7 กันยายน 2554 22:05 น.
คนกรุงศรี
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
นกกระจาบ ฝูงใหญ่ ไกลเขตขันธ์
พอตกบ่าย บินอ้อม มาพร้อมกัน
จากไพรวัลย์ ลงทุ่ง มุ่งหากิน
สามัคคี มีอยู่ หมู่คณะ
แบ่งภาระ ร่วมกัน มิผันผิน
เป็นตัวอย่าง ให้คน น่ายลยิน
เมื่อโบยบิน พร้อมเพรียง หลบเลี่ยงภัย
พรานวางข่าย ผืนใหญ่ ไว้ยอดหญ้า
ฝูงนกมา ติดมัน มิหวั่นไหว
ต่างก็รวม ร่วมพลัง อย่างตั้งใจ
ยกข่ายไป ติดบน ต้นไม้พลัน
ก็หลุดรอด ปลอดภัย ได้ทุกหน
อยู่มาจน วันหนึ่ง จึงเปลี่ยนผัน
เกิดแบ่งพวก แบ่งคณะ ทะเลาะกัน
สามัคคี ขาดสะบั้น สัมพันธ์จาง
เป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง ต่างแบ่งแยก
มันผิดแปลก จากเดิม ที่เริ่มสร้าง
อัธยาศัย ไมตรี มีเบาบาง
เหมือนว่าต่าง พงศ์เผ่า ต่างเหล่ากอ
พอติดข่าย นายพราน เข้าวันนี้
มิบินหนี กลับเถียง เกี่ยงกันหนอ
นายพรานเขา คอยจ้อง มิต้องรอ
ตะหลบห่อ ทั้งฝูง มุ่งกลับเรือน
3 กันยายน 2554 22:32 น.
คนกรุงศรี
วสันต์ย่าง พร่างพราย ด้วยสายฝน
ตกลงบน ผืนหล้า พาชุ่มชื่น
พฤกษาพันธ์ พืชไพร ใกล้ตายยืน
กลับพลิกฟื้น ยอดแยก และแตกใบ
เยือกเย็นกาย คลายผ่อน หายร้อนรุ่ม
ค่ำเช้ากลุ่ม เมฆา พาเลื่อนไหล
พัดละลิ่ว ปลิวปน บนฟ้าไกล
มืดคลึ้มไป ทั่วแคว้น ทั้งแผ่นดิน
ทุ่งที่แยก แตกระแหง เมื่อแล้งก่อน
นิ่มนุ่มอ่อน ชุ่มไป ด้วยสายสินธุ์
ชาวไร่นา สดใส ในชีวิน
ทั่วทุกถิ่น เตรียมการ หว่านไถดำ
แลนาไร่ ไกลกว้าง กลางผืนหล้า
สุดสายตา ทุ่งทอง มองชุ่มฉ่ำ
กล้าสดเขียว เกี่ยวก้อย คอยปักดำ
ข้าวตั้งลำ ติดกอ ต้นล้อลม
ลำประโดง โค้งเคี้ยว เลี้ยวสมทบ
ไหลบรรจบ เจ้าพระยา มาผสม
ช่วยชุบเลี้ยง ชาวพารา คราทุกข์ตรม
ประชาร่ม เย็นเพราะได้ สายนที
พฤกพนา ป่าใหญ่ ต้นสายน้ำ
มากค่าล้ำ รักษ์ไว้ ไทยน้องพี่
ให้ไพรสัณฑ์ มั่นคง เป็นพงพี
เพื่อชีวี ลูกเหล่า ผองเผ่าไทย
30 สิงหาคม 2554 22:08 น.
