12 เมษายน 2547 21:40 น.

คนนา

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

(บันทึกคนทำนา # 2)
-------------------------------------------------------------------------------------

                     ปีที่แล้ว ผมกับภรรยาและลูกปลูกข้าวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง วิธีการทำนาของเราทำอย่างง่าย ๆ คือขุดดินด้วยจอบแล้วหยอดเมล็ดข้าวเอาไว้ เมื่อฝนตกเมล็ดข้าวจึงงอกออกมาให้ชื่นใจ 

                      เราเอาใจใส่ดูแลจนได้เก็บเกี่ยวและนวดข้าวด้วยมือของตนเอง ที่นา 2 ไร่ ได้ข้าวเกือบ 60 ถัง   แม้จะไม่มากนักแต่เราก็มีความสุขเหลือเกินเมื่อได้เปิบข้าวหอมกรุ่นจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนเอง

                      ชาวนาในยุคของพ่อทำนาอย่างไม่รีบร้อน พันธุ์ข้าวที่ปลูกมีทั้งข้าวเบา ข้าวกลาง และข้าวหนัก เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทันเวลาแม้ว่าจะทำนากันแค่ 2 คนก็ตาม      

                     ก่อนฤดูทำนาพ่อจะพาผมขนปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักลงไปกองไว้ทั่วผืนนา ก่อนไถดะเราจะเกลี่ยปุ๋ยคอกพวกนั้นให้กระจายไปทั่วทั้งแปลงนา 
        
                     พ่อเลือกแปลงนาเล็ก ๆ บนที่ดอน 2-3 แปลงเพื่อตกกล้า เมื่อต้นกล้าโตพอที่จะปักดำเราก็วานเพื่อนบ้านมาช่วยลงแขกถอนกล้าและปักดำ ไม่กี่วันเราก็ปักดำเสร็จ    และเมื่อปักดำนาตัวเอเสร็จ พ่อให้ผมกับแม่ไปช่วยเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ จนปักดำเสร็จทั่วกัน 

                    ข้าวในนาของพ่อเขียวนวลเย็นตาและโตไว ข้าวแตกกอสูงใหญ่ท่วมหัวของผม พ่อบอกว่า ข้าวในนาของใครเขียวนวลแตกกอมากแสดงว่าที่นาของเขามีดินดี ดินในที่นาของใครดีจะต้องมีไส้เดือนอาศัยอยู่มาก 

      ไส้เดือนช่วยย่อยเศษใบไม้ใบหญ้าให้กลายเป็นปุ๋ยรวมทั้งช่วยให้ดินร่วนซุยขึ้นด้วย เมื่อผมทำนาเองผมก็เอาอย่างพ่อคือขนใบไม้ ขนปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักไปใส่นา แต่น่าเสียดายเราคุมน้ำไม่ได้ ช่วงที่ข้าวของเรากำลังขึ้นงามน้ำก็ดันแห้ง หญ้าที่รอเวลาอยู่ก็ได้โอกาสเบียดเสียดกอข้าวขึ้นมาจนเต็มผืนนา 

    นี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราได้ข้าวไม่มากนัก สาเหตุรองลงไปก็คือข้าวในนาของเราโดนหนอนเจาะทำลายมาก สังเกตเห็นความเสียหายได้จากรวงข้าวจำนวนมากเหี่ยวแห้งเมล็ดข้าวลีบฝ่อจนหมด

               หลังเก็บเกี่ยว ผมจะมัดข้าวเอง  หาบขนขึ้นไปกองเรียงบนลาน  และ นวดข้าวด้วยตนเอง   แม้มือจะมือแตก   หรือบวมช้ำ   ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บและเบื่อ 

                พ่อบอกว่ามือที่กร้านคือมือขยัน คนขยันไม่มีวันอดตาย 

                ผมก็เชื่ออย่างนั้น เวลานี้ผมมีลูกผมก็สอนลูกให้ขยัน อดทนและติดดิน ถ้าลูกคิดว่าพ่อแม่ร่ำรวยแล้วไม่ยอมทำงาน ไม่ขยันอดทน สักวันหนึ่งข้างหน้าทรัพย์ที่พ่อแม่สะสมไว้ให้ก็จะหมดลง ผมไม่อยากให้ลูกพบกับสภาพเช่นนั้น เหมือนกับลูกของครอบครัวอื่น ๆ ที่พ่อแม่ของเขาประมาทในเรื่องนี้

                เพื่อนบ้านของผมเห็นเราทำนาก็ชื่นชม แต่บางคนก็ว่าทำทำไมให้เหนื่อย ข้าวถังละไม่กี่ตังค์ซื้อกินง่ายสบายจะตาย เขาบอก.. เลือกเอา อยากกินข้าวพันธุ์ไหน ผมได้แต่หัวเราะหึ ๆ เพราะเห็นอยู่แล้ว ว่าคนรวยหรือคนจนกันแน่ที่ปลูกข้าวขายในยุคนี้

                ทุกปี   ผมพาลูกกลับไปเยี่ยมพ่อแม่เสมอในช่วงปิดภาคเรียน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราว่างตรงกัน ผมกับภรรยาว่างจากภาระการสอนหนังสือ ส่วนลูกก็ว่างเพราะปิดเรียน 

                ปู่มักจะถามว่าปีนี้ได้ข้าวพอกินไหม เมื่อได้ยินว่าเราได้ข้าวพอกินท่านก็ดีใจ และแนะนำให้เก็บเงินซื้อที่นาที่สวนเพิ่มอีก ลูกจะได้มีกินไม่อดอยาก ที่สำคัญคือจะได้มีกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวปลูกฝังให้เด็ก ๆ เป็นคนมีความมานะอดทน ติดดิน พึ่งตนเองและช่วยเหลือคนอื่นได้ 

                 ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของปู่ เก็บเงินไม่นานนักก็ได้ที่ดินอีก 5 ไร่ลงไม้ผลเอาไว้ให้ลูก ๆ ความสุขใดเล่าจะเท่ามีที่ดินบ้านช่องเป็นของตน มีงานทำ มีเงินเก็บ มีความรักความเข้าใจในครอบครัว 

                  ผมคิดแล้วก็อิ่มใจในสิ่งที่ตนเองเลือกและทำได้ โดยไม่ต้องอาศัยความฉลาดปราดเปรื่องระดับอัจฉริยะ

                   ปีนี้ผมจะทำนาเต็มรูปแบบโดยวิธีของพ่อ 

                   หัวใจของผมพองโตคับอกเมื่อนึกถึงภาพข้าวเขียวนวลกอโตเต็มผืนนา ยามลมโบกพัดใบข้าวพริ้วเป็นคลื่นไล่กันไกลออกไป 

                    มันเหมือนกับความฝันใฝ่ของคนเดินทางไปพบความสมหวัง

          หัวใจของคนทำนาในยุคนี้จะมีใครสักกี่คนที่ทำนาโดยไม่เคร่งเครียดบีบคั้น กับราคาข้าวและหนี้สินสารพัดสารพันอันเนื่องมาจาก
ต้นทุนของความรีบเร่งและละโมบ

&				
11 เมษายน 2547 06:35 น.

