7 พฤศจิกายน 2554 22:12 น.
คนกรุงศรี
เฝ้าสร้างฝัน วันข้างหน้า อนาคต
กะกำหนด แนวทาง วางรากฐาน
ไม่ต้องรอ พรหมลิขิต ผิดหลักการ
เพราะร้าวราญ มามาก จึงอยากลอง
ถือหางเสือ เรือชีวิต ตามคิดหวัง
รวมพลัง หลายหลาก จากสมอง
ใช้สติ ปัญญา มาปกครอง
แล้วลอยล่อง นาวา ท้าคลื่นลม
จะเนิ่นนาน กาลใด ก็ไม่หวั่น
ฤทัยมั่น ก้าวย่าง อย่างเหมาะสม
ถึงจุดหมาย เมื่อไร ใคร่ชื่นชม
เคยช้ำตรม คงคลาย ที่ปลายทาง
มินอนรอ วาสนา ให้มาถึง
มิต้องพึ่ง ใบบุญ เกื้อหนุนสร้าง
มิเคยท้อ ว่าเวรกรรม จะอำพราง
มิเคยอ้าง กุศล ที่ตนทำ
อาจทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็ช่างเถิด
เมื่อได้เกิด เป็นคน อย่าบ่นพร่ำ
แล้ววันนี้ จะให้ ใครเขานำ
มิเลิศล้ำ แล้วก็ อย่าท้อใจ
เพียรสร้างฝัน วันหน้า อนาคต
จะสวยสด สมปอง หรือหมองไหม้
แม้เหนื่อยยาก ตรากตรำ ทนทำไป
อย่างน้อยได้ ความดี ที่ติดตน
7 พฤศจิกายน 2554 22:08 น.
คนกรุงศรี
เสียงฉิ่งฉับ กรับเกราะ เสนาะหู
หญิงชายผู้ ชรา ใบหน้าหมอง
นัยตามืด มิอาจ สามารถมอง
เดินเยื้องย่อง ร้องเพลง บรรเลงไป
ผมขอเศษ ส่วนทาน ท่านเจ้าขา
โปรดเมตตา ตัวฉัน นั้นได้ไหม
เพียงแค่เฟื้อง สลึง ก็พึงใจ
สะสมไว้ พอมื้อ ซื้อข้าวกิน
หมดที่พึ่ง พักพิง ยิ่งแสนยาก
ทนลำบาก หม่นไหม้ ไร้ทรัพย์สิน
ต้องเตร็ดเตร่ เร่ร่อน นอนกลางดิน
เพราะสูญสิ้น ดวงตา มันฝ้าฟาง
เราหากิน ไม่พอ จึงขอท่าน
โปรดทำทาน ผ่านมา อย่าเมินหมาง
อนาคต ที่อยู่ ดูเลือนลาง
ปันสตางค์ สร้างกุศล ช่วยคนจร
วณิพก เยื้องกราย ร่ายรำร้อง
เพื่อปากท้อง อยู่ได้ ไม่หลอกหลอน
เดินขับกล่อม ให้ครื้นเครง ด้วยเพลงกลอน
แลกที่นอน ที่กิน ก่อนสิ้นใจ
แต่ฉันเป็น วณิพก ผู้ตกต่ำ
มาพรอดพร่ำ คำหวาน วอนขานไข
หวังที่จะ สมาน สานสายใย
รอสาวให้ ทานรัก เราสักคน
คนกรุงศรีฯ
5 พฤศจิกายน 2554 23:33 น.
