7 ตุลาคม 2553 17:55 น.
คนกรุงเก่า
นายบุญถือดาบคู่มือของตนเดินขึ้นไปบนสนาม ความสง่างามของนายบุญนั้นเผยออกมาจนผู้ที่ล้อมดูรอบลานนั้นต้องจ้องที่เขาเป็นจุดเดียว
นายบุญเดินถึงกลางสนาม
"ขออภัยด้วยเถิดพี่เหม็น"
นายเหม็นได้ฟังดังนั้นจึงก้มลงกราบนายบุญ
ความจริง นายบุญไม่จำเป็นต้องขออภัยนายเหม็นเลยเนื่องด้วยนายเหม็นเป็นเพียงข้าทาสของบิดาบุญธรรมของตน แต่เนื่องด้วยทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก นายเหม็นอายุมากกว่านายบุญเกือบรอบ และยังเป็นผู้สอนวิชาต่อสู้เบื้องต้นให้อีกด้วย ฉะนั้น การกระทำเช่นนี้จึงเผยให้เห็นถึงธาตุแท้ลูกผู้ชายอย่างแท้จริงของนายบุญ
นายเหม็นหลังจากลุกขึ้นมือก็กระชับขวานคู่ในมือแน่น นายบุญชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็วจู่โจมโหมรุกนายเหม็นเป็นพัลวัน นายเหม็นก็ปัดซ้ายป่ายขวาด้วยความคล่องแคล่ว ชาวบ้านที่มุงดูโดยรอบส่วนใหญ่ดูเพื่อความสำราญใจเท่านั้น มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่ดูออกว่าทั้งคู่ล้วนเป็นสุดยอดฝีมือ เพลงดาบที่นายบุญใช้ออกนั้นล้วนร่ำเรียนมาแต่สำนักดาบวัดพุทไธศวรรย์ ส่วนนายเหม็นนั้นแม้จะดูท่าทางไม่คล่องแคล่วเท่านายบุญ แต่ทุกขวานที่จามลงนั้นก็ทรงพลังมหาศาล
กรรมการที่นั่งอยู่ขอบสนามนำกะลาวางลงในอ่างได้ครึ่งยกแล้วทั้งคู่ก็ยังไม่ปรากฏแววแพ้ชนะ ผู้คนที่รอบล้อมอยู่นั้นยิ่งชมดูยิ่งเมามัน
ถึงคราคับขันของนายเหม็น เมื่อนายเหม็นจามขวานลงบนศีรษะของนายบุญแต่ถูกปัดป่ายได้ทั้งดาบของนายบุญก็สวนกลับมาจะจ้วงแทงที่ท้องน้อยของนายเหม็นอย่างรวดเร็ว ในระยะประชิดเช่นนี้แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถหลบรอดดาบนี้ได้ แต่นายบุญกลับแก้ไขสถานการณ์ได้โดยการกระโดดข้ามศีรษะนายบุญพร้อมกับตวัดขวานกลับหลัง นายบุญเห็นดังนั้นจึงตวัดดาบกลับเช่นเดียวกัน ดาบขวานปะทะกับเป็นผลให้ข้อมือของนายบุญเกิดอาการชาด้านสะท้านสะเทือน ส่วนนายเหม็นเมื่อตัวลงพื้นก็โงนเงนแทบจะล้มลง
จบยกแรก ทั้งสองต่างชมเชยซึ่งกันและกันแล้วแยกย้ายไปนั่งพักผ่อนที่สองฝากข้างลานประลอง แต่การประลองยังไม่สิ้นสุด เมื่อยกที่สองเริ่มขึ้นทั้งสองก็ปะทะกันด้วยความดุเดือดกว่าเดิมคล้ายกับยิ่งสู้พละกำลังยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี
หวุดหวิดเฉียดคมอาวุธของฝ่ายตรงข้ามมาหลายรอบจนตะวันเริ่มตกดิน ทั้งคู่เริ่มอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง แท้จริงผ่านมาสิบกว่ายกแล้ว เมื่อจบลงอีกยกทั้งคู่ก็นั่งพักที่สองฟากข้างเช่นเคย
