14 มิถุนายน 2554 23:30 น.
คนกรุงศรี
รักนั้นคือ อะไร ใครกำหนด
รักใสสด พบสุข หรือทุกข์เข็ญ
รักจึงมี หลายหลาก มากประเด็น
รักอาจเป็น นิยาม ความเร้นลับ
เริ่มพ่อแม่ ของตน ทุกคนรัก
ยึดเป็นหลัก ทำไว้ ไม่ตกอับ
พร้อมทั้งญาติ วงศา คณานับ
รักอยู่กับ หทัย เมื่อใกล้ชิด
อีกรักหนึ่ง ซึ้งใจ เมื่อได้พบ
พอประสพ คบค้า พาสนิท
เขาเหล่านั้น นั่นหรือ คือมวลมิตร
รักด้วยจิต ปลูกฝัง ยังระลึก
รักของกลุ่ม หนุ่มสาว ปวดร้าวยิ่ง
แรกรักจริง ท่วมท้น จนสะอึก
พอรวนเร เฉไฉ ไร้สำนึก
จึงรู้สึก ขื่นขม ข่มใจละ
รักอย่างไร ไม่ทำ ชอกช้ำอก
ขอหยิบยก ความคิด อิสระ
อย่ารักมาก จงเหลือ เผื่อใจนะ
ผิดหวังจะ ได้มี ที่พำนัก
มิต้องการ กมล ทนปวดเจ็บ
ใช่แนมเหน็บ บอกไว้ ให้ตระหนัก
หันมายล คนนี้ มีใจภักดิ์
หากลองรัก แล้วไซร้ จะไม่ทุกข์
14 มิถุนายน 2554 23:03 น.
คนกรุงศรี
เฝ้าสร้างฝัน วันข้างหน้า อนาคต
กะกำหนด แนวทาง วางรากฐาน
ไม่ต้องรอ พรหมลิขิต ผิดหลักการ
เพราะร้าวราญ มามาก จึงอยากลอง
ถือหางเสือ เรือชีวิต ตามคิดหวัง
รวมพลัง หลายหลาก จากสมอง
ใช้สติ ปัญญา มาปกครอง
แล้วลอยล่อง นาวา ท้าคลื่นลม
จะเนิ่นนาน กาลใด ก็ไม่หวั่น
ฤทัยมั่น ก้าวย่าง อย่างเหมาะสม
ถึงจุดหมาย เมื่อไร ใคร่ชื่นชม
เคยช้ำตรม คงคลาย ที่ปลายทาง
มินอนรอ วาสนา ให้มาถึง
มิต้องพึ่ง ใบบุญ เกื้อหนุนสร้าง
มิเคยท้อ ว่าเวรกรรม จะนำทาง
มิเคยอ้าง กุศล ที่ตนทำ
อาจทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็ช่างเถิด
เมื่อได้เกิด เป็นคน อย่าบ่นพร่ำ
แล้ววันนี้ จะให้ ใครเขานำ
มิเลิศล้ำ แล้วก็ อย่าท้อใจ
เพียรสร้างฝัน วันหน้า อนาคต
จะสวยสด สมปอง หรือหมองไหม้
แม้เหนื่อยยาก ตรากตรำ ทนทำไป
อย่างน้อยได้ ความดี ที่ติดตน
14 มิถุนายน 2554 22:42 น.
คนกรุงศรี
เวิ้งฟากฟ้า คราอรุณ กรุ่นหมอกขาว
สวยสกาว ดวงตะวัน นั้นฉายแสง
เป็นประกาย เรื่อเรือง มีเหลืองแดง
เวลาแห่ง การประเดิม เริ่มชีวี
เมื่อเกิดมา หาใด อะไรแน่
บางสิ่งแม้ คาดหวัง ยังเปลี่ยนหนี
ก่อนเคยสุข กลับเศร้า เหงาฤดี
ตามวิถี ของตน จากผลกรรม
ยืนหยัดสู้ ต่อไป อย่าได้ท้อ
ถ้าหวังรอ ใครจะ อุปถัมภ์
คิดหน้าหลัง ครั้งก่อน ตอนเริ่มทำ
แล้วจดจำ เยี่ยงที่ สิ่งดีงาม
ทุกชีวิต ของคน บนโลกกว้าง
มีเส้นทาง หลายหลาก มากขวากหนาม
มีโขดเขิน เนินไศล ให้ไต่ตาม
บางเขตคาม ราบเรียบ เปรียบพรมปู
เอื้ออาทร วอนไว้ ใช้ครุ่นคิด
เพราะเป็นมิตร ต่อกัน ท่านทุกผู้
อยากจะส่ง กำลังใจ ไปชื่นชู
ทุกข์สุขอยู่ ในกมล ตัวตนเรา
เวิ้งฟากฟ้า คราคร่ำ ดำมืดมิด
ดั่งชีวิต ตอนปลาย อาจคลายเหงา
หลับตาลง เมื่อไร ได้บรรเทา
ความโศกเศร้า หมดสิ้น ....จากวิญญา
12 มิถุนายน 2554 23:37 น.
