7 มีนาคม 2548 16:52 น.
กุ้งหนามแดง
เห็นข่าวสาวโกยอก
แสนวิตกอกระกำ
สงสารเจ้างามขำ
ถูกขยำเกินจำเป็น
ทาครีมหวังเสริมแต่ง
ราคาแพงแบ่งประเคน
ลูบไล้ใส่คลึงเคล้น
หวังรูปเด่นเห็นต้องตา
ความงามประทับจิต
เธอมีสิทธิ์ปรารถนา
แค่นั้นหรือขวัญตา
จูงใจลามาสู่เธอ
เสน่ห์ของผู้หญิง
คือของจริงสิ่งเสนอ
งามใจใช่งามเจอ
ทรงเบ้อเร่อเผลอเพียงมอง
สองมือแม่สร้างโลก
บริโภคจากเต้าสอง
เล็กใหญ่ไยลำพอง
โปรดไตร่ตรองสนองใคร..
7 มีนาคม 2548 10:13 น.
กุ้งหนามแดง
เพียงแค่คำอาลัยอาจไม่ถึง
สักกึ่งหนึ่งรู้สึกนึกโหยหา
อาจหายไปมินานนักจักกลับมา
รอเวลาหัวใจเราใกล้กัน
ขอคำมั่นสักคราก่อนลาจาก
ช่วยรับปากให้ปลื้มไม่ลืมฉัน
ห่างเพียงกายหทัยไม่แบ่งปัน
ยังผูกพันสายใยในสองเรา
สำหรับฉันมั่นใจในความรัก
ห่วงใยนักห่างไปใครต้องเหงา
บางถ้อยคำยืนยันอาจบรรเทา
เพียงปากเปล่าบอกกัน..ฉันรักเธอ..
..
25 กุมภาพันธ์ 2548 16:59 น.
กุ้งหนามแดง
ภูเขาตะหง่านตั้ง...............ธรณิน
คือแหล่งรวมทรัพย์ดิน......ก่อเกื้อ
ต้นน้ำสู่กระสินธุ์................ไหลเรื่อย ทวี
ก่อนเก่าเคยมากเนื้อ...........หมู่ไม้หลากพันธุ์
ธรณีมีแร่ล้น....................ทรัพยากร
ธาตุทั่วในสิงขร................ค่าล้ำ
ดังใจใฝ่อาทร..................มีอยู่ ในตน
หยิบยื่นเย็นดังน้ำ.............หล่อเลี้ยงพฤกษ์ไพร
ยามใดไฟกรุ่นก้อน...........หฤทัย
เกินรุ่มร้อนภายใน............ท่วมท้น
แตกกระซ่านออกไป.........ลุกเร่า
ผลย่อมทำลายล้น............สิ่งสร้างกับมือ
ยามสงบเปลี่ยวแท้..............ยังคุณ
ภูเขาไฟคุกรุ่น...............กริ่งใกล้
อาศัยร่างนำหนุน.............เกิดก่อ
เลือกสิ่งที่เป็นได้.............แค่นั้นจิตตน
24 กุมภาพันธ์ 2548 09:57 น.
