6 กรกฎาคม 2550 00:52 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
1.ข้าไม่กล้าสบตาท่าน..
เพราะข้ากลัวว่าท่านจะล่วงรู้หัวใจของข้า
ข้าทำดังนี้ ราวนักพรตรักษาศีลบริสุทธิ์
มาต่อเนื่องยาวนาน
2.ท่านต้องการให้ข้าสบตา..
นั่นเป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งนักที่ข้าจะทำ
ขอให้ข้าเบือนหน้าและหลบสายตาของท่านเถิด
เพื่อที่หัวใจของข้าจะได้ไม่ต้องหลอมละลายลงต่อหน้าต่อตาของท่าน
3.ท่านผู้กล้า..
ท่านได้ฝึกสายตาอันคมยิ่งกว่าคมนี้มาจากสำนักใดหรือ
ข้าได้เห็นมาอย่างน้อยก็สองครั้ง
ที่สายตาของท่านได้ทำให้นักรบผู้กล้ากับพ่อค้าผู้มั่งคั่ง สยบ
และสลด ต่อความต่ำต้อยของตนเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน
ข้าเป็นเพียงชายโซและโง่เขลา
ดังนั้นได้โปรดอย่าเรียกร้องการจ้องตอบ
หรือแม้แต่คาดหวังที่จะจ้องเข้ามาในม่านหัวใจของข้า
ได้โปรดให้ข้าเก็บงำความรู้สึก
ให้เป็นเพียงสิ่งซ่อนเร้นล้ำลึกตามลำพังเถิด
เพราะนี่คงเป็นเพียงสิ่งเดียว
ที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีค่าบ้าง
26 พฤษภาคม 2550 17:24 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
26 พฤษภาคม 2550
๏ เวียงใดคนบ่น้อย......................ยังหิว
กินเขียดกบกุ้งซิว...................อิ่มไส้
กรำงานหากซวนหวิว........แซมหวั่น
วนขื่นเวียนยากไร้...........ห่อนพ้นการขอ ๚
๏ เวียงใดคนหมื่นท้อ...................เวียนถอย
นบส่งเงารูปรอย...................เหล่าเบื้อ
คงงานแต่ทรวงหงอย.......งง-บ่น- บูด เฮย
อวลเอ่ยมารแต่งเชื้อ.......เพื่อย้อมใจหาญ ๚
๏ เวียงใดคนโกฏิล้าน.................ซึมเขลา
ชมชื่นสิ่งดูเบา.....................แส่อ้าง
อำเขือโอ่กรรมเฉา...........อวดหมู่ ตนแล
วนแอบเวิงเถื่อนง้าง.....ขู่เงื้อฟันไถง ๚
๏ เวียงใดคนหมื่นเม้ม................เมาฉล
แอบหยิบของเหล่าชน..........ชื่อข้า
วางทีบ่มีผล....................อันซ่อน เลยแล
แท้แต่งอุบายค้า.........ซุ่มซ้อนพงศ์แสวง ๚
๏ เวียงใดคนชื่นแร้ง................เริงฉลอง
บ หน่ายมวลคูตกอง-.......ก่ายถ้วน
เสพแสนสิ่งพาหมอง......เมินหม่น
ชนเอ่ยชมว่าล้วน.........วิเศษแม้นเนืองสวรรค์ ๚
๏ เวียงนั้นฉันว่าแม้น..............นครผี
ตกหล่มกลกาลี...............ยิ่งแล้ว
ทวยแสนห่อนมีศรี.....เริงแต่ บาปนอ
รอเบิ่งมารบ่แคล้ว...แสยะยิ้มยลหยัน ๚
๏ เวียงอันไททั่วฟ้า........................เพรียกสยาม
คนอิ่มหรือหิวยาม..................เยี่ยงนี้
หมู่มากห่อนทวนถาม........ไผอิ่ม เอมฤา