คนกรุงศรี
เมื่อประชา ธิปไตย เริ่มใสสด
ถูกกำหนด กฎไว้ ให้ดียิ่ง
เหล่ามวลชน เต็มใจ ไม่ท้วงติง
จึงเป็นสิ่ง งดงาม ประจำเมือง
หาผู้นำ แทนตน คนดังเด่น
ซึ่งจัดเจน มีความรู้ อย่างฟูเฟื่อง
เมื่อทุกข์ยาก ลำบากใจ ใครแค้นเคือง
ก็รวมเรื่อง แล้วเอา เข้าสภา
หมู่บ้านเรา คราวนี้ มีเลือกตั้ง
เราก็หวัง มีชัย ดังใฝ่หา
พบพี่น้อง ผองเพื่อน เตือนสัญญา
หากแต่ว่า ใครใคร ไม่หวังปอง
จะหาเสียง ที่ใด ถูกไล่ส่ง
อย่างนี้คง ปราชัย ใจหม่นหมอง
มีวิธี อย่างไร นั่งไตร่ตรอง
แจกเงินทอง ของใช้ ก็ไม่เอา
พบอุบาย แยบยล คนช่างคิด
ไม่ทำผิด กฎหมาย กลัวอายเขา
คะแนนนำ น่าประหลาด เกินคาดเดา
ก.ก.ต.เฝ้า สงสัย ไต่สวนพลัน
เราจึงเผย กลเม็ด ทีเด็ดนะ
คนเกลียดจะ เป็นไร มิไหวหวั่น
ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้หลอก เพียงบอกมัน
ถ้าเกลียดฉัน แล้วหนา กาทิ้งเลย
12 มิถุนายน 2554 23:13 น.
คนกรุงศรี
สนธยา ฟ้าหม่น จนรู้สึก
เพราะส่วนลึก ที่เก็บ คล้ายเจ็บหนัก
แสงสีเทา เหงาเงียบ เย็นเยียบนัก
ได้ประจักษ์ รูปนาม ของความทุกข์
เมื่อรักแล้ว ก็พร้อม เพื่อยอมรับ
แลกกันกับ นิยาม แห่งความสุข
ผ่านวันคืน โศกเศร้า เริ่มเร้ารุก
จึงปลอบปลุก ใจที่ มีพันธะ
อนาคต วาดวาง ทางชีวิต
พรหมลิขิต ท่านลี้ หลีกหนีผละ
ให้เราอยู่ ไกลห่าง ต่างวาระ
มิเคยจะ ได้พบ หรือสบพักต์
ทางที่เดิน เดียวดาย กายรันทด
แต่ไม่หมด แรงใจ ให้ยึดหลัก
แม้เป็นเพียง เงาแสง แห่งความรัก
ยังแน่นหนัก ทุกช่วง ห้วงความคิด
มอบน้ำใจ ไมตรี ไม่มีหยุด
บริสุทธิ์ พราวพร่าง กลางดวงจิต
ทุกถ้อยคำ ย้ำเตือน เหมือนใกล้ชิด
เป็นมิ่งมิตร มากค่า คณานับ
อยู่ในความ ทรงจำ อันล้ำลึก
ปิดผนึก เนิ่นนาน ชั่วกาลกัปล์
ตราบใดที่ กายใจ ไม่ยอมรับ
คงประทับ ฤทัย แม้ไกลลิบ