20 เมษายน 2547 13:55 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
(ครูของผม)
-----------------------------------------
เธอกินข้าวเที่ยงหรือยังก่อพงษ์ ครูเดินมาเงียบๆ และถามเสียงทุ้มๆ ผมกำลังนั่งทำการบ้านอยู่หลังห้องเรียนคนเดียว
กินแล้วครับ
เมื่อวานเธอขาดเรียน ครูยืนกอดอก แต่น้ำเสียงไม่เปลี่ยน
ครับ ผมไม่มีตังค์ค่ารถ
ค่าโดยสารวันละกี่บาท ครูเปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งโต๊ะนักเรียน ห่างจากผมไปราวสองศอก
ไปกลับสองบาทครับ
จากบ้านเธอถึงโรงเรียนกี่กิโล ครูกอดอกอีก
สิบเอ็ด ครับ ผมเริ่มปิดสมุดการบ้าน และตั้งใจฟังคำถามของครูจริงจังขึ้น
เธอขี่จักรยานเป็นไหม ครูเปลี่ยนจากกอดอกเป็นเท้าแขนซ้าย และยังนั่งที่เดิม
ไม่เป็นครับ พ่อเคยยืมเขามาหนหนึ่งผมหัดยังไม่เป็นก็เอาไปคืนแล้ว
งั้นเธอหัดนะ ตอนเที่ยงเอาจักรยานของครูไปหัด ครูมีสองคัน พอเป็นแล้วค่อยยืมครูขี่มาเรียน รถอยู่ใต้ถุนบ้านพักครู เธอไปลองหัดเลย
ว่าแล้วครูก็เดินตรวจห้องเรียนอื่น ๆ ต่อไปอีก เมื่อครูลับไปจากสายตา ผมจึงเหลือบดูนาฬิกาเหนือกระดาน มันบอกเวลา 12.31 น.
คำของครูยังก้องอยู่ในหัว ผมทั้งตื่นเต้นและดีใจ หนึ่งคือรู้สึกโก้มากที่จะได้ลองเจ้าฮัมเบิ้ล มีเกียร์ ที่ผมเห็นครูขี่ไปตลาดบ้าง ไปตามท้องนาบ้าง สองจะได้มาเรียนไม่ต้องขาด ผมไม่ใช่คนขี้เกียจเรียน สามจะมีเงินเก็บบ้างจากค่าโดยสาร และอะไรอีกเยอะแยะ
ผมนึกถึงเพื่อนที่จะช่วย ในห้องมีเพื่อนที่ไม่ข่มเหงผมอยู่สองสามคน เป็นลูกคนจนเหมือนกัน ผมขอให้เขาช่วยหัดรถถีบให้ ไม่ช้าผมก็ทำได้อย่างครูและอย่างเพื่อน
วันต่อ ๆ มา เมื่อแน่ใจว่าขี่ได้คล่อง ผมก็บอกครู ครูให้ขี่ให้ดู จนแน่ใจ ผมจึงได้เจ้าฮัมเบิ้ลพากลับบ้านและมาโรงเรียน
พ่อกับแม่ยิ้มเบิกบาน เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
รักษารถของครูให้ดี ๆนะอ้ายหนู พ่อกับแม่บอกเหมือนกัน
ผมยิ่งต้องเอาใจใส่ราวกับว่านี่คือสมบัติของตนเอง
คุณนึกภาพผู้ใหญ่ออกรถคันใหญ่คันใหม่ดูครับ เขาเอาใจใส่ดูแลรถดีขนาดไหน ผมก็คงคล้ายนั้น
OOOOO
หลังเลิกเรียนทุกวันผมออกไปทุ่งนาเพื่อจับกบจับปลามาให้แม่ทำกับข้าว บางวันได้มากก็แบ่งไปฝากคุณครูหลายท่านด้วย ครูรับ ยิ้ม และว่า ขอบใจ ไม่เคยทำให้ผมเสียน้ำใจเลย