เสียงปรบมือดังขึ้นจากกรรมการที่นั่งอยู่บนแท่นสูงสุดข้างลาน ทั้งคู่จึงมองไปที่กรรมการผู้ที่ปรบมือนั่น เห็นชายผู้หนึ่งนั่งหย่อนขาอยู่บนแท่นที่นั่งที่อยู่สูงขึ้นไปราวสามศอก ชายผู้นี้มีผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้าอิ่มเอิบคล้ายมีรัศมีปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง แต่งกายคล้ายเครื่องทรงของพระราชวงศ์ อายุรุ่งราวคราวเดียวกับนายเหม็น สองข้างมีทหารแต่งตัวคล้ายทหารหลวงยืนถือหอกอารักขา
"ยอดเยี่ยม เจ้าหนุ่มทั้งสองจงเข้ามาใกล้ๆเรา"
กล่าวจบรอบข้างล้วนเงียบสงัด ชาวเมืองทั้งปวงรวมทั้งนายเหม็นล้วนก้มลงถวายบังคมไปทางพระแท่นสูงนั้น นายบุญไม่รู้ความจึงยืนสงบนิ่งจนนายเหม็นต้องกระตุกชายผ้า นายบุญจึงก้มลงถวายบังคมเช่นผู้อื่น
นายเหม็นคลานเข้าไปใกล้หน้าแท่นนั้น นายบุญก็คลานตามหลังเข้าไปด้วยความไม่รู้เดียงสา
แท้ที่จริงชายที่นั่งบนแท่นนั้นคือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเจ้าฟ้ากุ้ง อันเป็นพระราชโอรสพระองค์โตแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นถึงวังหน้าแห่งมหาธานีกรุงศรีอยุธยา
"เจ้าทั้งสองมีฝีมือประจักษ์เป็นที่พอใจแก่รานัก เราจักให้เจ้าทั้งสองมาเป็นมหาดเล็กของเรา ว่าอย่างไรเล่าเจ้าหน้าขาวเจ้าหน้าเคราทั้งสอง" เจ้าฟ้ากุ้งทรงตรัสด้วยความพอพระทัย
"เป็นพระกรุณาต่อข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองยิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ" นายเหม็นกล่าวด้วยความปลื้มปีติ
สมเด็จเจ้าฟ้าได้สดับดังนั้นก็ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณพระฤทธิ์รณชัยจึงนำนายบุญและนายเหม็นทั้งสองพร้อมด้วยพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าถวายตัวรับใช้เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร โดยเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรทรงแต่งตั้งให้ทั้งสองเป็นมหาดเล็ก ทำหน้าที่รับใช้และอารักขาพระองค์อย่างใกล้ชิด
หามีผู้ใดทราบไม่ว่านี่คือจุดหันเหชีวิตของนายบุญ จากเด็กกำพร้าผู้ได้รับการเลี้ยงดูมาจากขุนนางฝ่ายกรมวัง จะผันตัวกลายมาเป็นทหารเอกแห่งแผ่นดินศรีอยุธยา
ฝ่ายคุณพระฤทธิ์รณจักรสืบสาวเรื่องของโจรแถวชานพระนครจนกระทั่งรู้แหล่งกบดานของตัวหัวหน้าซ่องโจร
โจรเหล่านี้เป็นกลุ่มโจรที่ชาวบ้านล้วนเรียกขานว่า "โจรอาชา" เนื่องด้วยโจรกลุ่มนี้ล้วนเชี่ยวชาญการควบม้าเป็นพิเศษ แต่มิใช่ว่าโจรกลุ่มนี้จะขี่เป็นแต่ม้าเท่านั้น แต่ยังเชี่ยวชาญการปล้นทางน้ำอีกด้วย
คุณพระฤทธิ์ฯสืบทราบมาว่าโจรอาชากลุ่มนี้มักจะดักปล้นพ่อค้าวานิชที่นำสินค้ามาขายในกรุงแถบชานพระนคร โดยปล้นทั้งทางบกและทางน้ำ ด้วยฝีมืออันร้ายกาจของโจรอาชากลุ่มนี้จึงทำให้ทหารหลวงมิเคยจับโจรอาชาได้เลย
คุณพระฤทธิ์ฯจึงนำความกราบบังคมทูลต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมทั้งขอกำลังทหารหลวงหนึ่งร้อยนายเพื่อจะทลายซ่องโจรนี้ให้จงได้
