4 กรกฎาคม 2553 16:11 น.
คนกรุงศรี
ก่อนจะเติบ โตมา ฝ่าร้อนหนาว
กับเรื่องราว ที่คิด ตามสิทธิ์หวัง
ลืมตาพบ โลกที่ ไม่จีรัง
หากพร้อมพรั่ง ด้วยครู คอยดูแล
แกร่งและกล้า วิชาการ งานชีวิต
ชี้ถูกผิด เนื้อความ ตามกระแส
อย่าเผชิญ โลกกว้าง อย่างอ่อนแอ
จงรู้แก้ หมั่นสร้าง ทางชีวี
พ่อคือครู คนแรก แจกความรัก
แม่ฟูมฟัก เคียงกาย มิหน่ายหนี
สอนให้ ประพฤติตน เป็นคนดี
และจงมี ศีลธรรม นำจิตใจ
เลือดจากอก อุ่นอุ่น คุ้นรู้สึก
มโนนึก ทุกครา น้ำตาไหล
ตักนุ่มนุ่ม ตราตรึง ซึ้งฤทัย
อบอวลใน อ้อมแขน แสนอาวรณ์
ได้เผชิญ สุขโศก บนโลกนี้
ด้วยใจที่ เข้มแข็ง แกร่งกว่าก่อน
แม้สิ้นผู้ ห่วงหา เอื้ออาทร
ทนร้าวรอน เก็บกด หยดน้ำตา
ในใจมี รักหนึ่ง ที่พึงพบ
ไม่เคยลบ จากจินต์ ถวิลหา
บริสุทธิ์ เหนือสิ่งใด ในโลกา
คือบิดร มารดา .....ค่าอนันต์
4 กรกฎาคม 2553 15:48 น.
คนกรุงศรี
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
คงมิไร้ สาระ หรอกนะหลาน
ฟังแล้วคิด ใคร่ครวญ ทวนเหตุการณ์
จึงกล่าวขาน ขอจงฟัง เหมือนดั่งเคย
ชายชรา อายุ บรรลุฝั่ง
หมดกำลัง แล้วหนา นิจจาเอ๋ย
ลูกมากแท้ แต่ว่า มิน่าเลย
กลับเฉยเมย เกียจคร้าน เกี่ยงงานกัน
สวนหลังบ้าน แลรก ปรกเป็นป่า
มีแต่หญ้า รุงรัง ช่างน่าขัน
ก่อนตาเฒ่า มีแรง แกแบ่งปัน
ถากถางมัน ใส่ใจ ได้ผลงาม
เจ็บป่วยลง คงรู้ อยู่ไม่รอด
ลูกอ้อนออด เวียนย้ำ ตั้งคำถาม
สมบัติพ่อ อยู่ไหน ในเขตคาม
เพียงแจงความ ว่ายัง ฝังใต้ดิน
อยู่ที่สวน หลังบ้าน
ช่วยกันเถิด
มิทันเปิด ความนัย ก็ตายดิ้น
เสร็งงานศพ หาสิ่งใด เอาไว้กิน
เคยได้ยิน สมบัติฝัง ที่หลังเรือน
ช่วยกันถาง ป่ารก ที่ปรกออก
แล้วขุดลอก ร่องสวน พรวนดินเกลื่อน
มิพบทรัพย์ อันใด ผ่านหลายเดือน
สิ่งที่เยือน คือผลไม้ มากมายเชียว
27 มิถุนายน 2553 15:09 น.