กุ้งหนามแดง
สี่พระองค์เดินทางด้วยรถม้า
เพื่อมุ่งหน้าสู่คีรีเป็นที่หมาย
ม้าเทียมรถวิ่งเหยาะลัดเลาะสบาย
ชมทิวทัศน์หลากหลายชี้ชวนกัน (๖๔)
พราหมณ์พวกหนึ่งติดตามไปขอม้า
กรุณามอบให้มิไหวหวั่น
ราชรถขาดอาชาเรื่องสามัญ
ชะงักงันการสัญจรร้อนองค์อินทร์ (๖๕)
จึงแปลงกายเป็นละมั่งสีดังทอง
เป็นไม้สองลากรถไปไม่จบสิ้น
พราหมณ์อีกพวกทราบข่าวเขาได้ยิน
ธรณินทร์ให้ทานลนลานมา (๖๖)
ครั้นพอทันจึงทูลขอพาหนะ
ทรงสละราชรถตามปรารถนา
ละมั่งแปลงก็หายวับไปกับตา
สี่พระองค์ยาตราไม่ว่าไร (๖๗)
เมื่อพบคนเดินทางหว่างวิถี
ถามทันทีเขาวงกตอยู่ทางไหน
พวกชาวบ้านชี้ทางบอกยังไกล
มุ่งหน้าไปทางโทอีกโขนัก (๖๘)
ทั้งโอรสธิดาเมื่อยล้ายิ่ง
พ่อไม่ทิ้งอุ้มชาลีที่ตัวหนัก
แม่ยังอุ้มกันหาช่างน่ารัก
เหนื่อยก็พักคลายร้อนผ่อนก็กราย (๖๙)
0 ถึงนครเจตราชมิพลาดผิด
สี่ชีวิตพักร้อนผ่อนเส้นสาย
ความทราบถึงเจ้าเมืองเรื่องกลับกลาย
อยากถวายเมืองให้เวสสันดร (๗๐)
เพราะทราบเหตุยกช้างสร้างประโยชน์
กลับต้องถูกลงโทษถูกถอดถอน
พระเมตตาป้องปกผสกนิกร
มิควรต้องเร่ร่อนลำบากเลย (๗๑)
องค์พระเวสสันดรย้อนคำกลับ
มิอาจรับได้หรอกบอกเฉลย
ชาวสีพีเกลียดชังดังที่เปรย
คงไม่เฉยอยู่แน่รู้แก่ใจ (๗๒)
อาจเกิดศึกสงครามลามประเทียด
ความโกรธเกลียดสุงสิงยิ่งไปใหญ่
ขอผ่านทางสู่บรรพตรักษ์พรตไป
มิให้ใครเดือดร้อนวอนจงฟัง (๗๓)
เจ้าเมืองนั้นจึงยอมให้เสด็จ
พร้อมสั่งเสร็จเจตบุตรฉุดกองหลัง
ตามคุ้มกันพระองค์จงระวัง
เมื่อถึงยังสิงขรค่อยย้อนมา (๗๔)
ทำตัวเป็นนายด่านป้องกันไว้
มิยอมให้ใครเข้าเขตอารักขา
จะรบกวนองค์กษัตริย์ขัตติยา
รับคำมาก็เดินทางถึงคีรี (๗๕)
ทั้งสี่องค์ทรงบรรลุสู่จุดหมาย
ทั้งหญิงชายถือบวชเป็นฤษี
บำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมี
หมดหน้าที่นำส่งคงคุ้มครอง (๗๖)
0 เวลานั้นในแคว้นกาลิงคราช
ยังมีพราหมณ์ไร้มาดผิดเพื่อนผอง
ชื่อชูชกเป็นขอทานใครผ่านมอง
อาจต้องร้องทันทีนี่หรือคน (๗๗)
ประกอบด้วยโทษสมบัติทั้งสิบแปด
นั่งกรำแดดขออัฐยังขัดสน
รวบรวมเงินร้อยกษาปณ์อับอายทน
คิดชอบกลกลัวโจรจะปล้นชิง (๗๘)
จึงมีแผนนำเงินมากไปฝากเพื่อน
ขโมยเกลื่อนเดี๋ยวหายใจเกรงกริ่ง
สหายนี้เชื่อถือได้เลื่อมใสจริง
ไม่อยู่นิ่งทะยานไปบ้านเกลอ (๗๙)
จึงโอ้อวดความมั่งมีเป็นที่หนึ่ง
