24 มกราคม 2554 15:12 น.
กิ่งโศก
ชายหนุ่มหันไปยกมือไหว้พ่อเชียรแม่เข็มแล้วก็หันไปทางเจ้าชัย ซึ่งทั้งหมด
ต่างเข้ามานั่งเพื่อฟังเรื่องราวของนรกต่อไป ด้วยทั้งหมดได้ฟังเกี่ยวกับดินแดน
สรวงสวรรค์มาแล้ว แล้วชายหนุ่มก็ต้องหันไปทางแม่นางเทพอัปสรทั้งสอง
ทันที เมื่อได้ยินแม่นางเทพอัปสรรัตนาวดีพลันเอ่ยถามขึ้นว่า
แต่ทำไมน้องเองถึงไม่ได้ผ่านดินแดนแห่งนี้เลยล่ะจ๊ะพี่???...
ชายหนุ่มหันไปยิ้มตอบแล้วก็เอ่ยให้แม่นางเทพอัปสรฟังว่า
ทุกๆรูปนามนั้นต้องผ่านดินแดนนี้ทั้งสิ้นจะยกเว้นก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้ฌานสมาบัติ
ถึงขั้นตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปถึงจะไม่ต้องผ่านดินแดนแห่งนี้จ๊ะ เหตุด้วยน้องเมื่อ
ยามดับขันธ์ลงนั้นไม่ได้ฌานสมาบัติใดๆ
มีแต่ทานที่สร้างด้วยกุศลกรรมมากๆไว้ ฉะนั้นจึงต้องไปสู่ยังดินแดนแห่งนี้
แต่เนื่องจากสัญญาการถูกปรุงแต่งโดยสังขารนั้นดับไปแล้ว จึงจำความไม่ได้
อันที่จริงน้องพี่นั้นต้องสู่ยังชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างน้อย
แต่ด้วยน้องเองก่อนจะสิ้นชีพลงนั้นติดอยู่ในสัญญาของแรงอธิษฐานไว้นั่นเอง
เมื่อแรงอธิษฐานที่ทุกๆครั้งสร้างบุญกุศลต่างๆนั้นน้องได้ตั้งจิตแน่วแน่มั่นคงไว้ใน
การอธิษฐานจิตทุกๆครั้ง กุศลที่สำคัญคือการสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสาริกธาตุไว้
แล้วอธิษฐานจิตไว้จึงทำให้น้อง ซึ่งมีวิมานอยู่แล้วไม่สามารถจะเข้าไปอยู่ได้ จึงจำเป็น
ต้องไปผุดในตักของท่านท้าวมหาราชในชั้นจาตุม เพื่อรอคอยสิ่งที่น้องปรารถนาไว้
หากประสบผลสมฤทธิ์เมื่อใด นั่นแหละถึงจะไปยังวิมานในชั้นดาวดึงส์ได้จ๊ะน้อง
แล้วชายหนุ่มก็หันไปทางเทพอัปสรอ้อยวิลาวัลย์ซึ่งกำลังจะเอ่ยปากถามก็ชิงตอบ
เสียก่อนว่า
อันแม่นางอ้อยวิลาวัลย์ก็เหมือนกันจะมีลักษณะคล้ายๆกันผิดกันก็คือ น้องอ้อยนั้น
สิ้นชีพก่อนอายุขัยอายุจะถึงวาระดับไป จึงกลายเป็นสัมภเวสีแต่อาศัยมีจิตใจที่งดงาม
ได้รับการอบรมศีลธรรมจากหลวงพ่อทองไว้ แล้วยังคอยบำรุงรักษาเสนาสนะ โบสถ์
วิหาร ศาลาภายในวัดมิให้ถูกทำลายพร้อมเจ้าจุก
แต่ครั้นน้องได้ติดตามพี่มาได้รับการฝึกอบรมด้านสมาธิเพิ่มขึ้นหมั่นเพียร
ฝึกสมาธิจนได้ฌานสมาบัติบรรลุธรรมวิเศษจนถึงขั้นอนาคามีไปแล้ว
จึงแปรสภาพจากสัมภเวสีไปเป็นอทิสมานกายไปแต่ด้วย
มีปัจจัยเหมือนกับแม่น้องนางรัตนาวดีเช่นกัน คือยังติดในโมหะอยู่บ้าง คือด้านความรัก
อันเป็นบ่อเกิดให้ต้องมิอาจจะไปสู่ภพภูมิใหม่ได้
บุคคลใดก็ตามหากได้บรรลุธรรมชั้นตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจะปิดกั้นทางแห่งดินแดนนี้
ได้อย่างสนิท แต่ก็ยังอยู่ในโลกียะธรรมของกามารมณ์อยู่มากบ้างน้อยบ้างไป ด้วยยังไม่
ได้บรรลุพระอรหัตผลที่ตัดขาดสิ้นอาสวะกิเลสน้อยใหญ่ ดังนั้นหากประมาทพลั้งเผลอ
ไปชั่วขณะจิตหนึ่งก็อาจต้องเข้าสู่ดินแดนนี้ได้เช่นเดียวกัน ส่วนเจ้าแสงสี สินชัย เจ้าพ่วง
และเจ้าเริ่มก็เช่นเดียวกันพึงยังอยู่ในฌานขั้นต้นๆ
เว้นแต่เจ้าแสงสี สินชัยที่ก้าวล่วงผ่านไปถึงขั้นสกทาคามีไปแล้ว
แต่ก็ต้องมีสติอย่าได้ประมาทเช่นเดียวกัน เจ้าทั้งสี่นี้ได้ปิดประตูแห่งดินแดนนี้
ไปแล้ว จึงขอให้พยายามหมั่นฝึกฝนสมาธิให้มากๆเข้า กรรมที่เคย
มีมาจะได้ตามไม่ทัน เวลาออกจากสมาธิให้อธิษฐานแผ่กุศลแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงและ
บรรดากรรมที่เคยล่วงเกินมาด้วยก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะแก้ไขบาปอันนั้นได้ นอกจาก
ทางนี้แล้วไม่มีทางอื่นใดๆทั้งสิ้น
ด้วยแรงแห่งการอธิษฐานจิตในขณะที่ยังอยู่ในขั้นอุปาจาระสมาธิมีพลังงานอานุภาพมาก
ด้วยเป็นเขตเชื่อมต่อของฌานทั้งหมด ขอให้พวกเจ้าจงจำไว้ด้วย ทุกเวลานาทีให้มีสติหมั่น
ตรวจตราสมาธิเอาไว้ให้เป็นอารมณ์ให้จงได้ ยามจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยการเกิดดับ
ก็จะมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะนำทางแก่พวกเจ้าไว้ จงจำให้ดีๆ
เอาล่ะข้าจะขอเล่าเรื่องของดินแดนนรกภูมิให้พวกเจ้า แม่นางเทพอัปสรทั้งสอง
ตลอดพ่อแม่และน้องฟัง จากการได้รับรู้มาว่า อันขุมนรกน้อยใหญ่นี้นั้นซึ่งอยู่
ในขั้นกรรมหนักเบาแตกต่างกันจำแนกในโลกนี้ได้แปดขุมนรก
และอีกหนึ่งขุมนรกที่เกาะเกี่ยวกับจักรวาลไว้ดังนี้
ขุมที่ ๑ ชื่อ สัญชีวมหานรก คือ นรกที่ไม่มีวันตาย
สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลเอาดาบนรกฟาดฟันกายให้ขาดเป็นท่อนๆ
บางที ก็เอามีด เอาขวานมาถาก เฉือนเนื้อทีละน้อยๆ จนสิ้นใจตาย
ทันใดนั้นเองก็มีลมกรรมพัดโชยมาถูกต้ องกาย
ให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นสัตว์นรกเหมือนเดิมอีก
นายนิรยบาลเห็นดังนั้น ก็จะลงโทษให้ได้รับความเจ็บปวด
จนกระทั่งถึงตายอีก รับกรรมอยู่อย่างนี้นานถึง ๕๐๐ ปีนรก
ขุมที่ ๒ ชื่อ กาฬสุตตนรก เป็นนรกด้ายดำ นายนิรยบาล จะเอาเส้นด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างกายของสัตว์นรก
ที่จับให้นอนบนแผ่นเหล็กแดงที่ร้อนระอุ แล้วเอาเลื่อยมาเลื่อย เอาขวานมาผ่า
หรือเอามีดมาตัดตามเส้นที่ตีเอาไว้ แม้จะดิ้นทุรน-ทุรายอย่างไรก็ไม่หลุด
ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก สัตว์นรกจะถูกเลื่อยตัดร่างกายจนตาย
แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ทรมานอยู่อย่างนี้ จนกว่าสัตว์นรกจะหมดกรรม
ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง๑,๐๐๐ ปีนรก
มหานรกขุมที่ ๓ ชื่อ สังฆาฎนรก หมายถึงนรกที่ถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกาย
ให้ได้รับ ทุขเวทนาอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกขุมนี้มีรูปร่างหน้าตาประหลาด
บางตนมีหน้าเป็นวัวแต่ ตัวเป็นมนุษย์ หรือหน้าเป็นมนุษย์แต่ตัวเป็นช้าง
เป็นเสือสัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลเอาโซ่เหล็กร้อนระอุมัดคอเอาไว้
ฉุดกระชากลากมาลากไป แล้วเอาค้อนเหล็กทุบกระหน่ำลงบนศีรษะ
ร่างกายก็ป่นปี้จนกระดูกแหลกละเอียด พอตายแล้วก็มี
ลมกรรมพัดมาให้ฟื้นคืนชีพอีก ต้องใช้กรรมอย่างนี้นานถึง ๒,๐๐๐ ปีนรก
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ ไร้ความเมตตากรุณาต่อสัตว์
ชอบทำการทารุณเบียดเบียนผู้อื่น
นรกขุมที่ ๔ คือ โรรุวนรก ที่ได้ชื่ออย่างนี้เพราะเต็มไปด้วยเสียงร้อง
ระงมครวญครางอย่างน่าเวทนา ศีรษะ มือ เท้าของสัตว์นรก
จมลงไปในดอกบัวเหล็ก นอนคว่ำหน้า เปลวไฟก็เผาไหม้ดอกบัวเหล็ก
พร้อมกับสัตว์นรก จะตายก็ไม่ตาย ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น
จนหมด ๔,๐๐๐ ปีนรก
เพราะในอดีตชอบนำสัตว์มาทรมาน หรือเคยเป็นตุลาการผู้พิพากษา
ที่ตัดสินคดีความโดยขาดความยุติธรรม หรือเป็นเพราะ
ไปลักขโมยสมบัติของพระศาสนา
ขุมที่ ๕ คือ มหาโรรุวนรก คล้ายๆ กับนรกขุมที่ ๔
แต่มีเสียงร้องครวญครางมากกว่า ได้รับทุกข์ทรมานมากกว่าสัตว์ในขุมนี้
ต้องเข้าไปยืนในดอกบัวเหล็กที่คมกริบ มิหนำซ้ำยังร้อนแรง
