9 กันยายน 2547 09:57 น.
กุ้งหนามแดง
..
เพราะปวดหัวคลื่นเหียนเวียนศรีษะ
จึงต้องผละเวลาไปหาหมอ
เข้าตรงแผนปัจจุบันไม่ทันรอ
ปรอทจ่อวัดความดันในทันใด
วินิจฉัยเสร็จสรรพรับโอสถ
กินให้หมดจะบรรเทาเข้าใจไหม
เปิดในห่อ อ๋อ! พารากินก่อนไป
เฮ้อ! ถอดใจกลัวไตฉันจะวาย
เข้าสปาดีกว่าลองอาศัย
สมุนไพรบำบัดจัดเส้นสาย
เขามีคอร์สไอร้อนช่วยผ่อนคลาย
เผื่อสบายกายเบาคงเข้าที
ให้เขาจับคลึงเคล้นไม่เว้นช่อง
ถนัดคล่องเร่งรัดพร้อมขัดสี
ครั้นสำเร็จคืนหอจรลี
กลับไปมีอาการซ่านเป็นลม
พระศุกร์เข้าเสาร์แทรกแรกรู้สึก
นั่งตรองตรึกนึกหนักหรือรักขม
คิดหาโหรทำนายสลายตรม
หยุดปรารมภ์สักนิดติดไสยา
พอรุ่งเช้าแวะมาพยากรณ์
เชิญนั่งก่อนร้อนลึกเร่งปรึกษา
จะดูมือหรือไพ่ให้ว่ามา
ชี้ชะตาตามดวงคลายบ่วงเอย
อันเนื้อคู่เป็นชายหมายมาจีบ
ไม่ต้องรีบนะหนูคู่เขนย
จะสมหวังทุกอย่างกระจ่างเปรย
ลุงเฉลยให้ฟังดังต้องการ
สามอาชีพช่วยเสริมเติมส่วนขาด
ความสามารถต่างราวคำกล่าวขาน
เป็นที่พึ่งชั่วคราวหายาวนาน
ถ้าไม่แก้อาการที่ต้นตอ..
8 กันยายน 2547 14:39 น.
กุ้งหนามแดง
...
ถ้าเขียนหวานปรากฏมดจะเยอะ
ถ้าเขียนเลอะเกะกะขยะส่ง
ถ้าเขียนธรรมทุกหน้าเขาว่าปลง
ถ้าเขียนพงพฤกษ์ไพรว่าใจเย็น
ถ้าเขียนบทอัศจรรย์ท่านก็ค้อน
ถ้าเขียนร้อนหลายแผ่น ฮ่วย! แสนเข็ญ
ถ้าเขียนข่าวยังคิดผิดประเด็น
ถ้าเขียนเน้นเป็นอะไรไยจริงจัง
ถ้าเขียนขำบอกให้ไร้สาระ
ถ้าเขียนพระประวัติชัดอหังฯ
ถ้าเขียนเปรยว่าด่าช่างน่าชัง
ถ้าเขียนให้สมหวัง แหม! ยังแคลง
เขียนเป็นโหลแช่อิ่มไว้ชิมบ้าง
เขียนยามว่างฝึกปรือคือแถลง
เขียนให้ดีมีจรรยาอย่ารุนแรง
เขียนชี้แจงให้ฟังครั้งนี้เอย...
..วันนี้ไม่มีอะไรจะเขียน..ก็เลยเขียน...
7 กันยายน 2547 13:39 น.