บันทึกคนทำนา # 1

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

มันผ่านมานานแต่ผมจำได้เสมอ
ที่โรงเรียนผมมักหลบเพื่อน ๆ ไปนั่ง ๆ ยืน ๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างอาคารเรียน แอบบีบบี้สิ่งที่ไต่ออกมาจากทวารหนักให้ตายคามือ แม้จะขยะแขยงอย่างไรก็ต้องทำ ดีกว่าให้*ตัวตืดไต่ตกออกมาให้เพื่อนเห็น ผมรู้สึกชิงชังเจ้าสัตว์ที่อยู่ในลำไส้ของตัวเองเต็มประดาเพราะมันไม่รู้จักเลือกเวลาที่จะออกมาข้างนอก บางวันในขณะที่เข้าแถวเคารพธงชาติอยู่มันก็ไต่ออกมาติดแหมะอยู่ที่ถุงเท้า รองเท้าและส่ายหัวไปมาอย่างไม่เกรงใจ ผมต้องรีบใช้เท้าอีกข้างปัดมันลงไปที่พื้นเหยียบขยี้ด้วยความโกรธเกลียดสุดขีด


                      ในห้องเรียนมีนักเรียนตัวเล็กอย่างผมอยู่ไม่กี่คน เพื่อนเกือบทั้งชั้นสูงใหญ่ ผิวพรรณและหน้าตาดี พวกเผขาเป็นลูกหลานของพ่อค้าคหบดีในอำเภอ เวลาเดินไปไหนด้วยกันจะเห็นความแตกต่างของสถานะทางสังคมของครอบครัวของเขากับผมจากเสื้อผ้า ตลอดจนรองเท้าที่เขาสวมใส่ พวกเขาสนุกสนานร่าเริงกันทุกคน ในขณะที่ผมต้องคอยระมัดระวังปกปิดบางสิ่งบางอย่างกลัวผู้คนจะรู้และกลัวผู้คนจะเย้ยเยาะ


                     หมู่บ้านของผมอยู่ห่างจากตัวอำเภอออกไป หลายกิโลเมตร บางวันผมอาศัยซ้อนท้ายรถเครื่องของลุงของอามาโรงเรียน แต่ส่วนใหญ่ผมต้องนั่งซาเล้ง เพราะรถประจำทางระหว่างจังหวัดที่แล่นผ่านหน้าหมู่บ้านทุกเช้าไม่ยอมจอดรับให้เด็กนักเรียนโดยสารไปด้วย ผมกับเพื่อนจึงต้องอาศัยรถสามล้อที่เขาถีบเข้าไปรับจ้างส่งของในอำเภอเพื่อไปให้ทันโรงเรียน

                          ในแต่ละวันผมต้องคอยบีบบี้เจ้าพยาธิตัวแบน ๆ ที่ไต่ออกมา 1 ตัวเป็นอย่างน้อย เจ้าสัตว์ผิวผ่องนี้มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว ความกว้างประมาณครึ่งของเล็บมือ ส่วนความหนาก็พอ ๆ กับความหนาของเล็บหัวแม่มือ เวลามันตกออกมาจากขากางเกงของผมมันจะชุ่มเยิ้มเหมือนอาบน้ำนมออกมาเลยเชียว เมื่อผมจัดการกับมันเสร็จแล้วจึงโล่งอกเข้ากลุ่มกับเพื่อน                           พฤติกรรมแบบนี้ใครจะสังเกตเห็นหรือเปล่าผมไม่รู้ 

                        เมื่อพยาธิชอนไชออกมามาก ๆ เข้าผมก็ปกปิดเรื่องนี้ต่อไปไม่ไหว ทันทีที่พ่อรู้เรื่องนี้พ่อก็เอามะเกลือมาโขลกผสมมดแดงเปรี้ยว คั้นและกรองเอาน้ำมะเกลือด้วยผ้าขาวบางใส่ถ้วยให้ผมดื่ม รสชาติของมะเกลือนั้นขื่นเขียวพะอืดพะอมสุดจะทน แต่ผมก็กระเดือกมันจนหมดถ้วยจนได้ รุ่งขึ้นผมตื่นนอนเช้าผิดปรกติ ท้องไส้ปั่นป่วนปวดมวนไปหมด พ่อรู้เรื่องนี้ดีจึงบอกให้ผมขุดดินข้างเล้าไก่เพื่อถ่ายทุกข์ 

                     สิ่งที่ผมมองเห็นในหลุมถ่ายทุกข์ทำให้ผมแทบสิ้นสติ 

                    มันคือสิ่งมีชีวิตผิวผ่องที่ลำตัวเป็นปล้อง ๆ ขดม้วนเหมือนฝ้ายก้อนใหญ่ พ่อของผมลงจากเรือนมาใกล้ ๆ และถามว่าออกไหม ผมบอกพ่อถึงสิ่งที่ตนเห็น พ่อเอาไม้ไผ่ยื่นให้ผมเพื่อม้วนพันเจ้าตัวตืด ดึงลากออกมาจากลำไส้ให้หมด ผมไม่อยากจดจำภาพวันนั้นเลยสักนิด แต่มันติดตาของผมมาจนกระทั่งวันนี้ พยาธิตัวตืดตัวนั้นไม่หลุดออกมาทั้งยวง คาดว่าคงเหลืออยู่ในไส้ของผมเท่า ๆ กับที่หลุดออกมาเท่ากำปั้น 

                     ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่สงสัยจะมีหนวดมีเครามีเขี้ยวมีขนไปแล้วก็ไม่รู้

