1 มีนาคม 2549 14:38 น.
ขุนเขายะเยือก
ณ เส้นขอบฟ้า ยามราตรีอันดึกสงัดเงียบจากเสียงสรรพสิ่ง ในความมืดที่ไม่เห็นแม้แต่ลายมือตัวเอง ไอแห่งความหนาวสะท้านไปทุกรูขุมขน ฉันเดินไปบนถนนสายช้างเผือกที่ทอดยาวไปไกลสุดตา ฉันแหวกผ่านความมืดไปได้สักพัก แสงสว่างจากดวงดาวเริ่มทอดแสงนำทางฉันไปเรื่อยๆ
ฉันพบที่พักรุ่งกินน้ำที่หลับใหลอยู่อย่างสงบในยามหลับใหลนั้นรุ่งกินน้ำไม่ได้มีเจ็ดสีอย่างที่ฉันเคยเห็น ยามที่รุ่งกินน้ำหลับใหลนั้นรุ่งกินน้ำมีสีขาว ฉันไม่อยากจะรบกวนรุ่งกินน้ำมากนักหรอก เพราะว่าฉันไม่ได้เห็นรุ่งกินน้ำบ่อยๆเหมือนตอนเป็นเด็ก สงสัยรุ่งกินน้ำคงจะเหนื่อยละมั่งเลยไม่ค่อยออกมาให้ฉันเห็น
ฉันเดินมาไกลมากแล้วรู้สึกหิวน้ำ ฉันเอามือของฉันวักน้ำจากก้อนเมฆขึ้นมากดื่มดับกระหาย แต่ก็ต้องบ้วนน้ำทิ้งไปเพราะน้ำนั้นมีสิ่งสกปรกอยู่มาก อีกทั่งรสชาติก็เปรี้ยวด้วย ฉันรู้สึกแสบแปรบๆที่ปาก ฉันสงสัยมากเพราะตอนเป็นเด็กฉันก็เคยดื่มน้ำฝนก็ดื่มได้แถมมีรสอร่อยด้วย ฉันเหนื่อยแล้วหละฉันมองดูทุกอย่างมันมีแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ฉันได้ยินเสียงใครร้องให้.....ฉันเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ เสียงนั้นใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา..... ... ฉันแปลกใจ พระจันทร์ร้องให้ พระจันทร์บอกฉันว่าพระจันทร์เหงามากเพราะทุกวันนี้พระจันทร์ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางท้องฟ้า เพราะว่าแสงไฟจากเมืองใหญ่ไปบดบังกีดกันไม่ให้พระจันทร์ได้ พบกับดวงดาว พระจันทร์ร้องไห้อยู่เดียวดายบนฟากฟ้า
ฉันเศร้าใจมากที่เห็นทุกๆอย่างเปลี่ยนไป และบางอย่างก็ค่อยๆหายไป โดยที่ฉันไม่เคยสังเกตเลย โอโซนก็มีช่องโหวมากมาย อากาศก็ร้อนขึ้นทุกที ฉันมองไปเบื้องล่างผู้คนกำลังเร่งรีบที่จะออกจากบ้านเพื่อไปเผชิญชีวิตบนแท่นคอนกรีต รถราขวักไขว่ไปหมดฉันเหนื่อยแล้วหละฉันอยากพักแล้ว แต่โลกพักไม่ได้ โลกพักไม่ได้ และโลกไม่เคยและไม่มีโอกาสที่จะได้พักเลย......
ฉันเห็นทุกอย่างพังพินาศลงแล้ว ทุกอย่างตายหมด โลกเหลือแต่ความว่างเปล่าไม่มีต้อไม่สีเขียว มีแต่ผืนดินที่แตกระแหง ซากศพเกลื่อนพื้น โลกกำลังจะตาย..................
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุก
20 กุมภาพันธ์ 2549 21:57 น.
ขุนเขายะเยือก
มนุษย์ถูกสร้างมาจาก ?