เย็นวันหนึ่งคุณครูกับเพื่อนปั่นจักรยานมาแวะบ้านผม ครูว่าครูอยากให้ผมพาไปจับปลา ผมตื่นเต้นและดีใจมากเหมือนตอนสอบได้ที่ 10 ของห้องเป็นครั้งแรกคราวย้ายที่เรียนไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอ
คุณครูกินข้าวเย็นหรือยังครับ
ยัง แต่ครูเตรียมมาด้วยแล้ว
ครูพูดพร้อมกับยกเถาปิ่นโตให้ดู ผมเตรียมน้ำและสัมภาระอื่นคือเบ็ด ข้อง โคมไฟ และพล้า ส่วนจอบขุดเหยื่อเบ็ดเก็บไว้ที่เถียงนาเรียบร้อย ไม่ต้องขนไปขนมา
ครูทั้งสองท่านปั่นจักรยานตามผม ชาวบ้านหลายคนมองตามอย่างแปลกใจจนพ้นท้ายบ้านเข้าสู่เขตทุ่งนา ถนนแคบเข้าจนเป็นแค่ทางควายและคันนาในที่สุด
ตรงไหน นาของเธอ คุณครูเจ้าของจักรยานที่ผมถีบ ถาม
ผมชี้มือขึ้นฟ้าเฉียงๆ เพราะยังอีกไกล ไม่มีถนนเข้าไปหรอกครับ มีแต่คันนา
คันนานี่กว้างพอครับครู ขี่ตามผมมาเลย
ครูทั้งสองท่านขี่จักรยานคล่องแคล่วกว่าผม คันนากิ่ว ๆ บางช่วงก็ผ่านมาได้ ดีที่ไม่มีใครตกคันนาซักคน
เมื่อถึงที่หมาย ครูและผมวางสัมภาระไว้บนเถียงนา ผมเตรียมจอบจะขุดไส้เดือน ครูบอกว่ากินข้าวเย็นก่อนได้ไหม ผมก็ตกลงตามนั้น อาหารเย็นกลางทุ่งมื้อนั้นของครู เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตของผม และไม่เคยลืมเลย
ครูช่วยผมขุดไว้เดือนหลังอาหารเย็นลุล่วงไป ทั้งสองท่านเตรียมเบ็ดของตัวเองมาด้วยคนละกำมือ เมื่อได้เหยื่อ เราก็แยกกันปักเบ็ดตามคันนา ได้ยินทั้งสองท่านคุยกันว่า ตอนเป็นเด็กท่านก็เคยจับกบจับเขียดแบบนี้เหมือนผม แต่เวลาที่ผ่านไป ยิ่งโตก็ยิ่งห่างไปจากรากเหง้า
ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจหรอกครับ ว่า อะไรคือรากเหง้า ของครู
วันนี้ คุณคิดว่าผมกับครูใครจะได้ปลามากกว่ากันครับ ?
OOO
ค่ำนั้นผมได้ปลาช่อนตัวเท่านิ้วชี้ของตัวเอง 1 ตัว ส่วนครูได้ปลาดุกเท่าแขนของผมคนละตัว ครูบอกว่า ปลาดุกให้ ก่อพงษ์ไว้กินนะ ผมก็รับไว้ด้วยความดีใจ
ที่จริงผมกะจะอวดครูว่าผมรู้ว่าตรงไหนที่ปลาข้ามคันนาไปมา ซึ่งวันก่อนๆ ถ้าผมปักเบ็ดตรงนั้นผมมักได้ปลาแบบไม่เคยพลาด เวลาผ่านมานาน ผมก็ยังคิด ว่า อะไรที่เราคิดว่าแน่ บางทีมันก็ไม่แน่ ดีแล้วที่ไม่ได้โม้โอ้อวดให้คนเย้ยหยันความเขลา