ด้วยไฟนรกอีกด้วย เผาไหม้สัตว์ตั้งแต่เท้าจนถึงศีรษะเปลวไฟ
เข้าไปในทวารทั้ง ๙ จะตายก็ไม่ตาย
ได้รับทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นนานถึง ๘,๐๐๐ ปีนรก
เพราะกรรมในอดีตได้ตัด ศีรษะสัตว์และมนุษย์เอาไว้มาก
ทำโจรกรรมด้วยความอาฆาตพยาบาท ปล้นสมบัติในพระศาสนา
ปล้นทรัพย์สินของผู้มีพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และผู้ทรงศีลทั้งหลาย
ขุมที่ ๖ คือ ตาปนรก สัตว์นรกจะได้รับความเร่าร้อน อย่างน่าเว ทนา
เพราะถูกหลาวเหล็กที่ร้อนโชติช่วงด้วยเปลวไฟเสียบแทงสัตว์ทั้งหลายไว้
และยังมีสุนัขนรกตัวใหญ่เท่าช้างสาร รุมทึ้งจนเหลือแต่กระดูก
ชดใช้กรรมอยู่อย่างนี้ถึง ๑๖,๐๐๐ ปีนรก
ขุมที่ ๗ คือ มหาตาปนรก เป็นขุมที่สัตว์นรกได้รับความเร่าร้อนเหลือประมาณ
ด้วยการถูกบังคับให้ขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่ร้อนลุกเป็นไฟ
แล้วถูกลมกรดที่ร้อนแรงพัดกระหน่ำสัตว์ให้ตกลงมาข้างล่าง
ซึ่งมีขวากหนามเหล็กที่ร้อนแดงด้วยไฟนรก ปักเรียงรายอยู่
เสียบทะลุร่างกาย ดูแล้วน่าหวาดเสียวสยดสยองต้องทนทรมาน
อย่างนี้ถึงครึ่งอันตรกัป การนับเวลาจากที่มนุษย์ อายุยืนเป็นอสงไขย
แล้วถอยลงเหลืออายุ ๑๐ ปี แล้วกลับอายุยืนขึ้นไปถึงอสงไขยนั้น
นับเป็นเวลาเป็น ๑ อันตรกัป ฉะนั้นครึ่งอันตรกัป ก็ถือว่ายาวนานมากทีเดียว
ขุมสุดท้าย คือ อเวจีมหานรก เป็นนรกที่สัตว์ถูกทรมาน
โดยไม่มีการหยุดพักเลย อยู่ลึกที่สุดและเสวยวิบากกรรมยาวนานที่สุด
ถึง ๑ อันตรกัป กรรมที่ทำให้เกิดในขุมนี้ เพราะทำอนันตริยกรรมเอาไว้
ตั้งแต่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จนห้อพระโลหิต และทำลายสงฆ์ ให้แตกกัน
นอกจากนี้ยังมี โลกันตนรก สำหรับผู้ที่ทำกรรมชั่วมากเป็นพิเศษ เช่นเป็นนิยตมิจฉาทิฎฐิ นรกขุมนี้จะอยู่เลย ๓ เท่า ของภพ ๓ จากปากจักรวาล ตรงนั้นจะมีความมืดมนอนธการ ไม่มีแสงเดือนแสงดาวให้เห็น มืดสนิท และเย็นยะเยือก
โลกันตนรก คือ นรกที่อยู่สุดโลกสุดจักรวาล จะเห็นแสงสว่าง
ก็ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก แสงสว่างแห่งพุทธธรรม
จะโชติช่วงไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างไปถึงโลกันตนรก
ขุมนรกร้อนที่สุดไม่มีที่ไหนเกินอเวจีมหานรก แต่ถ้าเย็นที่สุดคือโลกันตนรก
ซึ่งสัตว์นรกในขุมนี้มีรูปร่างใหญ่โตมากเล็บมือเล็บเท้ายาวเฟื้อย
ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ที่ขอบจักรวาล ห้อยโหนตัวไปมาเหมือนค้างคาว
ห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้ ห้อยโหน ไปก็บ่นเพ้อรำพึงรำพันกับตัวเองว่า
" ทำไมเราถึงมาทนทุกข์ ทรมานอยู่ที่นี่คนเดียวหนอ "
เพราะมืดสนิทจนไม่เห็นสัตว์นรกที่อยู่ใกล้ๆ แม้คว้าไปถูกมือเพื่อน
ซึ่งเป็นสัตว์นรกด้วยกัน ก็สำคัญผิดว่าเป็นอาหาร
ต่างคนต่างกัดกินเลือดกินเนื้อกัน จนพลัด ตกลงไปข้างล่าง
ที่เป็นทะเลน้ำกรด ร่างกายสัตว์นรกจะถูก น้ำกรดกัด
จนเปื่อยแหลกเหลวไปทันที
สัตว์นรกศีรษะเละ แล้วเจ้าหน้าที่เอาน้ำกรดร้อนราดลง
ไปบนตัวของสัตว์นรกจนละลาย เมื่อ สัตว์นรกดังกล่าวสิ้นใจตาย
ก็กลับมาเกิดเป็นสัตว์ นรกอีก ต่างรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้น
ไปเกาะขอบจักรวาลตามเดิมทนทรมานอยู่อย่างนี้
จนกว่าจะครบช่วงหนึ่งพุทธันดร
ที่เป็นเช่นนี้เพราะทำกรรมบาปหยาบ ช้า มีความเห็นผิด
อกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นผู้มีดวงใจมืดบอด
ใครทำคุณด้วยก็มองไม่เห็น แถมยังทำร้ายผู้ทรงศีล
ด้วยอำนาจกรรมนี้ ทำให้ต้องมาอยู่ในสถานที่อันมืดมิด
ในโลกันตนรกนี้
พลันชายหนุ่มก็หันมามองทั้งหมดดูก็อดยิ้มเสียมิได้ เนื่องจากทุกๆคนต่างนั่ง
ฟังกันอย่างเงียบกริ๊บไปตามๆกัน จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า
อายุของนรกกับมนุษย์ถึงข้อแตกต่างกันนั้น ย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละขุมของนรก
แต่ละขุมไม่เท่าๆกัน คือ
สัญชีพนรก นั้น มีอายุ 500 ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรก เท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์รวมเท่ากับ
๔๕๐๐ ล้านปีของโลกมนุษย์
กาฬปุตตะนรก มีอายุ ๑๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๓๖ ล้านปีมนุษย์ รวมเท่ากับ
๓๖๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
สังฆาภูนรก มีอายุ ๒๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๑๔๖ ล้านปีมนุษย์ รวมเท่ากับ
๒๙๐๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
โรรุวนรก มีอายุ ๔๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๒๓๔ ล้านปีมนุษย์ รวมเท่ากับ
๙๓๖๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
มหาโรรุวนรก มีอายุ ๘๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๙๒๑๖ ล้านปีมนุษย์ รวมเท่ากับ
๗๓๗๒๘๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
ตาปะมหานรก มีอายุ ๑๖๐๐๐ ปีนรก เทียบเป็น ๑ วันนรกเท่ากับ ๑๘๔๒๑๒ ล้านปีมนุษย์
รวมเท่ากับ ๒๙๔๗๓๙๒๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
มหาตาปะนรก มีอายุ ๑/๒ กัป หากเทียบวันเวลานรกและมนุษย์ไม่มีข้อกำหนด
อเวจีมหานรก มีอายุ ๑ กัป หากเทียบวันเวลานรกและมนุษย์ไม่มีข้อกำหนด
ความหมายของ ๑ ปีนรก นั้นเทียบดังนี้ ๑ ปีมี ๑๒ เดือน เดือนละ ๓๐ วัน ซึ่งมีลักษณะกับ
ปีของมนุษย์
ความหมายของ ๑ กัป
สมมุติให้มีกล่องที่ กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็ม
เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี หยิบออก ๑ เมล็ด จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับได้เป็น ๑ กัป
นรกที่พิเศษ เรียกว่า โลกันตนรก
อาจจะเรียกว่าอภิมหาอเวจีมหานรกก็คงจะไม่ผิดนัก ด้วยไม่ได้กำหนดอายุขัย
ด้วยเป็นการทำบาปที่พิเศษที่สุดกว่าบาปในขั้นอเวจีมหานรก ไปอีกดังพวกที่มีนิสัยชอบ
ขัดขวางการสร้างผลบุญกุศลแล้วทำลายกุศลนั้นๆให้สิ้นไป ฆ่าบิดามารดา พระอรหันต์
ทำร้ายพระพุทธเจ้าเจ้าทั้งหลาย ตัดคอเศียรพระพุทธรูป ทำลายรูปแทนองค์พระสัมมาสัม
พุทธเจ้าเช่นพระพุทธรูป ทำลายโบสถ์ สิ่งต่างๆที่ใช้ประกอบการกุศลผลบุญ ขัดขวางการ
สร้างผลบุญทั้งหลาย จึงจะมาสู่ดินแดนแห่งนี้ เมื่อพ้นจากดินแดนแห่งนี้แล้วก็ต้องไป
ชดใช้กรรมในมหาอเวจีนรกอีกเลื่อนไปเรื่อยๆจนถึงชั้นบางเบาที่สุดคือเดรัจฉานสัตว์
ถึงจะมาสู่ยังดินแดนมนุษย์ได้เพื่อประกอบสร้างกุศลผลบุญในทางสุคติต่อไป
แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อฮึๆๆ เมื่อแลเห็นบรรดาพ่อแม่น้องแม่นางเทพอัปสรทั้งสองตลอด
จนลูกน้องทั้งสี่ต่าง เบิ่งนัยน์ตา อ้าปากค้างๆไปตามๆกัน
เมื่อชายหนุ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับการใช้หนี้เวรแห่งกรรม
ตามกฏแห่งกรรมนั้นๆที่มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้หากมิได้ฌานสมาบัติ
หรือกระทำแต่กรรมดีละเว้นกรรมชั่ว แล้วชายหนุ่มก็ยกแก้วน้ำที่เหลือจิบต่อไป.......
* กิ่งโศก * ผู้ลง
23 มกราคม 2554 20:49 น.
