13 พฤษภาคม 2552 16:58 น.
คนกุลา
.
แม้ถ้อยถักอักษราที่ว่าหวาน
ฤๅจะทานหวานใจไม่สิ้นสาย
ที่ถักร้อยถ้อยรินสิ้นใจกาย
เพราะงามง่ายงามล้ำเกินจำนรรย์
งามกายประดับดอกบุปผชาติ
แก้มขนงบรรจงวาดปาดสีสัน
ช้องนางน้องกรองผมประพรมพลัน
น้ำอบกลั่นกลิ่นกรุ่นละมุลใจ
ทบผ้าถุงนุ่งห่มเนื้อเสื้อลายดอก
วิหคหยอกลายเย้าคู่อยู่ไหวไหว
สงบงามท่ามตำบลหนแห่งใด
ตำบลใจงามดั่งฝันปั้นแต่งมา
งามใจยิ่งงามล้ำเกินคำขาน
ด้วนสายธารรสพระธรรมนำทิศา
ด้วยดวงใจใสครบสงบกริยา
งามสง่าดุจเทพีที่แดนไตรย์
แม้ให้ทั้งเทพเทพินสิ้นสามโลก
ร่ายโศลกก็เกินการจะทานไหว
ตรับกระแสสินธ์รินจินตนาใจ
วิโยคไหววะวับวับดับอินทรีย์
คงเป็น ณ ที่นี่ที่เกิดโลก
เกิดเป็นโศกสุขเศร้าเคล้าที่นี่
แล้วค่อยไหลเอิบอาบซาบอินทรีย์
จึงไม่มีวันรู้ได้-ยาม-ว่าย-วน
อยากมีปีกบินออกไปนอกโลก
เพื่อเห็นโศกสุขเศร้าที่สับสน
ที่เกิดทุกข์ก่อมาสาละวน
เพื่อหวังผลที่เห็นตามเป็นจริง
เพราะความจริงคือนิยามความงามง่าย
งามกายงามใจในทุกสิ่ง
เมื่อพบใจเหมือนพบรักที่พักพิง
หวังแอบอิงอุ่นไอรักถักให้งาม
.................
13 พฤษภาคม 2552 12:46 น.
คนกุลา
.
หลับตาลงตรงนี้เถิดที่รัก
หากอยากถักทอฝันในวันหวาน
ร้อยดอกบัวระบำเป็นธรรมทาน
ระกิ่งก้านหนามกิเลสแห่งเภทภัย
ดวงดอกไม้ร้อยสีที่ว่าหอม
หากได้ดอมดมปาริชาติฤๅวาดไหว
คงตระหนักจักรู้สู่ถิ่นใด
มาจากไหนกี่ภพชาติอาจรู้จริง
อุตสาห์เวียนวนว่ายหลายภพชาติ
เพื่อถักร้อยบ่วงบาศก์ผูกสรรพสิ่ง
เหลือเพียงตัวแหละหัวใจให้พักพิง
เพื่อได้สิงสู่สวรรค์อนันตกาล
แม้จะได้เรียนธรรมนำประจักษ์
แต่ใจรักไม่ฉลาดและอาจหาญ
สู่หนห้วงสรวงทิพย์แห่งนิพพาน
โพธิญาณหวังเน้นหนักขอตักตวง
คงจักวนเวียนว่ายหลายหมื่นภพ
กว่าประสบสุขสันต์อันใหญ่หลวง
ตราบเท่าที่สรรพสัตว์ระบัดปวง
ยังไม่ล่วงสู่สัมโมโพธิญาณ
ยังขอวนเวียนว่ายทางสายโลก
เพื่อดับโศกดับทุกข์สร้างสุขสานติ์
แก่ปวงเทพสัตว์มนุสสุดห้วงกาล
เติมตำนานตราบสามโลกยังโศกตรม
ในโลกันต์อเวจีที่แสนมืด
ล้วนกำพืดสัตว์แสนต่ำกรรมสะสม
ส่วนในถิ่นดิรัจฉานผ่านนานนม
คลุกโคลนตมมาเป็นคนด้นดั้นมา
หากที่ใดได้ทิพย์ละลิบสวรรค์
เกิดเทวัญเทพสถานพิมานฟ้า
ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา
ตราบดาวดึงส์ยามามาพร้อมเพรียง
หรือสถิตย์นิ่งแน่นแดนพรหมสถาน
ในวิมานทิพย์รูปและทิพย์เสียง
หรืออรูปพรหมประทับดับสำเนียง
สถิตย์เพียงพร่างพรายในสายลม
อาจเป็นอากาสานัญจายะฯบรรเจิด
ก่อเกิดวิญญาณัญจาห้วงฟ้าห่ม
เป็นเนวะสัญญานาสัญญาฝ่าโลกตรม
ถ้วนทางถมในดิถีที่ต้องเป็น
เมื่อยังไม่เกิดกายกามทั้งสามโลก
ยังดับโศกยังไม่มีดังที่เห็น
จะขอเกิดให้ครบทุกภพเย็น
จึงค่อยเน้นทางสงบพบนิพพาน
ขอหลับตาลงตรงนี้นะที่รัก
หลับในตักความฝันอันแสนหวาน
สืบสายใยใจเอ๋ยเคยร้าวราน
สบสายธารธรรมเพื่อก่อเกื้อกูล
...........
13 พฤษภาคม 2552 01:38 น.
คนกุลา
.
