25 เมษายน 2556 22:36 น.

ไม่กล้าบอก

คนกรุงศรี

สุขหนใด ไหนเล่า เท่าวันนี้

ด้วยไมตรี มีตอบ มอบความหวัง

มธุรส บทถ้อย คอยประดัง

เหมือนจะพรั่ง พรูออก มานอกมาน

คำจำนรรจ์ สรรไว้ เลือกไว้หลาก

คงจะยาก เกินไป หากไขขาน

ค่อยเลือกคัด จัดหมู่ ดูรูปการณ์

คิดคำหวาน จารถ้อย เป็นร้อยกรอง

เรียงวลี ที่มัน อัดอั้นจิต

เคยนั่งคิด จนใน หัวใจหมอง

อยากตะโกน ก้องไป ให้โลกมอง

ก็เกรงต้อง ขายหน้า อายฟ้าดิน

บางครั้งเคย บอกใคร อยากให้รู้

แต่หาผู้ ใดเล่า เขาถวิล

พบมากมาย หลายหน จนชาชิน

จึ่งในจินต์ มิกล้า จะพาที

แม้จอมขวัญ นั้นหวัง อยากฟังถ้อย

ถ้าเรียงร้อย แล้วใจ เชื่อไหมนี่

หากยังเคือง ขุ่นข้อง ตรองให้ดี

ทุกวจี เหล่านั้น กลั่นจากใจ

ทั้งคิดถึง ทั้งหวง ทั้งห่วงหา

อาจฟังมา หลายหน จนจำได้

แต่คำหนึ่ง ซึ่งอยาก บอกฝากไป

แต่เหตุใด ไม่กล้า บอกว่ารัก

15 เมษายน 2556 22:32 น.

หวังในไมตรี

คนกรุงศรี

ใครคนหนึ่ง ซึ่งเหมือน เป็นเพื่อนพ้อง ดุจพี่น้อง ร่วมงาน ช่วยสานศิลป์ เคยต่อกลอน อ่อนหวาน ผ่านจากจินต์ ให้โลกยิน เยี่ยมยล มนต์กวี จวบวานวัน ผันผ่าน มินานเนิ่น เราเผชิญ สิ่งใด กระไรนี่ ช่างสับสน วุ่นวาย ในฤดี หลอนชีวี ของเรา จนเศร้ามาน ความคิดถึง ห่วงหา มารุมเร้า กับหงอยเหงา หมองหม่น ทนร้าวฉาน ตั้งสติ ไตร่ตรอง มองรูปการ แม้เนิ่นนาน มิเป็น  เช่นนี้เลย ด้วยเพราะเธอ หรือไร ทำให้ทุกข์ คอยปลอบปลุก ใจเรา นะเจ้าเอ๋ย เตือนตนตัว กลัวเป็น ดั่งเช่นเคย ที่ลงเอย ด้วยใจ เกือบวายวาง เพียงอยากย้ำ คำนัย ให้เธอรู้ คนหนึ่งผู้ ทุกข์ใจ อยู่ไม่ห่าง อนาคต หดหาย คล้ายเลือนลาง เกรงอยู่อย่าง ว้าเหว่ อายเทวา เตรียมคมถ้อย ร้อยคำ จะนำบอก พูดไม่ออก เหตูใด จึงไม่กล้า สุดอัดอั้น ตันใจ ในอุรา จึงวอนฟ้า อย่าให้ดิน...สิ้นไมตรี
13 เมษายน 2556 21:59 น.

คำคิดถึง

คนกรุงศรี



อ่านบทกานท์ ขานย้ำ คำคิดถึง        

ใจก็ตรึง ตราอยู่ มิรู้หาย

ชื่นกมล หม่นไหม้ คงใกล้คลาย    

หวังที่หมาย เคยหมอง มองเห็นแวว

บ้านกลอนใหม่ ให้พบ ความอบอุ่น         

เราเคยคุ้น ผลงาน ที่หวานแว่ว  

มิตรไมตรี มีมาก หลายหลากแนว    

ร่วมสร้างแถว แนวสรร วรรณกรรม

คิดถึงกัน วันนี้ มีความหมาย         

คงจะคลาย เสียงเพรียก เฝ้าเรียกร่ำ

จะจับจด  บทถ้อย ร้อยลำนำ           

แล้วจารจำ คำหนึ่ง ..คิดถึงกัน

10 เมษายน 2556 22:51 น.