กิ่งโศก
แม่นางอ้อยวิลาวัลย์เทพอัปสรเอ่ยกับพี่นางตนเอง พลางหันไปสบตากับชายหนุ่มซึ่งอมยิ้ม
พี่ว่าให้พี่เขาทำงานในหน้าที่เสร็จเรียบร้อยดีกว่าแล้วจะให้เขานำทางไปท่องเที่ยวยัง
ดินแดนนรกภูมิสักครั้งหนึ่งนะ ด้วยตอนนี้เราทั้งสองก็สามารถที่จะลงไปได้ด้วยไม่ต้อง
คำนึงถึงกาลเวลาดังน้องชบา ซึ่งยังคงร่างของสาวผกาอยู่นะน้อง อีกอย่างหนึ่งพี่โชติ
ยังอาศัยร่างของมนุษย์อยู่คงจะไม่สามารถพาไปได้ครบหรอกจ้า นอกจากเป็นบางครั้ง
บางคราวเท่านั้น
จริงจ้าพี่นาง แม่นางชบาหรือก็สภาพเหมือนกับน้องนี่แหละแต่เพียงอาศัยร่างของ
สาวผกาอยู่ แม้จะได้ฌานสมาบัติขั้นสูงก็ตามแต่ก็ยังต้องถูกพลังงานดึงดูดไว้กับร่าง
นี้ ด้วยวิชาอาคมตลอดจนฌานสมาธิของพี่โชติกำกับไว้จึงต้องรอไปจนกว่าจะครบอายุ
หรืออีกนัยหนึ่ง????.........แล้วนางก็หัวร่อให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนตามเขาปราถนานะจ๊ะพี่
ใช่แล้วล่ะน้อง ไว้ให้เราทั้งสี่พร้อมๆกันเมื่อไหร่นั่นแหละถึงจะได้ไปในสิ่งที่พวกเรา
ปรารถนาได้จ้า หรือว่าไงพี่โชติ
ชายหนุ่มได้รับฟังก็ยิ้มๆ แล้วพลันเอ่ยแก่แม่นางเทพอัปสรทั้งสองว่า
เรื่องนี้เราต้องช่วยกันทำให้สาวชบาได้บรรลุแห่งกาลเวลาให้มากๆเสียก่อนนะอันดินแดน
นี้มันมีอายุกาลมากๆเสียด้วยซิ ไว้หากเรื่องทางด้านนี้เรียบร้อยครบถ้วนสมบูรณ์ตามลิขิต
ของฟ้าดินซึ่งกำหนดวางไว้แล้วนั่นแหละ พวกเราทั้งหมดก็อาศัยฌานนี้ผ่านไปอย่างอิสระเสรี
สมความประสงค์นั่นแหละที่จะไปท่องเที่ยวที่ใดๆในสามภพนี้ได้ตามใจเราปรารถนาจ้า
ถ้าอย่างนั้นพวกน้องๆจะไม่ทำให้พี่เสียเวลางานของพี่แล้วจ๊ะ ให้พี่ดำเนินงานส่วนเรื่อง
สาวชบานั้น ท่านพี่วางใจได้น้องทั้งสองจะคอยกำกับให้นางรู้ถึงกาลเวลาให้หมด แม้ว่า
พลังงานแห่งจิตนึกสิ่งใดร่างก็ไปได้ตามปราถนาก็จริงอยู่แต่หากไม่ยึดติดหลงใหลในสิ่งนั้น
ก็ไม่เป็นปัญหา อุปมาดั่งจิตมนุษย์หากตัวอยู่ที่นี้แต่เคยไปพบสิ่งใดมาเพียงแค่นึกก็จิตไปถึง
แล้วใช่ไหมจ๊ะพี่
ที่น้องกล่าวมานี้ถูกต้องแล้วล่ะจ๊ะ จิตคนเราล้วนประกอบด้วยพลังงานที่มากด้วยฤทธานุภาพ
ยิ่งนัก หากจิตเราพรักพร้อมสมัครสมานกันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุใดๆก็สามารถบังคับได้
จ้า ด้วยเหตุที่จิตเรานั้นไม่คงที่มักจะกระสับกระส่ายไปๆมาๆตลอดเวลา แต่หากเราสามารถบังคับ
จิตนั้นให้อยู่นิ่งได้ก็จะเกิดพลานุภาพมากมายมหาศาลจะใช้ทำสิ่งใดๆก็ได้จ้าน้องพี่
ยังเหลือเวลาที่แสงสีสินชัยเพิ่มและเริ่มจะต้องทำงานอีก สองหรือสามวันนะ น้องเองก็อยากจะ
รู้เรื่องเกี่ยวกับนรกภูมิ พี่ช่วยเล่าให้ฟังเพียงคร่าวๆก่อนได้ไหมจ๊ะพี่????....
แม่นางทั้งสองเอ่ยแก่ชายหนุ่ม ซึ่งหล่อนทราบว่าชายหนุ่มนี้ได้เคยไปยังดินแดนนี้มาแล้วด้วย
ไปพบท่านท้าวพระยายมราชจ้าวแห่งดินแดนนี้มา คงจะทราบเรื่องราวได้ดี ด้วยความอยากรู้ว่าอัน
ดินแดนแห่งนี้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยตนเองก็ยังไม่ทราบเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนเพียงแค่รู้เท่านั้น
ส่วนเจ้าแสงสี สินชัย พ่วง และเริ่ม ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากใดๆนั้น ก็ขะยั้นขยออีกทางหนึ่งด้วย
จริงซินาย พวกเราก็อยากจะรู้ในดินแดนนี้จะมีความสุขหรือทุกข์อย่างไรบ้างเพราะพวกเรา
ต่างก็เป็นวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่และถูกบังคับให้ทำงานในสิ่งไม่ดีงามมามากมายนัก ดีที่ได้มาอยู่
กับนายที่เพียบร้อมด้วยคุณธรรมจึงเปลี่ยนนิสัยจิตใจพวกข้าเสียหมด ได้รู้จักผลดีผลชั่วไว้
จึงได้เกิดความกลัวเหลือเกินที่หากต้องเข้าไปสู่ยังดินแดนนี้บ้างเหมือนกันครับนาย
ชายหนุ่มก็หันไปมองหน้าพลางหัวร่อเบาๆ ที่เห็นนัยน์ตาทั้งสี่สับสนไปๆมาๆอยู่อดเวทนา
เสียไม่ได้และ เมื่อได้ยินทั้งแม่นางทั้งสองและลูกน้องตนเองเอ่ยเช่นนี้
พลันชายหนุ่มก็หลับตาลงชั่วอึดใจเดียวเขาก็พลันเอ่ยขึ้นว่า
ใช่แล้วพวกมันกำลังคิดวางแผนการจะขนย้ายของเพื่อจัดส่งไปยังกรุงเทพฯ
ในเวลาอีกสองหรือสามวันนี้ยังมีเวลาเหลือเฟือนัก เอาล่ะแม่นางและพวกเจ้าทั้งหลาย
ตอนนี้เอาแค่รู้แค่เพียงคร่าวๆก่อนก็แล้วกันนะหากพวกเจ้าสามารถฝึกสมาธิ
ได้สำเร็จแล้ว งานทุกอย่างลงตัวกันแล้วก็จะนำพวกเราไปยังดินแดนนี้อีกเพื่อชมดินแดนนี้
อันดินแดนนรกภูมินี้หาได้มีความสุขใดๆทั้งสิ้นอย่างที่เจ้าทั้งสี่คิดก็หาไม่
ล้วนแต่ทุกขเวทนา ยกเว้นก็เพียงแต่ท่านท้าวพระยายมราชและพวกอินทกะ
ซึ่งเป็นบุตรจำนวนหนึ่งพันของท่านท้าวพระยายมราชตลอดจนผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ
ผลกรรมดีและชั่วเท่านั้น
ที่มีวิมานส่วนตัวอยู่ของตนเองพร้อมบริวารหญิงชายซึ่งเป็นเทวดาซึ่งอยู่แต่ในวิมานเท่านั้น
แต่พวกอินทกะนั้นต่างก็มีดินแดนที่ต้องรับภาระปกครองควบคุมดูแลและก็มีบริเวรเช่นเดียวกัน
การปกครองนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นดินแดนต่างๆไปของแต่ละขุมใหญ่ทั้งสี่ด้านทั้งสิ้น
ซึ่งขุมนรกที่ใหญ่ๆนั้นมีทั้งหมดแปดขุมใหญ่แต่ละขุมนั้นโทษหนักเบาไม่เหมือนกัน
ยังแยกออกเป็นอีกหลายๆดินแดนกัน เหล่าพวกอินทกะก็ต่างมีนายนิรบาลที่ทำหน้าที่
คอยชำระลงโทษควบคุมเหล่าสัตว์นรกทั้งสิ้นตามแต่ผลแห่งกรรมนั้นๆเป็นบริวารของตน
อันการเป็นมนุษย์ภูมินี้ก็ยังมีนรกอยู่เหมือนกัน ดังองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา
ได้ทรงตรัสให้แก่บรรดาภิกขุทั้งหลายฟังไว้ด้วยล่ะแม่น้องนางและเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า
ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้
เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือบุคคลที่มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
และเป็นมิจฉาทิฎฐิ ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก
ธรรมดาของชีวิตมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ชีวิตหลังความตายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจ ไม่ได้สั่งสมบุญไว้
แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีบุญ ที่ได้สั่งสมไว้อย่างดีแล้ว
เพราะการตายเป็นเพียงการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิใหม่เท่านั้นเอง
ผู้เป็นบัณฑิตเห็นว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คนส่วนใหญ่มักจะทุกข์อกทุกข์ใจ
เมื่อมีญาติอันเป็นที่รักจากไป การปฎิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายใน เป็นการเพิ่มเติมความมั่นใจในการเดินทางไปสู่สัมปรายภพ
เพราะพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันอบอุ่นและปลอดภัยที่จะนำไปสู่สุคติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทิฎฐิสูตร ว่า
" จตูหิ ภิกฺขเว ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต
เอวํ นิรเย กตเมหิ จตูหิ กายทุจฺจริเตน วจีทุจฺจริเตน
