30 มกราคม 2550 00:04 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
::ชีหลงและความหลัง::
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
29 มกราคม 2550
ผมเริ่มงานในองค์กรเอกชนพัฒนาชนบทในปีที่ 2 หลังเรียนจบระดับอุดมศึกษา ก่อนหน้านั้นทำงานมา
สารพัด อาทิเป็นเซลล์แมนกิ๊กก๊อกในบริษัทค้าสินค้าอุปโภคบริ โภคขนาดยักษ์ เป็นเด็กเรียงพิมพ์ต๊อกต๋อยใน
โรงพิมพ์ขนาดใหญ่ เป็นครูรับจ้างสอนในโรงเรียนเอกชนมีชื่อและอื่น ๆ อีกมาก เป้าหมายช่วงนั้นไม่ใช่เงินแต่เป็นประสบการณ์ที่จะเก็บ ไว้ใช้ในฐานะนักประพันธ์-แหม พูดแล้วรู้สึกเท่ห์ขึ้นมาทันที !
ช่วงที่ทำงานใหม่ ๆ ผมเขียนเรื่องได้หลายเล่มสมุดบันทึกขนาดพ๊อกเก็ตบุ๊ค เมื่อย้ายงานก็ขนไปไหนต่อไหนด้วยและไม่เคยมีเล่มไหนตก เรี่ยหรือหล่นเสียอย่างความทรงจำบางอย่างที่เจ้าของ จงใจลืม
ก็จะทำหล่นไปได้อย่างไรในเมื่อแต่ละเล่มคือบันทึกที่แม้แต่งเติมบ้างก็ไม่ห่างไปจากเค้าและโครงของชีวิตและความคิดฝันจริง ๆ ของเจ้าของเส้นปากกา และเหนือกว่านั้นทั้งหมดก็คือ คนพิเศษบางคนได้อ่านมัน ทั้งยังเขียนข้อสังเกตบางอย่างไว้ให้ด้วย
ทำไมหนอผมจึงเวียนกลับไปคิดถึงชีหลงและ ความหลังบ่อยครั้งเหลือเกินในช่วงหลัง ๆ มานี้
น้ำชีส่วนที่สำนักงานของเราตั้งอยู่นี้ได้ชื่อชีหลงตามสภาพภูมิทัศน์ของถิ่นที่ทางน้ำปัจจุบันได้เปลี่ยน เส้นทางไปแล้ว เมื่อคราวเดินทางมาที่นี่หนแรกผมเตลิดหลงไปเสียไกล เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองดูแผนที่ไม่ผิด พื้นที่ทำงาน- คอนเซ็ปขององค์กรและแผนที่ที่ตั้งสำนักงานผมได้มา จากประกาศรับสมัครงานที่พรรคพวกส่งไปให้ตอนทำ งานอยู่ในกรุงเทพฯ ผมได้งานใหม่พร้อมกับเพื่อนใหม่ที่เริ่มงานพร้อม ๆ กันที่นี่ 5 คน ถ้ารวมกับพี่ ๆ ที่ทำงานอยู่ก่อนสำนักงานของเราก็มีผู้ประสานงานสนามถึง 10 คน
ภารกิจแรกของคนใหม่คือต้องเข้าไปฝังตัวศึกษาชุมชนอย่างน้อย 2 เดือนก่อนที่จะออกมาสรุปผลการค้นพบแลกเปลี่ยนและถกประเด็นสำหรับการทำงานในขั้นต่อไป แต่ละคนมีอิสระที่จะเลือกหมู่บ้านในพื้นที่เองรวมทั้งมี สิทธิ์โดยเสรีที่จะทำงานได้ทั้งแบบเดี่ยวและคู่ และแม้จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้แต่ละคนก็ต้องมีประ เด็นสนใจที่ไม่ซ้ำ เมื่อรุ่นพี่ถามความสมัครใจในการเข้าพื้นที่ เนื่องนุช เพื่อนใหม่จากภาคตะวันตกและนั่งรถโดยสารจากกรุง เทพฯมาพร้อมกันกับผมก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่าจะขอไป กับเชิงยุทธ ซึ่งก็คือผมเอง รุ่นพี่และพรรคพวกไม่มีใครขัดข้องในความประสงค์นั้น
เนื่องนุชเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อในกรุง เทพฯเธอเป็นทั้งนักอ่านและนักวิจารณ์ที่ผมชื่นชมในภูมิรู้ ผมเชื่อว่าเธอเหนือกว่าผมในทุกทางไม่ว่าจะเป็นความคล่องในเชิงคิดและทักษะการจัดการ สิ่งที่ผมอาจจะมีมากกว่าบ้างคงเป็นกำลังของกล้ามเนื้อที่ เคยกรำงานในไร่นามาช่วงหนึ่งของชีวิตกับสีผิวที่เข้ม คล้ำทนแดดทนฝนและทนต่อการรอคอยทุกชนิด
บางหนการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ท้องไร่ท้องนาไม่สะดวกที่จะไปด้วยรถ เครื่องคนละคัน เนื่องนุชก็กลายเป็นผู้โดยสารของผม หลายครั้งเราต้องมอมแมมและเปียกปอนมะลอกมะแลก เพราะรถไถลลื่นลงหล่มโคลน หรือกว่าจะออกจากตรงนั้นไปได้บางเหงื่อของเราก็เปียกชื้นเสมอกับน้ำดินน้ำโคลนที่พยายามจะล้างออกพอให้ไม่เป็นอุปสรรคกับงานมากเกินไป
เนื่องนุชได้ข้อสรุปวิถีชีวิตของชาวบ้านบางส่วนว่าทำไมพวกเขาจึงดูเหมือนยากจนหากแต่มีความสุข อย่างยากที่คนมีเงินเป็นพันๆล้านจะหาได้ ประเด็นสนใจของเธอคือสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจ กับการพัฒนาความสุขของชีวิตมีหรือไม่ และอยู่ตรงไหน ส่วนผมยังไม่ได้ขอสรุปจากการศึกษาชุมชน ยังไม่ได้ประเด็นสนใจที่จะใช้ถกกับพรรคพวกและพี่ ผมได้ข้อสรุปอื่น ข้อสรุปที่ว่า ผมรู้สึกชอบเนื่องนุช และบางทีอาจเป็นข้อสรุปเดียวของผม
เมื่อกลับจากหมู่บ้านผมลงมือเขียนเรื่องยาวของ ผมทันที เนื่องนุชเป็นคนอ่านคนแรกที่วิจารณ์ว่าผมไม่มีสไตล์ของตัวเอง บางครั้งใช้สำนวนเข้มอย่างคมทวน บางคราวตรงไปตรงมาแต่ซ่อนนัยลึกอย่างกรัสนัย ที่พอจะเป็นแนวของตัวเองจริง ๆ ยังไม่เห็น
ความเป็นไปที่เกิดกับผมและเนื่องนุชอยู่ในสาย ตาของเพื่อนและพี่ ๆ หลายคนในสำนักงาน เมื่อผมพูดถึงภารกิจของตนเองได้อย่างกระท่อนกระแท่น ในขณะที่คนอื่น ๆ ให้ภาพอย่างเจนจัดชัดเจน หลายครั้งต่อหลายครั้งเขา ผมก็ค่อย ๆ รู้สึกว่าตัวเองคงจะกลายเป็นมนุษย์แปลกแยกในไม่ช้า เมื่อความอดทนของคนอื่นมาถึงก่อนพวกเขาก็ตั้งคำถาม ต่อผม ว่าจริง ๆ แล้วสนใจงานพัฒนาชนบทหรือสนใจอย่างอื่น ผมนึกไว้แล้วครับว่าเพื่อนต้องถาม และคำตอบของผมก็คือผมอยากเป็นคนขับรถเครื่อง ให้เนื่องนุชเท่านั้น รุ่นพี่บางคนแอบส่ายหน้าต่อกิริยาและถ้อยคำเขลาของผม เนื่องนุชไม่พูดอะไร แต่ผมรู้ว่าแววตาที่มองมายังผมนั้นไม่ได้รังเกียจหรือชิง ชัง ผมจากเนื่องนุชและเพื่อนมาในวันที่ 1 ของเดือนที่ 3 ของการทำงานในองค์กรเอกชนพัฒนาชนบท เพื่อใช้ชีวิตระเหเร่ร่อนไปในความฟุ้งซ่านของความฝัน
เมื่อวานผมกลับไปที่ชีหลงอีกครั้ง เพื่อนของผมไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว ทุกคนเจริญเติบโตไปบนเส้นทางของตัวเอง แต่ไม่มีใครซักคนที่ทอดทิ้งความรักที่มีต่อประชาชนที่ เป็นฝ่ายเสียเปรียบในสังคม
รุ่นพี่บางคนที่อยู่ที่นั่นบอกว่าไม่ได้ทราบข่าว คราวของเนื่องนุชนานแล้ว หลังจากที่องค์กรได้สลายตัวและเธอเดินทางกลับภาคตะวันตก
ชีหลงและความหลังของผมไม่เคยไม่เกี่ยวพันกัน วันนี้ถ้าเนื่องนุชยังเป็นนักอ่านอยู่ เธอคงรู้แล้วว่า รวมเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ผมเขียนคำอุทิศให้เธอ เนื่องนุช อำพันพัชร เพื่อนที่ให้ทั้งแรงใจและเติมไฟฝัน