                      ในห้องเรียนถึงแม้ผมจะมีคะแนนเป็นลำดับที่ 7 ถึง 8 
แต่คุณครูก็บอกว่าไอคิวหรือความฉลาดของผมอยู่ที่ประมาณ 88 เท่านั้น ผมเรียนเลขคณิตไม่เก่ง ท่องอะไรก็ไม่ค่อยจำ เพื่อน ๆ ในห้องเรียนของผมเรียนเก่งมาก พวกผู้หญิงอ่านภาษาอังกฤษได้แจ้ว ๆ น่าทึ่งยิ่งนัก ผมเองต้องขอให้พวกเขาอ่านให้ฟังแล้วจดคำอ่านพวกนั้นไว้สอบปากเปล่าเอาคะแนนจากครู อย่างไรก็ตามผมก็ผ่านชั้น ป.6 เข้าเรียนต่อระดับมัธยมด้วยคะแนนถึง 78 เปอร์เซ็นต์


                       ในระดับมัธยมผมมีเพื่อนมากมายหลายห้องมาจากหลายตำบล บางคนปั่นจักรยานมาร่วมยี่สิบกิโลเมตร ผมสอบเข้าเรียนได้เป็นอันดับที่ 7 แต่พอสอบปลายภาคคราวนี้อันดับของผมเลื่อนมาเป็นที่ 2 เมื่อเรียนในระดับมัธยมปลายผมตั้งใจจะเรียนสายศิลปะ แต่ครูก็ให้ผมเรียนสายวิทยาศาสตร์ ผมรู้ว่าตัวเองหัวไม่ดีก็ขยันอ่านขยันทบทวน เอาความมุมานะเข้าสู้ ในที่สุดอันดับที่ 1 ก็เป็นของผมและเป็นอันดับที่ 1 ที่ยาวนานจนจบระดับมัธยมปลาย ที่ 1 ที่ผมได้มันเป็นความรู้ความจำธรรมดาทั้งนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ภาคภูมิใจเลยเพราะรู้ว่าตัวเองหัวช้าและอ่อน รวมทั้งการที่เป็นคนว่านอนสอนง่ายของครูบาอาจารย์ มันกลายเป็นที่เกลียดชังมากของเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่เป็นปฏิปักษ์กับระเบียบวินัยของโรงเรียน
ผมได้รับมอบหมายหน้าที่หลายอย่างในโรงเรียนเช่น เป็นหัวหน้าห้อง เป็นประธานนักเรียน การได้รับเลือกจากเพื่อน ๆ และครูไม่ใช่เพราะความเก่งกาจมีวิสัยทัศน์ แต่เป็นเพราะอ่อนน้อมถ่อมตนแลดูซื่อและใช้ง่าย ผมพอใจที่ได้ทำหน้าที่เหล่านั้นแต่ก็ไม่ได้ภาคภูมิใจกับมันอีกเช่นกัน เพราะหน้าที่เหล่านั้นมันก็คือการเป็นทาสรับใช้คนอื่นในสายตาที่เขาหาได้จริงใจต่อใครไม่นั่นเอง

จบมัธยมแล้วผมได้สิทธิพิเศษเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาจบออกมาด้วยคะแนนเฉลี่ยไม่มากนักสำหรับระบบการเรียนระดับนี้ซึ่งเข้มข้นด้วยการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง อย่างเจาะลึกในระดับวิเคราะห์วิจัย ต่างไปจากการเรียนแบบจดและจำของระดับมัธยม ในยุคนั้น

   เมื่อผมเรียนจบระดับอุดมศึกษาและนำใบทรานสคริปต์ไปสมัครงานตามบริษัทต่าง ๆ ไม่มีบริษัทไหนไม่ปฏิเสธ ผมเดาเอาเองว่าสาขาที่ผมเรียนเป็นสาขาที่เขาไม่ต้องการ และคะแนนเฉลี่ย 2.2 ของผมก็น่าจะเป็นคะแนนของคนที่ไม่น่าจะฉลาด รวมทั้งอะไรต่อไม่อะไรอีกนานาประการ ผมหางานในกรุงเทพฯ อยู่เดือนเศษ ๆ ก็กลับบ้าน อย่างรันทดท้อ 


 อยากฉีกทรานสคริปต์ที่เปื้อนประสบการณ์ต้อยต่ำนั้นทิ้งไปเพื่อให้ลืมความหดหู่อันโหดร้ายในความทรงจำ
ผมขมขื่นหัวใจอยู่หลายเดือนก็ได้งานขององค์กรอเมริกันองค์กรหนึ่ง เมื่อเข้าไปทำงานก็ได้เจอเพื่อนซึ่งจบจากสถาบันเดียวกันอยู่หลายคน ความรู้สึกแย่ ๆ จึงค่อยผ่อนคลายลงบ้าง แต่ในที่สุดงานดังกล่าวก็ยุติลงเนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินภายในองค์กร
พรรคพวกของผมต่างหางานใหม่ไม่สังกัดรัฐบาล ส่วนผมกับเพื่อนบางคนซุกหัวเข้าใต้ปีกหน่วยงานของรัฐ ทำงานแบบไม่มีปากมีเสียง ขมขื่นหัวใจไม่แพ้คราวใด ๆ เมื่อพบว่าไม่มีใครในหน่วยงานปฏิเสธความเฉื่อยชา ฉ้อฉล และการอยู่ไปวัน ๆ 


ผมเริ่มคิดถึงทุ่งข้าวอีกครั้ง ผมนึกถึงที่สวน ผมนึกถึงวัวควายและยุ้งฉางที่หอมกรุ่นด้วยข้าวหอมจากหยาดเหงื่อของพ่อ 


แต่วันนี้ผมมาไกลเสียแล้ว คือในขณะที่พ่อมีผืนนาแนวระนาบหลายไร่ ส่วนผมมีนาแปลงเดียวแถมทำนาแนวตั้ง ปักดำกล้าที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะโตขึ้นมาอย่างไร เพราะคนทำนาผืนนี้จำนวนไม่น้อย ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของตนเองด้วยการโทรซื้อหวยหุ้นรอบเที่ยงรอบบ่ายมือเป็นระวิงหาเป็นอันสอนหนังสือหรือพัฒนาคุณภาพอนาคตของชาติไม่ ทั้งคนเดินโพยหวยหุ้นก็เข้าออกโรงเรียนราวกับมีงานเทศกาลบุญข้าวประดับดินอย่างไรอย่างนั้น
ในวันที่เหนื่อยล้ากับงาน

