นิทานกลอน สอนใจ เล่าไว้ว่า สองยายตา หากิน แบบสิ้นหวัง ปล่อยหญ้ารก ปรกทุ่ง แสนรุงรัง มัวแต่นั่ง ขอพร อ้อนเทวา
พระธุดงค์ องค์เดียว ท่านเที่ยวด้น หวังมรรคผล สงบ พบสุขา ปักกรดที่ ท้ายคุ้ง ริมทุ่งนา ทั้งยายตา เตรียมใจ ได้ของดี
ฉันขอลาภ หวังรวย ท่านช่วยเถิด พระก็เกิด เมตตา เรียกมานี่ ให้ตะกั่ว เก้าก้อน สอนวิธี อยากมั่งมี นำไป หลอมในเตา
เมื่อละลาย กลายเป็น เช่นทองแท้ กับข้อแม้ มีว่า อย่างโง่เขลา ถ่านที่รุม สุมไฟ ให้เลือกเอา รากต้นพริก มาเผา เก็บเถ้ามัน
ทั้งยายตา มานะ จะหาถ่าน จึงไถหว่าน ที่นา พาขยัน ปลูกต้นพริก หลายไร่ ไม่นานวัน พริกพวกนั้น ออกเมล็ด ให้เด็ดกิน
ก่อนต้นแก่ เก็บขาย มากมายนัก ยึดเป็นหลัก ถึงกับ รวยทรัพย์สิน มีเงินทอง พอเพียง เลี้ยงชีวิน ทิ้งเสียสิ้น ตะกั่ว ...มิมัวรอ
ขรัวตา กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา
ณคืนนี้ มีดาว สกาวฟ้า เมื่อจันทรา หลบเร้น มิเห็นแสง กกอ้อลู่ หวิดล้ม เพราะลมแรง ฤดูแห่ง คิมหันต์ นั้นเริ่มกราย
อบไอดิน กลิ่นฟาง ที่ข้างบ้าน ดอกคูณบาน เห็นก่อน เมื่อตอนสาย พอลมพลิ้ว ลิ่วผ่อน พอร้อนคลาย ฟังที่ปลาย นาแว่ว เสียงแผ่วครวญ
เหลงขลุ่ยผิว ลิ่วมา เมื่อฟ้ามิด ช่างจับจิต จับใจ จนไห้หวน คิดเมื่อยัง ครั้งอยู่ คู่กับนวล ใจปั่นป่วน กังวล สับสนจริง
คนกรุงศรี มีนิทาน มาขานไข
อยากบอกให้ เพื่อนฟัง มิสั่งสอน
จึงเรียงร้อย ลำนำ เป็นคำกลอน
อุทาหรณ์ ย้อนคิด สะกิดใจ
เรื่องพ่อค้า ตาแก่ แพ้สังขาร
มีลูกหลาน รอบตัว ครอบครัวใหญ่
สมบัติน้อย ค่อยสรร แบ่งกันไป
เพียงขอให้ ดูแล ก่อนแกตาย
แต่ยังมี หีบใหญ่ อีกใบหนึ่ง
เป็นของซึ่ง เหลือที่ มีความหมาย
มักเห็นแก เอาตั้ง อยู่ข้างกาย
ชิ้นสุดท้าย เก็บไว้ มอบใครดี
คล้องกุญแจ ปิดผนึก ดูลึกลับ
พร้อมกำชับ แน่นหนา ว่าของนี่
หากว่าพ่อ ต้องตาย วายชีวี
เจ้าคนที่ ดูแล แกเอาไป
ลูกทั้งหมด เลี้ยงดี มีความรัก
เฝ้าฟูมฟัก จนบรรลุ อายุขัย
เมื่อพ่อตาย หมายสมบัติ งัดเร็วไว
หินก้อนใหญ่ กับจดหมาย ลงลายมือ
พ่อมีสุข สบาย ก่อนตายดิ้น
เพราะว่าหิน ก้อนนี้ ที่เจ้าถือ
มิมีมัน นั้นพ่อ จะสุขฤๅ
มันก็คือ ของที่ มีราคา
น้ำค้างพรม ลมพลิ้ว ใจหวิวหวั่น
เร่งตะวัน ขับดารา เพื่อฟ้าสาง
จะรับขวัญ คนไกล รักไม่จาง
ฟังแล้วช่าง ชุ่มจิต ผิดกับเรา
ก็กี่ร้อน กี่หนาว ที่ร้าวรวด
ความเจ็บปวด เกาะกมล เป็นคนเหงา
แม้มิท้อ รอเวลา รักษาเอา
ดูเหมือนเศร้า ผิดหวัง มันฝังใจ
แม้อรุณ จะรุ่ง วันพรุ่งนี้
คงมิมี คนกลบ ลบหม่นให้
หวังเพียงเศษ นิดเดียว เสี้ยวฤทัย
จะมีใคร รับขวัญ ให้ฉันฤๅ
ฟังเสียงขลุ่ย บรรเลง บทเพลงพลิ้ว
ยอดไผ่ปลิว ลู่ล้ม เพราะลมผ่าน
ค่ำคืนนี้ หงอยเหงา เศร้าดวงมาน
บทเพลงหวาน ไห้หวน ใครครวญมา
สายลมเย็น หนาวใจ ขาดไออุ่น
เคยนอนหนุน ตักนาง ช่างหรรษา
ชมดวงดาว พราวพร่าง กลางนภา
เมื่อจันทรา เกเร หลบเมฆินทร์
น้ำค้างหยาด หยดไหล จากใบหญ้า
เดือนจากลา ลับไกล ใจถวิล
จิ้งหรีดร้อง เรไร แว่วได้ยิน
หอมกรุ่นกลิ่น ราตรี ที่ริมทาง
เสียงขลุ่ยสิ้น สงบ จบเพลงเศร้า
ความเงียบเหงา เข้าเรียง มาเคียงข้าง
แต่เรไร ร้องดัง ยังมิจาง
หนาวน้ำค้าง ยิ่งนัก สุดหักใจ
เสียงไก่กู่ ก้องมา เมื่อฟ้าสาง
มองนภางค์ เรื่องแดง ส่องแสงใส
ดาวรุ่งก็ เลือนลาง แสงจางไป
เมื่ออุทัย เยือนมา พารัญจวน
อีกราตรี ที่เรา ต้องเศร้าสร้อย
อยู่กับรอย ความหลัง ครั้งคิดหวน
มองนภา คราใด ใจคร่ำครวญ
คิดถึงนวล น้องพี่ ที่จากไกล