ท่ามกลางราตรีที่ดึกสงัดราวๆตี2 ตี3 เห็นจะได้ ( เดาเอาเพราะไม่มีนาฬิกา ) หลังจากฉันได้กลับจากสังสรรค์กับเพื่อนฝูง คืนนั้นฉันดื่มหนักมากเพราะฉันผิดหวังกับบางสิ่ง.... หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน ฉันเดินตามถนนไปเรื่อยๆ พร้อมกับซดเบียร์ที่หยิบติดมือมาด้วย คืนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างช่างเงียบสงัดราวดั่งว่าบนโลกนี้มีฉันอยู่เพียงคนเดียว ฉันขนลุกสู้เมื่อปะทะกับลมที่พัดมาเย็นจับใจฉันเหลือเกิน มันยิ่งทวีความเหงาของฉันขึ้นเป็นเท่าตัว แล้วมีสิ่งต่างๆมากมายผุดพลันขึ้นมาในชีวิตของฉัน เป็นต้นว่า ทำไม่นาฬิกาถึงมีแค่เลข 12 ทั้งๆที่เวลามี 24 ชั่วโมง แล้วทำไมคนเราต้องเรียบเร่งทำสิ่งต่างๆ แข่งกับเข็มนาฬิกาที่มันหมุนวนไปวนมา มันทำให้ฉันฉุดคิดถึงทำพูดที่ท่านอังคาร กล่าวไว้ว่า เวลาเป็นสิ่งหลอกลวง แม้แต่นาฬิกาสองเรือนยังเดินไม่ตรงกัน
ฉันหยิบเบียร์ขึ้นมาซดหนึ่งอึกใหญ่ๆ พลันก็นึกไปถึงว่าสิ่งได้กันเล่าที่สร้างให้ มนุษย์เกิดขึ้นมา ( ฉันไม่ต้องการคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์เพราะมันถูกพูดกลอกหูฉันมาตั้งแต่อนุบาล.....และหน้าเบื่อด้วย ) มนุษย์ถูกสร้างมาจากสิ่งได้กันเล่า..... เมื่อฉันเห็นเด็กกำลังได้รับอันตรายฉันทำอย่างไร...แน่นอนฉันต้องเข้าไปช่วยแน่นอนถึงแม้ว่ามันจะสุดความสามารถก็เถอะนะ แล้วคนส่วนใหญ่หละเมื่อเห็นคนอื่นเกิดอันตราย.....ถึงแม้จะเป็นโจรปล้นธนาคารถ้าเขาเห็นคนเกิดอันตรายเขาจะช่วยไหม......เขาคงจะช่วย..... ทำไม... ถึงแม้จะเป็นคนที่ชั่วช้าต่ำทรามขนาดไหนถ้ายังมีใจที่เป็นมนุษย์อยู่เมื่อเห็นคนอื่นประสบเคราะห์ภัย เสียชีวิตลงต่อหน้าต่อตา คงจะต้องเศร้าสะเทือนใจเป็นแน่ เพราะอะไรกันเล่าถึงเป็นเช่นนั้น ในจิตสำนึกลึกๆแล้วทุกๆคนมีความรักแฝงอยู่และพร้อมที่จะมอบให้กับคนอื่นตลอดเวลา นั้นคือสิ่งที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์ทุกผู้ทุกนามถูสร้างขึ้นมาด้วยความรัก ดังนั้นความรักจึงแฝงตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกฉันลองค้นเข้าไปในจิตไต้สำนึกของฉันอยู่ประมาณ 2 นาทีเห็นจะได้ มีความรักอยู่เต็มไปหมด
มันทำให้ฉันมีความรักให้กับคนอื่น มันทำให้ฉันมีความรักให้กับคนทุกคน มันทำให้ฉันมีความรักให้กับคนที่ฉันชอบ เพราะฉันถูกสร้างขึ้นมาจากความรักนั้นเอง ฉันถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากความรัก ฉันถูกสร้างขึ้นมาจากความรักของคนสองคน จนมาวันนี้มันทำให้ฉันสามารถที่จะมีความรักให้กับทุกคน มีความรักให้กับใครก็ได้ตามที่ใจฉันปรารถนา .....ฉันถูกสร้างมาจากความรัก
ฉันกระดกเบียร์จนหมด...แล้ววางไว้ข้างทางริมทางเดิน
20 ก.พ.2548
16 กุมภาพันธ์ 2549 19:31 น.