                   ..ผมนึกย้อนกลับไปถึงวันที่ยังยากจน..พ่อได้ปลาช่อนมาตัวหนึ่ง แม่ต้มปลาช่อนตัวนั้นใส่น้ำปลาร้าแล้วตักมาบิเอาเนื้อปลาโขลกกับพริก เติมน้ำต้มปลาร้าลงไปจนเต็มครก เติมเกล็ดใสของผงชูรสอีกเกือบครึ่งซองเพื่อทดแทนรสของเนื้อปลาที่เจือจางเต็มที เราทั้งบ้านกินข้าวเหนียวกับปลาป่นเจือจางนั้นมาเกือบทุกมื้อ นาน ๆ จึงจะมีลาบหมูลาบควายกินกันบ้าง 


      ผมคล้ายจะนึกออกแล้วว่าตัวตืดก้อนเท่ากำปั้นที่ตกลงไปในหลุมถ่ายทุกข์หนนั้นมาจากไหน และเหตุใดมันสมองของผมและคนในชนบทส่วนใหญ่จึงเทียบกับความฉลาดปราดเปรื่องมีชีวิตมะลังมะเลืองของผู้คนจำนวนน้อยในสังคมที่พากันฉลาดเหลือ และร่ำรวยแบบรั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่


วันนี้ ..ผมมองเห็นเด็กชายผิวกร้านผอมกะหร่องหลายคนนั่งเล่นอยู่ตามร่มไม้ ข้างอาคารเรียน พวกเขาเอามือบีบบี้ขากางเกง ในทันทีก่อนที่ตัวตืดจะตกและติดแหมะเข้าที่ขา ที่ข้อเท้าให้คนอื่นเห็น 

ณ                  นาทีนี้ที่ผมเป็นครูสอนพวกเขามองเห็นภาพเหล่านี้จากหน้าต่างบนอาคารเรียน ผมบอกได้ว่าคุณภาพชีวิตของผู้คนชนบทก็ยังแทบจะไม่ต่างไปจากเดิม เด็ก ๆ วัยรุ่นมัธยมจำนวนหนึ่งอาจจะมีมือถือพูดคุยไร้สาระอวดกัน แต่ผมรู้ 

พ่อแม่ของพวกเขาหาเงินใช้หนี้กองทุนหมู่บ้านแทบเลือดตากระเด็น


&				
9 เมษายน 2547 07:05 น.

มรณกรรมของเหยี่ยวเดือนห้า - TSH

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

5.35 ปิดประตูห้องสัมภาระเก็บแผงกระจายความร้อน
06.50 ผู้บังคับการและนักบินสวมชุดสีส้มเข้าประจำที่นั่งด้านหน้าซ้ายและขวา
07.15 จุดเครื่องยนต์เป็นเวลา 2 นาที ครึ่ง พายานออกจากวงโคจร
07.44 เข้าสู่ขอบบรรยากาศที่ระดับ 121 กิโลเมตร อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น
07.53 ศูนย์ควบคุมพบว่า ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดันสำหรับระบบไฮดรอลิกที่บังคับแฟลบปีกซ้ายบกพร่อง
07.56 ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดันที่ระบบลงจอดในห้องเก็บล้อด้านซ้ายรายงานการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในสายเบรกและล้อ
07.58 ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดัน 3 ตัวที่ปีกซ้ายซึ่งฝังอยู่ในโครงสร้างของยานเสียหาย
07.59 ตัวตรวจวัดอุณหภูมิและความดัน 8 ตัวที่ปีกซ้ายซึ่งทำหน้าที่วัดอุณหภูมิและความดันในล้อเสียหาย


เหยี่ยวเดือนห้า(ชื่อกระสวยอวกาศลำแรกของทัย) จากลำนารายณ์(สถานีควบคุมภาคพื้นดิน) เราเห็นข้อความเกี่ยวกับความดันยางของคุณและเราไม่ได้ยินข้อความสุดท้ายจากคุณ


รับทราบเออ

ผู้บังคับการยานตอบแล้วสัญญาณก็ขาดหายไป ไม่มีคำพูดอีก การส่งข้อมูลอัตโนมัติหยุดลง


นั่นตรงกับวันที่ 4 มีนาคม 2978 เวลา 8.00 น. เวลาในทัย
กระสวยอวกาศเหยี่ยวเดือนห้าอยู่สูง 63 กิโลเมตรเหนือมาบตาพุด เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าเสียง 18.3 เท่า หมดหวังที่จะพบผู้รอดชีวิต
        
           ประเทศทัยทดลองการบินสู่อวกาศครั้งที่สองโดยยานเหยี่ยวเดือนห้าลำเดิม ภายใต้รหัสปฏิบัติการ TSH-107 เที่ยวบินนี้มีนักบิน 7 คน ได้แก่[ข้อมูลขัดข้อง]
ไม่มีใครคิดว่าเที่ยวบินนี้จะเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของกระสวยอวกาศชื่อเก๋ลำนี้ โดยเฉพาะการบินกลับสู่โลกนั้นไม่เคยมีประวัติการระเบิดเสียหายเกินสองครั้ง ครั้งนี้ได้สร้างความเจ็บปวดและสะเทือนใจไปทั่ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ ของนาซ่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2529 และกระสวยอวกาศโคลัมเบีย ของนาซ่าเช่นเดียวกัน  เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546


432 ปีที่ผ่านมาประเทศต่าง ๆ มีความพยายามที่จะถีบตัวขึ้นเป็นประเทศแถวหน้าด้านอวกาศ ตามหลังญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป ประเทศทัย หรือประเทศอื่น ๆ บางประเทศก็คล้าย ๆ กัน แม้ว่าตัวเลขจีดีพีจะสูงลิ่วทะลุเพดาน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังจนอยู่มาก ทั้งนี้เนื่องจากรายได้ประชาชาติมาจากรายได้ที่กระจุกอยู่กับชนชั้นนำของประเทศเท่านั้น 
  โครงการทดลองการบินสู่อวกาศครั้งที่สองนี้ถ้าประสบความสำเร็จก็จะเป็นการประกาศชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่และสิ้นเชิงของกลุ่มทุนร่วมระหว่างธุรกิจอีดูเทนเม้นต์และธุรกิจสเต็ทยีนีติกโมดิฟายด์
โครงการนี้ต้องชะลอตัวลงอย่างน้อย 2 ปี นักวิเคราะห์ระดับสูงกล่าว 

สอดคล้องกับที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบินของ PPS ระบุเอาไว้ว่า ประเทศทัยมีปัญหาสำคัญ-ไม่ใช่เรื่องเทคนิคการบินหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางจริยธรรมชนชั้นที่ฝังรากลึกยากแก่การแก้ไขในช่วงอายุขัยหนึ่ง ๆ
      

อัตถวินิบาตกรรมบนเหยี่ยวเดือนห้าของนักบินซึ่งสืบสายโลหิตมาจากใต้ถุนสังคม เป็นข้อสรุปแบบฟันธงของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว

อะจึ๋ย !				
8 เมษายน 2547 20:18 น.

