ภายหลังที่ชายหนุ่มสั่งงานแก่เจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งสนทนากับแม่นางอัปสารรัตนาวดีและอ้อยวิลาวัย์เอ่ย ถึงเรื่องของสาวชบาในขณะนั้นอยู่อย่างเพลิดเพลิน แม่นางรัตนาวดีพลันเอ่ยขึ้นว่า พี่โชติ...รัตน์ว่าเดี๋ยวนี้น้องได้พาสาวชบาไปท่องเที่ยว ยังดินแดนสวรรค์ชั้นต่างๆมานอกจากชั้นจาตุม ไปถึงชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นสถานที่บรรดาเหล่าเทพเทวัญและเหล่า นางอัปสรต่างสนุกสนานกัน อันเป็นบรมแดนสถานของความสุขทั้งมวล มากกว่าดินแดนอื่นๆในสวรรค์ทุกๆชั้นมาจ๊ะ และปล่อยให้ไปเอง แต่น้องทั้งสองก็คอยเฝ้าติดตามดูห่างๆไว้ เกรงว่าจะบังเกิดความลุ่มหลง จนลืมกาลแห่งเวลาของมิติไปจ้า และสิ่งคิดไว้ก็จริงด้วย ทำให้แม่สาวชบาถึงกลับหลงใหลเกือบจะลืมกลับร่างจ๊ะ เพลิดเพลินไปกับเหล่าสาวสวรรค์ด้วย รัตน์เองนั้นต้องการทดลองจิต ของนางว่าหากเจอสวรรค์ชั้นนี้แล้ว ภายในจิตของชบา จะเป็นประการใด จนเห็นไม่ได้การจึงต้องให้น้องอ้อยรีบไป ดึงร่างกายทิพย์กลับมานั่นแหละ นางถึงจะคลายความลุ่มหลงไปได้ ซึ่งพี่เองก็รู้ด้วยเคยไปมาแล้วว่า อันสถานที่นี้เป็นสวรรค์ที่ล้วนแล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์สนุกสนาน ใครแม้นได้ไปมักจะติดในดินแดนนี้ ด้วยในสวรรค์ทุกๆชั้นนั้นหามีสวรรค์ชั้นใดจะมาเทียบไม่ได้หรอก จึงได้กำชับแม่นางชบาว่าอย่าไปให้มากนัก พี่จะเห็นเป็นประการใดหรือไม่จ๊ะ???... จริงซิพี่ อ้อยเองครั้งแรกที่พี่รัตน์พาไปนั้นก็เหมือนกับน้องชบานั่นแหละจ้า ด้วยยังอยู่ในขั้น สกทาคามีอยู่ ครั้นเจริญผ่านขั้นนี้ไปได้ด้วยการฝึกฝนต่อจนพอมา ฝึกปรือสมาธิจนถึงขั้นอนาคามีได้นั่นแหละถึงจะทำใจได้ไม่ติดในสิ่งนี้จ้า ใช่แล้วน้องทั้งสองอันดินแดนแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นดินแดน แห่งโลกียะทั้งสิ้นเป็นดินแดนแห่งบรมสุขของสวรรค์ทุกๆชั้น หากใครก็ตามหลงเข้าไปยากที่จะกลับออกมาได้จ๊ะ ด้วยเป็นที่สำราญทั้งสิ้นยกเว้นแต่สองสถานที่คือศาลาสุธรรมา อันเป็นที่ใช้ในการประชุมของเหล่าทวยเทพยดาและสูงถึงชั้นพรหม ทุกวันพระนั้นท่านองค์ท้าวสนังกุมารพรหม ท่านจะลงมาเทสก์สั่งสอนให้แก่บรรดาทวยเทพยดาและเหล่านางอัปสร ถึงธรรมะต่างๆให้ฟังด้วยท่านท้าวสนังกุมารพรหมนี้ ท่านสำเร็จบรรลุถึงขั้นทางแห่งพระอรหัตผลแล้วแต่ท่านยัง เกิดความเมตตาสงสารต่อเหล่าเทพยดาที่มัวแต่เสวยสุขในโลกียะอยู่ จึงไม่ไปสู่ยังพระอรหัตผล อีกสถานที่หนึ่งคือพระเจดีย์จุฬามณีเกตุแก้วอันเป็นที่ บรรจุพระเขี้ยวแก้วขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับ อีกเจดีย์หนึ่งที่บรรจุพระโมลีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปราศจาก ความสุขเป็นที่สักการะของเหล่าทวยเทพยดาซึ่งเป็นดินแดนหวงห้ามไว้จ๊ะ จึงปราศจากการละเล่นต่างๆ ส่วนใหญ่ชาวดาวดึงส์มักจะไปหาความสำเริงสำราญในที่สระสุนันทา และสวนสุชาดากันทั้งสิ้นสระนั้นรายล้อมไปด้วยหินอันวิจิตรพิศดาร ปูรอบสระลงไปในสระด้วย ส่วนสวนนั้นก็ล้วนด้วย บุปผานานาพันธุ์อันส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วบริเวณ ทั้งผลไม้ทิพย์นาๆประการ เหตุใดจะไม่ให้น้องชบาลุ่มหลง จนลืมกาลเวลาไปได้เล่าน้อง นั่นซิซึ่งน้องเองก็ยังแค่ไปได้ด้วยอำนาจของฌานสมาธิเท่านั้น อีกประการหนึ่งนั้นน้องยังอยู่แค่ในชั้นจาตุมเท่านั้นเอง ที่ไปได้ก็ด้วย อาศัยเป็นบุตรีของท้าวมหาราชนั่นเองจ๊ะ หากไม่ได้ ไปผุดในหน้าตักของเสด็จพ่อแล้วก็คงจะไม่มีโอกาสได้ไปชมหรอก นอกจากบุตรของเสด็จพ่อ คืออินทกะเท่านั้นส่วนบรรดาบริวารทั้งหลายไม่มีโอกาสไปเห็น แต่น้องดีกว่าพวกพี่ๆคืออินทกะ ก็ด้วยอำนาจฌานที่พี่ได้อบรมเพิ่มเติมจนไปถึงขั้นอนาคามี จึงสามาระไปได้ทุกๆชั้นฟ้าจ๊ะ แต่ก็ไม่ได้ไปเลย ด้วยกลัวกาลแห่งมิติเวลานั่นเอง แม่นางอัปสารเอ่ยกล่าวแก่ชายหนุ่มให้ฟัง อันชั้นยามาก็ดี ชั้น ดุสิตก็ดี อันชั้นดุสิตนี้มีแต่ความร่มเย็น สงบสุขเท่านั้นถึงมาดแม้นจะเป็นแดนแห่งโลกียะด้วยก็ตาม ด้วยบุญญาธิการในผลแห่งบารมีของท่านทั้งหลายจึงระงับเสีย เป็นดินแดนแห่งเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงมีความสุข แค่พอเพียงแล้วก็ล้วนด้วยสร้างสมาธิเพื่อเลื่อนชั้นขึ้นไปสู่ยังพรหมโลก และบางองค์ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตัดซึ่งกิเลสเข้าสู่แดนนิพพานไป บางองค์ก็ต้องลงมายังแดนมนุษย์เพื่อสร้างผลบุญต่อเพิ่มผลบารมีทานให้มากๆ ยกเว้นผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะต้องเสด็จลงมายังดินแดนมนุษย์เพื่อจะได้เผยแผ่พระธรรมปลด เปลื้องมวลมนุษย์ให้พ้นจากกิเลสน้อยใหญ่จ๊ะ แดนนี้จึงปราศจากกิเสลกามา ส่วนชั้นนิมมานวดีก็ดีชั้นปรนิมมิตวสวัสดีก็ตาม ยังหมกหมุ่นกับโลกียะกามาอยู่แต่หากมีความต้องการก็จะเนรมิตขึ้นมา แล้วเสวยความสุขกามา ครั้นสมปราถนาแล้วร่างนั้นก็จะอันตรธานหายไป อันชั้นนี้เป็นชั้นจำพวกพรหมเหมือนกันอันมี ท่านท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช หรืออีกชื่อหนึงว่าวสวัตดี เป็นหัวหน้าชั้นนี้ ส่วนชั้นพรหม นั้นก็ยังแบ่งออกเป็นสองดินแดนชั้นพรหม ไม่มีรูปกับชั้นพรหมมีรูป ชั้นพรหมมีรูปคือแดนของเทพบุตรมาร เป็นเทพบุตรที่คอยรบกวนกีดกั้นผู้ที่จะทำความดีได้แก่ ตัวการที่ขัดขวางไม่ได้บรรลุความดี มี ๕ อย่างคือ ๑. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๒. ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์ ๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขารที่ปรุงแต่งกรรม ๔. เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร ๕. มัจจุมาร มารคือความตายกับเทพบุตรพรหม เทพบุตรมารนั้นเป็นที่ อยู่ของภายใต้การปกครองของท่านพญามารวสวัตตีมาร ส่วนอีกดินแดนหนึ่งติดกับดินแดนมาร เป็นชั้นพรหมที่สร้างสมแต่ความดีที่สร้างสะสมมาคอยช่วยเหลือ ผู้ที่ประกอบความดี มีท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นหัวหน้า ในชั้นนี้มีท่านท้าวสนังกุมารพรหม ปรเมศพรหม ท่านท้าวมหาพรหมธาดา ชินะปัญชะระพรหมฯลฯล้วนแล้ว แต่มีหน้าที่คอยช่วยเหลือมนุษย์ เทวดา ให้ประกอบความดีแต่มีอิทธิฤทธิ์น้อยกว่าพวกมารพรหม ด้วยอำนาจของความพยาบาทอาฆาตในสิ่งที่คนหรือเทวบุตรเทพอัปสร จะประกอบซึ่งความดีทั้งหลาย เข้าครอบงำจิตใจให้หลงผิดเป็นชอบ แล้วแบ่งแยกปกครองแบ่งแยกดินแดนกัน มิกล้าล้ำแดนกันฤทธานุภาพ ก็แตกต่างกันไม่ได้ จึงส่งผลให้ความชั่วมีฤทธานุภาพ มากกว่าความดีที่สร้างได้ยาก หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเทวบุตรพรหมนั่นเอง ทั้งหมดของพรหมเหล่านี้จัดอยู่ในจำพวก พรหมมีรูปทั้งสิ้น อันพรหมไม่มีรูปก่อนจะดับจิตเจริญสมาธิจนถึงแก่ความตายแล้ว อธิษฐานไม่ให้มีรูปเกิดขึ้น ด้วยเกิดอาการเบื่อหน่ายในเบญจขันธ์ห้า ที่ประกอบด้วยอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน จึงได้มาอยู่ในดินแดนนี้มีลักษณะเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า วูบๆวาบๆหายไปแต่ไม่ปรากฏรูปดังเทวบุตรพรหมทั้ง หลาย แต่มีฤทธานุภาพมากกว่าพรหมมีรูปมากมายนัก และมีอายุยืนนานที่สุดของพรหมทั้งหมดด้วย จนพรหมเหล่านี้ถึงกับลืมอายุขัยของตนเองไป ลืมวันเวลาแห่งมิติสืบเนื่องจากไม่รู้กำหนดอายุขัยของตน อันสวรรค์ชั้นที่ ๖ นี้ก็ถือเป็นชั้นพรหมด้วยเหมือนกันต้องการ สิ่งใดก็จะเนรมิตสิ่งนั้นมาใช้สอยเองต่างๆกับชั้นที่ต่ำลงมาเพียงแค่นึกเท่านั้น สิ่งทิพย์ก็จะเกิดขึ้นทันทีด้วยผลแห่งการให้ทานมากๆนั่นเอง ส่วนพรหมนั้นการให้ทานนั้นน้อยลงแต่มากด้วยฌานสมาบัติ จึงต้องเนรมิตของใช้ที่ต้องการขึ้นเอง แต่ก็จัดอยู่ในชั้นที่เหนือกว่าชั้นทั้งห้าได้ อันชั้นเทวบุตรพรหมนั้น สามารถจะบรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหัตผลได้เข้าสู่นิพพานได้ ส่วนเทวบุตรมารนั้นไม่สามารถจะบรรลุธรรมวิเศษได้จึงจำเป็น ต้องลงมาเกิดในดินแดนมนุษย์เริ่มต้นสร้างกรรมดีต่อไป ชายหนุ่มเล่าให้แก่แม่นางอัปสรทั้งสองฟังถึงแต่ละชั้น ของสรวงสวรรค์ ทั้งยังเอ่ยบอกว่า ได้เคยไปท่องเที่ยวมาแล้วเกือบๆทุกๆชั้นแล้ว พลางหันไปยิ้มให้แม่นางทั้งสองซึ่งนั่งคอยฟังด้วย อาการอันสงบ เขาคิดว่านางคงจะสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงสามารถ รู้ในสิ่งที่เหนือกว่านางไปได้ด้วย เขามีเพียงแค่ร่างกายมนุษย์เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะสามารถถอดกายทิพย์ได้ แต่อำนาจของมิติกาลนั้นย่อมจะต้องกำหนดไว้ แต่ที่เขาเล่ามานั้นทำไม ถึงได้ข้ามมิติกาลและสามารถไปท่องเที่ยวในสิ่งที่ไม่หล่อนเอง ยังไม่สามารถไปได้เลยกระมัง ชายหนุ่มคิดรำพึง ทำให้แม่นางอัปสรครั้นได้รับฟังชายหนุ่มอธิบายให้ฟัง ก็เกิดความปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก พลางเอ่ยขึ้นว่า แล้วพี่ในโลกนี้ทำงานด้านนี้จะไม่มีบาปติดตัวไปด้วยเลยหรือ ทำให้เกิดความสงสัย อันหน้าที่การงานของพี่นั้นจะเกี่ยวข้องกับทางบาปก็จริง อยู่การที่คนเราจะทำบาปนั้นให้ เกิดเป็นรูปธรรมนามธรรมได้นั้นต้องพร้อมซึ้งเหตุสามประการคือ หนึ่งต้องพร้อมด้วยใจหรือ เจตนาของผู้นั้น สองด้วยกายที่จะลงมือทำ สามวาจาที่ เมื่อทั้งสามอย่างนี้ รวมกันด้วยความโทสะ โมหะ โลภะ พยาบาทแล้วอันก่อด้วยตัณหา เป็นตัวบัญชา นั่นแหละถึงจะครบถ้วนแห่งการทำบาป สำเร็จลงครบถ้วนบริบูรณ์ ส่วนพี่เองนั้นแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ในทางนี้ก็จริงแต่ใจพี่มิได้เกิด ความพยาบาทอาฆาตมาดร้ายอัน ประกอบไปด้วยตัณหา ทำไปเพื่อปกป้องคนดีต้องหลงผิดทาง มิให้คนชั่วต้องประสบผลสำเร็จจึงอยู่เหนือกฏแห่งกรรมไปจ้า................ * กิ่งโศก *