คนกรุงศรี
เคยป้องปราม ห้ามใจ ไม่ให้รัก
เกรงเจ็บหนัก หักใจ ก็ไม่หมาย
ใจมันดื้อ ถือว่า สิ่งท้าทาย
แล้วสุดท้าย ทุกข์ตรม ก็ถมทรวง
สมน้ำหน้า นะใจ ไม่เคยเข็ด
ปองจะเด็ด ดวงดาว ที่พราวสรวง
บ่อยนักที่ กมล พบคนลวง
น้ำตาร่วง หลายครั้ง ยังไม่จำ
ใจเอ๋ย เคยพบไหม คนใจซื่อ
เจ้าเคยหรือ ฟังวาจา ข้าพูดพร่ำ
เพราะไม่เจียม จึงต้อง หมองระกำ
จะว่าซ้ำ ไปไย ก็ใจเรา
รักแล้วร้าง ห่างไป ใจปวดเจ็บ
ทนกักเก็บ เท่าไร ใจยังเหงา
ปล่อยน้ำตา บ่าไหล ได้บรรเทา
พบหน้าเข้า คราใด ใจงอแง
เจ็บไม่จำ เจอใหม่ ใจก็หลง
คราวนี้คง สมหวัง จริงจังแน่
เฝ้าห่วงหวง พธู คอยดูแล
มั่นคงแท้ มุ่งหวัง อย่างตั้งใจ
แล้วเจ็บก็ มาเยือน เหมือนครั้งก่อน
มานร้าวรอน ทุกข์ท้น สุดทนไหว
คงจะต้อง เลิกร้าง หรืออย่างไร
ดวงฤทัย ยับเยิน เกินเยียวยา
คนกรุงศรึ ฯ
5 พฤศจิกายน 2554 23:14 น.
คนกรุงศรี
ขลุ่ยบรรเลง เพลงเศร้า สุดเหงานัก
ยินกลอนรัก เร้ากมล จนไห้หวน
เมื่อยามฟัง ครั้งใด ใจรัญจวน
คิดถึงนวล น้องพี่ ที่จากลา
เคยนั่งเรียง เคียงกัน ชมจันทร์ส่อง
สาดทั่วท้อง นที ที่เจิดจ้า
ลมเหนือหนาว แนบชิด ติดกายา
ยังหยิบผ้า คลุมไหล่ ให้กับนาง
ครั้นจันทร์ลับ กลับเรือน เฝ้าเตือนย้ำ
ทั้งข้าวน้ำ หยูกยา อย่าละห่าง
ความอาทร ห่วงใย ไม่เจือจาง
สองเราต่าง ชื่นสุข อยู่ทุกวัน
คืนนี้หนาว ร้าวใจ ให้สับสน
มองจันทร์หม่น หมองไหม้ จนใจพรั่น
หรือว่าเดือน เหมือนข้า อยากจาบัลย์
เจ้าแบ่งปัน ทุกข์ข้า หรือว่าไร
เมื่อเดือนดับ ลับไป ใจหม่นหมอง
ยังเหม่อมอง นภา ดาราใส
น้ำตาเคย รินหยด รดภายใน
ตอนนี้ไหล เปียกสอง ของแก้มชาย
นานเท่าไร ไม่เปลี่ยน หมุนเวียนผัน
สัญญามั่น มีอยู่ มิรู้หาย
ยังคะนึง ถึงอยู่ มิรู้วาย
คงจะคลาย เมื่อวัน ฉันหลับตา
4 พฤศจิกายน 2554 22:08 น.
คนกรุงศรี
แม้เป็นฝัน อันไกล ไม่สมหวัง
แต่ก็ยัง อยู่ใน ใจประสงค์
กำแพงแกร่ง นั้นหรือ คือซื่อตรง
และดำรง เกียรติ์เธอให้ ไร้มลทิน
รักคือรัก ปักใจ ไม่เคยละ
ถึงกาลจะ นานเนา เฝ้าถวิล
มอบห่วงหา มาไว้ ให้ยลยิน
มิเคยสิ้น เมตตา และปรานี
หากความฝัน นั้นไกล ขอให้เลือก
กะเทาะเปลือก แลใน ให้ถ้วนถี่
เมื่อตรองจบ พบผล ว่าคนดี
เธอคงมี สิทธิ์เห็น ฝันเป็นจริง
เพราะว่ารัก และห่วง ดุจดวงจิต
แต่มิปิด เปิดได้ ให้ทุกสิ่ง
เมื่อห้องใจ มิพำนัก อยากพักพิง
มิทอดทิ้ง แม้ใจ จะไหม้เกรียม
หยุดยืนอยู่ กับที่ มีแค่รัก
ที่ประจักษ์ ก็รู้ อยู่เต็มเปี่ยม
เคยผ่านมา ไม่ประสบ พบใครเทียม
แต่ก็เตรียม ใจรับ จับนิจจัง
อยู่กับฝัน จนกว่า ชีวาสิ้น
น้ำตาริน แรงลด หมดความหวัง
เป็นผู้อื่น ใจอาจแปร แต่เรายัง
ซื่อตรงดั่ง ทิวา ต่างราตรี