31 พฤษภาคม 2549 01:10 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ถ้าถามว่า..
คนควรเกิดมาเพื่อพ่ายแพ้หรือไม่
ข้าพเจ้าคิดว่าไม่
ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ทุกคนคือผู้ชนะ
ชนะอุปสรรคของการเกิด
ชนะความยาก ความลำบากของการดำรงอยู่
การฝ่าฟัน
น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของชีวิต
ของผู้ชนะทั้งมวล
จริงหรือไม่ว่า..
สิ่งที่บรรดาผู้ไปถึงฝั่งทั้งหลายต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
และได้มาคือ
ความเป็นไทต่อหัวใจตน
28 พฤษภาคม 2549 17:49 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
ทะลักทะเลซุง...............
คราวน้ำพุ่งทำนบพัง
อันเรืองที่เบื้องหลัง........
คือการฉลบังฉากฉาย
โน่นนี่กี่กลุ่มก้อน..........
อุบาทว์ซ้อนแฝงโอบาย
น้ำมาจึงพาพ่าย.............
บ อาจซ่อนอันแอบเอา
27 พฤษภาคม 2549 02:45 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
1. ผมตื่นขึ้นมาตอน 0:45 น.
เพราะหมาเห่าคนที่เดินผ่านหน้าบ้านมา
นาทีที่ผมนิ่งสังเกต
ผมเห็นคนผู้นั้นพูดโทรศัพท์
แสงเรืองจากหน้าปัทม์มือถือ ระบุตำแหน่งและการทรงตัวยืน
ของเขาว่าเกือบซวนเซ
และอีกไม่กี่อึดใจ
เสียงรถเครื่องขับช้าจากท้ายซอยก็ดังใกล้มายังจุดที่เขายืน
2. แวบหนึ่งระหว่างดูการณ์อันเป็นไป
ผ่านช่องหน้าต่าง ผมได้เหลือบเห็นดาวระยิบเต็มฟ้าเหนือยอดไม้
ที่ผมลืมเกือบสนิทตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ว่าฟ้ายังมีดาวแขวนเกลื่อน
3. แสงไฟของรถเครื่องที่ใกล้เข้ามา
ฉายให้เห็นจังหวะขยับเคลื่อนของคนที่ปากซอย
ซึ่งยืนยันว่า สายตาและการคาดเดาของผมถูกต้องพอใช้
เมื่อรถหยุดตรงปากซอย ผมก็จับรายละเอียดได้ว่า
คนขี่รถเครื่องน่าจะเป็นใครและคนที่ยืนเกือบโงนเงนอยู่ตรงนั้นเป็นใคร
ไม่นาน รถเครื่องก็เคลื่อนออกไปจากตรงนั้น
และอีกไม่นานนักรถคันเดิมก็ย้อนกลับเข้ามาในซอย
ไปหยุดที่ท้ายซอยดังเดิม
ณ ช่วงหลายนาทีนั้น ผมได้แวบนึกย้อนไปถึงเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร
ในหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาและอ่านไปแล้วครึ่งเล่มเมื่อตอนกลางวัน
อืม..
คืนนี้ผมโชคดี
ที่ได้ตื่นขึ้นมาทันเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ผมนึกว่า
มันได้จางหายไปจากจิตใจของใครต่อใครหลายคนแล้ว
ในสังคมอันแก่งแย่งข้นเข้มนี้
15 พฤษภาคม 2549 20:37 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
สองวันมานี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้อ่านหนังสือได้น้อยมาก
และหัวใจก็ไม่นิ่งพอที่จะรับรสของถ้อยคำใดๆ
เมื่อหันไปหาดนตรี
ข้าพเจ้าก็คาดหวังว่า
สำเนียงและสัมผัสระหว่างใจกับเส้นสายของเครื่องดนตรีนั้น
จะช่วยบรรเทาความรู้สึกเปลี่ยวคว้างลงได้บ้าง
แต่การณ์ก็หาได้เป็นเช่นที่คาดหวังไม่
ยิ่งเล่นข้าพเจ้ายิ่งรู้สึก ล้า
ล้าในส่วนลึกของห้วงใจ
อาจเป็นเพราะเวลานี้
ข้าพเจ้าได้สูญเสียที่ซ่อนอันปลอดภัยของตนไปแล้ว
และไม่มีที่หมายอื่นใดที่จะหลีกเร้นไปหลบซ่อนหัวใจดวงเขลาด้วย
บัดนี้..
เมื่อกาลเวลาสำหรับความขลาดไม่มีอีกต่อไป
และเวทีสำหรับผู้อ่อนไหวก็ไม่มีอีกแล้วเช่นกัน
เช่นนั้น
จึงคงถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะละออกมาจากโลกของจินตนาการ
ที่ข้าพเจ้าเคยซ่อนตัวโดยรู้สึกว่าปลอดภัยอย่างที่สุด
มาสู่โลกจริง ๆ
บางที
อาจเป็นเพราะข้าพเจ้ากลัวเจ็บ
ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ร่องรอยแผลเป็น
อันทำให้หัวใจแกร่งและกร้านได้เสียที
9 พฤษภาคม 2549 06:15 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
เคี่ยวกรำโดยลำพัง
หทัยหวังถึงเป้าหมาย
ความหวังก่อนวางวาย
คือสืบสายคนสมหวัง
เส้นทางเขาผู้ท้อ
เห็นตอนก่อแล้วแก่ชัง
พับพ่ายในตอนหลัง
บถึงฝั่งอันตนฝัน
นับนิ้วเริ่มแต่หนึ่ง
เห็นจริงจึงอัศจรรย์
ว่าคนบนฝั่งนั้น
ล้วนข้ามวันอันเปลี่ยวเขลา
บาดแผลที่แลเห็น
บอกประเด็นอันบเบา
กรำการชำนาญเข้า
ท้ายแปรเฉาเป็นโชนฉาย
บมีผู้ถึงฝั่ง
วาดความอันหวังอันจางวาย
ทั้งมวลล้วนต้องว่าย
ข้ามห้วงน้ำความขื่นขม
บนฝั่งของความฝัน
เกษมสันต์เอิบอารมณ์
เคี่ยวกรำบเลิกล้ม
จึงเริงรื่นฉะนี้นอ !!
ฯ