยวอนุรักษ์ได้ถักทอ
๐ ครบวาระจะวนจนบรรจบ
เวียนมาครบคราใหม่มีไหมหนอ
จะสืบสานงานอย่าง “สืบ”ถางรอ
หรือเพียงต่อตำนานพอผ่านไป
๐ เสียงปืนปังดังลั่นสนั่นป่า
มีใครกล้าองอาจประกาศไหม
แต่วันนี้สู่ฝันอันแสนไกล
กล้าพลีใจดวงหวัง ดังสืบทำ
คนกุลา
ในวสันต์
เขียนเพื่อค้นหาสำนึกอนุรักษ์แห่งตน
เป็นอนุสติเพื่อระลึก ในโอกาสครบรอบยี่สิบปี
ถึงการจากไปของ สืบ นาคะเสถียร
30 สิงหาคม 2553 14:22 น.
คนกุลา
๐ บรรจงเรียงร่ายคำ
หวังใจนำความรู้
มอบแก่ผู้สนใจ
คนผู้ใดหมายเรียน
หมั่นขีดเขียนคำกรอง
ตามทำนองแบบฉบับ
ตามตำรับกวีไทย
คนรุ่นใหม่ใคร่ทราบ
คำฉันท์กาพย์โคลงกลอน
ด้วยอาทรเกรงหาย
มิมุ่งหมายอวดตน
เพราะฝึกฝนตามแนว
ที่พราวแพรวเลิศล้ำ
หวังมาย้ำบอกหมาย
อธิบายตัวอย่างไว้
หวังที่ใครตามได้
หากแม้นสนใจ
แสวงนา
............................
คนกุลา
ในวสันต์