27 เมษายน 2547 14:19 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เข้ามาเลย
ข้าไม่กลัวเจ้าดอก
ทำไมรึ
ก็อะไรเล่า ที่น่ากลัวจริง ๆ
ความตาย
เฮอะ ( ยักไหล่ )
นั่นข้าก็เคย
มันเป็นสิ่งน่าสัมผัสต่างหาก
เข้ามาสิเจ้าอุปสรรค
ถั่งและโถมเข้ามา
ชีวิตของข้า เป็นกำไรอยู่เต็มกำมือแล้ว
เพราะต้นทุนของชีวิต
ข้าใช้คืนคนอื่นหมดไปแล้ว ( ใช่ ! ดอกเบี้ยด้วย )
เฮอะ ( ยักไหล่หนที่สอง )
จริง ๆ แล้ว เจ้าเองนั่นแหละขี้ขลาด
พอข้าเอาจริง เผชิญหน้า เจ้าก็หยุด-หัวหด
ครั้นลับหลัง ก็ออกท่า จะโถมฟัน
ถ้าเจ้าแน่จริง
ถลาเข้ามาซิ
ข้าจะสวนด้วยเจ้าด้วยกำปั้น และ Teen ให้ยับคาทั้งมือและเท้า
มือและเท้าของข้าจะมีใครมัดหรือจองจำไว้ก็หาไม่
อย่าหลบหน้าข้าสิ ถ้าเจ้าแน่
เจ้าอุปสรรค .
27 เมษายน 2547 04:55 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ผมเห็นลูกชายของลุง
นั่งกลางแฮนด์มอเตอร์ไซด์
คันที่แกะฝาครอบออกจนเห็นแต่โครงเหล็ก
เขาขับรถเครื่องวนไปวนมารอบหมู่บ้าน
โดยเสียงรถแผดดังหนวกหู
จนชาวบ้านด่าทอสาปแช่งอยู่ทั้งใกล้และไกล
หากมีใครด่าให้เขาได้ยิน
คำพูดย้อนคืนจะพรั่งพรูออกจากปากของเขา
จนหูของผู้ได้ยินร้อนฉ่าแทบทนไม่ได้
ผมเห็นเขาทำ
ผมพูดกับเขาในวันหนึ่ง ว่า
ทำไมนายไม่ขี่ถอยหลัง
(ส่วนคำว่า ถ้านายแน่ ผมไม่ได้พูดออกไป)
เขาหัวเราะ และว่า
พี่ไม่รู้อะไร.
..
..
..
เขาพูดได้มาก
เขาพูดได้เรื่อย
เขาพูดไม่หยุด
แต่เมื่ออ้าปากเอ่ย
ทุกครั้งจะมีคำว่า
พี่ไม่รู้อะไร
พี่ไม่เข้าใจ
พี่ยังไม่เห็น
ผมฟังเขาพูด
ผมพยายามจับประเด็น
ผมพยายามทบทวนถ้อยคำเหล่านั้น ว่าปราชญ์ท่านใดเคยกล่าวไว้
ที่ผมคาดไว้ เป็นจริง
คำของเขา เป็นคำของปราชญ์ทั้งนั้น
แต่มันผสมปนเป จากเหล่าปราชญ์หลายสำนัก
ราวแกลบ ใบไม้ ขี้เถ้า ฟาง และมูลโค ในคอกปศุสัตว์
ที่หาได้มีเจตนาหมักบ่มเพื่อให้เกิดเป็นอณูธาตุบำรุงพืชพันธุ์แต่อย่างไรไม่
เมื่อคำสบถของเขาถี่ขึ้น
ผมจึงขอตัวจากมา
ผมว่า
ผมต่ำต้อยเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งเช่นนั้น
เขาว่า
ทางของผม
กับทางของเขา
เป็นคนละทาง
ทางของผม มันเป็นแบบพื้น ๆ
หายใจ
กิน
ทำงาน
เลี้ยงครอบครัว
รักษาตัวยามป่วยไข้
ฯลฯ
เขาว่า
ทางของเขาสูงส่งกว่า
และย้ำอีกว่า
พี่ไม่มีทางเข้าใจ
ที่สุดผมถอยออกมา
และว่า
ขอทางให้คนต่ำต้อยไป
26 เมษายน 2547 15:12 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ยังสบายดี
------------------------------
เวลาผ่านไป 20 ปี
ผมได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่า ในงานวันคืนสู่เหย้า
ได้พบเพื่อนฝูงเกือบทุกคน หลายคนแต่งงาน มีลูก บางคนมีหลานอีกด้วย
มีเพื่อนอยู่ 4 5 คน ยังไม่แต่งงาน
ผมถามเพื่อนว่า
เป็นไงบ้าง
เพื่อน ๆ ว่า สบายดี แต่มันเหงา ๆ ยังไงไม่รู้
เห็นเพื่อน ๆ มีครอบครัว มีลูกมีเต้า ท่าทางมีความสุข ก็อยากมีบ้าง
ผมพูดกับเพื่อนว่า
ชีวิตคนมีครอบครัว มันไม่ได้สุขและสบายนักหรอก