ด้วยครูแก้ว ประเสริฐ ไม่สะดวกในบางเรื่องผมเลยอาสานำงานครู แก้ว เพื่อลงเรื่อง อทิสมานกาย ต่อโดยนำมาจากครูแก้ว ซึ่งอาจช้าเร็ว ขึ้นอยู่กับครูแก้วนะครับ ใครสนใจติดตามแต่แรก เรียนเชิญนะครับ ค่ำคืนข้างขึ้นเพ็ญ ๑๓ ค่ำ ท้องฟ้าสว่างนวลด้วยแสงจันทร์ สาดส่องสว่างจ้า บริเวณเทือกเขาตะเกียบ อันเป็นแนวเขาเชื่อมต่อ กับขุนเขาทางด้านพม่าและลาวนั้น ล้วนอุดมไปด้วยไม้นานาพันธุ์ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงเคียงคู่กับเขาก้อนเมฆ ยอดสูงติดๆกันมองแต่ไกล คล้ายก้านไม้ตะหง่านเคียงคู่อยู่ในแวดล้อมของขุนเขาอีกมากมาย ยามแลเห็นในที่ไกลๆ ที่สูงที่สุดในแนวขุนเขาแถบนั้น คล้ายเป็นตะเกียบคู่หนึ่ง จึงถูกชาวบ้านเรียกกันว่า เขาตะเกียบ ที่สูงเสียบฟ้าอยู่ ตอนนี้กระทบกับแสงจันทร์แลดูขาวโพลนไปทั่ว ในบริเวณใต้เทือกเขามีถ้ำเล็กๆบ้างใหญ่บ้างสลับซับซ้อนกัน ไปๆมาๆ หลายๆถ้ำ แต่ละปากถ้ำนั้นกว้างใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีถ้ำหนึ่งค่อนข้างใหญ่ภายในกว้างขวางใช้เป็นที่เก็บของอาศัยอยู่ได้ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของขุนเขาเทียบลดหลั่นกันไปเป็นทางกว้างวกวนไป มารายล้อมเทือกเขาใหญ่อีกทีหนึ่ง ปากถ้ำนั้นมีชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งคอย ดูแลรักษาเฝ้าทางเข้าออกไว้ ภายในเป็นที่ใช้เก็บของยาเสพย์ติดมากมาย ซุกซ่อนไว้ในการหลบหนีซ่อนไว้ของเสี่ยเม้ง โดยหัวหน้ามันชื่อมุ้ยส่งมา ทุกๆคนล้วนแล้วแต่ถือปืนทันสมัยเฝ้าดูแลอย่าเข้มงวดกวดขัน เปลี่ยวสงัด ต่างนั่งเฝ้ายังปากถ้ำปืนนั้นวางบนหน้านั่งคอยเฝ้าระวังดูแลอยู่ บนปากถ้ำนั้นสามารถมอง ไปรอบๆบริเวณได้อย่างชัดเจนนัก ด้วยเป็นที่สูง มีต้นไม้สูงใหญ่และเล็กๆสลับไปๆมาๆอยู่ บ้างอยู่บนคาไม้มีดอกกล้วยไม้ ต้นเฟรินที่กลางวันพวกมันมองเห็นอยู่นั้น ออกดอกสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมลอยไปตามลมไปไกลๆ มีธารน้ำไหลจากเขาน้ำใสนัก มองดูแลเป็นทมึนตะคุ่มๆ ยามลมพัดไหวโอนไปๆมาน่าสะพรึ่งในยามค่ำคืน เดือนมืดมิดน่ากลัวคลับคล้ายอสูรกายเรียงรายไปรอบๆบริเวณหน้าถ้ำ แสงจันทร์ทอดสว่างไสวบริเวณที่เป็นลานกว้างไม่มากนักนอกนั้นล้วนต้นไม้ จนบรรดาสมุนที่เฝ้าดูต่างมิกล้าหันไปมองนอกจากนั่งคุยกันอยู่ต่างก็หยุดคุย สลับไปมาบ้างก็นั่งตบยุงที่มาตอมกินเลือด แต่มียากันยุงถูกจัดวางไว้ใกล้ๆตัวไว้ ด้วยการเฝ้านี้ไม่มีอะไรแต่ก็ต้องห่วงกังวลมากนัก ถึงแม้จะมีการสลับเปลี่ยนก็ตาม และมีอาหารการกินเพียบพร้อมทั้งเหล้ายาปลาปิ้งต่างๆกันก็ตามทีด้วยเงินนี้ดี พวกมันคิดว่าไม่มีอันใดน่าเสี่ยงภัยมากนัก ซ้ำยังสุขสบายอีกไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย กว่าการที่จะไปนำของนี้มาเสียอีก ด้านทางเดินก็อุดมไปด้วยทากปลิงคอยป้องกัน ไว้ให้ด้วยอีกทางหนึ่ง ทำให้ทุกๆคนที่มาเฝ้านั้นต่างสบายใจไม่คำนึงใดวิตกแต่อย่างใด ครั้นเมื่อพระจันทร์หลบเข้ายังก้อนเมฆ ความมืดก็เข้ามาแทนที เสียงสัตว์กลางคืน ที่ส่งเสียงระงมไปทั่วนั้น บัดนี้ต่างเงียบไม่ส่งเสียงร้องเหมือนจะแจ้งเหตุขึ้นบางอย่าง ทันใดก็เกิดลมกรรโชกมาอย่างรุนขึ้นอย่างกระทันหัน ต้นไม้ต่างเอนลู่แกว่งไกวไปมา ด้วยไม่มีทีท่าว่าจะเกิดลมขึ้น ถึงจะมีก็แค่เพียงสายลมแผ่วเบาๆมาต้องกายเท่านั้น เพราะอยู่ในช่วงเป็นฤดูหนาวย่างเข้ามาเนิ่นนานแล้ว ผสมผสานกับอากาศเย็นของเขา บรรดาชายที่เฝ้าต่างหันหน้ามองกันไปๆมาๆ ในสิ่งที่เกิดขึ้นยามที่ทุกคนได้ยิน เสียงร้องกรี๊ดๆดังแว่วเข้ามา และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นสำเนียงที่ออกจะโหยหวน บรรดาต้นไม้ต่างพากันสะบัดก้านกิ่งไปมาแทบจะหัก บ้างก็เอนไหวลู่ไปๆมาๆ บรรดาต้นไม้กิ่งก้านสั่นไปทั่วแกว่งไกวจนดูเหมือนจะหักเสียให้ได้ เสียงร้องอย่างโหยหวนดังไปทั่วทิศทางรอบๆทางของหน้าถ้ำที่พวกมันเฝ้าดูแลอยู่ พวกเหล่าชายฉกรรจ์ในถ้ำต่างออกมาสมทบกับพวกที่เฝ้าหน้าถ้ำอยู่ เมื่อได้ยินเสียง แล้วหันไปมอง ไปยังบริเวณลานกว้างข้างหน้า ก็พากันตลึงพรึงเพริศไปตามๆกัน ด้วยเสียงที่ดังแว่วสลับไปมา พยายามค้นหายังต้นเสียงก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากความมืด แต่เสียงนั้นก็ยังร้องคร่ำครวญโหยหวนสลับกันไปๆมาๆอยู่ ไม่ยอมขาดหายไป แล้วทุกๆคนก็ต้องตลึงพรึงเพริศเมื่อแลเห็นเหล่าต้นไม้ที่มันคล้ายๆจะใกล้เข้ามา