แมงฮ่วงร้องก้องป่าฤๅกล้าร้อง
แข่งเสียงของขลุ่ยพญาฯพลิ้วพร่าโหย
ระริกนิ้วพริ้วหาเหมือนราโรย
ครวญโอดโอยโรยรินปานสิ้นแรง
จันทร์เพ็ญในมืดค่ำเมฆดำหุ้ม
พยับคลุมม่านฟ้ามาทุกแห่ง
ดังจะปิดลิขิตฝันคืนจันทร์แรง
หรือจะแกล้งเพ็ญจันทร์กลางวันเพ็ญ
ขลุ่ยพญาชิงชันขันขับเสียง
ดาลเผดียงกระพริบฟ้าราวตาเห็น
เพลงไกลบ้านซ่านมาน้ำตากระเซ็น
เสียงใสเย็นว่ายฟ้าในราตรี
คนขับขลุ่ยมีคนแอบอยู่แนบข้าง
เรากลับร้างห่างมาเพราะหน้าที่
ขลุ่ยพลิ้วรัวเหมือนยิ่งเย้าร้าวฤดี
ใจเหลือที่อยากทวงถามเกินห้ามใจ
วางพญาชิงชันในพานคำ
หยิบพญางิ้วดำมาย้ำใหม่
นำเสนอรักเธอประเทศไทย
ย้ำเป็นไปของเหตการณ์ในบ้านเมือง
คนเป่าขลุ่ยขยับลมผ่อนลมไว้
เพื่อจะได้ถ่ายเสียงเรียงต่อเนื่อง
รื่นไล้ลมพรมนิ้วตามงามประเทือง
สานราวเรื่องเสียงขลุ่ยไทยไว้งดงาม
นั่งฟังขลุ่ยพรมนิ้วลิ่วระริก
นิ้วกระดิกลมล้อไล้ใจอยากถาม
ใยมาเย้าเร้าล้อเลียนเวียนมาตาม
เหมือนจะหยามหยันเศร้าคนเฝ้ารอ
ฟังเพลงขลุ่ยกี่ครั้งก็ยังเศร้า
ตั้งแต่คราวยังมีขวัญนานแล้วหนอ
ยามขลุ่ยโหยโรยมาน้ำตาคลอ
ก็...เพราะก็...เสียงขลุ่ยมา..พาเศร้าตรม
.
.................
12 พฤษภาคม 2552 12:24 น.
คนกุลา
.
เมฆสีขาวราวธงริ้วรับทิวเมฆ
เทือกเขาเอกเขนกทับดุจหลับไหล
ข้าวเพิ่งย้ายแปลงกล้ามาไวไว
ขังน้ำใสคลอนากอกล้าเรียง
คนบ้านนาอยู่ก็ชินกินก็ง่าย
พอแดดบ่ายมุมทะแยงแดดแดงเฉียง
เด็กเริ่มสาวออกหาปลามามองเมียง
ซึ่งพอเพียงตามประสาบ้านนาไกล
ที่ริมคูปูนาข้าวกล้างอก
ใบระลอกดุจคลื่นเขียวเรียวไสว
พุทธรักษาร่าดอกแดงแกว่งลมไกว
เย็นน้ำใสไหลเย็นเช่นทุกวัน
สาวนาน้อยคอยอยู่นาอาจว้าเหว่
เมื่อหนุ่มเร่ราร้างเดินทางฝัน
ทิ้งบ้านนาลาดอยลืมรอยจันทร์
อย่าลืมวันหน้าเกี่ยวเก็บเรียวรวง
จะรออยู่กับนาทำหน้าที่
จะรอพี่กลับนามารับช่วง
วันเก็บเกี่ยวข้าวกล้าพี่อย่าลวง
สมน้องหวงข้าวใหม่ไว้ให้พี่ชิม
.................
.
ขอบคุณภาพจาก เอ็นทรี่ คุณพุด
11 พฤษภาคม 2552 11:08 น.
คนกุลา
.
หนึ่งหนุ่มหนึ่งนางฟ้ามาประสบ
เพื่อเพียงพบในห้วงฝันอันแสนหวาน
กลางรุ้งราวพราวพรายพรรณของวันวาน
เกิด ณ กาลลานแห่งนั้นดงลั่นทม
กลางทะเลสีใสในแดดสวย
ลมระรวยสมเสพย์เทพอุ้มสม
ดั่งร่างทิพย์หมุนคว้างกลางสายลม
ดุจได้ชมนิมิตขวัญนิรันดร์กาล
เมื่อได้มาพบฝันอันแสนสวย
ตบแต่งด้วยความจริงนิ่งบรรสาน
กริ่งเพียงแต่ฝันแปลกจะแหลกราญ
เมื่อยามกาลผ่านพ้นทิพย์ดนตรี
อาศัยเพียงจิตพักพิงนิ่งพิสุทธิ์
และเร่งรุดสร้างหวังกลางแสงสี
ความจริงกับฝันหนอต้องพอดี
เหมือนวาดสีสันต์งามในความจริง
นักเดินทางเทียวมาต้องกล้าฝัน
หนามไหน่นั่นแม้นเหมือนมีดกรีดทุกสิ่ง
เจ็บถึงใจไม่ไหวห่วงจะท้วงติง
เพราะเหมือนยิ่งเจ็บย้ำปวดซ้ำใจ
แต่หากใจไม่กล้าฝันอีกวันนี้
หรือจะมีได้พบฝันในวันใหม่
ที่ขอบฟ้าปลายฝันนั้นรอใคร
หากหัวใจเราไม่กล้าจะก้าวเดิน
ที่ปลายฟ้ายังรอเธอทอฝัน
รอนับวันผ่านกาลอันนานเนิ่น
หวังเพียงวันเธอคงหยุดหลงเพลิน
เปลี่ยนทางเดินล่วงปลายฟ้า...เฝ้าท่ารอ
.
..................