28 มกราคม 2550 21:37 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
::บางยิ้ม::
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
28 มกราคม 2550
ผมลาออกจากงานในกรุงเทพฯเพื่อกลับต่างจังหวัดเพราะสุขภาพทรุดโซมหนักจากมลพิษและการไม่ได้พักผ่อน ความตั้งใจเดิมที่จะเก็บเงินซักก้อนเพื่อเอาไป
ลงทุนทำโรงงานกระดาษรีไซเคิลและหัตถกรรมสืบเนื่องเป็นอันพับไปอัตโนมัติ ก่อนที่จะปักหลักอยู่กับที่ผมขอทางบ้านท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนตามใจตัวเองซักช่วง ทางบ้านก็ไม่ขัด เที่ยวแถวบ้านนอกไม่ได้ใช้เงินทองมากนัก ค่ารถโดยสารก็ไม่แพง ของกินก็ถูกเหมือนไม่ต้องใช้เงินซื้อ
เลาะริมโขงคือความตั้งใจที่ว่านั้น เช้าออกเดิน เที่ยงหลบร่ม ค่ำมาก็หาที่พัก ก่อนนอนในแต่ละคืนถ้าเป็นคืนเดือนหงายผมจะเก็บบรรยากาศเดือนแยงหาดไว้จนเต็มความนึกจำ ถ้าผมเป็นกวีคงได้งานเขียนเชิงนิราศ อาจให้ชื่อว่าแรมรอนไปริมโขงอะไรแบบนั้นแล้ว แต่เมื่อผมเป็นแค่คนธรรมดา อย่างมากผมก็ได้แค่บันทึกสั้นอย่างที่ผมพยายามเขียนอยู่ตอนนี้
แรมรอนไปคนเดียวนี่คิดอะไรได้เพลินมาก อย่างนี้มั้งคนเขียนหนังสือหลายคนจึงนิยมท่องเที่ยวและ เขียนบทบันทึกการเดินทางไปด้วย ภาพชีวิตผู้คนและความงามของธรรมชาติที่ปรากฏต่อตาทำให้ผมนึกภาพตัดกลับไปกลับมาระหว่างอดีตช่วงหนึ่งกับ อดีตช่วงอื่น ๆ ภาพหลายภาพที่ยังค้างอยู่ในความนึกคิดความจำกระตุ้น ให้อยากทำตามความฝัน แต่หลายอันก็บั่นทอนแรงใฝ่ไปด้วยพร้อมๆกัน
ผมได้เห็นภาพคนรักคล้องแขนเดินคู่กันไป ได้เห็นคู่รักที่กลายเป็นคู่หมางแล้วแยกทางเพราะความ ไม่เข้าใจ ร้ายกว่านั้นก็มีคืออาจกลายเป็นคู่แค้นชิงชังเพราะคาดหวังเกินรับ มีหลายภาพด้วยที่ทำให้ผมทบทวนซ้ำ อาทิภาพนักบวชนิ่งพิจารณาไตรลักษณ์ซึ่งบางคราวก็ตัดกันอย่างรุนแรงกับเถรเหลืองห่มตอที่ส่งสายตาชีกอกับสีกา ในที่สุดผมก็ยิ้ม ๆ กับภาพเหล่านั้นว่าบางที บางสิ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หรือไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น ก็มีด้วยที่ผมนึกภาวนาว่าอย่าให้ข้าพเจ้าต้องเป็นแบบนั้น เลยนะ
เส้นทางท่องเที่ยวขาวกกลับบ้านเหลืออยู่อีกไม่ถึงร้อยกิ โลเมตรดีผมก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้หัวใจพองโตเต็มช่องอก เรียกไม่ถูกด้วยว่ามันเป็นความสุขหรือความทุกข์
เอ่อ..ขอโทษนะคะ ดูเหมือนเราน่าจะเคยเห็นกันที่ไหนมาก่อน คุณเป็นคนแถวนี้หรือเปล่าคะ หญิงสาวที่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นนั่งอยู่ที่โขดหินใต้ร่มไม้ใหญ่นั้นก่อนที่ผมจะแวะเข้าไปอาศัยร่มนั้นหลบแดดเที่ยงด้วย
อืม..ผมก็รู้สึกอย่างนั้นด้วยเหมือนกันครับ ผมมาจากจังหวัดครับ มาท่องเที่ยวทางไกล คุณและเพื่อน ๆ มาจากไหนกันหรือครับ ผมยิ้มตอบต่อยิ้มของเธอและเพื่อนที่ส่งมา