พ่อของทั้งเขาและผม

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ปีนี้ทางโรงเรียนให้นักเรียนเตรียมงานวันวิทยาศาสตร์ เพื่อจัดกิจกรรมในวันที่ 18 สิงหาคม เหมือนทุกปี แต่ปีนี้พิเศษตรงที่ผู้ปกครองจะได้รับเชิญมาชมงานทุกคน ทางโรงเรียนจะถือโอกาสประกาศผลการดำเนินงานของโรงเรียนให้ผู้ปกครองทราบ              

ผมได้รับมอบหมายจากครูที่ปรึกษาให้ดูแลนิทรรศการเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์พันธุกรรม ซึ่งงานในส่วนนี้ของผมก้าวหน้าไปแล้วประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ผมไม่ห่วงมากนัก ห่วงแต่พ่อเท่านั้น   ว่า  จะมาตามหนังสือเชิญไหม ซึ่ง  ปีที่แล้วพ่อไม่มาดูงาน ทั้งที่รับปากว่าจะมา ข้ออ้างของพ่อคืองานยุ่งนักต้องรีบทำส่งนาย
                     ส่วนหนึ่งของนิทรรศการของผมที่หลายคนชอบคือ การตรวจว่าตัวเองมีหมู่เลือดอะไร เป็นหมู่เอ หมู่บี หมู่โอ หรือหมู่เอบี ซึ่งหมู่เลือดแต่ละหมู่ก็จะมีคำทายเกี่ยวกับนิสัยใจคอ คู่รัก การงานที่เหมาะสม และอะไรอีกหลายอย่างที่สนุก ค่าตรวจก็ไม่กี่ตังค์บางครั้งทำให้ฟรี ๆ ถ้าสนิทกัน หมู่เลือดของผมเป็นหมู่เอครับ น้องทั้งสองคนของผมรวมทั้งแม่ด้วยต่างก็เป็นหมู่โอ มีพ่อคนเดียวที่เป็นหมู่ เอ

                     ผมเป็นลูกคนโตของพ่อ อายุย่างสิบห้าปี เพศที่แท้จริงเป็นเพศหญิง ผมมีประจำเดือนมาแล้วหลายปีแล้ว น้องสาวของผมอายุ*งจากผมกันคนละสองปี ผมไม่ได้คับข้องใจเรื่องเพศอะไรหรอกครับ ผมอยากเป็นผู้ชายก็เพื่อจะได้ปกป้องแม่ ก็เท่านั้น

                    พ่อของผมรับราชการ โดยย้ายจากกรุงเทพฯมาทำงานจังหวัดชายแดนภาคอีสานได้สามปีเศษ ๆ แล้ว เราย้ายที่ย้ายถิ่นมาแล้วหลายหน จนผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนภาคไหน แต่ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหน ๆ พ่อก็เป็นคนเหมือนเก่า คือออกจากบ้านแต่เช้ากลับบ้านเอามืดค่ำ เราไม่ค่อยได้คุยกับพ่อ บางทีเสาร์อาทิตย์พ่อก็ไม่มีเวลาให้เรา ก็มีแต่โล่ข้าราชการดีเด่นหลังตู้เย็นเท่านั้นที่เราเจอทุกครั้งยามหิวน้ำเดินเข้าไปเปิดเอาขวดน้ำมาดับความกระหาย


แม่คะ พ่อไปไหน น้องเล็กถาม
ไปทำงาน
งานอะไร ห้าทุ่มก็ยังไม่กลับ ตัวผอมคนเดิมพูด
อย่ามาซักไซ้ โน่น ไปดูทีวีโน่น

                      หลัง ๆ มานี้ แม่อารมณ์เสียเสมอเมื่อถามถึงพ่อ แต่ผมรู้ ว่าแม่รักพ่อแค่ไหน ในวันที่เหงา ๆ ผมคิดอยากมีพ่อแม่เหมือนคนบ้านข้าง ๆ เรา เขาดูยากจนก็จริงแต่ทุกคนก็อยู่พร้อมหน้า มีอะไรก็กินกัน บางครั้งเขายังมีน้ำใจแบ่งของกินพวกแกงเห็ดป่า แกงหน่อไม้ น้ำพริกแย้อะไรเทือกนั้นให้เราด้วย    ผมคิดว่าคนจนพวกนั้นมีน้ำใจกับเรามากและบ่อย ส่วนเราแบ่งอะไรให้เขา ก็มีบ้างแต่นับครั้งได้น้อย

                       ทุกครั้งที่พ่อกลับมาดึก ๆ แม่จะยกสำรับข้าวมารอที่โต๊ะ ส่วนพ่อจะรีบเข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า มานั่งกินข้าวคนเดียวเงียบ ๆ พ่อกับแม่แทบไม่คุยกันถึงแม้จะอยู่*งกันแค่ครึ่งศอก และเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แม่เริ่มรู้ว่าพ่อมีใจกับผู้หญิงคนอื่น 

แม่รู้เรื่องนี้เพราะมีคนกระซิบบอก 
และแม่ก็คงเห็นกับตาแล้วว่าพ่อกับเพื่อนในที่ทำงานของพ่อมีอะไรกันจริงตามที่คนบอกหรือไม่

                        หลายคืนแล้วที่ผมนอนครุ่นคิด   ตีสองแล้วก็ไม่ยอมหลับ ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงกรนของพ่อก็ตาม ผมคิดหาคำตอบยังไงก็ไม่ออก ว่าแม่ด้อยกว่าผู้หญิงคนนั้นตรงไหน รูปร่างหน้าตาของแม่สวยกว่าคนนั้นตั้งเยอะ แม่เอาใจใส่ทุกคนในบ้านไม่มีที่ติ ขาดเพียงอย่างเดียวตรงที่ไม่ได้เรียนสูง ถึงกระนั้นแม่ก็จบการศึกษาผู้ใหญ่ และวิชาชีพตัดเย็บเสื้อผ้ามีรายได้จุนเจือครอบครัวช่วยพ่อด้วย