มโนทุจฺจริเตน มิจฺฉาทิฎฐิยา อิเมหิ โข ภิกฺขเว จตูหิ
ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเย
ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ประการนี้
เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือ บุคคลผู้มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
และเป็นมิจฉาทิฎฐิ ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก
นรกเป็นอบายภูมิที่รองรับผู้มีบาป ในตัวมาก เป็นดินแดนสำหรับคนบาป
เมื่อละโลกไปแล้วจะต้องไปทนทุกข์ทรมานเสวยวิบากกรรมที่ตัวเองทำไว้
นรกที่อยู่ลึกที่สุด คือ อเวจีมหานรก ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ มหาตาปนรก ตาปนนรก
มหาโรรุวนรก โรรุวนรก สังฆาฎนรก กาฬสุตตนรก สัญชีวนรก แต่ละขุมนี่ใหญ่มาก
เป็นภพๆ หนึ่งที่กักขังสัตว์นรกไว้เหมือนเป็นเมืองนรก แต่เขาเรียกว่า ขุมนรก
แล้วยังมีนรกขุมย่อยๆ อีกมากมาย ขุมเล็กเรียกว่า อุสสทนรก จะอยู่ล้อมรอบขุมใหญ่ๆ
ทั้ง ๘ ล้อมรอบขุมละ ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมแล้วก็เป็น ๑๒๘ ขุม
ขุมเล็กเป็นบริวารของขุมใหญ่ เหมือนดาวล้อมเดือน จะมีดาวดวงเล็กๆ
เป็นบริวารของดาวดวงใหญ่อย่างนั้นแหละ
นรก ขุมย่อยๆ ที่เรียกว่ายมโลกนั้น เป็นที่รองรับผู้ทำบาปในระดับบาปไม่มากพอ
ที่จะไปตกในอุสสทนรกหรือมหานรกทั้ง ๘ ขุม ยมโลกนรกนี้จะล้อมรอบมหานรกทั้ง ๘
เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง อยู่ห่างออกไปทั้ง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ทิศละ ๑๐ ขุม รวมแล้ว
เป็น ๓๒๐ ขุม เมื่อรวมมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม และยมโลกนรก
อีก ๓๒๐ ขุม ก็เป็น ๔๕๖ ขุม
นรก ๔๕๖ ขุมนี้ เรียกว่า นิรยภูมิ เป็นหนึ่งในอบายภูมิ ทั้ง ๔ เป็นกามภพชั้นต่ำ
คือภูมิที่ปราศจากความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีแต่ไฟลุกท่วมตัว การตกไปในอบายภูมิ
จึงเป็นดินแดนที่หาความเจริญไม่ได้ ถ้าหากเราประมาทพลาดพลั้ง
แล้วพลัดไปเกิดในนิรยภูมิ ก็ต้องรับกรรมและทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานาน
ตามแต่กรรมที่ทำเอาไว้ ท่านถึงกล่าวว่า อปาเยสฺ หิ กมฺมเมว ปมาณํ อกุศลกรรมที่ทำเอาไว้
เป็นเครื่องวัดอายุของสัตว์ในอบายภูมิ
ลักษณะการถูกทรมานของนรกแต่ละขุม ก็มีลักษณะแตกต่างกันไป
ตามแต่กรรมชั่วที่เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์
ซึ่งนายนิรบาลเหล่านี้ก็มีกรรมเหมือนกันแต่ด้วยการสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว
นั้นแทบจะเสมอภาคกัน แต่ก่อนดับจิตนั้นคิดถึงกลัวแต่พวกยมฑูตนั่นเอง จิตจึงน้อมนำไปสู่
ดินแดนแต่ละแห่งไม่เหมือนกันแล้วแต่ผลของกรรมเป็นตัวชี้เหตุในการที่จะนำไปสู่ภูมินั้นๆ
จึงได้มาผุดในดินแดนต่างๆนี้บังเกิดเป็นนายนิรบาลไปทำความดีลบล้างชั่วคละเคล้ากันไป
จึงไม่มีเวลาพักผ่อนต้องทำงานตลอดเวลาเป็นการชดใช้หนี้กรรมชั่วของตนเอง
อีกทางหนึ่งด้วย แต่อาศัยอำนาจของผลบุญนี้เองที่ไม่ต้องถูกลงโทษ
แต่ก็เหมือนถูกลงโทษเยี่ยงสัตว์นรกทั่วๆไป เป็นบริวารของพวกอินทกะ
บุตรของท่านท้าวพระยายมราช
จนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมหมดถึงจะได้ไปบังเกิดใหม่อีกในดินแดนมนุษย์ภูมิ
เพื่อสร้างกรรมดีด้วยอุปนิสัยที่ผ่านเรื่องนี้ทำให้จิตใจอันแข็งกร้าวอ่อนไหวลง
พวกนี้จึงไม่เกิดการสร้างกรรมชั่วอีกต่อไป หากทางสร้างผลบุญกุศล
เพื่อหวังในแนวทางสุขคติภพต่อไป
ส่วนพวกยมฑูตนั้นต่างกับพวกนายนิรบาล เพราะเป็นคนของท่านท้าวพระยายมราชที่
ปกครองดินแดนนรกภูมินี้ มีหน้าที่คอยไปนำดวงวิญญาณทั้งหลายมาสู่ยังสถานที่นี้ หาก
วิญญาณใดที่ประกอบด้วยผลบุญกุศลมากๆก็จะมีเสลี่ยงคอยมารับนั่งเสลี่ยงไปโดยพวก
ยมฑูตจะอัญเชิญให้นั่งเสลี่ยงแบกไปยังสถานที่ท้องพระโรงอันกว้างใหญ่จึงเป็นที่สังเกตุ
ของบรรดาสัตว์นรกทั้งปวง ด้วยรับบัญชามาจากท่านท้าวพระยายมราชด้วยกุศลกรรมนั้น
จึงได้รับการปรนนิบัติเป็นอย่างดี บนเสลี่ยงก็ประกอบดั่งปุยนุ่นอ่อนนุ่มพลิ้วไหวสม่ำเสมอ
ส่วนพวกที่สร้างกรรมหนักบ้างน้อยบ้างแต่น้อยกว่ากรรมดีนั้นก็จะถูกมัดพันธนาการ
ด้วยเชือกลากจูงมาเข้าสู่นรกภูมิ อันเป็นดินแดนที่มืดสลัว มีหมอกควันพิษกระจายไปทั่ว
ไม่มีกลางวันและกลางคืนอากาศเหม็นอับทึบ เมื่อมาถึงทางเข้าดินแดนแห่งนี้ต้อง
เข้าสู่ประตูเหล็กกว้างยาวใหญ่ พวกนี้จะถูกลากอย่างไม่ปราณีปราศัย
ขัดขืนก็จะถูกทุบตีด้วยกระบองเหล็กอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส ถูกกระชากลากไป
เชือกที่มัดมือหรือก็จะรัดข้อมือยิ่งดิ้นมากเชือกก็จะรัดมากจนเลือดไหลซึมไปทั่ว
เป็นที่ทรมานก่อนจะมาถูกพิจารณาโทษของตนเองตามผลกรรมของตนที่ได้สร้างไว้
อันเป็นมีผู้ตรวจสอบบัญชีทั้งสองของท่านท้าวพระยมราชนั้นชื่อสุวรรณและสุวาน
ในการทำหน้าที่เปิดบัญชีชำระโทษนั้นๆของแต่ละดวงวิญญาณนั้น
พวกยมฑูตนั้นเป็นบริวารของผู้ตรวจสอบบัญชีอีกทีหนึ่งที่คอยรับบัญชา
มีหน้าที่คอยไปรับดวงวิญญาณที่ถึงกาลแห่งเวลาอายุขัยที่ถูกกำหนดจากเบื้องบนมา
ผู้ตรวจสอบบัญชีกำกับดูแลผลกรรมของมวลมนุษย์โลกไว้ฝ่ายกรรมดีก็จะจารึกในแผ่น
ทองคำ ส่วนผู้ประกอบกรรมชั่วก็จะจารึกไว้ในแผ่นหนังสุนักข์ กรรมดีและกรรมชั่วนั้นก็
จะผุดขึ้นมาโดยอาศัยจิตส่งผลให้เจตสิก และใจก็รายงานให้สัญญาไว้ เมื่อถึงสัญญาแล้ว
ผลแห่งการกระทบที่ถูกสังขารปรุงแต่งแล้วนอกจากจะส่งให้แก่วิญญาณแล้วยังส่งผลไป
ยังบัญชีในที่นี้อีกชั้นหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้จะผุดขึ้นเองตามแต่ผลกรรมนั้นๆ
ครั้นผู้ตรวจสอบบัญชีที่สัญญาส่งให้สังขารแล้วมาผุดขึ้น เมื่อวิญญาณนั้นถูกนำมายัง
สถานที่นี้ บัญชีก็จะเปิดขึ้นเองตามรูปนามนั้นๆแต่ละบุคคลที่หมดอายุขัย ถ้าหากวิญญาณ
ใดยังไม่ถึงอายุขัย บัญชีนั้นก็จะไม่เปิดให้พิจารณาโทษแก่ดวงวิญญาณนั้นๆ
ครั้นผู้ตรวจสอบพบถึงการกระทำความดีหรือชั่วต่างๆนั้นต่างก็จึงค่อยรายงานให้
ท่านท้าวพระยายมราชพิจารณาโทษเหล่าที่จะมารับผลกรรมนั้นๆต่อไป
แล้วชายหนุ่มก็หยุดเล่า พลางหันไปถามเจ้าแสงสีสินชัยพ่วงและเริ่มว่า
ก็ด้วยเหตุดังนี้จึงสามารถรู้ถึงการกระทำไม่คนตั้งเป็นหลายๆล้านคนทั้งโลกนี้
สามารถทราบได้จากการผุดขึ้นของกรรมดีกรรมชั่วโดยแยกแต่ละบัญชีไปทั้งหมดนี้
ล้วนแล้วจะถูกบันทึกไว้ในบัญชี่เล่มเล็กนี้ได้หมดสิ้นไม่ขาดตกบกพร่อง
ในกรรมของแต่ละดวงวิญญาณ ไม่ว่าผู้นั้นจะนับถือ ศาสนาใดๆก็ตาม
ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดทั้งสิ้น ไม่แยกชั้นวรรณะใดๆ ยากดีมีจนสูงต่ำก็มีผลกรรมเหมือนกัน
เขาจะถือผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วเป็นที่ตั้งในการพิจารณาโทษวิญญาณเหล่านั้น
แล้วหันไปหัวร่อกับแม่นางทั้งสองว่า น้องหญิงพอจะทราบไหมว่าเป็นเพราะเหตุใดหรือ???...