ก็มาจากทางโน้นเหมือนกัน ความจริงพวกเรามาศึกษาดูงานที่สำนักงานในตัวจังหวัด พรุ่งนี้ก็จะเดินทางกลับ วันนี้เลยแวะมาเที่ยวหาดที่ดังที่สุดของจังหวัดริมโขง เอ่อ..คุณเหมือนเพื่อนของฉันมากเลย เขาชื่อสมโชค จบ ม.6 แล้วไม่ได้เจอกันอีกเลย ฉันชื่อพิมพ์แพง ค่ะ คุณชื่ออะไรหรือคะ
สมชาติครับ ไม่ได้พูดเล่นนะครับนั่นเป็นชื่อของผมจริง ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ่อ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่เข้ามาใกล้พวกคุณมากเกิน ไป ร่มไม้อื่นก็อยู่ไกลมาก แต่ผมก็จะนั่งพักซักหน่อยเดียวก่อนไปต่อ คงไม่เป็นการรบกวนเกินไปนะครับ
แหม เกรงใจพวกเรามากเกินไปแล้วมั้งคะ ไม่ต้องเกรงใจดอกค่ะ เชิญคุณพักตามสบายถ้าไม่รำคาญเสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวก สาว ๆ
หญิงสาวยังชวนคุยอีกหลายคำ แต่หนุ่มเดียวในวงของเจ็ดสาวทำให้ผมชักไหวหวั่นเกิน กว่าที่ จะนิ่งอยู่ตรงนั้นต่อ ไม่นานผมก็ขอตัวออกมาเมื่อสบโอกาสที่เมฆบางบาง ก้อนเคลื่อนมาบดบังตะวันเที่ยงอันแผดกล้า
ผมเองคือสมโชคนะครับ และคงเป็นเพื่อนกับเธอคนนั้นด้วย แต่ผมเปลี่ยนชื่อใหม่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สมโชคคนเดิมจึงไม่มีอยู่ต่อไป แม้จิตใจและความรู้สึกบางอย่างแบบสมโชคจะยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวใจของผม เมื่อห่างออกมาซักร้อยก้าวผมจึงเอ่ยชมตัวเองในใจว่า หัวใจของนายเด็ด ใช้ได้ ไม่เลว !
ผมอาจจะเลวก็ได้ในสายตาของใครต่อใคร และในสายตาของเธอด้วยก็ได้ ถ้าเธอรู้ว่าผมคือสมโชค เวลาผ่านไปสิบกว่าปีไม่นานก็เหมือนนาน คือนานพอที่จะทำให้บางคนทำใจต่อความขมขื่นบาง อย่าง
ในวัยเรียนผมแอบรักพิมพ์แพง แต่เธอไม่สนใจผมดอกครับ ผมไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง ผมเป็นเด็กหลังห้อง ไม่เกเรก็เหมือนเกเรคือผมมักคิดแย้งในสิ่งที่ครูสอนอยู่เสมอ จนเพื่อนมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าว การคิดอะไรแบบต่างจากพวกและเพื่อนทำให้ผมได้รับ การหมายหัวจากครูและเพื่อน ๆ ความรักที่ผมมีต่อพิมพ์แพงก็ถูกกาเครื่องหมายคูณไปเลย เธอหัวเราะเยาะ อาจไม่ถึงกับเย้ยหยัน ต่อท่าทีเก้งก้างงกเงิ่นในหนที่ผมส่งของขวัญเป็นสมุดเขียนกลอนที่ผมยื่นให้ ดูท่าทางแล้วคนรับคงรับอย่างขัดไม่ได้ ผิดกับสีหน้าของเธอเมื่อเธอรับของขวัญจากเพื่อนอีกคนที่ทั้งเก่งและเท่ห์ สิ่งที่ทำให้ผมช้ำใจและคิดจะไม่ลืมไปจนวันตายคือหนังสือกลอนที่ผมตั้งใจเขียนนั้นมันไม่มีค่าอะไรเลยในสาย ตาเธอ มันคงเป็นยิ่งกว่าขยะมั้ง ผมเห็นมันอยู่ในถังขยะหน้าโรงเรียนตอบแทนความใคร่รู้ว่าเธอจะพลิกอ่านหรือไม่ขณะรอรถกลับบ้าน สมุดเขียนกลอนเล่มนั้นผมลงชื่อท้ายกลอนวรรคสุดท้าย ว่า
แด่..พิมพ์แพง
จาก