ฤาอยู่กันแค่ลี้.................หลบเฟ้นฟอนเฝือ ๚ะ๛
19 พฤษภาคม 2550 20:56 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
๏ โพยมงามยามเมื่อรุ้ง.........รังสรรค์-
วงโก่งกล่อมฟ้าอัน............อิ่มชื้น
ฝอยฝนช่วยชูฝัน...............งามอยู่
โยงสู่ทรวงซึ่งรื้น...............กระเพื่อมแม้นเริงศิลป์ ๚
๏ แดนดินยามชุ่มน้ำ.............งามเหลือ
โพยมย่อมกล่อมใจเจือ.......ช่วงรุ้ง
เชิญฝนชุ่มเวิงเขือ................แลแบ่ง เพียนอ
ออเอ่ยคำเพื่อคุ้ง..................ต่อเค้าความเขษม ๚
๏ ปรีดิ์เปรมจึงชื่นฟ้า-............ชมฝน
ทวยถิ่นสมกมล..................ยิ่งแล้ว
ปลูกฝันเพื่อปันผล..............พอแบ่ง กินฮา
นาดั่งวิมานแพร้ว...............เพื่อนพ้องเพลินสรวล ๚
๏ ชี้ชวนชมทุ่งทั้ง..................ทิวเขา
แดนถิ่นเถื่อนนาเรา...........ห่อนน้อย-
ชูขวัญช่วยคลายเฉา-...........แกมขุก
พาสุขจนอาจร้อย-..............กาพย์เร้ามโนสมัย ๚
๏ เริงใจคราวซึ่งรุ้ง.................เรืองแสน
เห็นอย่างพิมานแมน...........นู่นโน้น
เชื่อมฝันเชื่อมเมืองแถน......ลงสู่-
แดนอยู่ทวยฟากโพ้น..........ตากรุ้งเริงฝัน ๚ะ๛
13 พฤษภาคม 2550 10:27 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
๏ เหลียวหาหลายหน ก็บ่เห็น
บ่รู้เป็นฉันใด ใคร่ทักถาม
ใครบ้างรู้ ครูใหญ่ฯ หัวใจงาม
ณ ห้วงยามนี้อยู่หนแห่งใด ๚
๏ รำลึกการจารถ้อยร้อยวลี
วิเศษอย่างดนตรีกล่อมสมัย
อุดมการณ์มั่งคง เพื่อพงไพร
เพื่อบรรดาเด็กไทยในดงดอน ๚
๏ จึงต่อสาส์นสืบหาเผื่อมาเห็น
กับฝากเพ็ญจันทร์ฉายฉาบสิงขร
เพื่อพรรณพฤกษ์ ต่อธรรม ต่อคำพร
บอกครูใหญ่ เขียนกลอน อย่างก่อนมา ๚
๏ กลับมาเขียนอีกครั้ง รอฟังข่าว
บอกเรื่องราว ช่วงหายเพื่อนให้หา
มิตรภาพเข้มและชัดคงศรัทธา
รับทราบแล้ว ส่งภาษา.. เชิญว่ากลอน ๚ะ๛
7 พฤษภาคม 2550 00:00 น.
ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
(กลอนหัวเดียว)
๏ เสียงสูบ คือสิ บ สร่าง
ตักตวงเอาอย่าง สิ บ ให้เหลือ
จับทวย เป็นตัวประกัน
ด้วยเป็นชนชั้น กินก้อนเกลือ
ไต่ดาว ก็เอาพวก
ครั้นได้สะดวก ก็พ่นเบื่อ
เชิดชู อู้ฮู ! ประชา
แท้อาจ เข่นฆ่า ทุกเมื่อ
ฉกาจเกม ก่อกฎ
เร้นเหลี่ยมอันคด ท่วงจะเถือ
เขาทัน ก็ออกท่า
บ มีเจตนา จงจุนเจือ
เขาท้วง ก็ขากถุย
ประชดเห็น เป็นกุ๊ย อย่าเกื้อ
ครั้นระหก ตกระกำ
ก็จาบจ้วงบุญกรรม ว่าเกลือ
เงินฟาดหัว ตาน้ำข้าว
ช่วยทีทำข่าว เขย่าเพื่อ-
ทวยไทย สะอึกอาน
ไผทไทสิ อวสาน ช่าง เขือ ?
บ่เป็นไร ! บ่เป็นไร ?!
เคยกอบโกยพอใช้ และพอเชื่อ
วกมาสิ กลับมาสูบ
ทวยขื่นแม่นสิวูบ เป็นเบือ ๚ะ๛