18 กรกฎาคม 2548 18:59 น.
ขลุ่ยหลิบ
ในยามนี้ยามที่ใคร ๆ เรียกว่า
ยามสายัณห์.......
ดวงตะวันสีส้มสดกำลังจะลาลับไปจากขอบฟ้าเบื้องหน้า
ทองฟ้าสีส้มปนเทา กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นดำสนิท
เมื่อเจ้าชายแห่งรัตติกาลเดินทางมาถึง
ท้องน้ำเบื้องหน้าเป็นสีทองจากประกายของดวงอาทิตย์
เสียงน้ำกระทบกับตลิ่ง
ฟังดังเสียงวงดนตรีวงใหญ่กำลังบรรเลงบทเพลงธรรมชาติ
เวลาล่วงเลย.........
ตะวันลับฟ้าไปแล้ว
ในยามนี้มีเพียงจันทร์รูปเคียวที่เกาะเกี่ยวอยู่บนฟ้า
กับดวงดารานับหมื่นนับแสนที่ส่องแสงระยิบระยับ
บนม่านฟ้าสีดำสนิท งามราวเพชรน้ำหนึ่ง
ที่ประดับอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีดำผืนใหญ่
ธรรมชาติเบื้องหน้างดงามนัก
จนทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ ณ ศาลาริมน้ำ
ไม่ยอมที่จะขยับเขยื้อนตัวไปไหน
กลิ่นดอกไม้ไทยหลายชนิดส่งกลิ่นอบอวลมาตามลม
หรีดหริ่งเรไรก็แซ่ซร้องประสานเสียง
ทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงามากนัก
ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งพรม
สายลมยิ่งพัดพาความหนาวเย็นมาต้องผิวกาย
ทำให้หวนนึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของใครบางคน
นึกถึงเสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบแผ่ว ๆ อยู่ข้างหู
"เราจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป"
เป็นคำที่ยังติดตรึงอยู่ในหัวใจตลอดมา
แต่คำพูดนั้นมันไม่จีรัง
เมื่อคนที่เคยบอกว่าจะอยู่เคียงข้างกัน
กลับมาจากกันไปโดยไร้วี่แววว่าจะหวนคืน
น้ำค้างหยดน้ำตาหยาด
"อ่อนล้า
หยาดน้ำตาไหลรินลงเป็นสาย
เมื่อฉันยังคิดถึงเธอไม่คลาย
เหน็ดเหนื่อยกายทั้งอ่อนเปลี้ยเพลียหัวใจ
ฉันรักเธอมากไปใช่หรือเปล่า
ยังคงเฝ้าย้ำถามความสงสัย
ยังเก็บเธอในฝันทุกวันไป
ทั้งทั้งรู้เธอไม่เคยไยดี"
จากความรู้สึกกลั่นออกมาเป็นอักษร
จดจารไว้เป็นความทรงจำเสี้ยวหนึ่งของชีวิต
ถึงความรักของเราจะจบลง
แต่ความรักของฉันจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป
ถึงเราจะต้องจากกัน
แต่ฉันก็ยังดีใจ
ที่ครั้งหนึ่งเราเคยใกล้ชิดกัน
และฉัน........ได้รักเธอ
28 มิถุนายน 2548 21:58 น.
ขลุ่ยหลิบ
วันนี้ผมนั่งมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าวันนี้ก็เหมือนกับทุก ๆ วัน
ในยามที่ผมได้มอง
ผิดแต่ว่าวันนี้ฟ้าดูไม่สดใสเท่ากับทุกวันที่ผ่านมา
จันทร์เพียงครึ่งดวงในวันนี้หรือเปล่านะ
ที่ทำให้ฟ้าดูเหงาหงอย
ดาวก็พลอยหรี่แสงคล้ายจะดับลับไปกระนั้น
รอบ ๆ ตัวมีเพียงความมืดมิด ไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร
แม้หรีดหริ่งเรไรยังเงียบเสียง
หากจะพูดถึงความอ้างว้าง
ดูเหมือนว่า ผมจะเข้าใจความหมายของคำคำนี้
มากกว่าใคร ๆ
เพราะผมมีสิ่งนี้เป็นดังเงาตลอดมา
เสียงเพลงเพลงหนึ่งดังแว่วมาตามลม
...บินไปเดียวดาย..กลางสายลมแปรปรวน...
เพียงทะเลครวญ....ฟังคล้ายเป็นเพลงเศร้า...
ค่ำคืนนี้ฉันเพลีย..ฉันเหนื่อย..ฉันหนาว
และเหงาเหลือเกิน...
ไม่เคยมีใคร..มีรักแท้จริงใจ...
จ้องมองทางใด..ดูเคว้งคว้างว่างเปล่า...
ฝ่าลมฝนลำพัง...มากี่ร้อนหนาว....
จนล้า...สิ้นแรง...
* ไม่อยากเห็นภาพใด..แม้แต่ท้องฟ้า...
อยากจะพักดวงตา...ลงชั่วกาล....
จะไปซุกตัวนอนซ่อนกายในเงาจันทร์...
จะหลับฝันไม่ขอตื่น..ขึ้นมา.....
คงจะมีเพียง...ลมหายใจรวยริน....
เอนกายบนดิน...ยอมรับความแพ้พ่าย....
ปีกของฉันมันหนัก....บินต่อไม่ไหว....
จะขอพักกายชั่วกาล.....