ชูเงินซึ่งรับทานมาหน้าเสมอ
จะเดินทางไปขออีกอำเภอ
ขอฝากไว้กับเธอแล้วเจอกัน (๘๐)
เพื่อนก็บอกขอบใจที่ไว้เนื้อ
ทั้งใจเสือเถือถือคือสมัน
หมั่นหยิบใช้จนลดเนื้อหมดมัน
ใกล้ถึงวันชูชกจะกลับมา (๘๑)
ฝ่ายตาแก่ขอทานเดินทางกลับ
จะมารับเงินฝากช่วยรักษา
เห็นสหายสองสามีภรรยา
ทำหน้าตาบุญไม่รับจับตัวทวง (๘๒)
เงินของข้าอยู่ไหนไยหน้าซีด
เราล้ำขีดเกินไปใช้ของหวง
ไม่มีเหลือให้นับทรัพย์ทั้งปวง
เจ้าชูชกแทบร่วงเข่าอ่อนแรง (๘๓)
เจ้าเพื่อนเรียกอมิตตดามาเลี้ยงน้ำ
พอขาดคำเห็นบังอรดังศรแผลง
เฒ่าขอทานตกตะลึงถึงแสดง
มิแอบแฝงความต้องการผ่านท่าทาง (๘๔)
สองผัวเมียตกลงยกลูกสาว
เพื่อขัดดอกเรื่องราวหมดคราวหมาง
อมิตตดาหอบเสื้อผ้าของนวลนาง
ต้องเหินห่างแยกเรือนเตือนใจตน (๘๕)
เพราะอยู่ในโอวาทของพ่อแม่
หน้าที่แท้กตัญญูอยู่ทุกหน
ไม่อยากเห็นบุปพการีนี้ทุกข์ทน
จึงต้องทนมาอยู่คู่ผัวเมีย (๘๖)
เรื่องชูชก-อมิตตดาหาจบไม่
สายตาใครชาวประชาพาละเหี่ย
ต่างอิจฉาขอทานมันคลอเคลีย
สวยน่ะเมียทั้งวาจาก็น่ารัก (๘๗)
พวกพ่อบ้านต่อว่าภริยาเขา
ดูสิเจ้าตัวอย่างช่างหาญหัก
พูดจ๊ะจ๋าหยิบยื่นชื่นใจนัก
ให้สมัครเป็นศิษย์อมิตตดา (๘๘)
พวกแม่บ้านไม่เห็นดีคำชี้แนะ
มากระแนะกระแหนแผ่ริษยา
ขอทานเฒ่าดีอย่างไรให้บอกมา
ต่างรุมด่าสวดยับให้อับอาย (๘๙)
นางถูกว่าเช้าค่ำล้วนคำเหยียด
ดังเสนียดใครเห็นเป็นด่าหลาย
จึงไม่กล้าพบปะแสนระคาย
นั่งฟูมฟายอยู่บ้านผ่านระทม (๙๐)
ตาชูชกกลับมาหลังภารกิจ
ถามอมิตตดาไยขื่นขม
นางจึงเล่าหยิบยกที่อกตรม
พวกแม่บ้านระดมแขวะขมทรวง (๙๑)
ต่อไปนี้เห็นจะยากออกจากบ้าน
ฉันสาบานเลิกทุกกิจตะขิดตะขวง
เลิกโพงน้ำหาบหนักทั้งตักตวง
ชูชกบอกทั้งปวงจักทำแทน (๙๒)
อมิตตดาบอกตระกูลไม่ใช้ผัว
จะหมองมัวเสียเปล่าช่างเศร้าแสน
ตาผัวเฒ่าจะซื้อทาสไม่ขาดแคลน
เมียตีแขนบอกน้องนี้มีวิธี (๙๓)
อยากให้พี่เดินทางสู่วงกต
หาทรงยศเวสสันดรวอนฤษี
ขอลูกทั้งสองคนมาให้ที
เป็นทาสีของเมียไม่เสียเงิน (๙๔)
ตาเฒ่าอ้อนตั้งเดือนกว่าจะถึง
เมียแกล้งบึ้งจะทิ้งขว้างยอมห่างเหิน
ไม่มีทาสไม่มีฉันแยกกันเดิน
แสร้งทำเมินหน้างอเฒ่าง้องอน (๙๕)
จึงรับปากไปขอรอจนเช้า
เสบียงเข้าสู่ย่ามหมาตามหอน
สู่วงกตเดินทางไกลเมียให้พร
กลัวแกย้อนยักเยื้องเสียเรื่องกัน (๙๖)
เฒ่าถามทางไปตลอดพูดพลอดพล่าม