สมโชค รักประชา
14 กุมภาฯ 2527
27 มกราคม 2550 13:52 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
::เข็มหมุดในแก้วน้ำ::
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
26 มกราคม 2550
เย็นนั้นสมเชาว์กับผมต่างขี่รถเครื่องวิบากออกจากหมู่บ้าน เพื่อกลับสำนักงาน เราบิดคันเร่งขี่ไล่กันมาตามโค้งสันเขาที่ไม่
คดเคี้ยวนัก หมู่บ้านที่อยู่ตามรายทางอยู่ห่างกันหลายหลักกิโล
ถนนเส้นนี้มีคนสัญจรไปมาไม่มากแม้ว่ามันคือทางลัดชั้นดี จากภาคกลางขึ้นไปยังภาคอีสานได้ เลยโค้งบนส่วนที่สูงที่สุด
ของเขาหินปูนลูกกลางของแนวเขาลูกนั้นผมเห็นสมเชาว์ตีไฟ เป็นสัญญาณชลอจอด ผมตีไฟซ้ายด้วยและขี่ตามไปช้า ๆ เขา
หยุดรถชิดขอบซ้ายของถนน ตรงใกล้กับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังดูเครื่องของรถเครื่อง
แบบผู้หญิงของเธออย่างเก้กัง
รถเป็นอะไรหรือครับ สมเชาว์ถาม
เอ่อ..ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันค่ะ จู่ ๆ ก็ดับไปเฉยๆ น้ำมันก็ยังมีเยอะนะคะ
บางทีอาจเป็นเพราะหัวเทียนบอด เดี๋ยวผมเช็คดูให้ครับ
ผมดับเครื่องรถคู่ชีพของตัวเองแล้วขยับเข้าไปใกล้ สมเชาว์ตรวจดูหัวเทียนก็เห็นคราบเขม่าเขรอะ ข้อสันนิษฐานของเขาน่าจะถูกต้อง เมื่อแก้ไขอยู่เพียงครู่ รถเครื่องของหญิงสาวก็กลับมาครางแบบมี
แรงอีกครั้ง
ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่เจอพวกคุณ ฉันคงลำบากแน่ ๆ หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม สมเชาว์และผมไหว้ตอบ
แทบไม่ทัน
ไม่เป็นไรหรอกครับ คนเดินทางอย่างพวกเราก็ต้องช่วยเหลือดูแลกันแบบนี้แหละ ว่าแต่ว่าคุณจะไปที่ไหนหรือครับ
หญิงสาวระบุที่หมายของเธอ ซึ่งทั้งผมและสมเชาว์ก็รู้จักเป็นอย่างดี เพราะเราเคยไปขอยาแก้ไข้หวัดมากินในช่วงที่มาทำงานแถบนี้ ใหม่ ๆ แต่เราไม่เคยเจอเธอมาก่อนครับ
เมื่อส่งเธอที่สถานีอนามัยประจำตำบลแล้ว ม้าญี่ปุ่นก็พาเราเดินทางอีกราว 60 หลักกิโลเพื่อเข้าเมือง นัดหมายประชุมของวันรุ่งขึ้นเป็นสิ่งที่ผมและเพื่อนต้องควบรถวิบากเป็นระยะทางไกล ๆ แบบนี้ทุกปลายเดือน
ผมกับสมเชาว์ได้พบหญิงสาวคนนั้นอีกหลายครั้ง เธอเข้าไปรณรงค์เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยในตำบลที่เราเข้าไปวิจัยข้อมูลเกี่ยวกับการเกษตรของชาวบ้าน
ชาวบ้านที่นี่เป็นโรคผิวหนังและโรคอัมพาตกันมากค่ะ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาใช้สารเคมีฆ่าแมลงกับพืชไร่มากเกิน ไป
ผมก็ได้ข้อมูลอย่างนั้นเหมือนกันครับ สมเชาว์คุยกับเธออย่างเพื่อนที่สนิทสนมกัน ส่วนผมเป็นฝ่ายเงียบฟัง
พวกคุณจะเดินทางไปที่ไหนต่ออีกหรือเปล่าคะ ถ้าไม่รีบไปไหนก็รอกินข้าวเที่ยงด้วยกัน เราขอให้ชาวบ้านทำกับข้าวพื้นบ้านให้กิน น้ำเสียงนั้นแสดงออกอย่างอารีจริงใจ
ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก เราต้องเข้าไปที่อีกตำบลหนึ่ง ที่ฟากภูด้านโน้น โอกาสหน้าถ้าได้เจอกันอีก พวกเราจะแวะไปเยี่ยมที่สถานีอนามัยนะครับ
นั่นคงเป็นบันไดขั้นแรกที่ทำให้ผมกับสมเชาว์ได้แวะไปที่สถานีอนามัยประจำตำบลอีกครั้งภายหลัง ที่งานเก็บข้อมูลวิจัยของเราเกือบจะเสร็จสมบูรณ์
นายชอบผู้หญิงคนนั้นไหม เธอน่ารักมีอัธยาศัยดีมากนะ สมเชาว์หันมาทางผม
อืม..ก็น่ารักดี แต่เราสังเกตว่ามีคนมองเราแบบตาขวาง ๆ นะ ตอนที่เราไปแวะส่งเธอหนแรก ผู้ชายร่างอ้วนผิวคล้ำ ๆ ยืนอยู่ใต้ถุนบ้านพักหลังถัดไป นายสังเกตเห็นไหม
เราไม่ทันสังเกตว่ะ แต่จะเป็นไรล่ะ คนเราก็ควรคบกันจริงใจ ไม่มีอันใดแอบแฝง ไม่ใช่หรือ
เออ ก็ใช่ แต่เราก็ต้องรู้ว่าใครเป็นใคร หรือของใคร และอะไรคืออะไร กับที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของเราด้วย
งั้นก็ขอบใจว่ะ น้ำเสียงของเพื่อนนั้นผมฟังออกว่าไม่ค่อยพอใจคำติงนัก
บ้านเช่าที่ผมกับสมเชาว์อยู่ทำงานสนามห่างจากตลาดสด ไม่มากนัก เราแวะไปกินข้าวมื้อเช้าและเย็นได้อย่างสะดวก ผู้คนจากหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งในตำบลและต่างตำบลมาจับจ่ายซื้อของที่นี่อย่างกับมีตลาด นัดทุกวัน ผมกับสมเชาว์ได้พบและทักทายหญิงสาวคนนั้นอีกหลายครั้ง จนรู้สึกเหมือนคนคุ้นเคยกัน สมเชาว์ไปไกลกว่าผมมาก รายนั้นแอบไปแวะบ้านพักของเธอโดยที่ไม่ชวนผมด้วย เมื่อกลับมาผมจึงได้ถามความเป็นไปอย่างเกือบเกรงใจ
แหม เธอยังถามถึงนายเลยว่า ทำไมถึงไม่มาด้วยกัน ผมบอกไปว่า เพื่อนของผมมันบ้างาน ซึ่งคงไม่ผิดมากนักใช่ไหม
เออ..ก็ว่ากันไป แต่ว่านายเห็นคนอ้วนผิวดำอยู่ด้วยหรือเปล่าล่ะ
เห็น.. สมเชาว์ลากเสียงยาวแบบค่อนข้างมั่นใจ แล้วไง
เขาไม่มองแบบตาขวางหรือที่นายไปบุกถ้ำเสือ
ม่ายเขาพูดดีมาก เขาบอกเราว่าให้ชวนนายไปด้วยในคราวต่อไป
ไม่เอาดีกว่าว่ะ..กลัวตายในถ้ำเสือ
เฮ้ย..ไม่มีอะไรน่ะ ก็แค่คบกันเป็นมิตรไว้ไม่เสียหลาย บางทีเราอาจมาหางานใหม่ทำแถว ๆ นี้บ้าง
ผมได้แต่หัวเราะหึ ๆ และกลับไปอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง สมเชาว์ยังเปิดประตูห้องเช่าไว้เขาฮัมเพลงอย่างเอมใจ
อีกสองวันก่อนจะปิดโครงการวิจัยข้อมูลด้านการเกษตร ของคนในเขตภาคเหลือตอนล่างแถบจังหวัดเพชรบูรณ์ ผมกับสมเชาว์ได้รับคำเชิญจากผู้ชายร่างอ้วนผิวคล้ำให้ไปที่บ้าน
ผมไปอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่สมเชาว์ไปอย่างลิงโลด บ้านพักของชายร่างอ้วนผิวคล้ำอยู่ที่สถานีอนามัยอีกแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าเขาพักอยู่คนเดียว แต่สังเกตจากการจัดข้าวของในบ้านพัก หลายอย่าดูกระจุ๋มกระจิ๋มแบบผู้หญิงจัด บางทีข้อสันนิษฐานบางอย่างของผมอาจถูกต้อง เจ้าภาพรินน้ำเย็นจากขวดใส่แก้วที่หยิบเอาจากโต๊ะข้างฝา จังหวะและลีลาการจับแก้วผมรู้ดีว่าเขาน่าจะอยู่ในกลุ่มคนนิยมดื่มของแพง แต่เขาบอกว่าเขาไม่ดื่ม สมเชาว์ยกแก้วขึ้นดื่มอั๊ก ๆ แต่ผมไม่กล้า แขกและเจ้าภาพคุยกันอยู่เกือบสามทุ่มประเด็นที่พูดหลากหลาย มาก เขาพูดได้ทุกเรื่องทั้งการเมืองและสุขภาพอนามัย สมเชาว์ต่อวาทีกับเขาได้ทุกกระทู้เช่นกันแต่ผมเป็นเพียงนัก สังเกตและเก็บประเด็น เราสองคนลาจากมาเมื่อรู้ว่าเขามีแขก