ครูของผมทั้งสองท่านย้ายไปสอนที่อื่นนานแล้ว 20 ปีผ่านมา ผมยังไม่ได้พบท่านอีกเลย
วันที่ 16 มกราคม ทุกปี ผมจะซื้อพวงมาลัยมาคล้องตรงดวงไฟหน้าของจักรยาน รำลึกถึงคุณของครู
และก่อนนอน หลังกราบพระ นบพ่อ ไหว้แม่ ผมไม่เคยลืมที่จะก้มหัวลงให้หน้าผากจรดพื้นเคารพครู ผู้มีคุณ และอยู่ในหัวใจของผมเสมอ
19 เมษายน 2547 22:14 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
อยากฟังนิทานของพ่อ
(ขอโทษครับ ผมจั่วหัวไว้เหมือนคนกิเลสหนา
และกำลังยั่วกิเลสใครอยู่ คุณคงพอจะอภัยให้ผมได้แหละน่า
ถ้าเทียบกับชื่อหัวหนังสือที่เขาโปรยคำไว้ว่า
คุณเลวกว่าหมาและไม่ได้มาจากดาวอังคาร -ha
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
---------------------------------------
ไม่อยากเชื่อปาก
แต่ก็ต้องเชื่อหูตัวเอง
วันนั้นผมเป็นคนเสนอให้กินข้าวหน้าจอทีวี
เพราะอะไร ไม่รู้
ผมทนแทบไม่ได้เลย ( แต่ก็ทนมานานแล้ว )
ที่เห็นลูก ๆ กินข้าวอย่างคนไม่มีสติ
มือที่หยิบจับช้อน ตักอาหาร หรือจับอาหารเข้าปาก
มันเหมือนการไหวเคลื่อนของสิ่งไม่มีชีวิต(หุ่นกล)
เพราะความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่การกิน
แต่อยู่ที่ตัวละครทีวี ซึ่งกำลังสาดคำผรุสวาท(ผะรุดสะวาด)ใส่กัน
ลูกจ้องทีวี
ผมก้มหน้า ( หันหลังให้ทีวี) กินข้าว อย่างขมขื่น
จนวันหนึ่ง
ผมถามว่า
มีใครรักพ่อไหม
เขาตอบว่ารักมาก
ผมจึงว่า
งั้นวันอื่น เราลองกินข้าวที่ข้างล่างดีไหม
ไม่ต้องดูทีวี
ลูกไม่ถามว่าทำไม
แต่ตอบทันใจ ว่า
ได้ครับ ไม่เห็นจะยากอะไร
ผมเต็มตื้นในความหวัง
เหมือนชาวนาที่กำลังมองทุ่งทองของตน
เรากินข้าวโดยไม่ดูทีวีอยู่หลายวัน
จนวันหนึ่งนั้น ผมเสนอให้กินข้าวหน้าจอทีวี
ทุกคนทำตามข้อเสนอ
ยกข้าว กับข้าว ของกิน ขึ้นไปข้างบน
นั่งลงในที่เคยนั่ง
กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย พูดคุย เรื่องโน้นเรื่องนี้
แม่เล่านิทานสั้น ลูกก็ผลัดเล่าบ้าง ผมฟังอย่างมีความสุข
ครับ
เราลืมเสียบปลั๊กทีวี และไม่ได้กดปุ่มTurn on ด้วย
พอผมบอกว่า
เราลืมอะไรไปไหม
ลูก เมีย ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
แล้วชี้มือไปที่ทีวี
ก๊าก ๆ
เราลืมมันสนิทเลย
ลูกคนเล็กว่า
พ่อนั่นแหละลืม...........
ลืมเล่านิทาน
นานแล้วด้วย !
