7 ตุลาคม 2554 22:36 น.
คนกรุงศรี
ตาชะแล แก่ชรา อายุเยอะ
เดินงกเงอะ บางครั้ง ยังมิไหว
สังขารแย่ แพ้พิษ ผิดกับใจ
ที่สดใส แสนดี มีคารม
ด้วยโรคภัย ไข้เจ็บ มาเหน็บแหนบ
เหมือนปวดแสบ ทนทุกข์ มิสุขสม
อีกทั้งข้อ แขนขา ซาระบม
จะลุกก้ม ลมตี มีอาการ
จึงห่างหาย ลายสือ เคยสื่อถ้อย
อยากเรียงร้อย แต่แย่ แพ้สังขาร
เมื่อหวนคิด ผิดกัน กับวันวาน
เคยสืบสาน ขีดลาก ปลายปากกา
ด้วยวิญญาณ การกลอน เหมือนหลอนหลอก
กระซิบบอก ตอกย้ำ คำครหา
ฤๅแสงไฟ ไม่กรุ่น แล้วคุณตา
ทิ้งภาษา สู่ดิน ดั่งสิ้นมนต์
เขาเยียวยา มาก็ พอเบาบ้าง
เมื่อไข้สร่าง ทรงกาย ก็ได้ผล
ดินสอดำ กำใส่ ในมือตน
ขีดเขียนบน กระดาษ วาดวจี
อย่างเขาว่า ลาห่าง ทางอักษร
คารมกลอน กร่อนหาย มันหน่ายหนี
สมองทึบ อึบอับ ขับวลี
หากมิดี ตาก็ขออภัย
ขรัวตา
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา
7 ตุลาคม 2554 22:24 น.
คนกรุงศรี
นักเลงกลอน นอนเปล่า เขาว่าคร้าน
ก็เพราะงาน เงินทอง ต้องรีบหา
ซื้อข้าวสาร กรอกหม้อ ต่อชีวา
เห็นเรียงหน้า ตาดำดำ จำฝ่าฟัน
กายก็ล้า แรงใจ ให้ท้อแท้
อยากยอมแพ้ แม้คิด ผิดมหันต์
ชีวิตยัง มิสิ้น ต้องดิ้นกัน
รอถึงวัน เวลา บุญมาเยือน
หยุดเขียนกานต์ นานนัก ใจชักคิด
ถึงมวลมิตร เมื่อวัน ฉันมีเพื่อน
สุขครั้งเก่า เฝ้าบอก ตอกย้ำเตือน
มิได้เลือน ลาพราก จากดวงมาน
หยิบปากกา หากระดาษ วาดอักษร
ร่างบทกลอน ตอนจิต คิดไขขาน
ด้วยทิ้งห่าง ร้างรา มาเนานาน
จึงมิหวาน ไพเราะ เสนาะเลย
สนามกลอน ตอนนี้ มีน้อยนัก
อนุรักษ์ สืบไป ได้ไหมเอ่ย
ผิดกับตอน ก่อนเก่า ที่เราเคย
ร่วมเอื้อนเอ่ย คารม คมปากา
มาเถอะนะ นักกลอน อย่านอนเขลง
ช่วยบรรเลง วรรณกรรม นำภาษา
ลับสมอง ของเรา เรียงเข้ามา
รจนา กลั่นกรอง ทำนองกานท์
5 ตุลาคม 2554 22:52 น.
คนกรุงศรี
เธอเก่งกล้า สามารถ เกินคาดหมาย
งานท้าทาย หลายอย่าง ร่วมสร้างสรรค์
มธุรส หลายวลี ที่จำนรรจ์
เรียกมือชั้น เทพได้ มิอายคน
เธออ่อนน้อม ถ่อมตน ปนฉอเลาะ
วัยขบเผาะ หรือเปล่า เราฉงน
ฟังคารม คมคาย หลายเชิงกล
ยังสับสน อยู่ใน ดวงใจเรา
เธอเป็นใคร ก็ช่าง ร่วมสร้างฝัน
ฉุดวงวรรณ กวี ที่ซึมเศร้า
ช่วยเขยิบ เถิบมา อย่าซบเซา
นะเร็วเข้า ร่วมกัน สรรผลงาน
แน่ะเมืองไทย วรรณศิลป์ ใกล้สิ้นสาย
จะมลาย รุ่นเรา เขาเล่าขาน
ขอเชิญชวน พี่น้อง ร้อยกรองกานต์
ให้ลูกหลาน ยิ้มยล มนต์กวี
คนกรุงศรี ฯ
4 ตุลาคม 2554 22:39 น.
คนกรุงศรี
เมื่อรู้ว่า ดวงจิต เธอคิดถึง
ก็ตราตรึง ซึ้งใจ ให้วาบหวาม
ถ้อยวลี ที่เอ่ย เฉลยความ
สอนสั่งตาม ใจที่ มีอาทร
เรามุ่งมั่น สัญญา ว่ามิหน่าย
จะไม่คลาย เมตตา อย่าสังหรณ์
แต่ส่วนลึก ดวงใจ ยังไหวคลอน
เมื่อคิดย้อน ก็พรั่น หวั่นฤทัย
หวนขึ้นมา คราใด ก็ใจหาย
กลัวกลับกลาย เปลี่ยนผัน สุดหวั่นไหว
เขาคนนั้น ฉันรู้ แม้อยู่ไกล
เคยชิดใกล้ เคียงกัน เมื่อวันวาน
3 ตุลาคม 2554 22:25 น.
คนกรุงศรี
ฟังเสียงขลุ่ย โหยหา พาใจหวน
จึงรัญจวน รักจาง อย่างใจหาย
รู้ว่าเจ็บ เหน็บร้าว หนาวใจกาย
แต่ก็สาย แล้วหนอ ท้อใจเกิน
คำสัญญา ยังอยู่ คู่ใจสาว
ครั้งที่กล่าว เธอให้ ด้วยใจเขิน
มาวันนี้ เหตุใด ดวงใจเมิน
ต้องเผชิญ ความหม่น จนใจตรม
อยากบอกว่า ยามนี้ มีใจภักดิ์
เกรงเจ็บหนัก หมองไหม้ จนใจขม
กลัวจะจาก พรากไป จนใจซม
ทุกข์ระทม จริงแท้ แพ้ใจเธอ
พอดวงจิต คิดไป พาใจหน่าย
ยังเสียดาย ตัวที่ มีใจเผลอ
ต้องผิดหวัง เพราะเขลา เราใจเบลอ
จึงมาเจอ คนซื่อ หรือใจเก
บางครั้งที่ คิดถึง จึงใจหม่น
เจ็บเสียจน หม่นไหม้ ดวงใจเขว
เพราะยังจำ สัญญา พาใจเซ
เพราะรวนเร หรือไม่ ดวงใจนี้
แว่วเสียงขลุ่ย อีกคราว สาวใจหวั่น
อยากลืมวัน เคยรัก หักใจหนี
ทนระทม ตรมเศร้า เข้าใจดี
ด้วนมิมี คนใด รู้ใจเรา