                        วันที่ 18 สิงหาคม มาถึง พ่อบอกว่ามีธุระราชการด่วน ให้ลูกนั่งรถโดยสารไปโรงเรียนกันเอง ถ้าเสร็จธุระแล้วพ่ออาจจะแวะไปชมนิทรรศการ เราไปโรงเรียนแต่เช้าโดยคาดหวังพ่ออยู่เต็มหัวใจว่าพ่อจะแวะไป จะได้ไม่อายเพื่อน ๆ ที่มีพ่อกับแม่อยู่เคียงข้างให้กำลังใจ 
                       พิธีเปิดเริ่มแล้ว คนมาชมงานมากตามคาดหมาย และจากที่แสดงนิทรรศการของผมซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าโรงเรียนไม่มากนักสามารถมองเห็นคนเดินหรือรถราที่เข้าออกขวักไขว่ จากเช้าเป็นสายผมก็ยังไม่เห็นวี่แววของพ่อหรือรถของพ่อ

                     อร นายชักจะใจลอยใหญ่แล้วนะ น้อง ๆ เขาอยากได้สารเคมีตรวจเลือดเพิ่มอีก
นายเบิกอาจารย์ให้หน่อย 

                      เพื่อนเรียกผมหลายครั้งแต่ผมก็ไม่ได้ยินเพราะมัวแต่คิดเรื่องพ่อ

                    อ้อ ขอโทษ ๆ เดี๋ยวเราเอามาให้

                      ผมหันหลังออกมาจากตรงนั้น แต่ก็ไม่วายที่จะมองไปที่ทางเข้าโรงเรียน
                       นาทีนั้นเองรถเก๋งสีแดงเหมือนรถพ่อก็แล่นชะลอ ๆ เข้ามาู รถหยุดเลยประตูมาไม่มากนัก          คนที่ก้าวลงมาคนแรกเป็นผู้หญิงผิวขาวผอมบางร่างเล็ก สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข คนที่ก้าวตามลงมาเป็นเด็กชายวัยเดียวกับน้องสาวคนเล็กของผม ผู้หญิงคนนั้นจูงเด็กชายเดินตามถนนเข้ามาได้สองก้าวก็หันหลังกลับไปเหมือนลืมอะไรบางอย่าง คนที่อยู่ในรถหมุนกระจกติดฟีล์มลงและโผล่หน้าออกมาเล็กน้อย เพียงเท่านั้นผมก็จำได้ ..

                       พ่อ 

                      เสียงเรียกของผมจุกอยู่ที่คออันแห้งผาก
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินกลับมา คนขับรถมองตามแล้วก็หมุนกระจกขึ้น และค่อย ๆ กลับรถออกจากโรงเรียนไป วันนั้นหัวใจของผมเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ วูบคิดถึงแม่ รักแม่ขึ้นมาอย่างประหลาดจับจิตจับใจ
สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะรู้ก็ได้รู้

อะไรหรือครับ

ผู้หญิงคนนั้นพาลูกมาชมนิทรรศการของเรา น้อง ๆ ในกลุ่มของผมคะยั้นคะยอให้แม่และเขาตรวจเลือด โดยโฆษณายกแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมจนเธอใจอ่อน หรือไม่แน่ เธออาจจะอยากได้ของที่ระลึกชิ้นสุดท้ายของโรงเรียนเราก็ได้ เธอมีหมู่เลือดบี ลูกชายของเธอมีหมู่เลือดเอบี และเมื่อปีที่แล้วผมก็ยังจำได้ เพราะตรวจเลือดด้วยตัวเองให้กับผู้ชายที่เด็กชายคนนั้นเรียกพ่อ ได้ว่า เขามีหมู่เลือดโอ

               ผมไม่อยากคิดอกตัญญูกับพ่อเลยว่า
คนที่แม่ของผมรักมาก
คือพ่อของทั้งผมและเขา

ณ วินาทีนี้ความรู้สึกเป็นผู้ชายของผมมันพุ่งขึ้นรุนแรงจนนึกอยากจะเตะต้นกล้วยให้ขาดไปซักสองท่อน

ผมไม่อยากให้พ่อของผม
เป็นพ่อของใครอื่นทั้งนั้น .				
7 เมษายน 2547 23:15 น.

คนละฝั่งฝัน

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

เล็กชอบเพลงพวกนี้หรือ
เขาพลิกหน้าหนังสือเพลงค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่วางอยู่ตรงหน้า
ชอบเกือบทุกเพลงค่ะ
และเล็กก็เล่นเพลงพวกนี้ได้
ค่ะ