19 เมษายน 2547 06:09 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
นางคำมา ( ออกเสียงเหน่อ ก็ต้องเป็น ข่ำม่า-คำหมา)
แกเป็นคนมีเงิน คนหนึ่งในตำบล โศกดู่
เงินทองของแกพอกพูนขึ้นทุกวัน
เพราะแกมีเงินจ่ายดอกแก่คนทั้งตำบล
ดอกเบี้ยที่แกเก็บจากคนอื่น ไม่มากเท่าใดนัก
แค่ร้อยละสิบต่อเดือนเท่านั้น
คำหมาเกิดมาเพื่อที่จะรวยจริง ๆ
คนในในตำบลโศกดู่ ไม่มีใครไม่รู้จักคำหมา
บางคนรู้จักมากเพราะเคยกู้เงินกับนาง
บางคนยิ่งกว่ารู้จักอีก เพราะได้สูญเสียที่ดินให้แก่นางคำหมาไปแล้ว
จริงอยู่แม้คุณจะมีเงินต้นพร้อมดอกพอและพร้อมสำหรับไถ่ถอนใบนา
คุณก็อย่าลืมว่าบุญหมาก็พร้อมที่จะหลบซ่อนตัว เพื่อให้คุณหาตัวไม่พบ
จนเลยวันนัดไถ่ถอนโฉนดที่ดินรวมทั้งเอกสารสิทธิ์อื่น ๆ ด้วย
มีคนพยายามจะฟ้องร้องบุญหมา
แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะจัดการความยุติธรรมให้กับตัวเองได้ดีกว่าคนจนทั้งหลาย
เมื่อประกอบกันดังนั้น
นางจึงรวยขึ้น รวยขึ้น
มีกำไล สายสร้อย แหวน ต่างหูทองคำ
เป็นเครื่องประดับความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นทุกวัน
แกมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเงินไปหมด
และแกหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปด้วย
ไม่อยากเชื่อสายตา
แต่ก็ต้องเชื่อ
วันหนึ่ง แกเด็ดเอาใบพลู
จากเถาพลูที่เกาะต้นมะม่วงข้างเรือน
ได้หลายสิบใบ
แกไม่ได้เอาไปเคี้ยวเพื่อกินหมาก
แกไม่ได้เอาไปขาย
แกเอาไปซื้อ
คุณครับ วันนั้นแกหยิบจับเอาข้าวของในร้านค้าใส่ตะกร้า
แล้วก็ออกมาเพื่อจ่ายเงิน
พอคนขายบอกว่า 550 บาท
แกก็นับใบพลูให้คนขายไป 55 ใบ
ทั้งคนขายและผมต่างก็งงพอกัน
และยิ่งงง เมื่อแกว่าเงินของแกค่ามากกว่าเงินของคนจนอย่างผมหรืออย่างคนขายเสียอีก
แกเป็นคนรวยจริง ๆ
แล้วคำพูดของแกก็เผ็ดร้อนแสบเข้าไปถึงไส้
ของบรรดาคนยากไร้ทั้งหลายด้วย
ลืมบอกไป
ตระกูลของคำหมา
ตายโหงตายห่า ฆ่ากันเองตายไปคล้ายกับตระกูลดังในเมืองไทยนั่นแหละ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้างล่างลอกมาจาก ปพส.
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น :
จริงอยู่แม้คุณจะมีเงินต้นพร้อมดอกพอและพร้อมสำหรับไถ่ถอนใบนา
คุณก็อย่าลืมว่าบุญหมาก็พร้อมที่จะหลบซ่อนตัว เพื่อให้คุณหาตัวไม่พบ
จนเลยวันนัดไถ่ถอนโฉนดที่ดินรวมทั้งเอกสารสิทธิ์อื่น ๆ ด้วย
ก็ไปแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินบันทึกไว้ แล้วอายัดด้วย
กับไปวางเงินที่สำนักงานวางทรัพย์ แค่นี้ก็ไม่ถูกโกงแล้ว
โดย : เวทย์ - - 27/2/2547
------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ขอบคุณครับ