ความสุขก็เป็นความสุขปนทุกข์
ความทุกข์มันเกิดแต่การดิ้นรน เพื่อดูแลสมาชิกในครอบครัว
ไม่ให้เดือดร้อนจนเกินไป ซึ่งเราเรียกมันแบบไม่สนิทปากนักว่า ความสุข
แต่ก็ไม่แน่ใจ ผมว่าต่อ
นี่อาจเป็นรูปแบบที่คนโสดทั้งหลายปรารถนาอยากเป็นอยากมี
ถ้าย้อนกลับไปได้ ( พูดเป็นนิยาย )
ผมจะอยู่เป็นโสด มันสบายกว่า
แล้วไม่กลัวเหงาหรือ เพื่อนถาม
ความเหงาคือความกลัว ว่าจะไม่มีใครใส่ใจดูแล
เท่านั้นเองแหละ
ผมมองเห็นรูปแบบชีวิต ที่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นความเหงา หรือะไร ๆ เห็นหลายปีมาแล้ว
เวลานี้แม้อยากย้อนกลับไปเพียงไหน ก็กลับไปไม่ได้
เพราะอะไร
เพราะเคยกลัวความเหงา และหนีมันมาเสียไกลแล้วน่ะสิ
ดูเหมือนเราไม่เข้าใจ เพื่อนว่า
นายจำได้ไหม เพื่อนว่าต่อ นายเคยบอกรักเรา เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่แต่งงานจนอายุปูนนี้
หา ( เสียงของผม )
แต่ไม่เป็นไรหรอก
เรายังคงรักนาย แต่บอกเราหน่อยซิ ว่า
รูปแบบชีวิตที่นายว่า น่ะ เป็นอย่างไร
ถ้าให้เดา รูปแบบชีวิตที่นายว่าไม่ต้องกลัวสิ่งใด ๆ คือ การบวช -เพื่อนผมพูด
นายเดาแม่น -ผมว่า
เราก็เคยคิด แต่ไปติดตรงเพศ มันไม่สะดวกเอาเสียเลยสำหรับผู้หญิง
แต่ก็นั่นแหละ ดร. หรือคุณหญิงบางท่านก็ถือครองผ้าเป็นนักบวชได้งดงามนัก
อย่างที่หลายคนเห็นอยู่
-ผมพยักหน้ารับทราบ ด้วยได้เคยเห็นวัตรปฏิบัติของนักบวชเหล่านั้นบ้างแล้วเช่นกัน
เราหวังว่านายจะไม่ทิ้งครอบครัวไปบวชจริง ๆ
ไม่หรอก เพราะนั่นเป็นความเห็นแก่ตัวเกินไป
ลูกที่เกิดมา เขาต้องการให้พ่อแม่ใส่ใจดูแล จนเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์
จริงอยู่สินทรัพย์ที่พ่อแม่หาไว้ให้อาจจะมากมายเกินพอต่อการดำรงชีวิต
แต่ชีวิตไม่ได้ต้องการเพียงปัจจัยซึ่งเงินแลกซื้อเอาได้เท่านั้น
ชีวิตต้องการความเอาใจใส่
ชีวิตต้องการความโอบเอื้อ ความอาทร
ชีวิตต้องการอีกหลายอย่างที่ละเอียดอ่อนเกินการกล่าวเป็นถ้อยคำ
สิ่งเหล่านี้ได้มาจากผู้เป็นพ่อแม่ก่อน
ถ้าพ่อแม่ให้เขาไม่ได้ ชีวิตของเขาจะเป็นชีวิตที่เรียกร้องโหยหาความรัก
โหยหาความเอื้ออาทรจากคนอื่นอยู่เสมอ แต่ให้คนอื่นไม่เป็น
เราดีใจที่นายพูดแบบนั้น ว่าแต่ว่าตอนนี้ นายยังรักเราอยู่ไหม - ดูเหมือนเธอจ้องเข้ามาในใจผม
นายต้องการคำตอบแบบไหนล่ะ ผมถามแบบหยอกเย้าเพื่อนในวัยร่วมเรียน
เราก็ถามไปงั้น ๆ แหละ
คำตอบนั้น นายบอกเราไปแล้ว คือ จริง ๆ นายต้องการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องกลัวอะไร ๆ ที่นายว่า มากกว่า การมีครอบครัวเป็นไหน ๆ - เธอว่า
ใช่นายเข้าใจถูก แต่เรายังรักนายเหมือนเดิมนะ พอใจไหมล่ะ -ผมพูดแล้วจิบไวน์ช้า ๆ
คืนนั้นผมกับเพื่อน ๆ ลาจากกันด้วยความรู้สึกดี ๆ เพื่อนกันก็เป็นแบบนี้ล่ะ
ไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย เพียงอยากรู้ว่าเพื่อนคิดยังไงเท่านั้นหละ
25 เมษายน 2547 10:15 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