กุ้งหนามแดง
ฝนลาฟ้าแจ้ง.....ชุ่มฉ่ำคลายแล้ง.....พืชพรรณพฤกษา
เห็นแล้วสดชื่น.....ระรื่นงามตา.....แกว่งใบไกวมา.....ตามแรงแห่งลม
งามรุ้งพาดผ่าน.....เจ็ดสีตระการ.....แม่สีมีผสม
ม่วงครามน้ำเงิน.....มองเพลินเหมาะสม.....เขียวเหลืองแสดชม.....คาดแดงแสงดี
คล้ายชีวิตคน.....เหมือนฟ้าหลังฝน.....ผ่านทุกข์คลุกคลี
ฟ้ายังเปิดกว้าง....แสงสว่างยังมี.....อยู่ด้วยศักดิ์ศรี.....เดินหน้าต่อไป
สะพานทอดรอ.....ข้ามไปไยท้อ.....เจ็ดวันมีให้
เมื่อสบโอกาส.....อย่าพลาดปล่อยไกล.....รังสีอำไพ....จำกัดเวลา
ขอเป็นอีกหนึ่ง.....แรงใจที่พึ่ง.....พักพิงยามล้า
ผ่อนคลายอารมณ์...ระทมผ่านมา.....ฉุดมือทุกครา...จงกล้าลุกยืน ..
..
6 กันยายน 2547 15:22 น.
กุ้งหนามแดง
อยู่อย่างคนมีสุขทุกค่ำเช้า
ไม่เป็นเจ้าของใครให้คอยหวง
อิสระในตัวเองเกรงคนลวง
ไม่สร้างบ่วงความหวังขังตัวเอง
อยู่อย่างคนรู้คิดรู้ผิดพลาด
ไม่เป็นทาสอารมณ์คอยข่มเหง
อิสระในจิตคิดบรรเลง
ไม่มีเพลงบทใดให้แนวทาง
อยู่อย่างคนทั่วไปใช้ชีวิต
ไม่มีสิทธิ์บังคับคอยจับหาง
อิสระทุกวาระเร่งละวาง
ไม่มีอย่างคนอื่นยังชื่นใจ
อยู่อย่างคนพอเพียงเคียงพจนะ
ไม่มีแม้โมหะละสั่นไหว
อิสระตามกระแสที่หมุนไป
ไม่มีใครทั้งนั้นท่านหรือเรา..
6 กันยายน 2547 13:49 น.
กุ้งหนามแดง
สุวรรณสามเรื่องเก่าเคยเล่าไว้
สองพรานไพรแยกปกครองสองสถาน
ทางตอนใต้พาราณสีมาช้านาน
แม่น้ำผ่านระหว่างบ้านไม่ขวางใจ (๑)
สามัคคีเข้าป่าร่วมล่าสัตว์
ไม่เคืองขัดตีรวนล้วนรักใคร่
ทำสัญญาเชื่อมสัมพันธ์มองกันไกล
ไม่ทันไรแม่บ้านต่างตั้งครรภ์ (๒)
ถ้าคลอดมาต่างเพศเจตน์หมั้นหมาย
คู่หญิงชายตามคลานสมานฉันท์
จะอย่างไรใกล้ชิดสนิทกัน
จนถึงวันสมหวังดังตั้งตา (๓)
หนึ่งลูกชายขยายนามทุกุร
สองนั้นนะเป็นหญิงยิ่งหรรษา
ขนานนามเจ้าว่าปาริกา
สุขอุราทั่วกันเป็นวันดี (๔)
เด็กทั้งคู่รู้กรรมไม่ทำบาป
ด้วยต่างทราบผลกรรมตามใช้หนี้
ทุกข์กระทำนำลงอเวจี
ประพฤติดีในศีลาจาวัตร (๕)
ครั้นถึงวัยสมควรชวนตกแต่ง
ก็จัดแจงวิวาห์หาเคืองขัด
แต่ไม่ล่วงประเวณีชี้แน่ชัด
ปฏิบัติบริสุทธิ์เพื่อหลุดพ้น (๖)
พ่อพรานว่าทุกุรมาเรียนรู้
ฝึกธนูเลี้ยงชีพรีบฝึกฝน
เขาว่าเลิกเบียดเบียนเพียรทำตน