แต่คนที่สูญที่ดินให้บุญหมา
ไม่รู้และไม่มีเงิน
ได้แต่รอให้ฟ้าดินลงโทษคนมีเงินชั่ว ๆ แบบบุญหมา เท่านั้น
รอไปเถอะ ฟ้าดินมักมาช้าเสมอ
ไม่ก็มาไม่ตรงฤดูกาล
โดย : ก.พ. - - 27/2/2547
--------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ประเทศที่ผมอยู่
มีคนโง่(ผมคนหนึ่งด้วย)
คนจน
คนโซ
อยู่มาก
คนเหล่านี้จมอยู่ในวังวนที่หมุนเหวี่ยงอย่างแรงรอบความกลวงโบ๋ตรงกลางวังวน
อาจมีบ้างที่ลูกหลานของเขาหลุดออกจากวงวนนั้นได้
การศึกษานั่นแหละมีส่วนสำคัญเหลือเกิน
ควบคู่โอกาสที่เขาเองแสวงหาและสังคมออกแบบไว้ให้
สังคมประเทศของเราจะให้ความสำคัญเรื่องนี้
ในระดับที่เข้มข้น ต่อเนื่อง เพียงไหน
โดย : ก.พ. - banluporn@ego.co.th - 27/2/2547
----------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
เวลามีปัญหาทางกฎหมาย
ชาวบ้านไม่พึ่งพาทนายความ
คนที่คิดพึ่งพาทนายความ ก็ไม่รู้จะไปพึ่งที่ไหน
ทนายความที่หลอกลวงคดโกงก็ยังเกลื่อนกลาด
มันมีมากกว่าการศึกษา
การวางกลไกสำหรับแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ขาดหายไป
โดย : เวทย์ - - 27/2/2547
-------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ทนายความตัวจริงมาแล้ว...(ลุงเวทย์)
ระดับชาวบ้านหลาย ๆ คน(เกือบทั้งประเทศ) เมื่อมีปัญหาไม่กล้าไปจ้างทนายว่าความให้..สาเหตุเพราะว่าค่าทนายแพง ผมไม่รู้ว่า..ตรงนี้เป็นปัญหาจริง ๆ หรือเปล่า(อยากเรียนถามลุงเวทย์)
แล้วทนายของรัฐพอจะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้หรือเปล่าครับ..
โดย : นคร โคราชา - **** - 28/2/2547
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ทนายของรัฐ ก็คือ อัยการ ปกติไม่ทำคดีให้ชาวบ้านอย่างเราๆ
แต่ทุกสำนักงานอัยการจังหวัด จะมี สคช ให้คำปรึกษาแนะนำชาวบ้านฟรี
รวมทั้งช่วยเหลือในบางกรณี
แทบทุกศาล จะมี ทนายความอาสา ที่สภาทนายความจัดให้เพื่อให้คำปรึกษาฟรี
ขอเตือนว่าไปขอคำปรึกษาเป็นแนวทางเท่านั้น อย่าจ้างเขา
เพราะถ้าเขารับจ้าง แปลว่าเขาทำผิดระเบียบการเป็นทนายความอาสา
สำนักงานสภาทนายความประจำจังหวัดจะรับช่วยเหลือผู้ที่ยากจนและไม่ได้รับความเป็นธรรม
โดย : เวทย์ - - 28/2/2547
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ลองอ่าน ลำนำเลือด ของผมสิ
ใน ปพส . ก็มี
ปัญหาจริงๆ อยู่ในนั้นเกือบหมด อิอิ
โดย : เวทย์ - - 28/2/2547
------------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ผมรู้สึกขอบคุณทุกท่าน
ผมเห็นที่พึ่ง
อย่างน้อยก็ทางใจ
โดย : ก.พ. - - 28/2/2547
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ขอบคุณลุงเวทย์ที่เติมเต็มความรู้..อิ่มครับ...