จินตนาการล้วน ๆ
-----------------------------------
ผมพูดว่าจินตนาการล้วน ๆ
ที่จริงมันมาจากประสบการณ์ทั้งนั้น
ประสบการณ์ในการอ่าน
ประสบการณ์ในการคิด
ประสบการณ์ที่ได้ฟัง
ประสบการณ์จากการดูและเห็น
ประสบการณ์ที่วาบขึ้นในความฝันแม้เพียงเสี้ยวนาที
ฯลฯ
เริ่มเลย
ผมขี่ยานเวลา
ไปตามลำพัง
เพื่อหาที่ใดสักแห่งลงจอด
พักหัวใจอ่อนล้าและเขลา
ที่นั่นผมจะปลูกบ้านหลังเล็กจากมือของผม
ผมจะปลูกข้าว ผัก และพืชพันธุ์สำหรับเป็นอาหาร
ผมจะผ่าฟืนเรียงกองไว้ก่อไฟหุงหาอาหารและคลายหนาว
เมื่ออุ่นและอิ่มแล้วผมจะลงมือเขียนหนังสือ
มีคนบอกผมว่า
โลกของนักเขียนเป็นโลกเหงา ๆ
ถึงผมเชื่อตามนั้นผมก็เลือกที่จะเป็น
ไม่เช่นนั้นผมก็ไม่ลงทุนขี่ยานเวลานี่มาเสียไกลแบบนี้หรอก
ยานเวลาของผม
เป็นยานสำหรับผมคนเดียว
ไปได้ทุกที่ที่ใจปรารถนา
ครั้นเร็วก็ดุจคิด
ครั้นนิ่งก็ดุจหลับ
เตรียมยานของคุณเถิดครับ
ถ้าอยากท่องโลกจินตนาการ
แต่เตือนกันไว้ก่อน
ยานนี้คุณไปได้คนเดียว
ความเหงาเป็นยิ่งกว่าเงา
ถ้าคุณกลัวความเหงา
จอดยานนี้ไว้เถิด
และเดินเข้าไปหาความจอแจแออัดดีกว่า
ไปก่อนล่ะ
ได้เวลาที่ผมต้องผ่าฟืน
---
24 เมษายน 2547 05:04 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
กินอะไร กินอะไร ( แบบโฆษณาร้านขายสุกี้ฯ ในทีวี )
กินอะไร ไปกินตำบักฮุง ( ส้มตำ )
แซบนัวหัวใจ
ถูกรสอนามัยหนักหนา
กินอะไร ๆ
กินอะไร ไปกินตำบักฮุง
อิ่มรสทั่วไป
ถูกหลักอนามัยหนักหนา
( เก็บมาจากคำของไอ้บักหำน้อยทุกคำ)
ผมก็เห็นโฆษณาชิ้นที่ว่า แต่ก็ไม่ได้สนใจนัก
หนึ่งล่ะ ที่บ้านไม่มีร้านสุกี้
สอง ชอบอาหารชื่อนี้น้อยกว่าลาบงัว
สาม ผมไม่ค่อยชอบทีวีเท่าไหร่ ยกเว้นข่าวและสารคดีของบางช่อง
ผมไม่ได้ต่อต้านอะไรนะครับ
เพราะก็รับรู้และเคยเห็นว่า
เขาก็คืนกำไรให้สังคมเยอะแยะ โดยที่หลายคนไม่เห็น
แต่ตรงที่ผมอยากพูดเป็นจุดเล็ก ๆ เท่านั้น
คือผมสงสัยว่าไอ้บักหำน้อยแปลงเพลงกินอะไร ฯ ของเขา
มาเป็นเพลงกินอะไร ฯ ( ตำบังฮุง ) ของตัวเองได้อย่างไร
ผมไม่ได้ถามลูก ว่าเพื่อนพาร้อง หรือเขาคิดขึ้นมาเอง
เพราะบางทีคำถามมันก็ทำให้หัวใจน้อย ๆ ปวดร้าว
เหมือนครั้งหนึ่ง ครูบันทึกในสมุดการบ้าน
ในการแต่งกลอนแปดส่งครูของผมว่า
เธอแต่งเองหรือ ดี ถ้าแต่งเอง
ผมบอกตัวเองไม่ถูกว่าดีใจหรือเจ็บ
เพราะกลอนนั้นส่วนใหญ่ผมคิด
แต่บางวรรคผมก็อาศัยหัวของเพื่อน
แก้และเติมให้เนียน
เมื่อได้ยินเพลงกินอะไร ฯ ฉบับที่ลูกร้อง
ผมจึงขอให้เขาร้องให้ฟังชัด ๆ สองสามเที่ยว
ไม่ได้ถามว่าแต่งเองหรือไม่
แล้วจึงเขียนเป็นบันทึกนี้ไว้ ( ให้เขาอ่าน เมื่อเขาโต )
โฆษณาในทีวี มีอิทธิพลกับเด็กและทุกคน
บางที การที่เขาคิดและแปลงอะไรบางอย่าง
ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการมองอะไร ๆ แล้วพิจาณาตัดสิน (วิพากษ์) ด้วยสายตาของเขา
ไม่ใช่สักแต่ดู ๆ แล้วก็อยาก
อยากซื้อ อยากกิน อยากได้ แบบที่โฆษณามันปั่นกิเลสและตัณหา
ว่าเข้าไปนั่น !