นั่นซิพี่ น้องเองไม่ทราบว่าอันจำนวนคนมากมายในโลกนี้ การสร้างกรรมดี หรือกรรมชั่ว
นั้นทางนรกภูมิจะทราบได้อย่างใดกันเล่า จะผิดพลาดได้หรืออย่างใดกัน เคยได้ยินได้ฟังมาว่า
บางครั้งมีการนำตัวผิดไปก็มีด้วยสาเหตุใดหรือพี่ช่วยอธิบายให้น้องฟังหน่อยซิ
เรื่องการนำตัวผิดไปสืบเนื่องจากนามธรรมที่กำหนดไว้แล้วยังมีอุปนิสัยคล้ายๆกันตลอด
จนผลบุญกรรมที่ท่านยมฑูต นำมาผิดตัวนั้นเป็นปัจจัยเหตุจ๊ะ แต่มีก็เป็นส่วนน้อยแต่ก็ได้กลับ
คืนมาทุกๆครั้งๆไป สืบเนื่องจากสร้างกรรมคล้ายๆคลึงกันบันทึกไว้จึงคล้ายๆกันมากแต่วัน
เวลาอายุขัยนั้นต่างกัน ด้วยกาลเวลาแห่งนรกภูมิกับมนุษย์ภูมินั้นห่างกันแต่ถูกบันทึกไว้ในนรกภูมิ
ใกล้เคียงกันจ้า จึงเป็นเหตุเกิดขึ้นดังนี้ แต่ท่านสุวรรณสุวานท่านก็ทราบว่าดวงวิญญาณนั้นยังไม่
ถึงวาระอายุขัยก็ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้ว คือบัญชีกรรมดีและกรรมชั่วจะไม่เปิดออกมาเอง ย่อม
หมายถึงว่าดวงวิญญาณนั้นยังไม่ถึงวาระแห่งอายุขัยนั่นเอง จึงต้องรีบให้นำดวงวิญญาณคืนกลับ
ไปยังร่างหากทันยมฑูตก็มีความผิดน้อย หากร่างนั้นถูกทำลายไปแล้วยมฑูตก็ต้องรับกรรมหนัก
ท่านยมฑูตที่นำมาผิดก็ต้องถูกลงโทษตามกฏแห่งนรกภูมิด้วย
ขณะที่ชายหนุ่มจะเล่าเหตุการณ์ต่อนั้น ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวชบาถือแก้วใส่น้ำเย็นมาส่ง
มอบให้แก่ชายหนุ่ม ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ส่งยิ้มให้แล้วก็รับมาดื่มกินทันที พลางเอ่ยว่า
น้องชบาคงจะได้ยินสิ่งต่างๆที่พี่เล่าให้แก่พี่นางของเธอและพวกพี่ทั้งหลายแล้วซินะ???...
จ๊ะพี่ ไม่ใช่แต่น้องซึ่งฟังอยู่หน้าห้องคนเดียวเท่านั้น พ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัยก็นั่งฟังอยู่
ด้วยล่ะจ๊ะ
หญิงสาวเอ่ยให้ชายหนุ่มฟังทันที
ถ้าเป็นอย่างนั้น น้องช่วยไปเชิญพ่อแม่และเจ้าชัยให้เข้ามาฟังไม่ต้องแอบฟังก็ได้นะ
ชายหนุ่มยังกล่าวต่อไม่จบ ร่างพ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัยก็เดินเข้ามาในห้องทันที
ครั้นร่างพ่อเชียรแม่เข็มเข้ามาแล้ว แม่นางอัปสรทั้งสองพร้อมด้วยเจ้าแสงสีสินชัยพ่วงและเริ่ม
ต่างกระพากันยกมือขึ้นไหว้ประมุขแห่งบ้านนี้ทันที ทำเอาพ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัย
ถึงกับตลึงไปในความสวยสดงดงามของแม่นางอัปสรทั้งสองที่มีรัศมีแพรวพราวส่องไสว
ออกมาจากเรือนร่าง นางอัปสรทั้งสอง
ภายในห้องก็ล้วนแล้วแต่กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วด้วยดอกไม้ที่พ่อเชียร
และแม่เข็มเจ้าชัยไม่ได้เคยดมดอมมาก่อนเลยในชีวิต
ถึงกับตัวสั่นรีบก้มลงกราบแม่นางทั้งสองทันที ด้วยทั้งสามรู้แล้วว่า
นี่คือเทพอัปสรหาใช่เป็นมนุษย์เยี่ยงพวกตนไม่ ยากนักที่จะได้แลเห็นนอกจากที่นี้เท่านั้น
แม่นางอัปสรทั้งสองก็พลันกล่าวว่า
พ่อเชียรแม่เข็มเจ้าชัยไม่ต้องทำเช่นนี้อีก จะเป็นบาปกรรมแก่ข้าทั้งสองเสียเปล่าๆ เชิญนั่ง
ตามสบายเลย นี่พี่โชติกำลังเล่าสาเหตุของนรกภูมิอยู่ด้วยได้เล่าถึงสรวงสวรรค์ที่พวกข้าอยู่
แล้วจ้า
เสียงอันเย็นหวานช่างชื่นฉ่ำไพเราะเสนาะโสตถ์ยิ่งนัก พ่อเชียรแม่เข็มต่างนึกในใจว่า
นับว่าเป็นบุญตาบุญใจนักที่ได้แลเป็นแม่เทพอัปสรสวรรค์เช่นนี้ ส่วนเจ้าชัยถึงกับปากอ้า
ตาค้างไปเลยเมื่อเห็นสรีระร่างของแม่นางอัปสรทั้งสองทั้งงดงามสวยยิ่งกว่าหญิงใดๆเลย
ในถิ่นที่เขาอาศัย เทียบกันแทบไม่ได้เลย ก็พลันนึกถึงพี่ชายว่าช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก...........
* กิ่งโศก * ผู้นำมาลงจ้า
21 มกราคม 2554 20:34 น.
กิ่งโศก
ชายหนุ่มหัวร่อ หันไปพบว่าบัดนี้ คนที่เขาใช้ไปทำงานได้กลับ
มาแล้ว ในห้องจึงมีร่างทั้งสี่เพิ่มขึ้นอีก แต่เขาไม่ได้กล่าวอันใด
ด้วยกำลังเล่าเหตุการณ์ต่างๆอยู่ ซึ่งร่างของเจ้าแสงสีและสินชัย
เจ้าพ่วง เจ้าเริ่ม ซึ่งปรากฏร่างมาเพื่อจะได้รายงานให้ชายหนุ่มทราบ
ครั้นเห็นนายกำลังคุยอยู่และเรื่องราวน่าสนใจยิ่งด้วยพวกมันไม่
เคยได้รับรู้จึงนั่งลงฟังที่นายมันเล่าเรื่องสวรรค์ให้ฟัง
เพียงคอยจังหวะเวลาที่ชายหนุ่มกำลังเล่าเหตุการณ์
ต่างๆให้แก่แม่นางอัปสรทั้งสองฟังให้จบเสียก่อน อีกประการหนึ่ง
พวกมันก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมด้วย หลังจากนั้นมันก็จะเล่า
ถึงเหตุการณ์ที่ได้ใช้ไปปฏิบัติงานของเขา ให้นายของพวกมันฟัง
แล้วพลางร่างทั้งสี่ก็หันไปไหว้แม่นางอัปสรทั้งสองซึ่งหันหน้ามายิ้มให้
แล้วหันมาทางนายมันเพื่อรับฟังนายมันเล่าเรื่องสวรรค์ให้แม่นางฟัง
จนเมื่อชายหนุ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์จบ แต่แม่นางทั้งสองยังสงสัย
อยู่ก็หยุด พลางนึกขึ้นได้จึงหันมาทางคนทั้งสี่ แล้วชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
เป็นอย่างไรบ้างล่ะ???.....เจ้าแสงสี เจ้าสินชัย เจ้าพ่วงเจ้าเริ่ม
ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับนาย เพียงแต่คอยเวลาที่นายจะสั่งเท่านั้น
ว่าจะให้ตั้งเวลาระเบิดเมื่อไหร่???.... เจ้าแสงสีกล่าวตอบ
ถ้าอย่างนั้นคอยเวลาให้พวกมันเข้ามาเพื่อจะขนของก่อนก็แล้วกันนะ
แต่ต้องทำก่อนที่มันจะได้เข้าไปเอาของ ครั้นเมื่อเกิดระเบิดหลังจากนั้น
พวกมันทั้งหมดก็ต้องตกใจ และรีบเข้าไปดูว่าถูกทำลายหมดหรือไม่
อีกอย่างหนึ่ง ให้ไปแจ้งแก่สารวัตรชัชวาลย์ด้วยว่า
ให้เพียงรอคอยฟังคำสั่งจากข้าก่อน และให้จัดหุ่นคอยเฝ้าดูแลไว้ด้วย
ตลอดจนให้พวกผีป่าทั้งหลายคอยหลอกหลอนพวกเฝ้าของไว้
ให้พวกมันตื่นตระหนกตกใจไม่เป็นอันทำงาน เพื่อที่คนของเราจะได้เข้า
ไปตั้งเวลาระเบิดได้สะดวกขึ้น นี่ข้ากำลังอธิบายเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์
ให้แม่นางทั้งสองฟังอยู่ พวกเจ้าคงจะได้ทราบสิ่งต่างๆบนสรวงสวรรค์
จะได้เกิดความมานะพยายามฝึกฝนสมาธิให้มากเพื่อ ต่อไปจะได้ไปสู่
ยังดินแดนนั้นตามวิสัยแห่งสมาธิของเจ้านะ???......
