2 สิงหาคม 2554 22:45 น.
คนกรุงศรี
จากวันนั้น ถึงวันนี้ หลายปีพ้น
ดวงกมล สู้ข่ม ความขมขื่น
เพราะฤทัย ใสพิสุทธิ์ มีจุดยืน
แม้กล้ำกลืน ทุกข์ตรม ก็ข่มเอา
เพราะความหลัง ฝังใจ มิวายคิด
เหมือนสถิตย์ อยู่ท่าม กลางความศร้า
ทุกข์หรือสุข อยู่เคียง เพียงสองเรา
บางครั้งหนัก บ้างเบา ก็เข้าใจ
ณ.วันนี้ พี่อยู่ คู่กับเจ็บ
แม้หนาวเหน็บ ทนอยู่ เธอรู้ไหม
ต้องโดดเดี่ยว เอกา สุดอาลัย
ด้วยเธอไป ไกลลับ มิกลับคืน
เมื่อวันนี้ ปีเก่า เรามีสุข
คอยปลอบปลุก แรงใจ ให้สดชื่น
แต่วันนี้ พี่ซ้ำ สุดกล้ำกลืน
วันสดขื่น ครั้งหลัง ยังฝังจำ
หนาวลมเหนือ เมื่อสาง ช่างสับสน
เคยกังวล ห่วงเจ้า เฝ้าพูดพร่ำ
สิ่งใดถูก ใดดี ช่วยชี้นำ
ทุกถ้อยคำ ย้ำอย่าง ผู้หวังดี
ไม่กังวล ไม่ห่วงใย ไม่ไต่ถาม
เหลือเพียงความ หงอยเหงา เศร้าสุดที่
กับคิดถึง สุขเก่า เราเคยมี
อีกกี่ปี จะคลาย หายอาดูร
29 กรกฎาคม 2554 22:04 น.
คนกรุงศรี
สำนึกใน วัยวัน ฉันประสพ
มิเลือนลบ จากจิต ยังคิดถึง
อยู่กับใจ เรื่อยมา เพราะตราตรึง
ก็ครั้งซึ่ง ตอนเรา ยังเยาว์วัย
อาชีพพ่อ ก่อสร้าง แต่ช่างฝัน
ว่าลูกนั้น อนาคต ต้องสดใส
การศึกษา สำคัญ ท่านมั่นใจ
จึงส่งให้ เราเรียน อ่านเขียนกัน
ค่าขนม วันละบาท มีขาดบ้าง
ซึ่งแตกต่าง จากผอง เพื่อนของฉัน
หนึ่งอาทิตย์ จำได้ อดหลายวัน
แต่ว่ามัน มิใช่ เรื่องใหญ่เลย
ยี่สิบสตางค์ วันนี้ แม่มีให้
ติดตัวไว้ เท่านั้น นะลูกเอ๋ย
อดขนม อีกวัน มันเหมือนเคย
มิเอื้อนเอ่ย วาจา หรือพาที
ไปโรงเรียน ทางผ่าน มีปั่นแปะ
ชวนเพื่อนแวะ ดูไว้ เป็นไรนี่
แทงเล่นเล่น ลองไป ท่าไม่ดี
โชคมิมี ยี่สิบสตางค์ เสียช่างมัน
เย็นแม่ถาม เงินอยู่ไหม ตอบไม่แล้ว
หัวใจแป้ว บอกไป แต่ใจพรั่น
แม่โอบกอด ก้มมา มองหน้าพลัน
เงินแค่นั้น ซื้ออะไร กินได้นา
สุดเสียใจ เสียดาย มิคลายเศร้า
ดูสิเรา ทำได้ ช่างขายหน้า
หลายสิบปี มิวาย ใช้เวลา
สิ่งได้มา การพนัน ...ฉันไม่แล
27 กรกฎาคม 2554 23:08 น.