ขอบคุณอีกครั้ง
โดย : นคร โคราชา - **** - 28/2/2547
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
ผมเห็นด้วยว่า
การศึกษา
การวางกลไกสำหรับแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน
การออกแบบสังคมที่สังคมนั่นเองมีส่วนร่วม
ฯลฯ
เป็นสิ่งจำเป็นที่คนในรุ่นที่กำลังหายใจอยู่นี่จะต้องเอาใจใส่
ให้ความสำคัญ ผลักดันให้มันมีมันเป็นในทิศทางที่ควร
การฝากความหวังไว้กับอัศวินขี่ม้าขาว แล้วไม่ก็ทำอะไรอีกบ้าง
มันเหมือนความไม่รับผิดชอบอย่างหนึ่งต่อหน้าที่การเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ
แต่นั่นแหละ
บางทีผมก็เห็น ว่าคนที่มีสำนึกที่ดีเพื่อส่วนรวม
กลับต่ำต้อยเหลือเกินในสายตาของเพื่อนผู้ยืนอยู่บนหลังไหล่ของเพื่อน
ไม่ต้องพูดถึงพวกที่ชอบทำนาบนหลังคนนั่นก็ได้
นี่ไม่ใช่การบอก คงแค่บ่น
โดย : ก.พ. - - 28/2/2547
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น :
บางทีผมก็เห็น ว่าคนที่มีสำนึกที่ดีเพื่อส่วนรวม
กลับต่ำต้อยเหลือเกินในสายตาของเพื่อนผู้ยืนอยู่บนหลังไหล่ของเพื่อน
เขาไม่ได้เห็นเราต่ำต้อยจริงๆหรอก เขาแค่พยายามทำร้าย ทำลายเรา
เพราะเราเป็นเสี้ยนหนามสำหรับเขา
แม้แต่คนที่ทำผิดๆเพียงเพื่อสนองตัณหาตัวเองก็ไม่อยากให้เรามีโอกาสพูด
เพราะคำพูดเราเหมือนขุดคุ้ยความผิดที่เขากลบฝังไว้ขึ้นมาประจานเขา
จริงๆ แล้วเราไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร
เราแค่รักษาสิทธิของเรา สิทธิของปลาร่วมข้องที่จะปกป้องตัวเอง
ด้วยการกำจัดความเน่าเหม็นออกไป
โดย : เวทย์ - - 28/2/2547
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
18 เมษายน 2547 08:21 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
------------------------------------------------------------------
เว็บบทกวี :เขาใช้โปรแกรมกู่ก้องค้นหาว่ามีกระดานสำหรับเขียนบทกวี
ที่ใดบ้าง
พบแล้ว มีเยอะมาก คนเขียนก็มีเยอะด้วย
แต่ไม่มีนักเขียนที่เขารู้จักเลยในนั้น
นักเขียนใช้นามแปลกๆ เต็มไปหมด
ชื่อแปลกบางชื่อชวนขนหัวลุก - เขานึกถึงผีหัวขาด ชื่อแปลกบางชื่อสะเทือนต่อมอาย เขานึกถึงผู้หญิงแก้ผ้า
ชื่อแปลกบางชื่อลงผลงานเป็นแถบ เหมือนจะเหมาเอาคนเดียว-เช่น ก.พ. ,บรรลุพร เป็นต้น
เขาเห็นแล้วก็คิดไปต่างๆนานา แต่เขาก็ไม่บอกความคิดของเขาแก่ใคร
เขา
หมายถึงผมเอง
ไล่เรียงไปเผินๆ
จะสะดุดดีไหม
สะดุด
บทชื่อ
---------------------------------
คุณฉันไม่คิดถึงคุณ
โดย Y
---------------------------------
(เธอว่า)
ฉันไม่คิดถึงคุณหรอก
ฉันไม่รู้จักคุณ
ฉันรู้จักตัวเองเท่านั้น
คุณก็เหมือนคนอื่น
ใช้ชีวิตไร้ค่า
(อ้าว เริ่มต้นก็ว่าผมเสียแล้ว)
กิน นอน สืบพันธุ์ สะสม
แล้วก็ตายไป
(แล้วเป็นไรล่ะ)
คุณรู้ไหม
คุณใช้ทรัพยากรของโลก
ตอบสนองตัวเองเกินจำเป็น
คุณแย่งคนอื่นเขากินเกินขอบเขต
คนอื่นแทบไม่มีกิน
เพราะคุณโกยเอามาเกือบหมด
(เอ๊า !! ก็ผมมีสิทธิ์)
คุณมีสิทธิ์อะไร
(เออ! เดาทางผมได้อีก)
เพราะคุณเกิดมาในตระกูลสะสม
เพราะคุณเกิดมาในสกุลศักดิ์สิทธิ์
เพราะคุณเกิดมาเป็นชนชั้นนำ
เพราะคุณเกิดมาบนกองทรัพย์ของผู้เกิดก่อน
ใช่ไหม
(เปล่า!)