ครับนาย ดีเหมือนกันผมจะได้รับความรู้ไว้บ้าง ฟังแล้วก็ให้บังเกิดปิติ
จะได้มุ่งมั่นต่อการสร้างกุศลผลบุญและฝึกสมาธิให้สำเร็จครับนาย พร้อมทั้ง
จะกลับไปเล่าเรื่องที่นายบอกนี้เกี่ยวกับหมั่นฝึกสมาธิเพื่อสู่สรวงสวรรค์
ให้แก่พวกมันไว้ด้วย เพื่อที่จะทำให้มันเปิดความปิติยินดีถึงการทำสมาธิ
เมื่อทั้งสี่ตอบชายหนุ่มแล้วแบ่งแยกกันไปนั่งคอยฟังชายหนุ่มครั้นทราบ
ก็เกิดความปิติยินดีที่ได้รับรู้เหตุการณ์ในอนาคตทั้งหลายไว้
พวกมันคิดว่ามาคราวนี้โชคดีที่เข้ามาได้จังหวะดียิ่งนักจึงได้รับฟังเรื่องราว
ต่างๆที่พวกมันไม่เคยรู้เคยรับฟังจากที่ใดมาก่อนเลย มาได้นายมันนี่แหละถึงรู้
ก็มองเห็นชายหนุ่มหันไปทางแม่นางอัปสรทั้งสองพร้อมกล่าวในสิ่งที่
แม่นางทั้งสองสงสัยให้ได้ทราบ เห็นนายมันหัวร่อเบาๆ แล้วเอ่ยกล่าว
ให้แม่นางทั้งสองฟังขึ้นว่า
อันวิญญาณทั้งหลายที่จะรำลึกนึกเหตุการณ์ย้อนหลังได้นั้นก็สืบเนื่องมาจาก
สังขารที่จะต้องแนบสนิทมากับวิญญาณอันประกอบด้วย จิต เจตสิก และใจ
สัญญาที่จำได้หมายรู้ยามเมื่อส่งมายังสังขารเพื่อปรุงแต่งแล้วยังไม่เรียบร้อยก็จะ
ติดค้างสัญญาไว้
ดังนั้นสัญญาก่อนจะดับจึงเข้าแนบผสมกับสังขารตามมาด้วยกัน จึงเป็นเหตุให้
วิญญาณนั้นๆเมื่อรูปนามดับไปก็จะบังเกิดใหม่ขึ้นทันทีแล้วก็ดับๆเกิดๆจนถึงภพภูมิ
ที่กรรมปรุงแต่งขึ้นพร้อมมีสัญญาตามมาด้วย
แต่การสืบต่อเนื่องนั้นจะเกิดได้แค่ไม่นานเท่าใดนัก ครั้นปรุงแต่งแล้วสัญญาก็จะหาย
ไปไม่เกิดการจำได้หมายรู้อะไรอีกต่อไป การนี้ใช้ระยะเวลาอันสั้นๆ แต่หากบังเกิดแล้ว
ก็ต้องแล้วแต่สัญญาจะมากน้อยเท่าใดที่สังขารรับติดพันกันมา
สังขารนั้นก็จะรีบปรุงแต่งแล้วสัญญาก็จะหายไป
คงเหลือไว้กับสังขารกับวิญญาณเท่านั้นที่จะดำรงในสภาพภพภูมินั้นๆ
เหตุที่ทำไมสังขารถึงจะแนบติดไปกับวิญญาณก็ด้วยกรรมดีกรรมชั่วคอยให้สังขาร
ได้ปรุงแต่งไปตามสภาวะจิตของกรรมทั้งหลายนั่นเอง
การเกิดขึ้นนี้จะมีต่อเนื่องได้ก็เฉพาะสวรรค์ภูมิทุกๆชั้นเท่านั้นที่จะรำลึกนึกถึงอดีต
ผ่านมาได้ แต่ก็เป็นแค่ชั้นอทิสมานกายที่ยังจำได้แม่นยำ ด้วยเพราะอยู่ติดกับมนุษย์ภูมิ
บางครั้งต้องมาอาศัยในมนุษย์ภูมิอยู่ เช่น รุกขเทวา รุกขเทวี ตามศาลต่างๆเป็นต้น
และถ้าหากยิ่งขึ้นสูงๆไปสัญญานั้นก็ค่อยๆจะลบเลือนไป
นอกจากพวกที่ได้ฌานสมาบัติเท่านั้นที่ยามต้องการก็ต้องถึง ซึ่งฌานสมาบัติก่อน
ถึงจะล่วงรู้ได้ ยกเว้นแต่ชนชั้นผู้ปกครองดินแดนแห่งสรวงสวรรค์หรือชั้นพรหม
แต่ล่ะชั้นที่ดำรงไว้ตลอดเวลาเพียงแค่นึกเท่านั้นอดีตก็จะพลันบังเกิดขึ้นให้เห็นเอง
ด้วยอำนาจแห่งผลบุญบารมีแห่งกุศลกรรมที่สร้างไว้มากจึงมีนัยน์ตาทิพย์ขึ้นเอง
ยิ่งในชั้นดาวดึงส์นั้นยิ่งยากใหญ่เพราะเป็นชั้นแห่งโลกียะกามารมณ์ทั้งปวง
การเสพสุขกามารมณ์ดินแดนนี้แค่เพียงต้องตาต้องใจกันแค่สบตากันก็บรรลุแล้วเอง
ซึ่งผิดกับมนุษย์ภูมิในการจะเสพย์สังวาสกัน ตลอดจนพวกสัตว์นรกร่วมชั้นและจำพวก
อทิศมานกายเบื้องต้นที่อยู่ใกล้ดินแดนมนุษย์ภูมิ ยิ่งใกล้เท่าใดยิ่งคล้ายมนุษย์ภูมิมาก
บรมสุขกว่าสวรรค์ทุกๆชั้น ไม่มีกลางวันและกลางคืนสนุกสนานรื่นเริงจนลืมอดีตไป
นอกนั้นจะสำเริงสำราญจนลืมอดีตชาติไปหมด ด้วยโลกียะเข้าครอบงำไว้สิ้นแล้ว
ซึ่งทวยเทพอัปสรเหล่านั้นจะหลงในกลิ่นหอมจากบุปผานาๆพันธุ์
เย้ายวนยั่วเสน่หาทั้งหลายจะจะสำเริงสำราญกันในหมู่วิมานนั้นๆ หาได้ก้าว
ข้ามแดนแห่งวิมานนั้น หากมีก็จะถูกลงโทษให้ลงมาชดใช้เวรในดินแดนมนุษย์
หรือสัตว์ต่อไปตามผลแห่งกรรมอีกทอดหนึ่ง และบรรดาแห่งความสนุกสนานไป
อันเป็นบ่อเกิดแห่งความหลงใหลจนไม่ได้คิดจะนึกถึงอดีตชาติเก่าๆของตนเอง
สวรรค์ทุกๆชั้นจะมีก็แค่ชั้นดุสิตาอีกชั้นหนึ่งที่สามารถจะรำลึกได้ในเหตุการณ์ต่างๆ
แต่ด้วยความเบื่อหน่ายเข้ามามาก ซึ่งจะมองเห็นมนุษย์ภูมิ หรือ นรกภูมิดังพวกอาจม
ที่เหม็นคละคลุ้งไปทั่ว จึงไม่สนใจมากนักเสวยสุข ในดินแดนร่มรื่นเยือกเย็นสงบเท่านั้น
หาได้พึงปรารถนาใดๆไม่ในการรำลึกชาติในอดีตเก่าๆต่อไป เพียงแค่หวังในพุทธภูมิเท่านั้น
อันที่จริงทุกๆภพภูมินั้นจะรำลึกอดีตเก่าๆได้มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ ตัวสัญญาที่ยังต่อเนื่อง
มิได้ถูกปรุงแต่งขึ้น มนุษย์ภูมินั้นก็เป็นบางคนเท่านั้นที่สัญญายังบังเกิดเมื่อถูกสังขาร
มาปรุงแต่งแล้วสัญญาก็จะเลือนหายไป เมื่อสัญญาเลือนหายไปก็จะรำลึกอดีตเก่าๆอีก
ไม่ได้ จะมีก็แต่บางจำพวกเท่านั้นซึ่งมีน้อยมากเรียกว่าแทบจะหาไม่ได้เลยที่จะรำลึกอดีตเก่าๆ
ส่วนนรกภูมิก็ประดุจเดียวกับมนุษย์ภูมิแต่ดินแดนนี้ยากนักจะเกิด ด้วยสัญญาให้สังขาร
ปรุงแต่งได้นั้น ต้องอาศัยแห่งกรรมที่ปรุงแต่งมากกว่าด้วยเต็มไปด้วยกรรมชั่วนั้น
จะปิดบังกั้นทางขวางไว้จะถูกปรุงแต่งจากสังขารด้วยเวลาอันรวดเร็วนัก
หรือจะเกิดได้อีกก็ตอนได้รับส่วนผลบุญที่ญาติอุทิศส่งไปให้เท่านั้น
เมื่อได้รับก็นึกคิดได้ชั่วแวบเดียวก็หายไปยามที่ได้รับการเสวยผลแห่งบุญที่เขาอุทิศไป
ดังนั้นการจะรำลึกอดีตเก่าๆก็ด้วยสัญญาที่ตกค้างยังไม่ได้รับการปรุงแต่งจากสังขาร
ไปอยู่ในสังขารแนบติดไปกับวิญญาณทั้งหลายยามดับสิ้นไป มักจะเกิดกับวิญญาณที่
ยังไม่ครบอายุขัยและมาตายด้วยเหตุฉับพลันนั่นแหละจ้าน้องรักทั้งสอง
แม่นางรัตนาวดีเทพอัปสรก็พลันเอ่ยว่า
ทำไมน้องถึงย้อนอดีตเก่าๆได้อย่างต่อเนื่องด้วยเหตุใดเล่าพี่ท่าน????....
เหตุที่น้องสามารถรำลึกนึกถึงอดีตที่ผ่านล่วงมามากได้นั้นก็สืบเนื่องมาจากการสร้าง
ผลบุญอันยิ่งใหญ่ไว้แล้วจะอธิษฐานจิตด้วยใจแน่วแน่มั่นคงไว้นั่นแหละเป็นสาเหตุหนึ่ง
อีกสาเหตุหนึ่งคือน้องยังอยู่ในชั้นจาตุมอันเป็นชั้นที่ติดต่อใกล้เคียงมนุษย์ภูมิมากที่สุดเป็น
เหตุและปัจจัย ที่สำคัญ คือน้องมีแรงอธิษฐานอันแรงกล้าและยังไม่ได้ประสบผลอันที่
น้องพึงปรารถนาในคำอธิษฐานนั้นๆเองแหละน้อง หากน้องจะถามแม่นางอ้อยวิลาวัลย์
ซิว่าสามารถรำลึกย้อนอดีตเก่าๆได้ดั่งน้องได้หรือไม่ หากจะจำก็เพียงแค่อดีตชาติเดียว
เท่านั้นเอง แต่ถ้าหากต้องการมากจะรู้ต้องร่ำเรียนฌานสมาบัติกสิณให้ครบถ้วนก่อน
แล้วลงมายังอุปาจารสมาธิอธิษฐานในสมาธินี้ก็จะเกิดพลังงานสร้างภาพย้อนหลังได้จ้า
แต่ต้องเป็นพลังงานจิตที่แรงกล้ามากมายนักถึงจะเกิดภาพแท้จริง มิฉะนั้นจะล้วนแล้ว
แต่ภาพแห่งมายาภาพทั้งสิ้นต้องมาคอยกำจัดภาพที่หลอกหลอนต่างๆไปให้หมดสิ้น
จริงจ๊ะพี่นาง อ้อยเองนั้นรำลึกชาติย้อนได้ชาติเดียวแต่ก็ไม่แจ่มชัดแค่เพียงเลือนลาง
แล้วก็วูบๆวาบๆหายไปจ๊ะ จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ผิดกับพี่โชติที่ยังติดตาติดใจทำให้ไม่
ลืมเลือนจางไปจ๊ะพี่นาง
คราวนี้แม่นางรัตนาวดีพลันหัวร่อคิกๆๆๆ แล้วเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า
ก็ด้วยเหตุที่น้องเราตอนเป็นดวงวิญญาณในวัดและได้รับการอบรมจากหลวงพ่อทอง
ไว้ในสิ่งที่ดีๆ ครั้นพบกับพี่โชติด้วยเคยร่วมทำบุญกันมาในอดีตชาตินั่นเองจึงผูกพันเป็น
พิเศษจ้าน้องหญิง
นั่นซินะพี่หญิง ครั้งแรกที่พบพี่เขาก็ให้รู้สึกว่าเหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อนจ้า เกิด
ความรักใคร่ขึ้นอย่างฝังใจ ก็คงจะเป็นด้วยเหตุที่พี่นางกล่าวแน่นอนจ้าพี่นาง
เธอก็เหมือนๆพี่นั่นแหละด้วยก่อนนั้นปักใจแก่เขาถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรกันแต่ความผูก
พันห่วงใย จึงทำให้ตรอมตรมใจจนถึงแก่ความตายแต่พี่ก่อนนั้นได้มุมานะสร้างแต่ผลบุญ
กุศลมากมายทุกๆครั้งก็อธิษฐานจิตไว้จะขอพบเขาและได้กินอยู่กับเขาครั้งหนึ่งจ้า
แม่นางรัตนาวดีเทพอัปสร ครั้นกล่าวแล้วก็ให้บังเกิดความเอียงอาย
ตามวิสัยอิสตรีทั้งหลาย จนไม่สามารถจะสบตากับชายหนุ่มได้อีก
เพียงหันไปหยิกน้องอ้อยวิลาวัลย์เล่นแก้เขิดเขินเท่านั้น จนแม่นางอ้อยถึงกับสะดุ้งร้อยอุ๊ยๆ
ออกมา ทำให้ทั้งสามต่างก็หัวร่อต่อกระซิกกันและกัน ส่วนเจ้าแสงสีสินชัยพวงและเริ่มนั้น
ได้แต่นั่งตาปริบๆไม่กล้าที่จะส่งเสียงหัวร่อออกมาได้ เพียงแค่ยิ้มมองหน้ากันไปๆมาๆเท่านั้น
นั่นซินะพี่และน้องเองก็ยังไม่เคยล่วงเข้าสู่นรกภูมิได้ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะลำบากยากเข็ญ
อย่างไรบ้าง จะถามพี่โชติเองหรือ ซึ่งเคยลงไปมาแล้วก็ให้เกรงใจเขาจ๊ะ
อีกอย่างหนึ่งก็ไม่อยากจะทราบด้วยสงสารพวกในนั้นจ้าพี่
* กิ่งโศก *
19 มกราคม 2554 10:32 น.