ทุกๆคนเห็นสิ่งที่ยืนเป็นเหล่าต้นนั้น ที่ต่างพากันเคลื่อนไหวเองได้อย่างแปลกใจนัก ค่อยๆเข้ามาพวกมันทางปากถ้ำเขาที่มันอยู่ ร่างค่อยๆคืบเข้ามาอย่างเชื่องช้าที่ละน้อยๆ เสียงร้องเหมือนคนแก่มากๆและเสียงเด็กๆผู้หญิงและชายสลับไปมา พร้อมกับ ต้นไม้มีบางต้นกลับสูงยึดขึ้นไปในอากาศอีกด้วย เมื่อก่อนมันเห็นแค่ธรรมดาเท่านั้น บัดนี้ต้นไม้ที่แกว่งไกวนั้นกลับพลันสูงขึ้นชะลูดเองได้อย่างน่าแปลกใจนัก เสียงนั้นล้วนแล้วแต่ดังมาจากต้นไม้เหล่านี้ทั้งเล็กๆใหญ่ ฉับพลันต้นไม้เหล่านี้ที่ กำลังเคลื่อนเข้ามาก็แปรสภาพเปลี่ยนไปคล้ายๆรูปร่างของคนทั้งสูงใหญ่ เตี้ย เล็ก สลับกันไปมา ปากร้องอย่างโหยหวน กรี๊ดๆๆๆเฮ่อะๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ หวี๊ดๆๆๆ สายลมที่พัดอย่างรุนแรง ล้วนแล้วเป็นเสียงที่เยือกเย็นยิ่งนัก ยิ่งเสียงทำให้น่าสะพึงกลัว บ้างก็กระโชกโฮกฮากบ้างก็แผ่วเบา ล่องลอยมาพร้อมกับสายลม ผ่านเข้ามายังปากถ้ำ ก้องไปทั่วบริเวณที่ยังมืดมิดอยู่ เสียงแผ่กระจายออกไปทั่วๆทิศทางเหล่านี้ เสียงนั้นเข้ามายังกลุ่มที่คอยเฝ้าทันที มันทุกๆคนต่างตกตลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นกระทัน อย่างไม่คาดฝัน เสียงเหล่านั้นดังขึ้นแล้วต้นไม้เหล่านั้น ที่มันแลเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ที่แปรสภาพเป็นร่างคนสูงบ้าง ผอมบ้าง ใหญ่บ้าง ส่วนพุ่มนั้นกลายเป็นเด็กๆ ต่างเข้ามายังบริเวณหน้าถ้ำเรียงรายไปรอบๆบริเวณนั้นเต็มไปหมด เสมือนกวักมือเรียก พวกเจ้ามาเถอะมาๆๆๆ มาเป็นพวกข้าช่วยกันรักษาป่าบริเวณนี้ด้วยกันเถอะนะ จะไปไหนก็สบายด้วยล่ะ พวกข้าเห็นเจ้าแล้วก็ให้เกิดความรักใครเอ็นดูอยากจะได้ คนเก่งๆอย่างพวกเจ้ามาเป็นพวกข้าด้วยล่ะ เสียงแผ่วยานเย็นกล่างล่องลอยมาตาม สายลม ทำให้บรรดาพวกที่เฝ้าหน้าปากถ้ำถึงกับตัวสั่นงันงกๆไปตามๆกัน ทุกๆคนต้องพากันร้องลั่นทันที ผีๆๆๆว๊ะผีๆๆๆ แล้วทั้งหมดก็รีบถอยหลังพา กันวิ่งไปภายในถ้ำทันที่ ครั้นถึงที่มันใช้พักอาศัยอยู่ต่างก็รีบมุดเข้าไปยังที่นอนใคร ที่นอนมันเอาผ้าคลุมหัวตัวสั่นกันทั้งหมดร้องส่งเสียง ฮือๆๆๆแทบทุกๆคน ทันใดร่างชายสี่ห้าคนก็ถลันเข้ามาในถ้ำพร้อมด้วยอุปกรณ์บางอย่าง หายเข้าไปยัง หลีบถ้ำที่ใช้เก็บบรรดายาเสพย์ติด แล้วจัดการวางระเบิดไว้ แล้วลากหีบบรรจุพวก ของผิดกฏหมาย ให้ห่างไปจากที่เดิมไปยังอีกหลีบของถ้ำอีกที่หลังทันที ครั้นทำเรียบร้อยแล้วก็ออกมายังปากถ้ำ ซึ่งมีชายยืนเฝ้าดูพวกที่ต่างนอนคลุมโปง อยู่ เมื่อชายที่ทำงานทั้งสี่คนทำงานเรียบร้อยแล้วมากระซิบบอก ร่างนั้นก็ค่อยๆเดินออก จากถ้ำหายลับไปทันที เหตุการณ์ทั้งหมดก็กลับคืนสู่ปกติ เสียงร้องทั้งหลายก็เงียบหายไป สัตว์หากิน กลางคืนก็เริ่มส่งเสียงระงม ท้องฟ้าพระจันทร์ก็เริ่มออกจากกลุ่มเมฆส่งแสงนวล กระจายไปยังหมู่ไม้ เสมือนไม่มีอะไรจะเกิดขึ้น แต่พวกที่เฝ้าถ้ำอยู่ก็ยังคลุมโปง ต่างส่งเสียงสวดมนต์กันให้ระงมไปทั่ว ส่วนทางด้านขุนเขาภูกลอย ทางทิศตะวันตก ขุนเขานางนอนทางทิศใต้ และขุนเขาเทียมเมฆทางทิศตะวันออก นั้นก็ประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกันในระยะ เวลาไล่เลี่ยกัน จะแตกต่างกันก็ด้วยสถานที่ต่างๆกันเท่านั้น ที่ทุกๆคนประสบพบ ครั้นเวลารุ่งสางของวันใหม่พวกที่เฝ้าต่างตื่นขึ้นมามันหลับใหลไปเมื่อไหร่ ไม่รู้ ทุกๆคนต่างล้วนรีบออกมา มองยังเบื้องหน้าถ้ำทันที ก็เห็นสภาพสิ่งแวดล้อม เหมือนเดิมไม่มีอะไรผิดปกติสักนิดเดียว ต่างพากันซักถามกันถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ทุกๆคนก็บอกว่าเห็นได้ยินเสียงเหมือนกันหมด ดีที่ได้เข้ามาคลุมโปงและสวดมนต์ ทำให้หลับไปโดยไม่รู้สึกตัว หัวหน้ามันก็นำลูกน้องบางคนไปตรวจของก็พบว่า ยังอยู่ครบปกติ ก็เดินออกมาบอกเพื่อนๆมันให้รู้ว่าของนั้นยังอยู่ครบถ้วน * แก้วประเสริฐ. * (แม้นจะไม่ได้เข้ามาแต่ยังคิดถึงทุกๆคนที่คอยติดตามเรื่องนี้จึงฝากคนมาส่งให้ จะน้อยกว่าเดิมก็ด้วยส่งทางเมล์นั้นไม่สามารถทำได้มากนะ รักทุกๆคนเสมอ)