ฉันจะบอกให
้
(เออก็บอกมา)
คนอื่นเขาก็มีสิทธิ์
แม้เขาจะไม่อยู่ในตระกูลสะสม ศักดิ์สิทธิ์ ชั้นนำ หรือมีทรัพย์กองอยู่ล้นเหลือ
เขามีสิทธิ์ที่จะอยู่บนโลกอย่างเป็นสุข
แต่เมื่อคุณกอบและโกยทุกสิ่งทุกอย่างไปกองไว้กับหน้าตัก
คนอื่นก็อด
คุณไม่ยินดียินร้าย(อุเบกขาใช่ไหม)ต่อคนผู้กำลังดิ้นตายเพราะไส้ขาด
และเลือดออกในท้อง
เพราะอด
คุณเฉยเฉื่อย(เรียกมหึอุเบกขะได้ไหม)
ต่อธรรมชาติที่กำลังวิบัติเพราะพิษของเสีย
ที่คุณสร้างจากโรงงานของคุณ
คุณเฉยชาและเลือดเย็น(เรียกมหัศจอุเบกขะได้ไหม)ต่อคุณธรรมจริยธรรม
ที่กำลังผุกร่อนอย่างถึงที่สุด -พ่อฆ่าลูก -แม่ฆ่าลูก -คนในครอบครัวผสมพันธุ์กัน ค้าขายประเวณี เป็นล่ำเป็นสัน-สื่อขายค้าข่าวในเรื่องเหล่านั้น ฯลฯ
คุณเฉย
และยังเฉย
ฉันจึงไม่คิดถึงคุณ
ไม่ชอบด้วย
คุณไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
-------------------------------------------
คุณ Y จบงานของเธอลงห้วน ๆ แบบนั้น
ผมลองคลิกเข้าไปโพสต์ความเห็น
ว่า
--------------------------------------------
(ผมก็ไม่คิดถึงคุณ)
(คุณคับแคบ)
(มองโลกด้านเดียว)
(คนทำดีมีอีกมาก)
(ทำไมคุณไม่พูดถึงบ้าง)
(และที่คุณโพ่ง ๆ พ่น ๆๆ น่ะ
คุณได้ทำอะไรแค่ไหน..)
ได้ความ
ไม่ทันถึงวินาทีดี เธอก็ตอบกระทู้
ให้คุณเดาเอาเองครับ
ว่าคำตอบของเธอจะออกมาแบบไหน
จะกระชากต่อมโกรธ
หรือจะสะเทือนต่อมเสียว
ฯลฯ
โลกออนไลน์น่ะครับ
เธอว่า
ฉันก็พูดไปอย่างนั้น ฉันไม่ได้คิดตามที่ฉันพูด
เฮ้อ.นึกว่าจะมีเพื่อนร่วมฝันซักคน ซะแล้ว
17 เมษายน 2547 13:17 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ความคิดความจำนี่เป็นกำลังของสมอง ใช่ไหม
และสมองนี่ก็มาจากพันธุกรรมกับอาหาร ถูกไหม
สมองที่ไม่มีโอกาสโตเต็มที่ เนื่องจากความขาด
ทั้งอาหาร โอกาสในการเรียนรู้ และโรคภัยไข้เจ็บ ของสมประสงค์ สกุลพระอินทร์ ถ้ามันฝ่อลงไปเรื่อย ๆ จากวิถีชีวิตของคนรอบข้างที่บีบให้เขาอยู่อย่างมีขอบเขตจำกัด-แคบ คับ แม้หายใจก็ทำได้อย่างอึดอัด ขับถ่ายมูลหรือก็เป็นอย่างขัดข้อง ควบคุม
สมประสงค์ สกุลพระอินทร์ ควรตัดพ้อโลกหรือสงสารโลก
เมื่อความโง่ของเขาทำให้เขาไม่ต้องตอบคำถามบางคำถาม
ที่ตอบยากยิ่งกว่าถามว่า
สังคมมนุษย์จะดีขึ้นกว่านี้ได้แค่ไหน
จบบันทึกครับ
16 เมษายน 2547