ค่ายใหญ่ของโจรอาชาตั้งอยู่บริเวณคลองเล็กทางเหนือแม่น้ำลพบุรี
คุณพระฤทธิ์ฯจึงทำการวางแผนเข้าจู่โจมกลางคืน โดยให้กำลังพลกึ่งหนึ่งข้ามแม่น้ำเข้าโจมตีค่ายด้านหน้า ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งท่านคุมไปเองโดยพายเรือทวนลำน้ำลพบุรีเข้าคลองน้อยและโจมตีค่ายด้านหลัง
แม้คุณพระฤทธิ์ฯจะดำเนินแผนการอย่างรัดกุมแต่กลับมองข้ามไปสิ่งหนึ่ง การที่เข้าจู่โจมกลางคืนนั้นกลับส่งผลเสียต่อทหารหลวงเนื่องจากกลุ่มโจรอาชานั้นถนัดจัดเจนในการปล้นยามค่ำคืน ต่างกับทหารหลวงซึ่งซ้อมรบยามกลางวันเป็นส่วนใหญ่ และอีกประการหนึ่งที่คุณพระฤทธิ์ฯหาทราบไม่ก็คือ ค่ายโจรอาชานี้มีพรรคพวกอยู่หลายร้อยคนสลับผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยามทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยเหตุนี้เอง แผนจู่โจมของคุณพระฤทธิ์ฯจึงล้มเหลว ตัวคุณพระฤทธิ์ฯเองก็ถูกกุมตัวไว้เพื่อประจานความล้มเหลวของทหารหลวง
ข่าวคุณพระฤทธิ์ฯถูกโจรอาชากุมตัวไว้แพร่สะบัดอย่างรวดเร็ว เมื่อบุญรู้ข่าวก็ถึงกับเข่าอ่อนแทบเป็นลม เขากับนายเหม็นโศกเศร้าเสียใจและเริ่มวาแผนชิงตัวก่อนที่คุณพระฤทธิ์ฯจะถูกตัดหัวเสียบไว้หน้าค่ายโจร...
6 ตุลาคม 2553 22:26 น.
คนกรุงเก่า
ลุปี พ.ศ.2475 รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง พระองค์ทรงปกครองมหานครแห่งนี้โดยสงบสุข มิมีสงครามให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ยุคนี้จึงเป็นยุคทองแห่งวรรณศิลป์ทั้งปวง เนื้องด้วยพระองค์ทรงมีพระราชโอรสพระองค์โตทรงพระนาม เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร หรือทื่ชาวบ้านมักเรียกพระองค์ว่า เจ้าฟ้ากุ้ง พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้สถาปนาเจ้าฟ้าพระองค์นี้ขึ้นเป็น สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือที่นิยมเรียกกันว่า วังหน้า อันเป็นตำแหน่งที่มีพระราชอำนาจรองเพียงพระมหากษัตริย์เท่านั้น เจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงเชี่ยวชาญด้านการกวีเป็นพิเศษ พระองค์ทรงแต่งอมตะบทกวีไว้มากมาย จนชาวบ้านชาวเมืองทั้งปวงต่างให้การสรรเสริญพระองค์เป็นอัครกวีแห่งกรุงศรีอยุธยา
คืนงานเถลิงศก มีงานสมโภชมหาเจดีย์วัดป่าแก้ว กลางลานกว้างนั้นมีชาวบ้านมุงดูมากมายเป็นที่น่าสนใจ แท้จริงแล้วเป็นลานประลองฝีมือแห่งหนึ่ง ขอบสนามด้านทิศตะวันออกนั้นมีชายฉกรรจ์สามคนยืนเด่นเป็นสง่า ชายที่ยืนหน้าสุดนั้นเป็นชายวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานใบหน้าคล้ายเคลือบด้วยบารมีชั้นหนึ่ง สองข้างกายยืนประกบด้วยชายหนุ่มสูงใหญ่ไว้หนวดเคราและชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าคมคายอายุราวๆ ๒๑-๒๒ ปี ทั้งสองคนล้วนถือดาบ เว้นแต่ชายไว้หนวดเคราเท่านั้นที่เหน็บขวานคู่ไว้ข้างเอว ชายฉกรรจ์ที่ยืนประกบทั้งสองข้างของชายกลางคนนั้นเปลือยกายท่อนบนเผยให้เห็นกล้ามเป็นมัดๆ