มาดงุ่มง่ามน่าเกลียดคนเดียดฉันท์
ชาวประชาด่าเพราะเอ็งมาขอปัน
พระทรงธรรม์เวสสันดรจึงร้อนองค์ (๙๗)
ต้องระหกระเหินไปต่างบ้าน
เพราะให้ทานพูนเพิ่มดังเสริมส่ง
ไม่รู้จักทำกินสิ้นคำลง
ปาหินตรงดังตุ๊บบ้างทุบตี (๙๘)
ฝ่ายเฒ่านั้นโดนรุกตุปัดตุเป๋
ไม่หันเหมุ่งสู่คีรีศรี
สะบักสะบอมไม่น้อยถูกต่อยตี
จ้ำเป็นที่เขียวเป็นทางช่างอดทน (๙๙)
จนเข้าเขตเจตบุตรคอยอารักษ์
อุปสรรคหมารุมกลุ้มสับสน
เฒ่าจึงปีนต้นไม้หมายหนีพ้น
หมาเดินวนเห่าขรมเขี้ยวคมวาว (๑๐๐)
แกรำพึงถึงองค์พระทรงเดช
ชื่อพระเวสสันดรมีเรื่องกล่าว
เจตบุตรลดหน้าไม้ฟังเรื่องราว
แกเล่าขาวเป็นดำนำชี้แจง (๑๐๑)
ว่าตัวข้าเป็นทูตจากสีพี
ราชสาส์นก็มีนำแถลง
ล้วงกระบอกน้ำพริกในย่ามแดง
มากวัดแกว่งเล่าเรื่องเฟื่องไม่เบา (๑๐๒)
ว่าบัดนี้พระราชาอภัยโทษ
และไพร่ฟ้าเลิกโกรธเรื่องเก่าเก่า
จึงส่งตามาก่อนเพื่อเข้าเฝ้า
ทูลเชิญเจ้าของเราสู่พารา (๑๐๓)
เจตบุตรหลงกลเฒ่าเจนโลก
คงสิ้นโศกแล้วหนอรอจับหมา
ผูกในที่แล้วบอกว่าตาลงมา
ชี้ทางว่าไปทางไหนให้เสบียง (๑๐๔)
จึงมุ่งหน้าหาอจุตฤษี
ปดอีกทีท่านเชื่อใจไม่บ่ายเบี่ยง
มุ่งคีรีคันมาศอันลาดเอียง
เดินอีกเพียงนิดหนึ่งก็ถึงแล้ว (๑๐๕)
ตาแกมุ่งจนถึงเขตเขาวงกต
แดดบ่ายหมดเข้าค่ำจำต้องแกร่ว
ถ้าไปขอตอนนี้ไม่มีแวว
คงไม่แคล้วติดมัทรีจะตีกัน (๑๐๖)
ธรรมดาของแม่มีแต่รัก
มิอาจหักห้ามใจให้ลูกนั่น
รอเวลาพรุ่งนี้อีกสักวัน
นางเข้าสู่ไพรวัลย์สมควรไป (๑๐๗)
0 ค่ำคืนนั้นมัทรีมีนิมิต
ชายอำมหิตทัดไม้แดงแกล้งผลักไส
จิกเกศาตบตีมีดาบไว
ผ่าเอาใจเหลือตัวไว้ไม่ต้องการ (๑๐๘)
แม้ร้องขอไม่คืนยืนร่ำไห้
จนตกใจตื่นตะหนกวิตกประสาน
เหงื่อโทรมกายชุ่มเสื้อเหลือประมาณ
เกิดฟุ้งซ่านคิดถามความสวามี (๑๐๙)
นางมัทรีเดินมาเคาะอาศรม
วโรดมถามกลับใครกันนี่
นางจึงกล่าวข้าพเจ้าคือมัทรี
พระฤษีทวงสัญญาว่าอย่างไร (๑๑๐)
เราต่างคนแยกกันเมื่อจันทร์ฉาย
ไม่ก้าวก่ายหมายปลงเรื่องหลงไหล
มีธุระกล่าวมาอย่าร่ำไร
เรื่องอันใดจงเล่าห้ามเข้ามา (๑๑๑)
นางจึงเล่าความฝันปันเรื่องให้
พระจอมไท้ฟังพาทีตีปริศนา
ก็ทราบความพันผูกถึงลูกยา
ชายชราจะมาขอก็พรุ่งนี้ (๑๑๒)
แต่ไม่บอกความจริงทุกสิ่งสรรพ
บอกให้นางระงับวิตกนี่
ด้วยว่าธาตุของอนงค์คงไม่ดี
บอกมัทรีอย่างนี้ดีกว่าเอย (๑๑๓)
22 กุมภาพันธ์ 2548 14:46 น.