กิ่งโศก
แล้วชายหนุ่มก็หันไปถามนางอัปสรทั้งสองว่า
น้องพี่ทั้งสองรู้ไหมว่า ดินแดนทั้งสามภพภูมินี้ การได้มากำเนิดนั้น
ดินแดนใดที่ง่ายที่สุดและยากที่สุด?????...
แม่นางอัปสรทั้งสอง พลันหันมามองหน้ากันไปๆมาๆ ด้วยเมื่อพบคำถาม
ของชายหนุ่มเช่นนั้น ต่างครุ่นคิดแต่หาข้อสรุปใดๆไม่ได้เลย หากนับอายุ
ของกาลเวลาแห่งมิตินั้น ตามที่ชายหนุ่มกล่าวไว้เช่นนี้ สวรรค์แม้จะมีอายุยืน
ยาวนานก็ไม่เท่าชั้นพระพรหมนั้นจัดได้ว่าเป็นดินแดนที่มี
อายุยาวนานมากที่สุด รองอายุยืนนานมากที่สุดคือ นรกภูมิ อายุสั้นที่สุดคือ
มนุษย์ภูมิ ยิ่งคิดไปยิ่งสับสนเกิดขึ้นภายในใจจึงหาข้อสรุปไม่ได้
สุขสบายที่สุดก็ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะดินแดนแห่งดาวดึงส์
ลำบากที่สุดก็ดินแดน นรกภูมิ รองลงมาก็มนุษย์ภูมิ รองความสุขสบายก็ชั้นจาตุม
ส่วนชั้นดุสิตหรือแม้จะสุขสบายด้วยบังเกิดตามใจนึกก็ตามแต่ไม่มีสิ่งสนุกสนาน
พรหมหรือก็มีแต่ความชิงดีชิงเด่นกันและกัน ต้องการสิ่งใดก็ต้องอำนาจแห่งฌาน
สมาบัติเนรมิตขึ้นมาเอง
ยิ่งคิดไปก็ยิ่งสับสนต่างไม่รู้จะตัดสินใจตอบชายหนุ่มอย่างไรดี
แม่นางอ้อยวิลาวัลย์อัปสร จึงเอ่ยถามชายหนุ่มทันทีว่า
อันชั้นพรหมหรือก็อายุยืนนานที่สุด การใช้สอยก็ล้วนแล้วแต่เนรมิตทั้งสิ้น
ชั้นสรวงสวรรค์นับว่าสบายที่สุดอายุหรือก็นานรองลงมาได้แก่ชั้นจาตุรมหาราช
มนุษย์ภูมิหรือก็มีแต่ความลำบากสบายปะปนกันอายุหรือก็สั้นที่สุด
นรกภูมิหรือก็ลำบากแสนสาหัสอายุหรือก็ยืนยาวเกือบจะเท่าชั้นพรหม
เหตุดังนี้ทำให้น้องและพี่นางคิดไม่ออกจริงๆจ้า เห็นทีต้องอาศัยพี่ซึ่งผ่าน
เข้าออกมาทุกๆชั้นแล้ว ช่วยอรรถาธิบายให้ด้วย เพื่อจะได้ประดับความรู้ไว้จ้า
ส่วนกาลเวลาบนสรวงสวรรค์น้องและพี่เขาก็พอจะล่วงรู้ได้ คิดไม่ออกจึงไม่
สามารถตอบคำถามพี่ได้จ้า
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า
ตามที่ได้ไปสนทนาธรรมกับพรหมเทพมาถึงได้รู้เหตุดังกล่าวจ้า
แม่น้องนางทั้งสอง การเกิดง่ายที่สุดก็คือ นรกภูมิจ้า ด้วยต้องไปใช้หนี้เวรกรรม
ที่ตนเองก่อไว้จะมากหรือน้อยด้วยกรรมเป็นผู้ปรุงแต่งทั้งสิ้น อันชั้นสรวงสวรรค์
นั้นก็เกิดง่าย เพียงก่อนจะสิ้นลมหายใยมีจิตใจที่แน่วแน่นึกถึงแต่ความดีที่สร้างไว้
ไม่สร้างเวรกรรมชั่วให้มากกว่ากรรมดี กรรมชั่วก็จะไม่บังเกิดในนิมิตก่อนตายลง
อาศัยบุญแห่งทานที่กระทำไว้เท่านั้นก็ได้ไปเกิดในชั้นสรวงสวรรค์แล้ว
ตั้งแต่ชั้นอทิสมานกายไปจนถึงชั้นสูงต่างๆ ด้วยในขณะที่ตายตามอายุขัยนั้น
จะเป็นในรูปร่างของ โอปาติกกะซึ่งมีรูปร่างสวยงาม โปร่งใส
มีเครื่องทิพย์เกิดขึ้นเองรองรับ จะมากน้อยก็ล้วนแล้วแต่ผลแห่งกรรมนั้นๆ
แล้วค่อยเกิดดับๆๆ ไปจนสิ้นสุดแห่งกรรมดีที่สร้างไว้
หากไม่ถึงวาระอายุขัยก็จะอยู่ในสภาพของสัมภเวสีที่มีรูปร่างปกติคล้ายๆมนุษย์แต่
กรรมจะปรุงแต่งให้บังเกิด บ้างรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บางก็สวย บ้างก็ขี้เหร่ตาม
สภาพของการปรุงแต่งแห่งกรรมที่สร้างไว้ หากครบอายุขัยจะเกิดดับเกิดเป็น โอปาติกกะ
อีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งหมดต้องไปรับการพิจารณาโทษ
จากท่านพระยายมราชก่อนไม่ว่ามนุษย์ทุกรูปนามที่ทิ้งร่างขันธ์ห้าไปแล้ว
ครั้นเสวยกรรมดีถึงจะมาเป็นโอปาติกกะได้ ส่วนที่ได้สร้างกรรมชั่วก็จะดับ
จากร่างโอปาติกกะ แล้วค่อยไปเสวยผลแห่งกรรมนั้นๆ นี่พี่กล่าวเริ่มต้นของ
การจะไปสู่ภพภูมิต่างไว้ เผื่อน้องจะสงสัยจ้า
เมื่อผลแห่งกรรมทั้งหลายที่กระทำหากกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วก็จะต้องไปเสวยผลแห่ง
กรรมนั้นตามแต่ผลแห่งกรรม ที่ว่านรกภูมิมีอายุยืนยาวมากรองจากชั้นสรวงสวรรค์ที่มีอายุ
ยืนยาวมากกว่าเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุแห่งกรรมชั่วเองเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้น
ส่วนชั้นสรวงสวรรค์นั้นเกิดง่ายด้วยผลบุญแห่งกรรมดีที่สร้างไว้มากน้อยก็เรียงกันไปตาม
ผลแห่งการปรุงแต่ง ตั้งแต่อทิสมานกายไปจนถึงชั้นยามาในชั้นสรวงสวรรค์ทั้งห้าชั้นนี้
ก็แตกต่างกันด้วย คือพวกมีวิมานเป็นของตัวเองที่ล่องลอยไปในอากาศ
เรียกว่าพวกอากาสานัญจตนะหรือพี่อาจจะเรียกไม่ถูกก็ได้แต่ทว่ามีวิมานล่องลอยไปในอากาศ
แห่งชั้นสรวงสวรรค์ มีบริวารเป็นของเทพยดาเทพอัปสรนั้นๆ
เช่นน้องพี่นั่นแหละ คืออีกจำพวกหนึ่งไปผุดขึ้นในที่ต่างๆกันไม่เหมือนกันตามแต่กรรมดีที่ทำไว้
บ้างก็ผุดที่ตักของเทพอันเป็นเจ้าปกครองสรวงสวรรค์แห่งวิมานนั้นๆ ก็จะเป็นบุตรีบุตรชาย
หากไปผุดที่แท่นบรรทมก็จะข้าบาทบริจา คอยสนองรับใช้ในด้านกามารมณ์มากบ้าง
น้อยบ้างแล้วแต่ผลแห่งการสร้างไว้หรืออธิษฐานจิตเอาไว้
หากไปผุดในบริเวณวิมานก็จะเป็นพวกรับใช้ของเทพยาดาฤทธิ์เดชต่างๆกันไป
หากไปผุดในระหว่างกลางของดินแดนวิมานใดวิมานหนึ่งนั้นเขาจะถือเอารูปร่างลักษณะ
ใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญ คือผุดแล้วหันหน้าไปทางวิมานใดก็ตกเป็นบริวารของวิมานนั้นๆ
หากไม่หันหน้าไปทางวิมานใดก้มหน้าอยู่ก็ต้องตกเป็นบริวารของมหาราชที่ปกครอง
ชั้นต่างๆไป นี่คือข้อแตกต่างการการผุดในดินแดนสวรรค์
การบังเกิดในสรวงสวรรค์นั้นไม่ยากเพียงรักษาศีลห้าไว้ให้ได้ ด้วยต้องมีสัจจะวาจาและ
จากการอธิษฐานในทานที่กระทำนั้นๆเท่านั้นด้วย ผลแห่งการอธิษฐาน หรือการถือศีลนั้น
ไม่ต้องมีมรรคผลแต่อย่างใดหรือเพียงแค่สร้างกรรมดีคือการให้ทาน สร้างวิหาร โบสถ์หรือ
สิ่งต่างๆในที่สาธารณะให้เป็นที่พักอาศัยเช่นศาลาให้คนพักผ่อนอาศัยหลบร้อน หรือสระ บ่อ
น้ำให้เป็นที่กินใช้ก็เป็นเหตุนั้น ผลก็จะได้ไปบังเกิดในสรวงสวรรค์ตามชั้นต่างๆ
แต่เมื่อหมดผลบุญที่สร้างไว้ จะไปบังเกิดได้สองสถานคือ มนุษย์ภูมิกับสวรรค์ภูมิ
ส่วนชั้นพรหมนั้นต้องเป็นผู้ทีมีฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานไปเรื่อยๆแต่ต้องตายในขณะ