........ คืนความสวยงามให้กับกรุงเทพฯ ... ....๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ ถูกกำหนดเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก วัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนบนผืนโลกใบนี้ ให้หวนคิดแลปฏิบัติ ต่อโลกใบนี้ ด้วยความกรุณา หุหุ กรุณาแบบไหนหรือ ? เมื่อวันที่ ๑ ที่ผ่านมา ที่บริษัทฯ เล็กๆ ที่กิ่งโศกทำงาน มีกิจกรรม รักษ์โลก โดยการ ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อ สภาพแวดล้อมรอบตัวเรา เช่น อากาศ ดิน น้ำ โดยกำหนดเป็นห้วข้อ แต่ละเรื่องไป ประจวบเหมาะ ที่คุณอัลมิตรา โพสกระทู้เชิญชวน ร่วมคืนความงาม ให้กรุงเทพ มหานคร ที่ท่านผู้ว่า กทม.ได้จัดขึ้น และเชิญชวน ให้ทุกๆคน มาร่วมปลูกต้นไม้ ณ บริเวณ ราชประสงค์ พื้นที่ ที่ครั้งหนึ่งเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดสำหรับคนไทย เพราะความต่างในความคิด ทำให้ก่อเกิด ภาพอันไม่ดีเหล่านั้น การจัดโครงการปลูกต้นไม้ ในครั้งนี้นั้น กิ่งโศก ไม่ได้มองว่าเป็นการตอกย้ำเหตุการณ์ที่มา แต่อย่างใด แต่เป็นการรณรงค์ ให้ผู้คน ได้ตระหนัก ภัยอันใหญ่หลวงคือ ภัยจากธรรมชาติ ที่เกิดจากการกระทำของน้ำมือมนุษย์ การปลูกต้นไม้ ปลูกป่า มันเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยชลอ ลดภัยจากธรรมชาติให้ช้าลง น้อยลง โลกร้อนจะได้เย็นลงมั่ง บนข้อความ..จากคุณอัลฯ ในกระทู้เชิญชวน " คำลงท้ายจากข้าพเจ้า :: ไม่ว่าใครจะนิยมชมชอบสีอะไร หรือมีความคิดแตกต่างอย่างไร ก็ไม่อาจเป็นเงื่อนไข ในการทำความดี ข้าพเจ้า : จะไปรอที่ The Head ให้สังเกตุ : ผู้หญิงสูงประมาณ 165 cm. ข้อสำคัญคือ ไม่อ้วน สวมเสื้อขาว กางเกงยีนส์ หมวกสีเทา สะพายย่ามสีน้ำตาล ............................................................................................ กิ่งโศก แอบนึก เอ ถ้าเช้านั้น เจอคนผอม สัก สามคน จะทักใครดี 555 หกนาฬิกา กำหนดการ นัดกันที่หน้าโรงแรมเอราวัณ กิ่งโศก กับคุณแก้วประภัสสร เดินไปสอดส่ายสายตา หาคน ที่ไม่ผอม บริเวณ ที่พระพรหม และถือโอกาส สักการะ ขอพรท่าน มองเท่าใด ก็ไม่มีคน ผอม..เจอแต่คนจ้ำม่ำ เช่นกิ่งโศก หุหุ จนคุณแก้วประภัสสร ต้องใช้ โทรโข่ง เอ๊ย ..โทรศัพท์ จึงทราบว่า ได้รวมตัวกันอยู่บริเวณหน้าเวที ที่เขาจัดงาน ตรงหน้าซากตึก ปรักหักพังเป็นแบล็คกราว เบื้องหลัง เช้านี้ โอ้โห ผู้คน ที่ส่วนมากสวมเสื้อสีขาวกันพรึบไปหมด โดยมากันแบบนัดหมาย .. สักพักคุณแก้วประภัสสรก็เจอ หัวหน้ากลุ่ม อิอิ( ถือโอกาสมอบให้เลย) เข้าไปทักทาย กิ่งโศกเจอะเจอแต่กลุ่ม สาวๆ ทั้งนั้นเลย คุณอัลฯ ได้แนะนำให้รู้จัก รวมทั้งพี่กุ้งหญิง ด้วย หุหุ ..ตกลงว่า กลุ่มบ้านกลอน รวมกะกลุ่มเพื่อนๆ ที่กิ่งโศก ไม่ทราบว่ามาจากไหนกันบ้าง(ไม่มีโอกาสถาม) จำนวนไม่ต่ำกว่า สิบคนจะได้ (บ้านกลอน น่าจะ สี่คน คุณอัลฯ พี่กุ้ง คุณแบม และ หนุ่มหุ่นทรมานใจสาวๆ คือกิ่งโศก 55 ) ตลอดจนบริเวณ หน้างานและ ริมถนน นับจาก แยกราชประสงค์ คือ 6 เส้นถนน ที่จะแยกกันไปปลูกต้นไม้ ที่เจ้าหน้าที่ เตรียมต้นไม้ ดิน ส่วนเรา ก็ เตรียม พลั่ว เสียม เล็กๆ ไว้ขุด พิธีการบนเวที ดำเนินโดยสองพิธีกร คือ คุณก้อง ปิยะ และ คุณ ได๋ ไดอาน่า เรียกว่าเข้าคู่กันเลยแหละ ผมว่า ในการรับส่งมุข ทำให้ผู้คนที่มารวมตัวกันเฮฮา แม้สายตาจะมองเลยไปที่ภาพตึกอันขัดแย้งกะอารมณ์ ที่ดำเกรียมด้วยไฟไหม้เบื้องหลังเวที.. และที่เป็นจุด ให้คน สนใจเป็นพิเศษมากกว่าใคร ๆ คือ เสธฯ ไก่อูมาด้วย เล่นเอาทีมผู้ว่าหมองไปเลยเพราะ มีแต่คนมารุมล้อมถ่ายรูป หุหุ คนดังๆ มากันเยอะ พวกอาหาร เครื่องดื่ม ตั้งอยู่เต็มไปหมด นับว่าเป็รความร่วมไม้ร่วมมือ ทั้งภาคเอกชน และรัฐ ระหว่างที่พิธีการบนเวลา เริ่มนั้น ข้างๆ หูกิ่งโศก มีเสียง คุยโขมงโฉงเฉง อันเต็มไปด้วยอารมณ์บ่จอย ..ขนาดมางาน ร่วมใจกันโดยไม่มีอามิสสินจ้างนะ... บุรุษนายหนึ่งถือมือถือแนบหู ...แหมๆ เด๋วฉันนะ จะไปด่ามันให้ยับเลย แหมมาทำแบบนี้ได้งัยยะ.. ใช่ๆ ทำงี้ได้ไง ตรู อุตส่าห์มาแต่เช้า มาเข้าแถวลงชื่อ เพื่อรับแจกเสื้อ แต่ ..แพร่งงง..ไปเอาแต่พวกมัง..เจ็บจ๊าย เจ็บใจ ฮึ่ม เออ ..ตรู จะไปด่ามัน ดูสิว่า มันจะทำหน้ายังไง ฮึ ตรู...ก็จะเข้าไปด่า มัง ใน เฟสบุ๊ค กิ่งโศก......?????????????? หุหุ 555 ก๊าก ๆๆ ( ในใจนะครับ อันนี้พี่กุ้งหญิง ช่วยรับรองหน่อย อิอิ) เรื่อง ของเรื่องคือ ใครที่ไปลงชื่อ 500 คนแรก จะได้รับเสื้อ จากทีมงานนะครับ แหม ท่านผู้จัด ไม่น่า ใช้ 500 เลยนะ เพราะ 500 นี่ มันถูกเอาไปใช้ในความหมายหนึ่งเสียแล้ว..น่าจะ 499 หรือ 501 ไปเลยเนาะ เลยมีข้อครหา นินทา แบบนี้แล.. กลุ่มกิ่งโศก เชื่อว่าไม่ได้ตั้งใจมารับเสื้อแน่ๆ (อิอิ) เพราะเรา มาด้วยใจ (เฮ้..ยืมคำคุณได๋ บนเวที ) แต่เรามาเพื่ออยากเห็นกรุงเทพ เข้าสู่สภาพปกติ และเพื่อปลูกสีเขียวประดับ ตามท้องถนน กิจจกรรมในครั้งนี้อย่างน้อย เป็นกิจกรรมที่สร้าง ปลุก กระตุ้น ความดีๆ ให้คืนมา กับภูมิทัศน์ และ จิตใจของผู้คน ส่วนจะเกิดอานิสงค์มากน้อยเท่าใด กิ่งโศกคงคาดการไม่ได้ .. หลังร่วมขับร้องเพลงชาติ ทุกคนก็ได้กระจายไปตามจุดต่างๆ ตามอัธยาศัย กลุ่มของพี่น้องบ้านกลอนเลือก มาที่ถนน ราชดำริ ....