ดวงจันทร์กลมโตพ้นปลายไม้ด้านตะวันออกราวสองคืบสาดกระจ่างทั่วชานบ้านด้านไม่มุงหลังคาแลเห็นกระถางดอกไม้ป่าแจ่มชัด กระนั้นแสงเทียนก็ยังทำหน้าที่ขับความมืดหม่นตรงหน้าระหว่างคนสองคนอยู่อย่างซื่อตรงและเป็นผล
บ้านหลังนี้ชาวบ้านสร้างเป็นบ้านพักครูหลังแรกของโรงเรียนป่าเต็งวิทยา ส่วนหลังที่สองที่อยู่ถัดไปเป็นบ้านพักครูจากงบประมาณของรัฐ บ้านหลังที่สองดูสวยงามต่างจากหลังที่หนึ่งลิบลับ แต่กนกวรรณก็เลือกบ้านหลังแรกแม้ครูอีกคนในโรงเรียนเสนอให้เธออยู่บ้านพักหลังที่ดีกว่า
พิษณุนั่งเอนหลังพิงหมอนสามเหลี่ยมที่วางอยู่ชิดเสาหันหน้าไปทางเหนือ กนกวรรณยังประคองกีตาร์นิ่งคล้ายเหม่อมองจันทร์แต่ไม่ใช่ เธอยังไม่ขยับนิ้วเล่นสายใด ๆ ในความนิ่งงันชั่วครู่มีแต่เสียงน้ำตกที่ห่างออกไปไม่เกินห้าสิบเมตรได้ยินเสียงซ่าซ่าซู่ซู่อยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ระยะทางเกือบสองร้อยกิโลเมตรห่างจากตัวจังหวัดอาจดูไม่ไกลสำหรับเขากับโฟวีลไดรฟ์สีเข้มที่จอดอยู่หน้าบ้านพัก แต่มันก็ทุลักทุเลเอาการเพราะต้องไต่มาตามทางชันแคบ ๆ ร่วมสิบสามกิโลเมตรกว่าจะถึงโรงเรียนบ้านป่าเต็งวิทยา
ทั้งพิษณุและกนกวรรณต่างเป็นเพื่อนร่วมคณะแต่ต่างสาขา ของมหาวิทยาลัยในภูมิภาค ฝ่ายชายเลือกที่จะทำงานกับบริษัทเอกชน แต่ฝ่ายหญิงเลือกที่จะเป็นครูตามความใฝ่ฝันวัยเด็ก
เล็กไม่คิดเปลี่ยนใจหรือ
ก็ไม่แน่ค่ะ อาจจะเปลี่ยนเร็ว ๆ นี้ก็ได้
เธอตอบออกไปอย่างนั้น แต่ความจริงเธอยังรู้สึกห่วงใยแววตาแป๋วแสนซื่อของเด็กบ้านป่าลูกศิษย์ของเธอ
ไปทำงานกับผมไหม มีตำแหน่งโปรโมตขึ้นใหม่ คิดว่าเหมาะกับเล็กมาก
เป็นยังไงคะ
เป็นงานฝ่ายอบรมและพัฒนาบุคลากร ก็เหมือนกับที่เล็กทำตอนนี้ เพียงแต่เป็นทำกับผู้ใหญ่เท่านั้นเอง เงินเดือนมากพอที่เล็กจะออกรถสบาย ๆ ในหนึ่งปี
หรือคะ
หญิงสาวเริ่มเกาสายกีตาร์ เป็นบทเพลงเปลี่ยวเหงาแห่งค่ำคืนของคนที่พลัดหลงไปบนเส้นทางอันไม่คุ้นเคย คนฟังไม่รู้จักเพลงนั้น ถ้าเธอเล่นเพลงสากลเก่า ๆ ยังจะรู้จักดีกว่า
ถ้าเล็กตัดสินใจ พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปติดต่อเดินเรื่องย้ายให้ ผมมีญาติที่อยู่ข้างในและรู้จักกับนักการเมืองด้วย
เขาพูดแทรกเสียงจากสายคีย์ไมเนอร์ ส่วนหญิงสาวยังไม่ตอบรับและปฏิเสธ ความอึดอัดจึงเริ่มแผ่คลุมหัวใจเขา แต่ในใจของเล็กนั้นก็ยากที่ใครจะรู้ เธออาจอยากได้ยินถ้อยคำอย่างหนึ่งอย่างใดให้ชัดเจน หรืออาจอยากให้คืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือสว่างเสียที เพื่อทีจะได้กลับไปอยู่กับแววตาซื่อ ๆ ของเด็กน้อย
ณุคะ เล็กขอคิดดูก่อนได้ไหมซักเดือนนึง แล้วเล็กจะเขียนไปบอก
นั่นเป็นคำพูดสั้น ๆ ที่ให้ความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่หนุ่มหล่อมีอนาคตในการที่เขาบากบั่นเข้ามาเยี่ยมเพื่อนสาวหนแรกนี้
รุ่งเช้าฝุ่นแดงทิ้งตัวลงแล้วหยุดนิ่งหลังจากรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากไปไม่นาน

ครูคะ แฟนของครูมาเยี่ยมหรือคะ เด็กน้อยท่าทางฉลาดที่สุดในห้องถามซื่อ ๆ
เพื่อนของครูจ้ะ เขาแวะมาเยี่ยม
เขาทำงานอะไรคะ ดูโก้จัง
เขาทำงานในบริษัท
พวกเรากลัวครูจะจากพวกเราไป
ไม่หรอกจ้ะ ครูจะอยู่กับพวกหนูที่นี่
เด็กน้อยแย้มยิ้มดีใจ น้ำตาเอ่อไหลยินดี

? ? ?

สมปอง เป็นครูสอนอยู่ที่นี่ก่อนหน้ากนกวรรณไม่นานนัก ก่อนหน้านี้เขาพักอยู่กับชาวบ้าน พอหญิงสาวเดินทางมาบรรจุทำงานที่นี่เขาก็เข้ามาอยู่บ้านพักด้วยความเป็นห่วงเธอ ถึงแม้ว่าบ้านพักครูกับบ้านชาวบ้านจะห่างกันไม่มากนักแต่หญิงสาวก็เป็นคนตัวคนเดียวจากต่างถิ่น
แถมไม่อยากเข้าไปพักกับชาวบ้านตามคำขอของผู้ใหญ่บ้านเสียด้วย เธอกลัวว่าจะเป็นการรบกวนสร้างความยุ่งยากให้ชาวบ้านนั่นเอง
สมปองยังไม่แต่งงานด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือยังไม่พร้อม แม้ว่าจะมีสาวชาวบ้านหน้าตาดีมาแสดงความสนใจใยดีมากมายอย่างไรก็ตาม เขาว่าเขาต่ำต้อยเกินจะเอ่ยคำว่ารักกับใคร ชายหนุ่มจึงมีแต่ท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว ในขณะที่หญิงสาวในหมู่บ้านหลายคนกล่าวหาว่าเขาเย่อหยิ่งถือตัว เขาได้ยินก็ยิ้มแล้วปล่อยให้ผ่านเลย หนุ่มโสดไร้พันธะจึงขึ้นเขาลงห้วยไปไร่ไปสวนกับชาวบ้านได้อย่างเสรี
พี่สมปอง กลับบ้านบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่หนูมาเห็นพี่ไปโน่นไปนี่กับชาวบ้าน ไม่เห็นพี่เข้าเมืองเลย
ครูหนุ่มสาวคุยกันระหว่างอาหารมื้อเที่ยงที่เพิงกินข้าวข้างอาคารเรียน
พี่เพิ่งกลับไปเยี่ยมบ้านเมื่อสองเดือนนี่เอง พ่อกับแม่ว่าพี่แก่ดำคล้ำไปเยอะ
เขาหัวเราะหึ ๆ หญิงสาวก็พลอยยิ้มกว้างไปด้วย เด็กที่กินข้าวอยู่ใกล้ ๆ มองครูของพวกเขาอย่างชื่นชม
หนูอยากใช้ชีวิตอย่างพี่จัง ทำโน่นทำนี่คงไม่เหงา
ก็ไม่ใช่พี่ไม่เหงานะ เวลาว่าง ๆ มันก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่พี่ก็ไม่ให้มันว่าง ออกไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เราไม่ต้องปลูก ที่สนุกกว่านั้นคือลงไปลุยกับเขา ขึ้นเขาลงห้วย หาปูหาปลา ทำไร่ทำนาอะไรก็ว่าไป มีอะไรที่เรายังไม่ได้เรียนรู้อีกมาก
หนูเพิ่งรู้จักชาวบ้านไม่กี่คนเลย
ก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากเรียนรู้ก็เริ่มจากคนที่เราสนิทสนมรู้จักและไว้ใจก็ได้ น้องอยากไปช่วยเขาเกี่ยวข้าวขนข้าวไหมล่ะ
อืม น่าสนใจ ถ้าพี่ไปชวนหนูได้ไหมคะ
เดี๋ยวพี่จะบอกนะ
ขอบคุณค่ะ