เตรียมพร้อม กับยอมรับ

คนกรุงศรี

เปลวสุรีย์ ที่ส่อง ต้องผืนหล้า

ดูทีท่า ว่าปอง จ้องเผาผลาญ

ทั้งพืชสัตว์ ให้พลัน บรรลัยราญ

อวสาน โลกา คงมายล

ความร้อนแดด แผดจ้า ผืนหล้าแห้ง

ผิวดินแยก แตกระแหง ทุกแห่งหน

ลมสะบัด พัดฝุ่น หมุนเวียนวน

น้ำขุ่นข้น ขอดหนอง ทั้งคลองคู

พอลมโบก โยกไผ่ ให้ไหวพลิ้ว

ใบก็ปลิว ร่วงกราว คราวลมลู่

กิ้งก่าแย้ เขียดกบ หลบลงรู

แต่ปลาปู ติดตม จมก้นคลอง

ใต้สะเดา เงาร่ม แต่ลมร้อน

ผิวอ่อนอ่อน เกรียมดำ ดูคล้ำหมอง

ตะวันรอน ตอนบ่าย ปรายตามอง

เขม็งจ้อง จะเผา ให้เราวาย

เพราะแมกไม้ ไพรพนา ผืนป่ากว้าง

ก่อนเคยรก วันนี้ร้าง ต่างหดหาย

เพียงตอเห็น เป็นฟืน ยืนต้นตาย

ผู้ทำลายนั้นหรือ ก็คือใคร

จงเตรียมพร้อม ยอมรับ กับวิบัติ

เริ่มเห็นชัด ทุกวัน รู้กันไหม

ธรรมชาติ เหี้ยมโหด โทษสิ่งใด

จงเตรียมใจ ให้พร้อม ยอมรับกรรม

9 เมษายน 2556 22:22 น.

เพรียกหา

คนกรุงศรี



     เปิดกระดาน อ่านกลอน ตอนที่เหงา           คิดถึงเขา คนหนึ่ง ซึ่งห่วงหา

    ดูหายห่าง ร้างไป เสียไกลตา                  มิรู้ว่า เป็นสุข มีทุกข์ใด

   เคยต่อกลอน งอนเง้า ด้วยเราสอง            ตามทำนอง ของกานท์ ร่วมขานไข

   เป็นสีสัน วรรณกวี ที่อำไพ                    วันนี้ไย หายห่าง ทิ้งร้างเลย

    ให้สุขี สุขี เถอะที่รัก                            เราช้ำหนัก เท่าไร ไม่เฉลย      ยอมหนาวเหน็บ เจ็บปวด เมื่อชวดเชย       แสร้งเฉยเมย แม้ช้ำ น้ำตาริน

    เพราะตัวใกล้ ใจห่าง ต่างทิฐิ                   ตั้งสติ สังเกต เหตุทั้งสิ้น

   แม้เว้าวอน งอนง้อ ขอชีวิน                    ขอเคียงดิน เขายัง เหมือนชังเรา

   ไร้อักษร กลอนกานท์ หมดงานศิลป์           อยากยลยิน ยังปอง แต่ต้องเศร้า

    เปิดหน้าจอ รองาน มานานเนา              อยากบอกเขา รู้ไหม ว่าใครคอย

    แค่ร่วมงาน สานฝัน วรรณศิลป์               แต่ในจินต์ สับสน ปนเศร้าสร้อย

   ใจวอกแว่ก วุ่นวาย ให้เลื่อนลอย               แอบนึกน้อย ใจตน...อยู่คนเดียว

คนกรุงศรี

Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกรุงศรี