18 มีนาคม 2553 23:22 น.
คนกรุงศรี
จากวานนั้น ถึงวันนี้ หลายปีผ่าน
ประสพการณ์ ชีวิต มีผิดหวัง
เคยได้ร่วม รวมใจ ให้พลัง
ก็เมื่อครั้ง รู้รับ กับเรื่องราว
พรหมลิขิต ขีดมา ให้อาภัพ
ชินชากับ ความปวดเจ็บ สุดเหน็บหนาว
อยากจะหยุด เพราะท้อ ก็หลายคราว
เราก็ร้าว หม่นไหม้ ไปกับเธอ
กำลังใจ ให้กัน ฉันมวลมิตร
ยิ่งสนิท ตราตรึง ซึ้งเสมอ
มีหลายหลาก ภาระ ที่จะเจอ
น้ำตาเอ่อ ทุกครั้ง ที่ฟังความ
แม้กายห่าง ต่างใจ ที่ใกล้นัก
คอยเป็นหลัก ป้องภัย เฝ้าไต่ถาม
ให้เดินถูก แนวที่ ทางดีงาม
ตั้งอยู่บน นิยาม นามว่าคน
เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งที่รัก
พึ่งพำนัก ทางใจ พอได้ผล
รักษาได้ เพียงแต่ แค่กมล
ฟ้าเบื้องบน ตั้งกฏ กำหนดมา
จากวันนั้น วันนี้ ไม่มีแล้ว
สำเนียงแว่ว ถ้อยความ คอยถามหา
แค่คิดถึง น้ำคำ จำนรรจา
กับน้ำตา รินไหน อยู่ในทรวง
18 มีนาคม 2553 22:48 น.
คนกรุงศรี
ลิบลิ่ว ทิวทุ่ง ฟุ้งฝุ่น
ลมหมุน สะบัด พัดหวน
ความร้อน ประเมิน เกินควร
ดินร่วน เริ่มแยก แตกลาย
กอหญ้า พาแดง แห้งกรอบ
มองรอบ แลไป ใจหาย
ห้วยแห้ง เหลือแต่ แค่ทราย
ปลาตาย ติดตม จมดิน
แดดแรง แสงจ้า ฟ้าใส
หาเมฆ มองไป ไร้สิ้น
เหงื่อไคล ไหลรด หยดริน
ทุกถิ่น ทั่วแดน กันดาร
จูงควาย ไถนา คราก่อน
ดินอ่อน ดีใจ ได้หว่าน
รอฝน จากฟ้า ประทาน
เหตุการณ์ ผันแปร แย่จัง
ข้าวพันธุ์ หว่านไป ตายสิ้น
ในจินต์ รันทด หมดหวัง
หนี้สิน รังรุง นุงนัง
เหม่อนั่ง จับเจ่า เศร้าทรวง
รอฟ้า หาฝน หล่นก่อน
ไหว้วอน เทพไท้ ในสรวง
ฟากฟ้า ส่งผล กลลวง
ฝนร่วง นาล่มจมไป
12 มีนาคม 2553 23:53 น.
คนกรุงศรี
ฝากหัวใจ ใส่ห้อง ช่องที่ว่าง
อาจเปราะบาง เพียงใจ ได้ประจักษ์
โปรดดูแล ไว้ด้วย ช่วยพิทักษ์
มีเพียงรัก บริสุทธิ์ เป็นจุดยืน
อบอุ่นกับ นิยาม ของความฝัน
แม้บางวัน ปวดร้าว ราวขมขื่น
แต่ก็ยัง มั่นหมาย มิคลายคืน
แปรเป็นอื่น ใดเลย มิเคยคิด
มีคนมา มอบใจ ให้ก็มาก
แค่เพียงฝาก ความเป็นเพื่อน ไว้เตือนจิต
มิเคยจะ ด่างพร้อย แม้น้อยนิด
คงมีสิทธิ์ ขอบเขต เจตจำนง
ใจดวงน้อย อยู่เรียง ร่วมเคียงข้าง
เดินตามทาง แสนดี ที่เธอส่ง
เพียบพร้อมด้วย ความภักดิ์ รักซื่อตรง
เพราะมั่นคง แม้กาล จะผ่านไป
เมื่อคราฉัน อ่อนแอ แพ้ชีวิต
เธอคือมิตร ปลอบขวัญ ยามหวั่นไหว
จุดประกาย แห่งหวัง กำลังใจ
คอยซับน้ำ ตาให้ เมื่อไหลริน
ศรัทธามอบ ตอบแทน ด้วยแสนซึ้้ง
รักคิดถึง ห่วงใย ใคร่ถวิล
จวบเปลือกตา ล้าหลบ จบชีวิน
ไม่สร่างสิ้น รักที่ มีต่อเธอ
12 มีนาคม 2553 23:10 น.
คนกรุงศรี
จากทุ่งนา ฟ้ากว้าง ไปสร้างฝัน
ใกล้คิมหันต์ จะเยือน เหมือนปีก่อน
สู่แดนที่ รุ่งเรือง เมืองอมร
ทิ้งดินดอน จากไกล ไม่กลับมา
ตั้งความหวัง สูงส่ง คงพบสุข
ไม่ต้องทุกข์ บากบั่น สู้ปัญหา
ลืมสาบบัว ผักบุ้ง ปลายทุ่งนา
ลืมชายคา มุงจาก ริมฟากคลอง
ทิ้งลอมฟาง กลางลาน ถิ่นบ้านเก่า
พ่อแม่เจ้า ทุกข์ทน แสนหม่นหมอง
ถึงสุดสาย ตาแล ชะแง้มอง
น้ำตานอง คอยเก้อ จนเพ้อครวญ
เมื่อตอนกลาง ปีกลาย พ่อตายจาก
เพราะเหนื่อยยาก เร่งเสริม เพิ่มงานสวน
เหลือเพียงแม่ แก่เฒ่า เฝ้าทบทวน
อายุจวน แปดสิบห้า นัยน์ตาฟาง
มองสวนรก นาร้าง อย่างอ่อนล้า
วันเวลา คล้อยเคลื่อน เดือนปีห่าง
ความหวังมี เล็กน้อย ค่อยเลือนลาง
แล้วเจือจาง จากใจ ไปทุกครา
ลมหายใจ เฮือกหนึ่ง คิดถึงนัก
โอ้ลูกรัก ยามเป็น มิเห็นหน้า
หรือรอจน แม่ตาย วายชีวา
เจ้าจึงมา หมอบร่าง อยู่ข้างโลง