หมายให้พ้นทุกข์ภัยในกระทำ (๗)
เราดำเนินมานานงานล่าสัตว์
ไยมาขัดเคืองเข็ญไม่เห็นขำ
เชิญเจ้าไปอยู่ที่อื่นไม่ฝืนจำ
ผมจะบำเพ็ญพรตจรดกรลา (๘)
ขอกล่าวตรงองค์อินทร์ทราบสิ้นเหตุ
สองคนเจตน์จำนงค์คงสิกขา
สั่งให้วิษณุกรมบังคมลา
บรรณศาลาเนรมิตประสิทธิ์พร (๙)
มีข้อความชี้ชวนล้วนเหมาะสม
เป็นอาศรมเชิญใช้ไม่ไถ่ถอน
สองหนุ่มสาวเข้าอาศัยไม่จากจร
ใช้นั่งนอนกำหนดสวดบทธรรม์ (๑๐)
ฝ่ายพระอินทร์เห็นท่านนี้มีกรรมเก่า
ลงมาเล่าความจริงทุกสิ่งสรรพ์
เพราะทั้งสองมีกรรมทำร่วมกัน
จะตามทันจักษุบอดไม่ปลอดภัย (๑๑)
ช่างมันเถิดเกิดจะเป็นเห็นหรือมืด
ก็ไม่จืดในจิตคิดผ่องใส
จะลำบากยากเย็นให้เป็นไป
ขอชดใช้ให้หมดพจนา (๑๒)
พระอินทร์ว่ามีบุตรไว้ใช้สอย
เอาไว้คอยดูแลยามแย่หนา
สองดาบสดาบสินีลี้กามา
จะคิดหาทางใดให้มีครรภ์ (๑๓)
ทำอย่างนี้มีระดูจงรู้แน่
ขอมือแค่ลูบท้องสามทีนั่น
ทารกน้อยจะก่อกำเนิดพลัน
ตกลงฉันลองดูกับคู่ครอง (๑๔)
ครั้นครบความตามกฏกำหนดหมาย
ได้ลูกชายตามติดสนิทสนอง
สุวรรณสามงามตาดังทาทอง
ดูแลสองดาบสดาบสินี (๑๕)
ช่วยเก็บผักตักน้ำนำใช้สอย
เจริญรอยทำนองของฤษี
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นทั้งผลดี
สำนึกมีกตัญญูรู้คุณธรรม (๑๖)
แล้วถึงวันเคราะห์กรรมตามมาถึง
เกิดลมตึงมืดมนใกล้ฝนกระหน่ำ
สองฤษีหลบอาศัยพุ่มไม้ดำ
งูเจ้ากรรมคายพิษเข้าติดตา (๑๗)
ไปไม่รอดจอดไม่แจวอยู่แถวนั้น
เจ้าสุวรรณสามจึงตามหา
เห็นตาบอดทั้งบิดรและมารดา
หัวเราะร่าบอกว่าฉันดีใจ (๑๘)
บุพการีทั้งสองเข้ากองทุกข์
มาสนุกไม่สลดกลับสดใส
เนรคุณหรือลูกเราไม่เข้าใจ
ตอบมาไยขำขันลั่นลำพอง (๑๙)
เจ้าสามตอบต่อไปคงไม่ขัด
ปรนนิบัติครบครันท่านทั้งสอง
ไม่บอกปัดจัดทำตามครรลอง
หน้าที่ของลูกแล้วพ่อแม่เอย (๒๐)
จึงจัดหาเครือเถาเอามากั้น
เป็นแนวด้นด้นไปให้ทิศเผย
เก็บพืชพรรณธัญญาหารได้ดังเคย
ไม่ละเลยกรุยทางเห็นอย่างตา (๒๑)
ดูแลท่านอย่างดีไม่หนีหาย
สุขสบายทำวัตรเคร่งครัดหนา
ผลไม้ภักษาเลี้ยงกายา
แม้น้ำท่าตักไว้พร้อมใช้กัน (๒๒)
จะกล่าวถึงเจ้าเมืองพาราณสี
พระนามศรีกบิลยักษ์พิทักษ์ขัณฑ์
ทรงโปรดปรานล่าสัตว์ชัฏไพรวัลย์
ธนูคันอาวุธยุทธยง (๒๓)
ชอบออกป่าองค์เดียวเที่ยวลัดเลาะ
ประจวบเหมาะสุวรรณสามงามระหง