เสียงเพลงจบแล้ว ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
แต่สิ่งที่เพิ่มเติม คือ ความสะท้อนสะท้านใจ
เนื้อเพลงเพลงนี้ช่างเศร้านัก
คล้ายกับใจผม
ในความคิดของผมยามนี้ กระหวัดไปถึง
คนตัวเล็ก น้องน้อยที่ผมคอยปกป้อง
คอยงอนง้ออยู่ตลอดเวลา
คนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดใสเหลือเกิน
เมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มของเธอ
นึกถึงวันนั้น
วันที่จากลา
ผมต้องแกล้งทำเป็นว่าไม่สนใจ
แสร้งทำเป็นห่างเหิน เย็นชา
และหันหลังจากมาโดยไม่หันไปมอง
เพราะผมไม่อยากให้เธอได้เห็นน้ำตา...น้ำตาลูกผู้ชาย
เธอคงไม่รู้ว่า
ผมปวดใจเพียงใดเมื่อเธอบอกลาผมไปไกล
โดยไม่มีเหตุผลและมันก็ต่างจากทุกครั้งที่เธอเอ่ยคำลา
การกล่าวลาครั้งนี้ มีนัยว่าผมจะไม่ได้พบกับเธออีก
ความไม่เข้าใจดูจะเป็นเหมือนม่านบาง ๆ
ที่กั้นให้เราห่างกัน
ผมไม่สามารถจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้
ผมครวญคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ของเรา
ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นความทรงจำที่ดีเสมอ
เราต่างก็รู้ว่าเรามีกันและกัน
คอยเสริมสร้างกำลังใจให้แก่กันในยามที่ทุกข์ท้อ
คอยส่งยิ้มอย่างห่วงใยในยามสุข
แต่บัดนี้ทุก ๆ อย่างได้จางหายไป
สูญสลายราวสายลมที่พัดผ่าน
ผมอยากจะเรียกวันคืนเก่า ๆ เหล่านั้น
ให้ย้อนคืนมา
อยากจะขอให้ความสุขที่ผ่านไปราวสายน้ำ
ได้ไหลทวนกลับมา.........
ดวงจันทร์ได้ลาฟ้าไปแล้ว
แสงสีทองได้สาดส่องมาทางทิศตะวันออก
บอกสัญญาณแห่งวันใหม่
เช้าแล้วหรือ........
แต่ผมยังรู้สึกว่าผมยังนั่งอยู่ท่ามกลางความมีดมิด
เพราะแสงตะวันของผมได้ลาจากไปแล้ว........ชั่วนิรันดร์
18 มีนาคม 2548 22:19 น.
ขลุ่ยหลิบ
รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากชานชลาแล้ว
เวลานี้ยังเช้านัก
พระอาทิตย์ยังไม่โผล่หน้ามาเยี่ยมเยือน
ท้องฟ้าสีจางดูหม่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มสว่างขึ้น
พร้อมกับแสงเรื่อ ๆ ที่สาดส่องมาจากทางทิศตะวันออก
ภาพต่าง ๆ สองข้างทาง ผ่านเข้ามาในสายตา
แต่ทว่า
เวลานี้ ในจิตใจหาได้รับรู้เกี่ยวกับภาพเหล่านั้นไม่
ภาพเดียวที่อยู่ในใจตอนนี้
คือภาพของคนร่างสูงที่กล่าวคำลา ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
และแววตาที่เย็นชา
เสียงล้อเหล็กบดกับรางเสียงดังนัก แต่เสียงที่ได้ยินเวลานี้
กลับเป็นเสียงทุ้มของคนคุ้นเคย น้ำเสียงนั้นเรียบดุจไร้ความรู้สึก
"โชคดีนะ"
คำกล่าวสั้น ๆ ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง
มันทำให้ใจหายอย่างประหลาด
ถึงแม้ว่าเราจะกล่าวคำอำลาจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ
แต่การอำลาครั้งนี้ กลับทำให้รู้สึกว่า
มันเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย และเราจะต้องจากกันจริง ๆ
มิใช่เพียงท่าทางและน้ำเสียงเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ แต่มันมีบางสิ่งบ่งบอกว่า
เราได้ห่างเหินกัน
มิใช่ห่างกายแต่เราห่างใจ
=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+
เรื่องราวต่าง ๆ ของเราได้ผ่านเข้ามาในความคิดคำนึง
เหมือนกับละครเรื่องหนึ่ง
ซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์ พร้อมกับเวลาที่ผ่านไปโดยมิรู้ว่านานเพียงใด
ตอนนี้แสงแดดได้จางไปแล้ว
ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน
และแล้ว......
ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก
แล้วหยาดน้ำใส ๆ จากตาก็ไหลพรั่งพรู
อย่างไม่สามารถกลั้นได้
ราวกับสายฝนภายนอกที่ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ฝนหลงฤดู
ราวกับจะตอกย้ำความบอบช้ำที่หัวใจ
ฝนภายนอกตกอย่างไร
ฝนในใจยิ่งตกหนักเป็นเท่าตัว
กว่าฝนจะซา ท้องฟ้าก็เริ่มสลัวแล้ว
ดวงตะวันได้จากลาไปตั้งแต่เมื่อใดหนอ
เคยได้ยินประโยคที่ว่า "ฟ้าหลังฝน จะสว่างสดใสเสมอ"
แต่เหตุใดกันเล่าฟ้าหลังฝนในเวลานี้ จึงได้มืดมิดเช่นนี้
แม้แต่จันทร์ ยังเป็นเพียงแค่จันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงเพียงราง ๆ
ในยามนี้ ช่างเหงานัก ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านเข้าไปเกาะถึงขั้วใจ
รถไฟขบวนนี้ยังคงมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทาง
แต่คนอ้างว้างคนนี้ มิรู้ว่า
จุดหมายปลายทางนั้นอยู่ที่ใด............
==========================================================