ความสุข ณ วันนั้น นั่นคือ การที่เราได้กระทำลงไปด้วยใจ แม้นว่ากิ่งโศก ไม่ใช่ชาวกทม. มาโดยกำเนิด แต่ก็ได้อาศัย เมืองนี้เป็นระยะ เวลานานเช่นกัน อยากทำอะไรๆ ให้กับ ..กรุงเทพ มหานครบ้าง นะครับ ..ใต้ภาพ ไร้คำบรรยาย เพราะถูกบรรยายด้วยภาพแล้ว พี่น้องบ้านกลอน และเพื่อนบ้านขอรับ ..อีกอย่างต้องขอบคูรเพื่อนๆ ที่เต็มไปด้วยไมตรีจิตรครั้งนี้ และต้องขออภัยด้วยที่ต้องกลับก่อนด้วยมีภาระกิจนะครับ..ทราบว่าคุณอัลฯ อยู่จนถึงเที่ยงเลย ขอคาระวะครับ ขออภัย ที่ไม่สามารถ คัดรูปมาทั้งหมดได้ และภาพ สวยๆ ที่อยากเอามาลง แต่เกรงใจ เหล่าบรรดา ดาราในกล้องของกิ่งโศกนะครับ อิอิ ๏ เพียงแรงแพงร่วมฟื้น-.........ฟูชุม ชนเฮย ช่วยละชะล้างสุม..........โศกทิ้ง ไล่หมอก,ลอกไหม้รุม.....มล้างลบ สิ้นนอ พรมจิตพิศแจ่มพริ้ง.....เพริศแพร้วรวมผสาน ๚ะ ๏ ภาพร้ายพ่ายราบเร้น.........ล่องหน เสริมแต่งแสงแต้มยล..........ระยิบยิ้ม ประดับปรับดื่นดล........วิจิตร ใจพร่างจิตพราวพริ้ม........ภาพสร้อยร้อยสรรค์ ๚ะ ๏ หนึ่งรวมนับร่วมคล้อง.....ต่อสาน ผนึกพนอจาร........แน่นแฟ้น สองสามสี่กี่บาน....เบ่งสู่ หนึ่งนอ จวบรุ่งจุ่งเลอแม้น......มั่นม้วนเกลียวกลม ๚ะ + กิ่งโศก+ ๖ มิ.ย.๕๓
ดูเหมือนจะเป็นความทรงจำที่ยาวนานมากแล้ว กับภาพและรสความรู้สึกในการไปชมภาพยนตร์ใน โรงหนัง ในอดีต ....โรงหนังในปัจจุบันนี้ ผิดกับสมัยก่อนลิบลับเลย...เมื่อก่อนโรงหนังจะตั้งอยู่แบบ โดดๆ ตึกอลังการณ์ ..มีป้ายชื่อโต ๆ เหมาะ พา คนรู้ใจไปชม..เพื่อความบันเทิงยิ่ง และบางแห่ง มีเรื่องควบ...ยาวเลย.. ไม่แน่ใจว่ายังคงมีอยู่หรือเปล่า ก็ไม่ทราบ.. ปัจจุบัน...โรงหนังช่างหรูหรากว่าเมื่อก่อนอีก มีชื่อฝรั่ง น่าสนใจแฝงแทรกคู่อยู่กับศูนย์การค้า..ดัง ๆ นี่คงเป็นกลยุทธ หนึ่งทางการตลาด ที่รวมอยู่ใน 4 P แน่ๆ ..เพราะผู้คนที่มาชอ็ป มาเที่ยวห้าง เมื่อเหนื่อย คงอยากพักหาความบรรเทิง..จึงมีโรงภาพยนต์ อยู่ทุกหัวระแหงของ ซุปเปอร์มาเกต..มีหลายห้อง ฉายพร้อม ไ กันหลาย เรื่อง ให้คนดู เลือกเสพ .. ย้อนไปเมื่อปี 2551 ประมาณเดือน สิงหาคม ไม่นานมานี้เอง .. ฮาโหลๆๆๆ ตา ว่างปะ มีเสียงโทรศัพท์ ดังขึ้นที่มือถือข้าพเจ้าฯ และยกมากดรับสาย ใคร ครับ ข้าพเจ้า ถามกลับไป อ้าว หมิว ไง ตาไม่ได้ดูเบอร์เหรอ หรือไม่ได้เมมไว้ นี่ เสียง ฉิวๆ ตอบกลับมา อ้อ ..ตาหยั่งเชิงไปก่อน เผื่อเป็นโจทย์ โทรมา ..จะได้เตรียมคำตอบไว้ ตอบโจทย์ ไปโน้น ข้าพเจ้า เลี่ยงไป อิอิ ....ท้าวความ ..กับคำว่า ตา สืบเนื่องมาจาก พวกเราเป็นกลุ่มรักนิยายเรื่องหนึ่ง และมีที่เจอกันในเวป นั้น มีตั้งฉายา ตามตัวละคร..โดยข้าพเจ้า ใช้ฉายาว่า ตาบุญคำ ต่อๆมา เพื่อนคงขี้กัยจเรียก เหลือ ตาคำ สุดท้ายจริง..เหลือ ตา คำเดียวนี่แหละ ..คงไม่ใช่แก่เฒ่าอันใด นะขอรับ..หุหุ คือวันที่ 23 สิงหานี้ เป็นวันเกิด พี่จอย อะ ตาว่างใช่ไหม เสียงเจ้าหมิว ถามมา โดยชงคำตอบให้ข้าพเจ้า เรียบร้อย เฮ้ย ๆๆ ไม่ว่างจ้า..ต้องทำงาน เพราะเป็นคนหาตอนเช้า กินตอนค่ำ ...ลางานก้อลำบากเจ้านายหน้ายักษ์ขมูผีเลย เลยตอบกลับพร้อมระบายความในใจไปด้วย.. งั้น อาทิตย์นี่ ก็แล้วกัน นะตา 21 นี้ ไปเจอกันที่ อนุเสาวรีย์ ชัย อย่าไปผิดที่นะ หมิวจะชวนเพื่อนๆ ไปอีกสอง สามคนจะได้เลี้ยงวันเกิดพี่เขาด้วย แค่นี้จ้า พูดจบ วางหูเลย..แทนที่จะถามเราหน่อยว่าโอเคหรือเปล่า .เหอ ๆ ที่ จริงข้าพเจ้าก็กะว่าจะให้เลื่อนเป็นวันนี้แหละ.. ขอรวบรัดตัดความ ตามท้องเรื่อง..หลังจากไปเจอกัน รวมพลได้ หกคน ล่องเรือแม่เจ้าพระยาที่ท่าเรือ สาทร (ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้)..ล่องเรื่อไปทางเหนือ...ตัดความเรื่องไปไหว้พระ วัดระฆัง ..ตัดความตอนเลี้ยงวันเกิดเป่าเค็กที่ร้านอาหาร โล่งๆ คนเยอะๆ แล้วเราก็ แหกปาก( ร้อง) เพลงแฮปปี้เบริดเดย์ แบบไม่อายฟ้าดิน ..ตัดความ ตอนนั่งเรือข้ามฟากไปมา ระหว่างท่าเรือพรานนก กับท่าเรือ วังหลัง..เดินกันลิ้นห้อยเลย ..ตัดความ มาที่เหนื่อยแล้ว ชวนกันไปดูหนัง..ใกล้เข้าเรื่องมาหน่อย...แล้ว เชิญทัศนา ...เหนื่อยนะนี่เรา อีตรงตัดนี่แหละ รู้สึกจะเป็นโรงหนังตรงที่ อนุเสารีย์นี่แหละ ไปถึงตีตั๋วเลย หนังฝรั่ง เสียงในฟีล์ม หุหุ รอบที่จะดู 14.20 น. พอได้เวลาพวกเราก็ เข้าไป นั่งตามหมายเลขตามตั๋วระบุ คือนั่งเรียงกัน หกคน..ไปถึงก็ โผเผ..เอนซบหมอนสะอื้น(หลับ) กันเป็นแถว คนไม่มากเท่าไหร่ ... พอได้เวลา ตรงเปะ..14.20 เสียงกระหึ่มกึกก้อง ปานแผ่นดินถล่ม..ดังขึ้นภาพปรากฏบนจอ.. โฆษณา.... อืม โฆษณา..เข้าท่าเหมือนกัน นี่ ไอเดียเจ๋ง..มีโฆษณา สินค้า ก่อนหนังฉาย คงเลียนแบบ หนังขายยา สมัยก่อนแน่ๆ ข้าพเจ้านึกในใจ...หนังขายยา พอถึงตอนเด็ด ๆ เช่นผู้ร้ายกำลังปล้ำนางเอก เขาจะหยุดฉายเลย จากนั้น ก็เอายามาขาย..