คนกรุงศรี
เป็นนักกลอน อ่อนวัย ใจเข้มแข็ง
บทเรียนแพง เพียบรู้ กว่าครูสอน
มีทั้งจำ ท่องจด ทุกบทตอน
ใจร้าวรอน เรียนจบ ครบวิชา
หลักสูตรเจาะ เฉพาะตน ของคนนั้น
บทประพันธ์ ยอดกวี ที่มีค่า
สรรหาคำ เกินจะ คณนา
เมื่อเอามา เปรียบเรา มิเท่าทัน
ใช่ว่าเขา เรานี้ คงมีผิด
เพราะลิขิต จากฟ้า พาผกผัน
สิ่งที่แล้ว ผ่านไป ไม่ว่ากัน
จึงณ.วัน นี้หนอ ต่อสู้ไป
ถามหาฝัน วันใด จะได้พบ
วันที่สบ ตากัน นั้นมีไหม
ระยะทาง พิสูจน์ม้า ว่าเป็นไง
กาลเวลา พิสูจน์ได้ นะใจคน
มิอยากหวัง สิ่งใด ไกลเกินฝัน
อย่าแกล้งกัน ก่อให้ ใจสับสน
ไมตรีมอบ มากมาย ได้เยี่ยมยล
ก็ส่งผล หม่นเหงา ค่อยเบาบาง
ทุกสิ่งอย่าง ดั่งคิด อาจผิดหมด
ไม่เหมือนบท กวี มี่สรรสร้าง
อนิจจัง ฟังคำ พระนำทาง
ยังมิวาง ใจใคร ....กว่าใจตน
27 มิถุนายน 2553 14:11 น.
คนกรุงศรี
ฟังเสียงขลุ่ย บรรเลง บทเพลงพลิ้ว
ยอดไผ่ปลิว ลู่ล้ม พราะลมผ่าน
ค่ำคืนนี้ หงอยเหงา เศร้าดวงมาน
บทเพลงหวาน ไห้หวล ใครครวญมา
สายลมเย็น หนาวใจ ขาดไออุ่น
เคยนอนหนุน ตักนาง ช่างหรรษา
ชมดวงดาว พราวพร่าง กลางนภา
เมื่อจันทรา เกเร หลบเมฆินทร์
น้ำค้างหยาด หยดไหล จากใบหญ้า
เดือนจากลา ลับไกล ใจถวิล
จิ้งหรีดร้อง เสียงใส แว่วได้ยิน
หอมกรุ่นกลิ่น ราตรี ที่ริมทาง
เพลงขลุ่ยสิ้น สงบ จบเพลงเศร้า
ความเงียบเหงา เข้าเรียง มาเคียงข้าง
แต่เรไร ร้องดัง ยังมิจาง
หนาวน้ำค้าง จิงหนอ ใจพ้อครวญ
อีกราตรี ที่เรา ต้องเศราสร้อย
อยู่กับรอย ความหลัง ครั้งคิดหวน
มองนภา คราใด ใจรัญจวน
คิดถึงนวล คนดี ที่จากไป
20 มิถุนายน 2553 23:48 น.
คนกรุงศรี
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
เรื่องเกิดที่ พงไพร ณ ชายเขา
พืชชอุ่ม พุ่มไสว ให้ร่มเงา
แหล่งรวมเหล่า สัตว์ป่า บรรดามี
แล้วนายพราน ผู้หา ของป่าขาย
ชอบย่างกราย บุกป่า มาถึงนี่
เที่ยวล่าสัตว์ สมุนไพร สิ่งใดดี
จึงวันนี้ พบกวาง ช่างถูกใจ
เขาติดตาม หมายล่า เป็นอาหาร
กวางทะยาน วิ่งห้อ พรานก็ไล่
รักชีวิต จวนตัว กลัวเพศภัย
พุ่มไม้ใกล้ นี้หนอ ขอพึ่งพา
กลางพุ่มไม้ กวางซ่อน นอนสงบ
ถ้าค่ำพลบ เมื่อไร ไร้ปัญหา
พรานเดินเทียว เที่ยวค้น จนปัญญา
แหมเสียท่า สุดแสน แค้นใจจริง
พรานผ่านไป กวางรอด ปลอดภัยแน่
น่ากินแท้ ใบอ่อน มินอนนิ่ง
กวางก็เล็ม ยอดไม้ ไม่ประวิง
ทุกทุกกิ่ง เกลี้ยงไป ไม่เหลือเลย
พรานวนอยู่ ดูท่า ว่าหมดหวัง
จึงกลับหลัง ย้อนมา นิจจาเอ๋ย
เห็นพุ่มไม้ ปรุโปร่ง โล่งจริงเอย
มิอยู่เฉย ยกหน้าไม้ ใส่บ่าเล็ง