มาตักน้ำตามกิจชิดละอง
ละมั่งดงเก้งกวางหลายอย่างล้อม (๒๔)
กบิลยักษ์พิศวงด้วยหลงไหล
คนเทพไท้กายกรรณสุวรรณหลอม
เกรงปรากฎตัวไปคงไม่ยอม
มินอบน้อมหนีไปไม่รู้ความ (๒๕)
จำจะยิงศรยั้งเพื่อรั้งไว้
แล้วถามให้รู้ชอบตอบคำถาม
โก่งคันศรยิงตรงสุวรรณนาม
พิษคุกคามละหม้อน้ำซ้ำล้มลง (๒๖)
สุวรรณสามร้องถามตามสงสัย
ว่าทำไมยิงเราเล่าประสงค์
เสือเอาหนังช้างเอางาในป่าพง
อย่าพะวงออกมาว่ากระไร (๒๗)
กบิลยักษ์ปรากฎองค์ตรงเข้าว่า
พลาดพลั้งล่าสิงสาถลาไถล
พอดีเห็นเจ้ามาเกรงช้าไป
เจ้าสามไวบอกว่าอย่ากล่าวเลย (๒๘)
อันว่าเนื้อในป่าร่วมอาศัย
ต่างไว้ใจข้าพเจ้าเข้าใกล้เฉย
เห็นเป็นมิตรคลุกคลีดังนี้เอย
จงเฉลยต้องการสิ่งอันใด (๒๙)
เจ้านครร้อนกายละอายยิ่ง
จึงบอกจริงเห็นท่านพลันสงสัย
รุกขเทวดาหรือว่าไร
ตัวเราไซร้กบิลยักษ์เจ้านคร (๓๐)
ไร้ประโยชน์ใดใดนัยโกหก
เจ้าสามตกลงใจไม่หลอกหลอน
เราเป็นบุตรฤษีไพรในป่าดอน
แวะมาคอนหม้อน้ำไปชำระ (๓๑)
ให้บิดามารดาได้สระสรง
ด้วยมั่นคงกตัญญูมิรู้ผละ
ขอพระองค์เจริญยิ่งมิ่งวัฒนะ
มิเคืองพระกบิลยักษ์สักนิดเดียว (๓๒)
เป็นห่วงแต่แม่พ่อจะลำบาก
จะทุกข์ยากรอตายไร้แลเหลียว
เป็นเคราะห์กรรมของหม่อมฉันนั้นแท้เทียว
ให้ห่อเหี่ยวสงสารท่านสองคน (๓๓)
ความวู่วามวูบเดียวเกี่ยวชีวิต
หลายคนติดร่างแหแน่คือผล
อยากถ่ายบาปด้วยลึกสำนึกตน
จงบอกหนทางไปบรรณศาลา (๓๔)
เราจะเลี้ยงดูแลพ่อแม่เจ้า
และจะเฝ้าปรนนิบัติแลจัดหา
สุวรรณสามว่าองค์ทรงเมตตา
พจนาหมดห่วงล่วงลับวิญญ์ (๓๕)
กบิลยักษ์แบกน้ำไปตามบอก
เสียงไม่หลอกฝีเท้าเข้ากสิณ
สองฤษีทักทายตามได้ยิน
เพราะไม่ชินในเสียงเพียงหนักเบา (๓๖)
นี่เจ้าสามพาใครมาด้วยนั่น
พระจำนรรจ์เรากษัตริย์ดำรัสเศร้า
สุวรรณสามสิ้นชีพก็เพราะเรา
แล้วจึงเล่าให้ฟังดังเป็นไป (๓๗)
สองฤษีขอตามไปดูศพ
คำดูพบอกอุ่นให้วุ่นไหว
จึงตั้งจิตอธิฐฐานในทันใด
ก็ฟื้นได้สมดังจินตนา (๓๘)
ต่างแยกย้ายคืนสู่อู่สถาน
กระทำการตามชาติปรารถนา
กบิลยักษ์เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวา
ครองพาราด้วยธรรมใช้นำทาง (๓๙)
สามพ่อลูกรักษาพรตไม่ลดละ
จนชีพผละสละขันธ์เฝ่าบั่นถาง
สุขคติเป็นที่หมายปลายที่วาง
เมตตาอย่างสุวรรณสามงามสุขเอย (๔๐)