ขณะนั้นการประลองก็ผ่านมาหลายคู่แล้ว ชายหนุ่มผิวขาวนั้นคล้ายกับไม่สนใจในการประลองครั้งนี้นัก หากแต่กลับสนใจแสงสีที่อยู่รอบกายมากกว่า บัดนี้มีเพียงชายร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำดำผู้หนึ่งยืนอยู่กลางลานประลอง ล้มคู่ต่อสู้มาสิบกว่ารายแล้ว จึงไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นไปต่อกรด้วย ชายคล้ำดำเกิดความลำพองขึ้นจึงตะโกนกึกก้องเป็นที่สะท้านสะเทือน ชายกลางคนที่ยืนอยู่ข้างลานนั้นเห็นถึงความลำพองของชายคล้ำดำนั้นรู้สึกขัดตานัก จึงกล่าวกับชายไว้หนวดเคราที่ยืนอยู่ข้างกายว่า
"ไอ้เหม็น เอ็งขึ้นไปดับลำพองไอ้นั่นสักทีเถิดวะ ข้าเห็นแล้วเป็นที่ขัดตานัก"
ชายไว้หนวดเครานั้นที่ชื่อเหม็นจึงยกมือไหว้ชายกลางคนแล้วจึงคว้าขวานคู่ที่เหน็บเอวไว้แล้ววิ่งเข้าในลานประลอง ยกแรกเริ่มขึ้น ชายคล้ำดำผู้ล้มคู่ต่อสู้มานับสิบคนเริ่มคำรามใส่นายเหม็น ทวนเล่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว ชายผิวคล้ำนั้นคว้าทวนได้ก็เสือกทวนเข้าใส่นายเหม็นทันที นายเหม็นก็ใช้ขวานเล่มหนึ่งปัดป่าย อีกเล่มหนึ่งตีโต้กลับไป ทั้งสองสู้กันพัลวันไม่ถึงครึ่งยก นายเหม็นก็กระแทกขวานใส่ชายคล้ำดำจนสลบไป ต่อจากนั้นก็ยังมีอีกหลายคนที่ชอบลองของ แต่คิดผิดที่ไปลองกับนายเหม็น จึงกระเด็นออกจากลานประลองทุกราย
นายเหม็นเห็นว่าไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรแล้วจึงตะโกนเรียกไปทางชายหนุ่มผิวขาวที่ยืนอยู่ข้างชายวัยกลางคนขอบสนาม
"คุณหนูน้อย โปรดประทานเพลงดาบให้ชาวเมืองได้รับทราบทั่วกันด้วยเถิดขอรับ"
ชายผิวขาวได้ยินคำท้าอย่างสุภาพเช่นนั้นจึงไหว้ชายกลางคนนั่นแล้วเดินเข้าไปในลานประลองพร้อมกับดาบคู่มือ
แท้ที่จริงแล้วชายวัยกลางคนที่หน้าตาอิ่มเอิบผู้นั้นก็คือ คุณพระฤทธิ์รณชัย ขุนนางใหญ่ฝ่ายกรมวัง ส่วนคุณหนูน้อยของนายเหม็นนี้มีนามเดิมว่าบุญ เป็นบุตรบุญธรรมของคุณพระฤทธิ์รณชัย ส่วนนายเหม็นนั้นอดีตเคยเป็นโจรป่า แต่กลับตัวกลับใจจึงได้รับความช่วยเหลือและเป็นลูกน้องคนสนิทของคุณพระฤทธิ์รณจักรมาโดยตลอด ครั้งนี้ทั้งสามมาเป็นการลับเพื่อเหตุผลสองประการ หนึ่ง เพื่อให้นายบุญได้เปิดหูเปิดตา สอง เพื่อมาสืบหาเรื่องของโจรกลุ่มหนึ่งซึ่งอาลาวาดแถบชานพระนครโดยเป็นหน้าที่โดยตรงของคุณพระฤทธิ์รณชัยที่ต้องสืบหา
นายเหม็นจึงถือโอกาสนี้ท้าประลองเพื่อให้นายบุญได้แสดงเพลงดาบให้ชาวเมืองได้ประจักษ์แก่สายตาชาวอยุธยาทั้งปวง ด้วยประการนี้ การประลองที่ดุเดือดจึงเริ่มขึ้น!!!