คนกรุงศรี
บนเส้นทาง กว้างไกล ในชีวิต
ตามลิขิต ขีดไว้ ใช้กำหนด
มีทั้งคุ้ง โค้งเคี้ยว หลั่นเลี้ยวลด
จะเป็นกฏ หรือไร ก็ไม่คิด
ก้าวเข้ามา ฝ่าเดิน เผชิญโชค
พร้อมสุขโศก ปนเหงา เศร้าดวงจิต
ความสดใส หม่นหมอง ประคองชิด
มันเกาะติด ตามอยู่ มิรู้ละ
สลัดทุกข์ สุขรับ แนบกับอก
ไม่วิตก ด้วยจินต์ ศิลปะ
เพราะดีชั่ว ปนกัน มันคลุกคละ
เพียงว่าจะ สู้ต่อ หรือท้อทด
เช้าสดใส ในแสง แห่งอาทิตย์
สายมืดมิด เมฆดำ ทำสลด
เหมือนชิวหา หลากลิ้ม ที่ชิมรส
กลืนหวานหมด ขมมา พาเกิดทุกข์
ทางชีวิต คิดไย ให้เศร้านัก
หากมีหลัก ยึดมั่น นั่นคือสุข
จงปรับแต่ง แบ่งสรร จนทันยุค
จึงปลอบปลุก ใจไว้ ให้ยอมรับ
ถ้าต่อสู้ ดูจะ ชนะแหละ
โดยแยกแยะ บุญกรรม ตามตำหรับ
มั่นว่าใจ ไม่ถอย แม้ย่อยยับ
ทุกข์สุขกับ ชีวัน คู่กันนะ
27 กรกฎาคม 2554 22:41 น.
คนกรุงศรี
ลูกหลาน
เจ้าเห็นบ้าน เมืองไหม ในวันนี้
ช่างยุ่งเหยิง รุงรัง ไปทั้งปี
เพิ่มพูนหนี้ ต่างชาติ อนาถใจ
ลูกหลาน
เมื่อวันวาน ขวานทอง งามผ่องใส
แต่วันนี้ สนิมเกาะ เพราะเหตุใด
ประเทศไทย ทรุดตัว น่ากลัวจริง
ลูกหลาน
รัฐบาล หลายชุด ไม่หยุดนิ่ง
ต่างก็รีบ วิ่งเต้น เป็นระวิง
เพื่อช่วงชิง ตำแหน่ง จึงแข่งกัน
ลูกหลาน
ดูตัวการ โกงชาติ เขาวาดฝัน
พลางหยิบยก ปัญหา สารพัน
เข้าห้ำหั่น ด่าทอ ก่อชนวน
ลูกหลาน
แล้วเหตุการณ์ เหล่านั้น ก็ปั่นป่วน
เพราะแบ่งสี แบ่งเส้น เป็นขบวน
จึงหลากล้วน แก๊งใหญ่ ในบ้านเมือง
ลูกหลาน
พญามาร ยิ้มร่า วางท่าเขื่อง
งบประมาณ แผ่นดิน ก็สิ้นเปลือง
แล้วชาติจะ รุ่งเรือง ได้อย่างไร
26 กรกฎาคม 2554 22:47 น.
คนกรุงศรี
เมื่ออ่านกลอน ร้อนหนาว สาวหวั่นไหว
คนเมืองไกล ใครหนอ มาพ้อพร่ำ
เรียบเรียงบท พจมาน หวานน้ำคำ
ใจยังก้ำ กึ่งเหลือ เชื่อวจี
มีไหมแฟน คำถาม ย้ำรอยแผล
แก้วเหลือแต่ ความหลัง ครั้งสุขี
เพราะคำคม หลายหลาก มากวลี
เกินกว่าที่ หยั่งได้ เช่นใจคน
ก็ผ่านร้อน หนาวฝน จนอ่อนล้า
ดวงวิญญา ชาชิน สิ้นเหตุผล
แต่ฤทัย ยึดมั่น หมั่นอดทน
จึงผ่านพ้น ลิขิต เขาขีดวาง
ห่างจากคน ทนเอา เหงาเป็นเพื่อน
กับคอยเตือน ใจอยู่ มิรู้สร่าง
รอความหลัง ฝังใจ ให้เลือนลาง
แม้อ้างว้าง เดียวดาย ใจซื่อตรง
ฝากหัวใจ ว่ายฟ้า มาถามขวัญ
ความสัมพันธ์ เช่นไร ใคร่ประสงค์
ถามกลับไป ใจนั้น ฤๅมั่นคง
ไม่อยากหลง คารม จนงมงาย
มอบสัมพันธ์ วรรณศิลป์ ยินดีนัก
อนุรักษ์ วรรณกรรม ล้ำความหมาย
โลกส่วนตัว กลัวจัง ยังไม่คลาย
เกรงจะคล้าย วันวาน ที่ผ่านมา