27 สิงหาคม 2554 22:14 น.
คนกรุงศรี
ชะแง้คอ รอคอย จันทร์ลอยเคลื่อน
อยากย้ำเตือน ความหลัง เมื่อครั้งเก่า
จันทร์ลอยแล้ว ตรงหน้า ดวงตาเรา
แต่กลับเศร้า สีหม่น ปนสีจันทร์
เจ้าเคยแจ้ง แสงทอง ส่องลงหล้า
ก่อนเคยพา จิตให้ ใจสุขสันต์
ช่วยเป็นสื่อ สานเสริม เพิ่มสัมพันธ์
เพราะตัวฉัน หรือเปล่า เจ้าจึงตรม
จะฝากใจ ผ่านจันทร์ นั้นนำส่ง
พาใจตรง ถึงทรามวัย หมายสุขสม
ดูดั่งจันทร์ นั้นล้า กว่ารื่นรมย์
จึงขื่นขม เจ้าใย ไร้ปราณี
หรือจันทรา พาใจใครคนอื่น
พบทรามชื่น ปล่อยเรา เศร้าหมองศรี
ไยไม่ช่วย เราสร้าง ทางไมตรี
กลับหลีกลี้ เมฆา มาลับไป
แม้แต่จันทร์ ยังหลบ ไม่พบหน้า
แล้วกานดา ส่งจิต คิดถึงไหม
หรือฝากจันทร์ ส่งจิต คิดถึงใคร
ฟากฟ้าไกล คนอื่น คงยืนคอย
มองพระจันทร์ คืนนี้ ไยสีหม่น
มิยิ้มยล เลยนะ คงจะหงอย
ตัวข้าเอง ก็เหงา เฝ้าเหม่อลอย
ก่อนจันทร์คล้อย บอกเธอ ข้าเพ้อครวญ
26 สิงหาคม 2554 22:47 น.
คนกรุงศรี
ฝนกระทบ ผิวสาว จนหนาวสั่น
ความไหวหวั่น เหว่ว้า คราสับสน
อะไรแน่ แฝงเงา เร้ากมล
สู้ผจญ กับสิ่งใด ใครบอกที
รู้แต่เพียง คิดถึง คะนึงหา
ทุกเวลา ซึมเศร้า เหงาเหลือที่
เก็บภาพฝัน เคียงอยู่ คู่ฤดี
แม้ฝันนี้ สิ้นทาง จนร้างไกล
แล้วใจก็ ค่อยค่อย เกิดรอยด่าง
สุดอ้างว้าง อดสู เคยรู้ไหม
มีคำถาม หลายหลาก จากฤทัย
ทนเก็บไว้ กับดวงมาน จนซานซม
อยากจะปิด หัวใจ ให้ว่างเปล่า
เก็บความเหงา อำพราง อย่างขื่นขม
หนามที่ติด เกี่ยวเกาะ เพราะแหลมคม
จึงต้องข่ม สะอื้น ฝืนร่ำลา
น้ำฝนพร่าง พรูพราย กายเปียกโชก
เย็นลมโบก พลิ้วไหว ให้ผวา
อยู่ท่ามกลาง สายฝน ปนน้ำตา
รอจนกว่า ซาสร่าง อย่างทุกคราว
ดูหยาดฝน สุดท้าย ใจหายนัก
ด้วยตระหนัก ความเจ็บ ที่เหน็บหนาว
คล้ายอยู่ใน โลกร้าง อย่างยืนยาว
แสนปวดร้าว หมองหม่น จนเลือนลาง
26 สิงหาคม 2554 22:25 น.