โฆษณา สรรพคุณ เป็นน้ำไหลไฟดับ..บอกอีกขวดเดียว ฉายต่อ ครับ ขวดเดียว...แต่พอคนซื้อ มันก็ยังขายต่อ น่ารำคาญมาก แต่ก็ทน..อะ ในสมัยนั้น ..นี่ในโรงภาพยนต์หรูหรา ก็มีเหมือนกัน ..สินค้ายี่ห้อเดียว วนไปมา อยู่สองสามรอบ ลัว ก็มียี่ห้ออื่น.. ไปเรื่อย..ความรู้สึกแรก ๆว่า..เข้าท่า เริ่มจะไม่เสียแล้ว... โฆษณา แล้ว ก็โฆษณา... ตา สงสัย เราตีตั๋วมาดู โคตร สะนา อะ เสียงเจ้าหมิวกระซิบ แบบดังๆ มา ทำเอาคนที่นั่งแถวหลัง หันมามอง คงนึกในใจ..จึงของเอ็งวะ... ฟ้อง กอง หรือ กรม คุ้มครองผู้บริโภค ดีปะ หมิว ข้าพเจ้าย้อนถามไปในอารมณ์เดียวกัน เอางั้น รึ แล้วไอ้ กรม กอง อันนี้มันอยู่ที่ไหน อะ สงสัยจะหมิวจะคล้อยตามเลยพึมพำสวนมา.. ข้าพเจ้า จับเวลาดู หลังจากโฆษณา ต่อด้วยหนังจัวอย่าง...ปาเข้าไป 14.50 น... โห คุ้มเลย สามสิบนาที่ ที่โดนยัดเยียด..ให้ดู.. หันไปดูพรรคพวก ทีนี้คงหลับกันด้วยความเซ็ง ในโคตร สะ นา ( คงเพลีย) ภาพยนต์ มันก้อ ยิ่งกันสนั่นลั่นจอจนหูชา... ..นิ้งหน่อง ๆ ๆๆๆๆ นวลน้อง นั้นมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่ทักไม่ทายหรือจำไม่ได้ฉันชื่อนิ้งน่อง ๆๆๆ.. ท่ามกลางเสียงปืนในหนัง..มีเสียงเพลง ดังขึ้น ..มันเป็นเพลงลูกทุ่งสมัยเก่า..ดนตรีเดิม ๆ นักร้องดูเหมือนจะเสีย ไปแล้วด้วย..เพลงนิ้งหน่อง..คนร้อง สังข์ทอง สีใส (พี่ชาย สุเทพ สีใส ตลกคนหนึ่งอะ หน้าตาพิมพ์เดียวกัน) ผู้คนหลายคนหันมาทางต้นเสียง....และมันดันดังขึ้นจากกลุ่มข้าพเจ้า.. โหล ๆๆ เฮ้ย โทร มาทำไม ฟระ....ตรู อยู่ในโรงหนัง นั่นมันเสียงเจ้าหมิว กดรับโทรศัพท์ พร้อมกับเสียง เพลงที่ดับลง.. สักพัก คนในโรงหนังกับพากันหัวเราะ ด้วยความขัน คงขำในเสียงเพลง ..หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้.. ...ว่าแต่เพื่อน ไปดูหนังแล้วเจอ..โฆษณา บ้าเลือดแถมมาแบบไม่อยากดูกันบ้างหรือเปล่า..ผมยังคิดเลย คราวหน้า จะเข้าไปให้สายสักครึ่งชั่วโมง..จากกำหนดเดิม..แต่มานึกอีกที ตอนเราเดินไปแทรก แหวกขา ขอทางเดินระหว่าง แถว...พร้อมๆกับไปยืนบังคนที่อยู่ด้านหลัง อันนี้ไม่รู้ว่าจะได้อะไรกับมา...หรือเปล่าหนอ..
คำว่าซิกซ์เซ้น หรือสัมผัสที่หกนั้นหมายคนถึงบางคนมีความสามารถพิเศษในบางสิ่งบาง อย่างที่เร้นลับ หรือเรื่องลึกลับได้ ผิดกับอีกหลายๆคนที่ไม่สามารถได้รับรู้ได้ เห็นจึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเรื่องแบบนี้ จริงหรือไม่ อย่างไร เพราะยุควิทยา ศาสตร์ ย่อมพิสุจน์กันด้วยเห็นด้วยตาจริงๆ แล้วจึงจะเชื่อ นี่ คนโน้นเล่า คนนี้เล่า เห็นผี เห็นวิญญาน จนนักจัดรายการยังนำเอาไปทำเป็นบทละคร หรือเรื่องผี สางๆ ที่ยากจะพิสูจน์ ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ผีมีจริง หรือไม่ หากฝ่ายไสยศาสตร์ หรือ ฝ่ายจิตวิญญาน คงตอบว่าเชื่อ เพราะ วิญญานเป็นพลังงานชนิดหนึ่งไม่ได้สูญหาย และยิ่งทางไสยศาสตร์ อาจเชื่อถึงความเป็นวิญญาน มีโลกหน้า หรือ ชีวิตหลังความตาย แต่ในทางวิทยาศาสตร์ คงบอกว่าไม่เชื่อเพราะไม่สามารถ พิสูจน์ได้ แต่เราๆ ท่าน ๆ คงกึ่งเชื่อและไม่เชื่อ เช่น คือให้ทดลองไปนั่งป่าช้าตอน มืดๆคนเดียว ก็คงไม่กล้าเพราะกลัว....หรือ ไปงานศพจะ ลองก้มหัวมองลอดหว่างขาตัวเองดู ก้อไม่กล้าเพราะกลัว.. บางทีเราพบเห็นภาพถ่ายแปลกๆ มันกก็ยาากพิสูจน์ให้เห็น ข้าพเจ้า คนหนึ่งละ ที่ไม่ค่อยเชื่อ แต่ไม่กล้าพิสูจน์ และมีอยู่เหตการณ์ หนึ่ง ที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องกลับมาทบทวนในความเชื่อและไม่เชื่อเกี่ยวกับผี กับสาง ย้อนไปเมื่อสักปีกลาย 2008 ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าสู่ร่มเงาแห่ง พระพุทธศาสนา แม้ว่าจะเป็นการบวชไม่กี่วันเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ตามธรรมเนียมของชายไทย เมื่ออายุเข้าสู่ ยี่สิบปี (แต่ข้าพเจ้า อายุเลยแล้ว แต่ยังไม่มีจังหวะบวชสักที อิอิ) เขาว่า พระที่บวชใหม่ๆ นี่ ผี จะชอบมาตอแย มาก เพราะพระใหม่กลิ่นหอม หุหุ ข้าพเจ้า บวชแบบเงียบๆ มีพ่อแม่พี่น้อง ไปถึงก็โกนหัว เดินรอบโบสถ์ แล้วเข้าพิธีบวชเลย ไม่มีแห่กลองยาว เดินฟ้อนเมาแอ๋ แอ่นหน้าแอ่นหลัง แต่อย่างใด บวชวันแรก ต้องไปนอนบนศาลาใหญ่ มีพระนอนกันสองสามรูป คือ นอนกะพื้นใช้มุ้งครอบ แบบเก็บได้เหมือนที่ครอบเด็กอ่อนนะครับ วันแรกข้าพเจ้าเจอผีทันทีเลย คือมีศพคนตายมาตั้งสวดศพมาหลายวันแล้ว ตั้งอยู่ศาลาที่ข้าพเจ้านอน แต่เป็นสองชั้น พระใหม่นอนชั้นบน ศพตั้งสวดด้านล่าง หุหุ วันแรกก็เจอ ผีซะแล้วเรา คืนนั้นเลยต้องขยับที่นอนไปติดกับหลสวงพี่อีกองค์หนึ่ง หลวงพี่ครับ เปิดไฟให้รอบๆ ศาลาเลยนะครับ ข้าพเจ้าเอ่ยบอกหลวงพี่อีกรูปหนึ่ง ท่านหัวเราะ คงกลัวละสิ แต่ไม่ต้องกลัวคืนนี้จะมีญาติโยม คงมาเล่นไฮโล ไพ่กันทั้งคืนเลยละ คืนนั้นเป็นอย่างที่หลวงพี่บอกไว้ไม่มีผิด มีเสียงเฮฮา อย่างกะงานวัด ( เอ มันก็อยู่ในวัดอะ) พอข้าพฯสวดธรรมวัตรตอนค่ำแล้วก้อ นอน ก่อนนอน ท่องสวดมนต์ เปิดหนังสือสวดมนต์ครบทุกหน้าเลย อันที่จริงลืมไปว่าผีกลัวผ้า เหลืองอะ สักห้าทุ่มครึ่งจะได้ หลวงพี่รูปนั้น มาปลุก ว่าพระใหม่ควรไปกรวดน้ำ ตอนเที่ยงคืนจะได้กุศลมาก โห...