อีกคนกำลังจะขึ้นบ้านมา เธอมากับรถมอร์เตอร์ไซค์แบบผู้หญิง สี-ยี่ห้อ และเลขป้ายทะเบียนเป็นเบอร์เดียวกับที่ผมเห็นครั้งแรกบนปลายโค้งบนเขาเตี้ยลูกนั้นแหละ หัวใจของผมเต้นตุบ ๆ เมื่อความสังหรณ์ใจนั้นจริง สมเชาว์ถึงกับหน้าแหยในข้อสรุปที่ต่อให้คนทึ่มอย่างไรก็คงอ่านออก ไม่กี่นาทีดี ถ้ามีใครสังเกตและฟังก็คงได้ยินเสียงบิดคันเร่งล้อโค้งของอ้าย หนุ่มนักวิจัย 2 คน ออกจากบ้านพักเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย ผมแอบอมยิ้มกับดาวที่พอมองเห็นได้บ้างบนท้องฟ้า ส่วนสมเชาว์เขาจะยิ้มออกหรือเปล่า นั่นก็น่าจะพอคาดเดาเอาได้
คืนนั้นเราควบม้าญี่ปุ่นเลยบ้านเช่าเข้าตัวจังหวัดโดยไม่ได้นัดหมาย ระยะทาง 60 กิโลเมตรเหมือนย่นลงมาเหลือเพียง 100 วา ที่ผับเพื่อชีวิตของคืนหงอยคืนนั้น สมเชาว์ดื่มอย่างคนอดอยากมาแรมเดือน ส่วนผมเพียงจิบบาง ๆ
ตอนที่นายดื่มน้ำอั๊ก ๆ ไม่สังเกตเห็นอะไรในแก้วบ้างเลยหรือ
ก็ไม่มีอะไรนอกจากใยแมงมุม แต่เรากลัวเสียฟอร์ม กินแล้วก็เลยปล่อยเลยตามเลย แล้วไง
แต่แก้วของเรามีเข็มหมุดว่ะ
สีหน้าของสมเชาว์ที่มองผมตอนนี้กับน้ำเสียงของเขาผม เชื่อว่าดีกรีของแอลกอฮอล์ในเลือดของเขาได้ระเหิดระเหยไปไม่มากก็น้อย
ขอเพลงลุงขี้เมาด้วยเพ่.. สมเชาว์หันไปขอเพลงประชดชีวิต ส่วนผมได้แต่หัวเราะประชดชีวาส .
๚
25 มกราคม 2550 22:17 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
::ฝันบางคืน::
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
25 มกราคม 2550
A: จำฉันได้ไหมคะ
B: ขอโทษจริง ๆ ครับ ความจำบางส่วนของผมหาย
ไปแล้ว
A: ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคงไม่ใช่คนที่คุณประทับใจ
วันวานนั้น ฉันรู้ว่าคุณมีคนที่ประทับใจหลายคน
แต่อย่าถามฉันนะคะว่ามีใครบ้าง
B: ไม่เป็นไรครับ ผมจะไม่ย้อนกลับไปหาสิ่งที่ลืมไป
แล้ว
A: ดีค่ะ มันคงทำให้เราคุยกันได้สบายใจ โดยไม่ต้อง
เสียเวลาไปทบทวนบางสิ่งบางอย่างในอดีต
B: อืม..ครับผม
A: ฉันชอบเพลงที่คุณเล่นจังค่ะ ฉันคิดว่าคุณเขียนเพลง
พวกนี้เอง
B: ใช่ครับ ส่วนใหญ่ผมเขียนเอง บางเพลงก็เขียน
ร่วมกับเพื่อน แต่พวกเขาคงลืมเนื้อร้องและทำนอง
ของเพลงพวกนี้ไปแล้วมั้ง
A: เพลงพวกนี้คุณไม่ลืมเลยหรือคะ
B: เคยลืมไปแล้วครับ แต่ผมได้อ่านมันอีกครั้งในสมุด
บันทึก
A: อ๋อค่ะ เพื่อนของฉันเล่าให้ฟังว่า ช่วงแรกที่คุณฟื้น
ตัวขึ้นมา คุณเรียกชื่อภรรยาไม่ถูก
B: จริงอย่างว่าครับ แม้ไก่เดินมาผมยังนึกเรียกไม่ถูก
ว่าเป็นไก่