คนกรุงศรี
เมื่ออยู่นา ป่าเขา ลำเนาหนอง
มีบึงคลอง ทิวไผ่ ไร่นาสวน
เคยขุดดิน เผาถ่าน หว่านไถพรวน
ฟังเพลงครวญ ขลุ่ยแผ่ว ดังแว่วมา
บ้านมุงจาก ฟากทำ ด้วยลำไผ่
จุดขี้ไต้ ไล่ยุง พร้อมหุงหา
กินน้ำพริก ผักต้ม แกงส้มปลา
มีชีวา อยู่สุข มิทุกข์ใจ
พอขายนา มาเมือง มีเรื่องยุ่ง
เริ่มเฟ้อฟุ้ง รุ่งเรือง ที่เมืองใหญ่
อยู่ตึกราม ระฟ้า อ่าอำไพ
สุดวิไล ในกรุง ลืมทุ่งนา
ตกคืนค่ำ แสงสี มีวิจิตร
ใช้ชีวิต กลางคืน ชื่นนักหนา
ทั้งดื่มกิน เที่ยวเตร่ และเฮฮา
ลืมที่มา ของตัว เริ่มมัวเมา
มีเพื่อนหลาก มากมาย คบหลายหน้า
สุขอุรา ช่วยให้ ได้คลายเหงา
พอหมดเงิน บ่ายเย็น ไม่เห็นเงา
เริ่มซบเซา ขัดสน คนไม่มอง
คนบ้านนา ฟ้าเมืองหลวง ทรวงซอกซ้ำ
ต้องระกำ เหตุใด ไร้สมอง
เก็บเงินเก่า ก้อนสุดท้าย ที่ขายทอง
แล้วลอยล่อง กลับนา มาถิ่นเดิม
25 สิงหาคม 2554 22:58 น.
คนกรุงศรี
แว่วกังวาน ขานขัน ไก่มันกู่
พอเช้าตรู่ ฟ้าแดง แจ้งแล้วหนอ
หนาวลมเหนือ พัดล่อง แสงทองทอ
ข้าวตั้งกอ แกว่งพลิ้ว ลิ่วตามลม
เคยคว้าเคียว กระจาด พร้อมถาดข้าว
ก่อนฟ้าขาว ออกนา มาผสม
เห็นรวงทอง ทั่วแดน แสนชื่นชม
พวกเราก้ม กำเคียว เกี่ยวกันไว
ที่หนุ่มสาว คลอเคล้า กระเซ้ากระซี้
สุขฤดี ยิ่งนัก เพราะรักใคร่
ช่วยกันเกี่ยว เก็บนำ แดดรำไร
ก็กลับไป เรือนชาน บ้านของเรา
วันนี้ตื่น ยืนมอง แล้วหมองหม่น
มิมีคน ทำนา พาใจเหงา
ทุ่งที่เคย เรืองรอง ต้องซบเซา
เหลือเพียงเงา ภาพจาง อย่างอาวรณ์
ทิ้งท้องทุ่ง เหินห่าง จนร้างแล้ว
ไร้ทิวแถว รวงริ้ว ที่ปลิวว่อน
ซากกองฟาง ข้างบ้าน บนลานดอน
กับไถกร่อน ผุพัง เคียงข้างกัน
ลมพัดกิ่ง ก้านไผ่ เอนไหวลู่
เสียงซ่าซู่ เบียดกอ ข้อดังลั่น
ดุจเสียงครวญ หวนมา จากนานั้น
ได้เพียงฝัน วันเก่า ที่เราเคย
25 สิงหาคม 2554 22:30 น.
คนกรุงศรี
เคยนั่งเศร้า เหล้าตั้ง อยู่ข้างตัก
เพราะว่ารัก เป็นพิษ เดินผิดกฎ
ลืมสัญญา แล้วก็ ทรยศ
ล้างเลือนหมด หม่นหมอง ไม่ตรองคิด
เธอทอดทิ้ง จากไป ไร้สำนึก
ความรู้สึก สับสน ดลดวงจิต
มอบสัมพันธ์ มั่นแท้ แด่มิ่งมิตร
เหตุน้อยนิด เดียวมา บอกลาละ
พอพบหน้า คราใด เลิกทายทัก
มิรู้จัก หรือไร จึงได้ผละ
เกลียดฉันหรือ ทรามวัย ใช่สินะ
คนจนจะ คบไย เกรงได้ทุกข์
ด้วยไร้ญาติ ขาดเพื่อน เขาเบือนหลบ
ไม่อยากพบ พาเรา นั่งเจ่าจุก
มีเหล้าอยู่ คู่กาย ก็หลายยุค
เสพก็สุข ลืมได้ ใจมันรับ
แสนซื่อสัตย์ กว่าคน อยู่บนโลก
ถ้าเศร้าโศก วันที่ ฤดีดับ
ก็หันหน้า หาเหล้า เข้าซึมซับ
สุขไปกับ ภาพฝัน จิตมันแนะ
เข็ดแล้วรัก ทำให้ ใจเลี้ยวลด
มัวกำสรด โศกเศร้า เท่านั้นแหละ
หัดปลงตก เสียบ้าง ทางเยอะแยะ
จงวกแวะ หันหน้า มาเข้าวัด