กุ้งหนามแดง
0 วันมาฆะบูชาจะมาถึง
เราผู้ซึ่งนับถือพุทธพิสุทธิ์ศรี
จะขอกล่าวข้อธรรมล้ำเลิศมี
เพื่อสานต่อความดีวิถีธรรม
0 เพื่อความสุขสวัสดีของชีวิต
เพื่อยกจิตให้เจริญเมินถลำ
เรื่องมรรคแปดทางสายกลางเพียรสร้างทำ
ศาสดาชี้นำให้ดำเนิน
0 หนึ่งสัมมาทิฏฐิ..ดำริชอบ
เห็นโดยรอบ*อริยสัจมิขัดเขิน
ทุกข์ตามเหตุหนหลังใช่บังเอิญ
พร้อมเผชิญการเกิด-ดับจับจิตตา
0 สองสัมมาสังกัปปะ..ให้ผละทุกข์
ใฝ่ทางสุขตามหลักศาสนา
ไม่พลั้งเผลอแม้นิดหนึ่งซึ่งเจตนา
ทุกเวลาคิดถูกปลูกสิ่งดี
0 สามสัมมาวาจา..จงกล้าพูด
ก็มีสูตรหลายอย่างสร้างราศี
ไม่หยาบคาย, ไม่เพ้อเจ้อ เผลอพาที
คำส่อเสียดอย่าให้มีพึงหนีไกล
0 สี่สัมมากัมมันตะ..กระทำถูก
อย่าพันผูกทุจริตคิดเสียใหม่
เที่ยวโกงกินต้องถูกขังกระทั่งใจ
การงานใดมีโทษโปรดละเว้น
0 ห้าสัมมาอาชีวะ..อาชีพหลาย
ถูกกฎหมายประเพณีตามที่เห็น
งานประจำงานกะใช่ประเด็น
เพียงแต่เน้นสุจริตทิ้งผิดลง
0 หกสัมมาวายามะ..ตามนิติ**
มีขันติปฏิบัติตัดความหลง
ดำเนินธรรม.มรรควาง.ทางสายตรง
หทัยส่งอธิษฐานผสานไป
0 เจ็ดสัมมาสติ..มีระลึก
ได้ตรองตรึกข้อธรรมล้ำไฉน
มีสติแยกแยะกายและใจ
ตัดสายใยแห่งเขลาเข้าความจริง
0 แปดสัมมาสมาธิ..ตั้งจิตชอบ
ศีลประกอบจิตรู้สู่ความนิ่ง
สมาธิปัญญาศีลมาอิง
เมื่อประชุมครบสิ่งทิ้งอวิชชา
0 แม้ไม่ครบองค์ธรรมทั้งแปดอย่าง
ยังเป็นทางสร้างสงบจบปัญหา
แม้ครบองค์ทั้งแปดอย่างสร้างสมมา
ถึงเวลาหลุดบ่วง..พ้นห้วงกรรม***
* เห็นโดยรอบ หมายถึง เห็น อริยสัจสี่ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) โดยภาพรวม ว่าทุกข์มีมาแต่เหตุ และทุกส่วนมีความสัมพันธ์กัน..
** นิติ หมายถึง แบบแผน, กฎปฏิบัติ ฯลฯ
*** พ้นห้วงกรรม คือ พ้นจากสังสารวัฏ
..