คนกรุงศรี
ที่ขอบฟ้า ระเรื่อ เมื่อจวนแจ้ง
ไก่กู่แข่ง ขันขับ รับเสียงขาน
เหมือนถูกปลุก ให้ตื่น จำชื่นบาน
เพื่อเตรียมการ งานหนอ ยังรอคอย
ลุกขึ้นเถิด พวกพ้อง เหล่าน้องพี่
ภาระมี มากก็ อย่าท้อถอย
อย่าให้สาย จนตะวัน นั้นสูงลอย
ถ้าละปล่อย เวลา อาจช้าเกิน
แสนลำบาก ตรากตรำ ต้องจำสู้
เกิดเป็นผู้ ยากไร้ ไยขวยเขิน
ชีวิตยัง หวังอยู่ รู้เผชิญ
ดั้นดุ่มเดิน ต่อไป ในสังคม
เหงื่อโทรมกาย กำยำ ทำหน้าที่
เพื่อชีวี คนหลัง หวังสุขสม
แม้จะเหนื่อย เมื่อยล้า อุราตรม
ก็จำข่ม ใจหม่น เพื่อคนรัก
อนาคต ลูกเรา เขารออยู่
เลยต้องสู้ ต่อไป ให้ประจักษ์
หมดสิทธิ์รอ วาสนา มาทายทัก
ที่พึ่งพัก ได้หรือ คือแรงกาย
เกิดมาเป็น อย่างไร ไม่ถอยผละ
มีฐานะ จนยาก อยากมุ่งหมาย
มั่นในกฎ อดทน จนมลาย
แต่มิหน่าย จะก้าวย่าง เพียงทางดี
30 สิงหาคม 2554 21:31 น.
คนกรุงศรี
ที่ท้องทุ่ง เรืองรอง ส่องด้วยแสง
อาทิตย์แดง แสดสอด จากยอดเขา
สายลมเย็น ล่องลิ่ว ผิวแผ่วเบา
ริมลำเนา ป่าดง พงพีไพร
ข้าวขึ้นเขียว ขจี แซมสีเหลือง
แลรองเรือง ตั้งกอ ช่อไสว
ตกรวงล้อ ลมพลิ้ว ปลิวแกว่งไกล
เสียงกู่ไก่ ขันก้อง ริมท้องนา
ห้วยละหาน ธารใกล้ ไหลเอื่อยเฉื่อย
ระรินเรื่อย ลิ่วหลาก จากภูผา
น้ำเย็นใส กระเซ็น เห็นฝูงปลา
แหวกธารา เวียนว่าย แทรกสายชล
จากบางกอก กลับมา อยู่ป่าเขา
เพื่อคลายเศร้า โศกใจ พอได้ผล
ธรรมชาติ บ้านนา ช่างน่ายล
หนีจากคน ที่ทำ ให้ช้ำทรวง
ตอนเข้ากรุง มุ่งหา อนาคต
อยากใสสด รุ่งเรือง ในเมืองหลวง
แต่หม่นหมอง ต้องผจญ คนหลอกลวง
น้ำตาร่วง ระกำ จึงจำจร
สาวบ้านนอก มิหลอกใคร ให้เจ็บช้ำ
กล่าวถ้อยคำ จริงใจ ไร้เล่ห์หลอน
ทั้งเกื้อหนุน จุนเจือ เอื้ออาทร
อยู่บ้านดอน สุขล้น กว่าคนกรุง/font>
29 สิงหาคม 2554 22:09 น.
คนกรุงศรี
หน้ากระจก มองเงา นี่เราหรือ
อะไรคือ สิ่งแน่ ที่แท้หนอ
ทุกอย่างเปลี่ยน เวียนไป ไม่รั้งรอ
ใบหน้าก้อ วงเดิม แต่เพิ่มรอย
ขอบตาหย่อน ยานรับ กับริ้วย่น
เส้นผมบน ศรีษะ ดูจะถอย
ก่อนดำดก เดี๋ยวนี้ มีเพียงปอย
ฟันเหลือน้อย หลุดหรอ ไม่รอเรา
เคยผ่านร้อน ผ่านฝน จนชุ่มโชก
เมื่อทุกข์โศก หม่นหมอง ถึงต้องเหงา
สู้ฟันฝ่า อุปสรรค แม้หนักเบา
พ้นโศกเศร้า สังขาร จวบบั้นปลาย
หวังอะไร กันหนอ ต่อชีวิต
ค่อยค่อยคิด กันก่อน ถึงตอนสาย
มินานนัก จักจะ ละมลาย
สร้างความหมาย ของชีวิต ก่อนปลิดปลง
อายุเรา นั้นน้อย ถึงร้อยหรือ
สิ่งใดคือ ความดี ที่เหลือหลง
เวลากาล ผ่านไป ไม่ยืนยง
สักวันคง ดับม้วย ด้วยชรา
สังขารฉัน วันนี้ ยังมีอยู่
จึงจำสู้ ต่อไป ไม่กังขา
เอาพระธรรม นำใจ หวังได้มา
เพียงแค่ว่า มิโดดเดี่ยว หรือเดียวดาย