ขุนเขายะเยือก
ในชีวิตของคนเราจะมีสักกี่คนที่สามาทำได้ดังใจปรารถนา จะสามารถนาประสบความสำเร็จไปทุกๆสิ่ง ในความเป็นจริงแล้วทุกคนมักจะลืมเลือนบุคคลที่มีพระคุณเมื่อเวลาผ่านไป
ใครจำได้ไหม? ....ครูคนแรกของเราชื่ออะไร
ใครจำได้ไหม? ....เพื่อนคนแรกของเราชื่ออะไร
ใครจำได้ไหม? ....คนที่เรารู้สึกชอบคนแรกชื่ออะไร
ใครจำได้ไหม? ....ใครจำได้ไหม? .... ใครจำได้ไหม? ....
สิ่งใดเล่าที่กลืนหายความรู้สึก ความทรงจำ ของเราจนแทบจะลืมเลื่อนว่ามันเคยเกิดขึ้นกับเรา
ในท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในเมืองหลวง ในสังคมที่มีการแก่งแย่งแข่งขันกันไม่มีที่สุดสิ้น ในท่ามกลางความขัดแย่งระหว่างขาวกับดำ ในท่ามกลางความขัดแย่งระหว่างถูกกับผิด ในท่างกลางอากาศที่ร้องระอุราวกับจะแผดเผาเป็นผุยผง ในท่ามกลางสายฝนที่เปียกปอนจนเผยให้เห็นมังสาที่ปิดบังไว้ด้วยอาภร ในท่ามกลางอากาศหนาวที่แทบจะเป็นตุ๊กตาหิมะ ในท่ามกลางความขัดสนแล้งแค้นจนแทบไม่มีจะกิน ในท่ามกลางความมั่งคั่งรำรวยจนกลัวว่าธุรกิจจะขาดทุน ในท่ามกลางความเห็นแก่ตัวจนก่อให้เกิดสงคราม ในท่ามกลางเด็กกำพร่า ในท่ามกลางผู้อดอยากหิวโหย ในท่ามกลางความแตกแยกทางความคิดจนก่อให้เกิดความแตกแยกทางสังคม ในท่ามกลางระหว่างความรักและความเกลียดชัง เรายืนอยู่ที่ใดกันเล่า... ที่ผ่านมาเรายื่นอยู่ในท่ามกลางตลอดเวลา จนบางคนชินชาไปเสียแล้ว ไม่มีความรู้สึกไปเสียแล้วในท่ามกลางนั้น......
ท่ามกลางกาลเวลา เรากำลังยืนอยู่ในท่ามกลางการเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดไม่รู้จะไปหยุดที่ตรงไหน ไม่รู้ว่ากาลเวลาเคยหยุดอยู่ที่ใด จนคนแล้วคนเล่าที่ต้องพ่ายแพ้ต่อกาลเวลา เพราะกาลเวลาไม่เคยหยุด แต่ ณ บัดนี้กาลเวลานั้น สำหรับฉันกาลเวลาได้หยุดไว้แล้ว ฉันหยุดกาลเวลาเอาไว้ให้ตราตรึงอยู่ในหัวใจ หยุดช่วงเวลาประทับใจทุกช่วงให้หยุดนิ่ง แม้ในบางครั้งกาลเวลาพยายามพังทลายกำแพงแห่งความทรงจำในใจฉันเพื่อทำลายช่วงเวลาประทับใจของฉันที่หยุดเอาไว้ให้ลบเลื่อนลงไป แต่ก็ไม่เป็นไร ...เพราะถึงแม้มันจะลบเลื่อนลง ฉันยังสามารถเอาหัวใจของฉันไปสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้หล่อหลอมให้ฉันเติบโตขึ้นมา ณ ขณะนี้
สิทธิชัย แก้วพวง 16/ก.พ./2546.