สมปองกับกนกวรรณสอนนักเรียนคนละ 3 ชั้น ครูใหญ่ช่วยบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนหน้านี้โรงเรียนป่าเต็งวิทยามีครูหลายคนแต่ก็ย้ายเข้าเมืองกันหมด ครูใหญ่เป็นครูที่พักอยู่ต่างหมู่บ้านออกไป เขาเข้ามาโรงเรียนสลับกับออกไปข้างนอกอยู่เสมอ ครูในบ้านพักครูจึงต้องอยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อเอื้ออาทรทั้งชั่วโมงสอนและการใช้ชีวิต
ปีนี้ชาวบ้านป่าเต็งปลูกข้าวได้ผลดีเพราะน้ำท่าอุดม พวกเขาลงแขกเกี่ยวข้าวจนแล้วเสร็จและกำลังขนขึ้นลานเพื่อนวดก่อนขนขึ้นยุ้ง สมปองกับกนกวรรณมาช่วยชาวบ้านขนข้าวขึ้นลาน ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ปกครองของนักเรียนในชั้นที่กนกวรรณสอนปลื้มอกปลื้มใจมากคาดไม่ถึงว่าครูทั้งสองจะมาช่วย
อาหารบ้านป่าอร่อยไหมครับแม่ครู
เจ้าของลานนวดข้าวเอ่ยถามขณะล้อมวงกินข้าวเที่ยงกันใต้ร่มไม้ใหญ่
อร่อยมากค่ะ
อาหารมื้อเที่ยงที่รสชาติไม่เผ็ดร้อนจนเกินไปนักคือยำไข่มดแดง นอกนั้นเผ็ดร้อนทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นผัดเผ็ดปูหินพริกไทยอ่อน , คั่วอ่อมตะกวดหนุ่ม , ต้มยำปลากั้ง เผ็ดจนเหงื่อเม็ดโป้งๆผุดและย้อยเปียกชื้นไรผม
หาเกลือมาให้แม่ครูหน่อย แม่
เจ้าของนาหันไปบอกภรรยาของเขา เพราะรู้ว่าเกลือจะช่วยให้ครูไม่รู้สุกเผ็ดร้อนทรมานเกินไป
ครูสมปองกับแม่ครู อยู่ด้วยกันที่นี่เถิดนะ ได้ไหม พวกเราจะยกที่ดินให้ซักห้าสิบไร่กับปลูกบ้านหลังใหญ่ๆให้อยู่
แหม เล่นจีบกันดื้อ ๆ แบบนี้หนูก็เขินอายแย่ซิคะ แต่ว่าที่ดินที่ดอนยังมีเหลืออยู่เยอะขนาดนั้นหรือคะ เห็นครูสมปองบอกว่าแถวนี้เป็นป่าสงวน
เขามาสงวนกันตอนหลังนี้ดอกแม่ครู พวกเราตั้งหมู่บ้านอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แปดสิบปีที่แล้ว โรงเรียนหมู่บ้านและวัดวามันอยู่ในที่สงวนหมดแหละถ้าจะว่าตามนั้น แต่ว่าแม่ครูก็ยังไม่ตอบคำถามของพวกเราอยู่ดี
ให้เวลาหนูคิดดูก่อน นะคะ
ไม่เป็นไรครับ ตามใจแม่ครูก็แล้วกัน พวกเรายินดีมากที่ครูมาสอนลูกหลานพวกเราที่นี่ พวกเขาจะได้ฉลาดทันเล่ห์เหลี่ยมคนในเมืองบ้าง
เย็นย่ำและค่ำนั้นหลังจากสมปองกับกนกวรรณกลับบ้านพักอาบน้ำอาบท่าแล้วต่างคนต่างม่อยหลับไปง่ายดายด้วยความเหน็ดเหนื่อยแต่เป็นสุขบนบ้านพักของแต่ละคน


? ? ?


ไม่ถึงเดือนพิษณุก็กลับมาอีกครั้งตอนสาย ๆ พร้อมกับรถคันใหญ่ที่ยกสูงขึ้นใหม่ เขาเปิดเพลงเสียงทุ้มกระแทกดังมาแต่ไกล ยิ่งใกล้เข้ามายิ่งก้องสะท้อนแปลกแยกกับหุบผาและป่าเขา เมื่อรถจอดที่หน้าบ้านพักหลังแรกเครื่องเสียงกระหึ่มจึงสงบลงได้ เขาขึ้นบ้านไปพบหญิงสาวที่นิ่งเงียบอยู่บนนั้น เสียงพูดคุยกันหลายประโยคแต่น้ำเสียงดูไม่แจ่มใสนัก
ครูสมปองเดินมาชะโงกหน้าถามหญิงสาว
ครูเล็กอยากได้อะไรไหมวันนี้พี่จะออกไปอำเภอกับผู้ใหญ่บ้าน
ยังหรอกค่ะ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน ขอบคุณมากนะคะ
เมื่อสมปองเดินห่างไป พิษณุจึงเริ่มสนทนา
เล็กไม่ไปกับผม เพราะไอ้หมอนั่นใช่ไหม
ณุไม่มีสิทธิ์ว่าอะไรเขาแบบนั้นนะ และเหนืออื่นใดเล็กก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจอะไรเอง เห็นไหมคะก็รู้แล้วว่าในความพร้อมของณุ มันเป็นคนละอย่างกับความพร้อมของเล็ก
หญิงสาวพูดแล้วก็นิ่ง ปล่อยให้ความอึดอัดดำเนินไปตามสภาพของมัน

แล้วขุนเขาลำเนาป่าก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง หลังจากรถเสียงดังคันนั้นจากไปแล้วในตอนเที่ยงวัน ครูสาวมีสีหน้าเหงาปนว้าวุ่น ในใจของเธอนั้นบอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรแน่ เวลาผ่านไปเร็วแต่เหมือนช้านัก เย็นย่ำค่ำแล้ว ครูสมปองยังไม่กลับมา 
ส่วนเธอยังคงนิ่งและเงียบ
กอดกีตาร์ตัวนั้นไม่เล่นเพลงใด ๆ

&				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์