ที่กำลังเจริญสมาธิเท่านั้นถึงจะไปสู่ชั้นพรหมได้ หรือจะมาอยู่ชั้นต่ำกว่าก็ได้ด้วยแรงแห่งการ
อธิษฐานในขณะจะไปบังเกิดหรือดับจิตมนุษย์
จึงถือว่ายากพอสมควร อันชั้นพรหมนี้เมื่อหมดผลการเสวยบุญแล้ว
มีทางเดียวที่จะไปบังเกิดได้คือ มนุษย์ภูมิ จึงถือว่าไม่ยากมากนัก
ส่วนชั้นที่ยากที่สุดคือ มนุษย์ภูมิ ซึ่งเป็นดินแดนที่อายุน้อยที่สุดล้วนแล้วแต่ปะปนทั้ง
ผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว เป็นที่สร้างแห่งผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว แล้วเป็นมิติที่เชื่อม
ต่อระหว่างนรกภูมิกับสวรรค์ภูมิไว้ มีมิติรอยต่อที่น้อยนิด บุคคลใดเมื่อหมดผลกรรมดีหรือ
หมดผลกรรมชั่วแล้วย่อมจะต้องมาบังเกิดในดินแดนแห่งนี้คือ
มนุษย์ภูมิทั้งสิ้นไม่มีข้อยกเว้นใดๆ จึงเปรียบเสมือนเป็นดั่งทางสามแพ่ง คือ
นรกภูมิ มนุษย์ภูมิ และสวรรค์ภูมิอันนี้รวมถึงพรหมโลกด้วย ทั้งหมดนี้อยู่ที่การปรุงแต่ง
ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ดินแดนแห่งนี้กำหนดใช้เป็นดินแดนแห่งการสร้างผลบุญกรรม
ดีทั้งหลาย เพื่อจะได้จุติแล้วไปบังเกิดในภูมิทั้งสาม หากกรรมดีและกรรมชั่วเสมอกันก็
กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อเริ่มต้นสร้างใหม่ผลแห่งกรรมต่อไป
หากทำดีมากกว่ากรรมชั่วก็ไปเสวยบนดินแดนแห่งความสุข คือดินแดนสวรรค์จนถึง
ชั้นพรหม แต่การสร้างกรรมนั้นใช่ว่าจะได้มาบังเกิดในมนุษย์เพื่อสืบสานต่อก็ไม่ได้ต้อง
ไปเสวยกรรมหนักอีกด้วย แต่หากกรรมนั้นเบาบางก็จะได้บังเกิดในมนุษย์แต่ต้องอยู่ที่ว่า
ในดินแดนสรวงสวรรค์นั้นจะหมกหมุ่นในกามารมณ์มากน้อยเท่าใด จึงได้มาเกิดในดิน
แดนแห่งนี้ ยกเว้นผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ถึงเวลาจะได้ตรัสรู้
ธรรมอันวิเศษสั่งสอนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ก่อกรรมทำชั่วไว้
หากกรรมนั้นหนักเมื่อเสวยบุญที่มีมากกว่าหมดแล้ว
อาศัยกรรมนั้นปรุงแต่งก็จะเลยมนุษย์โลก อันเป็นรอยต่อมิติตรงกลางอันน้อยนิดนี้
ลงไปยังดินแดนนรกภูมิชดใช้กรรมก่อน ถึงจะมาเกิดในมนุษย์ภูมิได้ ด้วยเหตุที่อาณาเขต
มนุษย์ภูมินั้นมีน้อยมากอยู่กึ่งกลางภพทั้งสองจึงต้องเลยลงไปตามผลแห่งกรรมนั่นเอง
ฉนั้นดินแดนแห่งมนุษย์ภูมิจึงเป็นดินแดนที่ยากที่สุดในการมาบังเกิด มักจะเป็นทาง
ซึ่งผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ชั้นสวรรค์จุติแล้วผลกรรมชั่วมากก็จะเลยไปเสีย ส่วนนรกภูมิ
เมื่อสร้างกรรมดีไว้รองจากกรรมชั่วก็ต้องไปเสวยกรรมดีก็จะเลยไปอีกเช่นเดียวกัน
คนที่จะมาเกิดในดินแดนนี้ต้องพอดิบพอดีเท่านั้นจ๊ะ แม่น้องนางทั้งสอง
ชายหนุ่มสาธายายให้แม่นางอัปสรฟัง
อ้อๆๆอย่างนี้นี่เองเสด็จพ่อถึงมักจะกล่าวให้ฟังเสมอๆว่า จงพยายามสร้างกรรมดีไว้
ให้มากๆอย่าไปหลงใหลในสิ่งอันเป็นมายาทั้งสิ้น คงจะด้วยเหตุนี้นี่เองแหละ
แม่นางรัตนาวดีอัปสรเอ่ยขึ้น
พระองค์ท่านตรัสไว้ไม่ผิดหรอกแม่น้องหญิง เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็คิดใคร่จะเอ่ยอีก
หน่อยนะน้อง
อะไรยังมีเพิ่มอีกหรือพี่ น้องทั้งสองกำลังจะคอยรับฟังอยู่
น้องรู้ไหมว่าอันการเป็นมนุษย์นี้นั้นประกอบด้วยธาตุที่สร้างพลังงานขึ้นทั้งสิ้นการจุติ
ก็ดีการบังเกิดก็ดีนั้น น้องพี่รู้อยู่แล้วว่าเป็นกรรมเป็นตัวเกิดขึ้น
แต่การเกิดนั้นและการดับนั้นก็มีปัจจัยเหมือนกันนะ คือว่า น้องคงทราบว่า ขันธ์ห้า
อยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่เป็นพลังงานทั้งสิ้น
แต่ทำไมพระพุทธองค์ท่านจึงมักจะตรัสกล่าวถึงการปรุงแต่งของกรรมมาก ด้วยอันใด
ไม่ทราบหรอกจ้าพี่ พี่ลองอธิบายให้ฟังหน่อยซิจ๊ะ
อันมนุษย์นี้ประกอบด้วยขันธ์ห้าเป็นประกายกำเนิด คือรูปนาม รูปนั้นประกอบด้วยธาตุ
ต่างๆ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณและอากาสเป็นตัวคอยช่วยเหลือไว้
จึงเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา แต่การจะเกิดเป็นรูปร่างสวยงาม ขี่เหร่ ยากจนหรือร่ำรวยนั้น
ก็ด้วยการปรุงแต่งผลกรรมทั้งหลายทั้งสิ้น
ฉะนั้นการปรุงแต่งจึงสำคัญมากไม่ว่าจะไปบังเกิดในภพใดๆก็ตามทั้งสามภพนี้
ก็อาศัยการปรุงแต่งนี้แหละเป็นปัจจัยในการสร้างถิ่นกำเนิดของวิญญาณทั้งหลาย
ส่วนนามนั้นเป็นสิ่งสมมุติที่เรียกกันมิให้ผิดตัวกันเป็นนามธรรมหารูปร่างใดไม่
แล้วก็มีถึงเวทนาคือการเสวยอารมณ์ต่างๆของมนุษย์เรา คือ รัก เกลียด โกรธ อาฆาต
พยาบาทสู่การจองเวรต่อกัน และในทางตรงกันข้ามหรือการวางเฉย
ไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น คล้ายๆกับ อุเบกขานั่นแหละน้อง
แล้วหากเป็นมนุษย์นั้นไม่มีความจำก็เปรียบประดุจดังท่อนไม้ เขาเรียกว่า สัญญา
คือการจำได้ หมายรู้สิ่งต่างๆไว้ แล้วมาถึงการปรุงแต่งสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามกรรม
ที่ปรุงแต่งอารมณ์จิตที่ไปประสบพบเห็นมาไว้ เรียกว่า สังขาร ไม่ใช่สังขารทั้งหมด
ของรูปร่างนั้น ที่คนเรามักเรียกหากันจ้า มีหน้าที่สำหรับปรุงแต่งกรรมต่างๆนั้น
แล้วจึงจะมาถึงวิญญาณเป็นที่อาศัยของจิต เจตสิกและใจที่เราเรียกกันว่าวิญญาณ
เข้ารวมตัวกันซึ่งก็เป็นธาตุพลังงานชนิดหนึ่งเหมือนกัน
จิตนั้นจะมีหน้าที่เสาะแสวงหาสิ่งต่างๆแต่ไม่จำ ต้องอาศัยเจตสิกที่จะคอยเป็น
สิ่งช่วยความจำของจิตไว้แล้วส่งไปที่ใจ อันใจเรานี้เปรียบเสมือน
ดังคลังที่จะคอยเก็บรวบรวมสิ่งที่จิตได้เสาะแสวงหามานั่นเองหรือ
ที่เราเรียกกันว่า สมอง ของมวลมนุษย์เรา
ทั้งจิต เจตสิก และใจนั่นก็คือวิญญาณนั่นเอง เวลาดับไปแล้วสิ่งที่จะตามไปนั้นมี
แค่สองอย่างคือ วิญญาณและสังขาร เท่านั้นจ้า สองสิ่งนี้จะแนบคู่กันไปเพื่อไปปรุง
แต่งกรรมนั้นๆนั่นเอง เพื่อไปสู่ยังภพภูมิต่างๆไม่ว่าในภพภูมินั้นๆ
อ้าวแล้วทำไมคนเราบางคนเห็นกล่าวไว้ว่า ทำไมระลึกชาติก่อนมาเกิดได้ล่ะพี่
หมายถึงอย่างไรจ๊ะพี่????.....................
* กิ่งโศก *