เที่ยงคืน และข้างล่างมีศพ แต่ว่ายังมีคนอยู่เยอะ โอเค นึกในใจไปก็ไป หลวงพี่ต้องไปเป็นเพื่อนผมด้วยนะครับ ท่านหัวเราะหึหึ ได้ ๆ จากนั้นจึงจัดเครื่องนุ่งห่ม ลงจากศาลา พร้อมไฟฉาย เดินไปหลังโบสถ์ ห่างจากศาลา หลายร้อยเมตรอะ และเป็นที่เก็บโกศ ที่เป็นเจดีย์เก็บกระดูก คนตาย ไปถึงค่อยโล่งใจเพราะมีพระอีกสองสามองค์ กำลังไปกรวดน้ำเช่นกัน ข้าพเจ้า เลือกเอามุม ที่ใกล้พระรูปอื่นๆ ..จุดเทียน พร้อมกับกางหนังสือ สวดมนต์ (ยังไม่คล่อง) สวดบทกรวดน้ำ พอรินน้ำหมดแก้ว สดุ้งร้องลั่น เพราะมีแมว สีดำตัวใหญ่ กระโดดลง จากเจดีย์เก็บกระดูก กระโดดตุ๊บลงมาใกล้ๆ พร้อมกับเผ่นทันทีที่ลงมาที่พื้น ..ยอมรับว่าตกใจมาก พระรูปอื่นๆ รีบมาดู พอรู้ว่าเป็น อะไร ก็หัวเราะกันเบาๆ แมวนะ จากนั้น กลับมานอน ยอมรับว่านอนไม่ หลับเลยคืนนั้น ตี่สี่ต้องลุกมาสวดมนต์ธรรมวัตร กัน และออกบิณทบาตร ตอนหกโมงเช้า จะเป็นแบบนี้ทุกวัน ล่วงเข้าสู่วันที่เจ็ด ที่บวชอยู่ในสมณเพศ ข้าพเจ้าขออนุญาต เจ้าอาวาส ไปจำวัดที่บ้านเกิด ในหมู่บ้านสักสองคืน ท่านก็อนุญาต (ตอนบวชมาบวชวัด ในอำเภอ) พอมาถึงวัดที่หมู่บ้าน วัดยังเป็นวัดป่า มีพระสงฆ์จำวัดอยู่สองรูป วัดจะอยู่ในป่าเนินเขาห่างจากหมู่บ้านเกือบ1 กิโลเมตรได้ กลางวันดูร่มรื่นมาก แต่กลางคืน หุหุ น่ากลัวมากสำหรับคนที่กลัวความมืด และกุฏิที่ให้นอน มีหลาย หลัง แต่มีพระอยู่สองรูป ข้าพเจ้า ถูกจัดให้ไปพักที่ กุฏิ ตรงกลางระหว่างกุฏิพระ สองรูป ( คงคิดว่าข้าพเจ้ากลัวแน่ๆ) สถาพกุฏิ จะแคบ เป็นห้องสี่เหลี่ยม มีพัดลมให้ มีหมอน ห้องน้ำข้างนอก รอบๆ เป็นต้นไม้เต็มไปหมด เวลาค่ำ มองเห็นแค่แสงไฟ กุฏิที่มีพระนอนอยู่ ข้าพเจ้าพยายามปลุกปลอบใจตนเอง ว่า ผีนะไม่มีหรอก แต่สภาพ ณ ตอนนั้น ที่เงียบและความ มืดมันชักจะเริ่มคุกคามและมีอิทธิพลเหนือใจข้าพเจ้า ทุกขณะ จึงได้รีบอาบน้ำ จัดแจงที่นอน แต่เปิดไฟสว่างจ้ารอบกุฏิ อิอิ ขณะกำลังเคลิ้ม จะหลับ มีเสียงคล้าย อะไร คล้ายคนเดิน มาเดินรอบๆ กุฏิ เสียง กรอบแกรบ ของสิ่งมีน้ำหนักกำลังย่ำเหยียบใบไม้ ได้ยินเสียงเข้าหู ชัด ไม่ใช่หรอก(ผีนะ) พยายามนึกปลอบตัวเอง เราเป็นพระจะกลัวทำไม หากมี จริงมันก็ทำอะไรเราไม่ได้ เสียงเดิน ดังอยู่เป็นระยะ แล้วก็เงียบหายไป ขณะนั้นข้าพเจ้า นำหนังสือบทสวดมนต์ ออกมาสวดทันที ท่องเสียงดังด้วย หุหุ ( เริ่มเอาเสียงตัวเองปลอบตัวเอง) ท่องทุกหน้าทุกบทเลย ... แต่แล้วทันใด ก๊อก ๆๆๆ ข้าพเจ้าสะดุ้งทันที เอาแล้วหรือนี่เล่นตรูแล้วหรือ แต่รีบเอ่ยปากไปว่า หลวงพ่อหรือครับ เงียบ สักพักหนึ่ง ก๊อกๆๆๆ เอาละสิ นี่มันของจริงหรือ .. ก๊อกๆๆๆๆๆ เสียงรัวหนักขึ้น ด้วยเป็นคนที่บางทีก็มีความบ้าอยู่ในตัวบ้างบางขณะ ..แต่มือเริ่มไปคว้าหนังสือ สวดมนตร์ข้าพเจ้ารีบเปิดไปที่บท .โปรดสัตว์ พร้อมกับท่องดังๆ " สัพเพสัตตา อเวรา........ และเริ่มทำให้ตัวเองโมโห เพราะถ้าโมโหแล้ว จะไม่ค่อยกลัว เอา ฟระ เป็นไงเป็นกัน ว่าแล้วเดินไปที่ประตู พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่เรียก ว่า ผี หรือ วิญญาน เพราะนึกบอกตัวเองว่าเราเป็นพระ ห่มผ้าเหลือง ผีมันต้อง กลัว กะออกไป เผชิญเต็มที่ เอี๊ยด ๆ เสียงประตูที่ฝืดน้ำมันทำเอาสะดุ้งเหมือนกันขณะค่อย ๆแง้ม ไฟด้านนอกก็เปิด สว่างหน้าห้อง พอใจชื้นอยู่บ้าง เพราะคิดว่า ผีมันไม่ชอบแสงสว่าง หุหุ พอเปิดประตูแง้มออกไป ด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ภาพที่เห็น นั้น โอ...............พระเจ้า ................................... .............................. ............................. ................................... .................................. พบสุนัข ตัวหนึ่งและเป็นตัวที่เจอตอนกลางวัน ที่ให้ข้าวมันนะแหละ กำลังนอนชิดประตู และกำลังใช้เท้า(ไม่ใช่มือ) ขาหลัง เกาตรงกกหู แกรกๆๆๆ และจังหวะ เกา ขาหลังมันก็มากระแทก ประตู ปังๆๆๆ หรือเป็นเสียงที่ข้าพเจ้า ได้ยินเป็น เสียงเคาะ ประตู ข้าพเจ้ายืนนิ่ง หัวร่อมิออก ร้องไห้มิได้ ..เฮ้อ....กรรมฯ นี่หรือ ผอ....อี...ผี เอวังละครับ อิอิ ( เรื่องนี้จากประสบการณ์จริงจ้า)