28 กันยายน 2555 22:50 น.
คนกรุงศรี
ด้วยบทถ้อย ร้อยกานท์ ที่ขานไข
สิ้นกะใจ ไมตรี เหมือนหนีหาย
ก็ถึงกับ สับสน ปนวุ่นวาย
เกิดความอาย แอบหน้า หลบฟ้าดิน
อยู่อย่างคน หม่นมัว ชั่วชีพเหลือ
ใครกูลเกื้อ เผื่อใจ เอาไว้สิ้น
ช้ำมาบ่อย แบบว่า จนชาชิน
ปองถวิล สิ่งใด ไร้ทุกครา
เหลียวมาจ้อง มองเงา โอ้เราเอ๋ย
ทุกคำเอ่ย ออกไป ล้วนไร้ค่า
อีหรอบเดิม อีกครั้ง ดั่งเคยมา
นอนเยียวยา รอยแยก ที่แหลกลาญ
มิเคยหมาย ใครมา รักษาแผล
คงเพียงแต่ เวลา มาผสาน
น่าชิงชัง ช่างเขลา จริงเจ้ามาน
ที่อาจหาญ ไขว่คว้า เกินค่าตน
25 กันยายน 2555 22:36 น.
คนกรุงศรี
ใครคนหนึ่ง คนนั้น ฉันคิดถึง
คนที่ซึ่ง ทำให้ ใจสับสน
มิยินเสียง มิเห็นหน้า พากังวล
เคยสุขล้น เมื่อไร ได้พาที
มาหายห่าง ร้างกัน บอกงานเยอะ
จะพบเจอะ อีกไหม เมื่อไรนี่
หรือลืมเลือน เราไป มิใยดี
ทิ้งวลี กานท์กลอน แต่ก่อนมา
ถ้างานหนัก พักกาย สนใจด้วย
เกรงจะป่วย ห่วงถึง จึงถามหา
หรือว่ามี คนใกล้ ใครป้อนยา
ขอโทษที หากถ้า ว่าวุ่นวาย
21 กันยายน 2555 22:28 น.
คนกรุงศรี
นั่งกอดเข่า เจ่าจด หมดความหวัง
น้ำตาหลั่ง ล้นทรวง ไห้ห่วงหา
ชีวิตนั้น รันทด หมดราคา
อายทั้งฟ้า และดิน หมดสิ้นกัน
ด้วยจินต์นั้น มิได้ หมายปองฟ้า
ศักดินา สูงส่ง ตรงขวางกั้น
จึงอยู่อย่าง ปุถุชน คนสามัญ
แม้ความฝัน ยังไม่ สมใจปอง
ประตูใจ ใส่ดาน เธอขานไข
หรือมีใคร ไหนเล่า เป็นเจ้าของ
จึงแหนหวง มิให้ ได้จับจอง
ทั้งสี่ห้อง ใครอยู่ อยากรู้จัง
เมื่อฝากใจ ไม่พร้อม จะน้อมรับ
สักนิดช่วย ดักจับ ส่งกลับหลัง
อย่าดุด่า หยามเหยียด และเกลียดชัง
จะจับขัง เอาไว้ มิให้กวน
17 กันยายน 2555 22:20 น.
คนกรุงศรี
ประสบการณ์ ผ่านผัน หลายวันคิด
มีแต่ผิด กับผิด และผิดหวัง
จนหัวใจ รันทด หมดกำลัง
เพียงว่ายัง อยากอยู่ สู้ชีวี
ช้ำมากมาย หลายครา ก้มหน้าหลบ
บ่อยพอพบ แล้วพราก เธอจากหนี
สำรวจตัว ทั่วไป กระไรดี
หมดแววมี ทีท่า ว่าสมใจ
เพราะมองดาว พราวฟ้า สูงค่านัก
ห่างเกินจัก สุดคว้า เอามาได้
จึงความหวัง ขาดผล็อย หลุดลอยไป
อยากหาใคร ปลอบกมล คนเดียวดาย
เลิกมองฟ้า จะไย ใฝ่ถวิล
ขอมองดิน สักครา คงว่าหมาย
จึงเสงี่ยม เจียมไว้ ทั้งใจกาย
จะมลาย อีกครั้ง ก็ช่างมัน
เพียงว่าดิน มีจิต คิดสงสาร
แบ่งเศษทาน เสี้ยวใจ ได้ไหมนั่น
ขอสักนิด ที่เหลือ เผื่อแบ่งปัน
มิเดียดฉัน นั้นหนอ พอบรรเทา
ผิดหวังฟ้า ฝากดิน ตั้งจินต์ไว้
มีเมตตา หรือไม่ ตามใจเขา
จะสดชื่น หรือช้ำ จำทนเอา
สงสารเรา ไหมหนอ รอวจี
11 กันยายน 2555 23:03 น.
คนกรุงศรี
คืนขึ้นค่ำ เมื่อวัน วสันต์สิ้น
เห็นจันทร์บิ่น เหลือเสี้ยว เกี่ยวทิวไผ่
เพียงครู่เดียว พอพลบ ก็หลบไป
ท้องฟ้าใส ด้วยดาว ดูพราวตา
อาหารเย็น ยามค่ำ อิ่มหนำแล้ว
ยินเสียงแว่ว ขลุ่ยใคร ร่ำไห้หา
บทเพลงโศก สั่นผิว ลิ่วลมพา
เหมือนหนึ่งว่า คนครวญ รัญจวนใจ
ลมเหนือล่อง ต้องไผ่ กอไหวพลิ้ว
เสียงหวีดหวิว สนโยก โบกไสว
สิ้นเสียงอึ่ง จึ่งเพียง เสียงเรไร
แลแสงไต้ ยิบยับ เทียบกับดาว
คิมหันต์เหมือน เยือนย่าน ถิ่นบ้านนอก
สัญญาณบอก ถึงครา ว่าต้องหนาว
แค่ยามต้น ยลฟ้า ดาราพราว
ดูวับวาว สุกใส เรียงรายกัน
อยากรับลม ชมดาว ที่พราวพร่าง
ดูเวิ้งว้าง สุดตา ยิ่งพาฝัน
ราตรีกาล คืนใด ที่ไร้จันทร์
สร้างสวรรค์ บนดิน ถิ่นดงดอน
แคร่ไม้ไผ่ ใต้เงา สะเดาขม
จะชื่นชม นับดาว พราวสลอน
หากคืนนี้ มีใคร ไหนเคียงนอน
จะเอื้อมกร เก็บดาว ให้เขาชม