A: คุณกลับไปเรียนผสมอักษรใหม่หรือคะ
B: ถูกต้องครับ มันอาจไม่ดีเท่าเก่า แต่มันก็ทำให้ผมคิด
และจำหลายอย่างได้อีกครั้ง
A: เคยมีอาการปวดหัวบ้างไหมคะ
B: มีครับ คือถ้าคิดหลาย ๆ ชั้นแล้วคิดไม่ตก
ก็มีอาการไม่ค่อยสบาย
A: งั้นก็ต้องคิดง่าย ๆ ตรงไปตรงมา
B: ใช่เลยครับ
A: จะรบกวนคุณมากเกินไปไหมคะ
ถ้าฉันขอให้คุณร้องเพลงบางเพลงให้ฟัง
B: ไม่รบกวนหรอกครับ ผมยินดี
A: งั้นขอเพลง เพลงบทคุ้น นะคะ
B: โอ เค ครับ
( เพลงบทคุ้น ; คีย์ - ดีไมเนอร์ )
ในความฝันคืนนั้นผมหยิบกีตาร์มาร้องเพลงบทคุ้น
ให้เธอฟังสองสามเที่ยว จนเธอร้องคลอตามได้ ตอนจะจบเพลงผมฉุกนึกขึ้นมาได้ว่าผมควรจะถามชื่อ
เธอดีไหม ขณะที่ผมยังนึกคำตอบไม่ออกผมก็รู้สึกมึน
หัวตึบ ๆ ก่อนความรู้สึกจะดับวูบไปผมได้ยินเสียงของ
เธอแว่ว ๆ เหมือนคนพูดเลื่อนห่างออกไปไกลแสนไกล
B: ..ฉันดีใจมากค่ะที่ได้ฟังเพลงของคุณอีกครั้ง
ขอให้คุณมีความสุขกับครอบครัวของคุณนะคะ
ส่วนฉัน..ลาก่อน
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาตอนตี 3 นอกบ้านเงียบ แสงไฟ
จากเสาไฟริมถนนส่องลอดเข้ามาต้องใยมุ้งมองเห็นสลัว ๆ ภรรยา และลูกของผมยังนอนหลับ
ผู้หญิงคุ้นหน้า คนที่ผมนึกฝันถึงคนนั้น เป็นใครกันนะ ?
22 มกราคม 2550 06:38 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
::เดือน::
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
21 มกราคม 2550
เดือนหัวค่ำ คืนขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีกุน
ผมไม่เคยเห็นภาพอย่างนี้มาก่อนเลย แม้นี่จะเป็นปีที่ 40 เศษ ๆ ของชีวิตแล้วก็ตาม
ตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตอนหัวค่ำ เดือนอยู่สูงเลยยอดไม้ทิศตะวันตกราวครึ่งคืบ ฟ้านั้นมืดด้วยเมฆดำทึบที่ก่อตัวแต่เช้าวันเดียวกัน อากาศตอนเช้าแปรปรวนมาก คือหนาวฉับพลัน หลังจากที่ร้อนติดต่อกันหลายวัน ความจริงอากาศน่า
จะหนาวโดยที่ไม่มีร้อนแทรก แต่ความเปลี่ยนแปลงมันก็
เกิดขึ้นแล้ว ในหนาวบางคราวก็มีฝนตกและร้อนอย่าง
ตับแลบสลับเป็นระยะ แต่แม้อากาศจะเปลี่ยนอย่างไรผมก็
ไม่เปลี่ยนวิถีและวงจรการดำรงชีวิตแบบไส้เดือน คือผมยังขุดดิน มือแตกเปลี่ยนเป็นตกสะเก็ดและบางที่
เปลี่ยนเป็นตุ่มตาปลาหลังจากระบมเพราะเสี้ยนจิ๋วแทรกเนื้อ
ผมขุดดิน สลายความกระด้าง ดินนั้นดานจนรดน้ำก็ไม่ซับ
ต้องใช้เสียมแซะซอนก้อนดินขึ้นมาทีละน้อยจนได้หลุมพอที่จะเอาดินใหม่จากที่อื่นมาใส่คลุกเคล้ากับซากอินทรีย์
ผมชินเสียแล้วกับวิถีของคนเหงื่อไม่ไหลไม่เป็นสุข
ผมมองเห็นเดือนยิ้มน่ะครับ เดือนในคืนขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีกุน เป็นเดือนเสี้ยวที่โค้งแบบยิ้มของหญิงสาว ผมยิ้มตอบเดือนและคิดในใจ..
บางสิ่ง.. คงมีบางคนเท่านั้นเข้าใจ และเท่านั้นก็คงพอแล้วสำหรับการดำเนินความฝันบนวิถี
และวงจรชีวิตแบบที่เราเลือก
ขอบคุณครับเดือน