Find The Volunteer Inside You ปลุกจิตอาสาในตัวคุณ ป้ายข้อความด้านบนแลเด่นเหมือนดังสำแดงพลังกระตุ้นหัวใจให้ฮึกเหิม เมื่อคราวที่ได้สัมผัสสู่จักษุ ถูกแขวนติดไว้ที่ผนังทางเข้าชั้นหนึ่งตรงทางขึ้นตึกขวามือของสภากาชาด ใต้ภาพคือรูปหัวใจดวงโตๆบ่งบอกสื่อนัย ความดีงาม ผสานกับที่คราคร่ำรด้วยจำนวนคนประชาชนคนไทย และคนต่างชาติร่วมรวมด้วยหัวใจที่ถูกปรุงเจือรสพลังความเสียสละ และจิตอาสาต่างหลั่งไหลมารวมกัน ณ สถานแห่งนี้ ภาพคนเดินหมุนเวียนกันไปมาไม่ขาดสาย เหล่าน้องๆ นิสิตนักศึกษา นักเรียน เยาวชน รวมทั้งคนเพศทุกวัย ดูประหนึ่งงานเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งจึงดูวุ่นวาย เซ็งแซ่ดังอึงคนึง ประสานเสียงไปพร้อมๆเสียงคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ สภากาชาด เถิด..ภายใต้ใบหน้าทุกผู้ทุกคนเหล่านั้นยังแต้มไปด้วยรอยยิ้มแย้ม ดูจะตรงกับป้ายคล้ายต้อนรับทุกคน ว่า Volanteer Inside You อรุณรุ่งยามเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ 20 พฤศจิกายน 2554 ในเวลาปกติย่อมเป็นช่วงการใช้เวลาอยู่กับฟุกที่นอน หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า นอนอุตุ อย่างสุขโขสโมสรเชลซี จนถึงแมนยู นั่นแหละขอรับ 555 กิ่งโศก จับ(ไม่ได้จี้)รถแท็กซี่มาในเวลา หกโมงเช้ากว่าๆ บอกสารถีโชว์เฟอร์ ที่ดูว่าแกเพิ่งตื่นเช่นกัน ทั่นจึงบงการยานพาหนะของทั่นเพียงชั่วเวลาแค่ลัดนิ้วมือ ก็พากิ่งโศกที่นั่งตัวเกร็งมาตลอด มาถึงจุดหมายปลายทาง โอ้..พระเจ้า เราคงอยู่ครบอาการสามสิบสอง ที่หมาย อา..สภากาชาดไทย (มีเครื่องหมายบวกตัวโตๆ สีแดง) เป้าหมายในการเดินครั้งนี้นั้นก็เพียงเพื่อเพราะมีนัดหมายกับเพื่อนๆ ณ สถานสภากาชาดวนเวลาโดยประมาณ 7 โมงเช้า เพื่อขอขันอาสาเพื่อออกนอกพื้นที่เพื่อไปแจกถุงยังชีพในพื้นที่ภัยภิบัติให้กับพี่น้องคนไทยที่กำลังเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม อันที่จริงยังมีกิจกรรมอื่นๆในสถานสภากาชาดมากมายให้ช่วยกันทำ เช่น กรองน้ำดื่มส่ขวด ทำอาหาร แพ็คถุงยังชีพ ขนของขึ้นรถบรรทุกเพื่อนำไปบริจาค และ ทีมอาสาไปบริจาค ซึ่งวันนี้พวกเราต่างจะขออาสาออกนอกพื้นที่กัน เจ็ดโมงเช้าจวนเกือบจะเจ็ดโมงครึ่ง พวกเราจำนวน 3 คนหลังจากที่ได้พบปะเสวานากันพอหายความคิดถึง หุหุ จึงได้ไปเข้าแถวต่อขบวนเพื่อลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอออกพื้นที่ไปแจกถุงยังชีพ กับเจ้าหน้าที่เช้านี้มีคนอาสากันมาเข้าแถวกันเยอะมาก ซึ่งครั้งนี้เขารับจำนวนจำกัด แต่เทพีแห่งโชคเข้าข้างพวกเราพวกเราจึงได้ไป ครั้งนี้สภากาชาดไทยได้จัดรถเพื่อขนของไปบริจาคจำนวน 5 คันรถบรรทุก พร้อมๆจำนวนถุงยังชีพประมาณ 1500 ถุง ข้าวสารขนาด 5 กิโลกรัม 1500 ถุง น้ำดื่มจำนวน 1500 แพ็ค อาสาประจำรถ ชาย 4 หญิง 2 ต่อรถหนึ่งคัน ต่อถุงยังชีพ 300 ชุด เป้าหมายในครั้งนี้คือแถวๆบริเวณคลองมหาสวัสดิ์ รวมๆ แล้วเรามีบรรดาเหล่าจิตอาสาที่ไปกันประมาณ 30 คน ไม่รวมเจ้าหน้าที่สภากาชาด และคนขับรถ สีหน้าแววตาบ่งบอกความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยมแลล้นปปรี่เลยเชียวละท่านเอ๋ย เพียงรถบรรทุกคนใหญ่ที่บรรจุถุงยังชีพและพวกเราอาสาอีก 6 ชีวิต เลี้ยวแล่นมาถึงถนนเส้นบางบัวทอง สุพรรณบุรี พวกเราก็รับรู้ประจักษ์แจ้งในสายตาถึงทะเลน้ำจืด ท้องน้ำที่ยังทอดขังเอ่อ กระจายขยายท่วม ตามถนนเส้นดังกล่าวเป็นระยะ ๆโดยเฉพาะที่เป็นพื้นที่ลุ่ม เราแลพบรถเสียจอดแช่น้ำ เราแลเห็นผู้คนสัญจรจากยวดยานเรือพายและเรือยนต์ บนท้องถนนที่รถยนต์เคยวิ่ง ยิ่งลึกเข้าไปในซอยนับจากถนนระดับน้ำ ยังนองเนืองพวกเรานั่งอยู่บนรถบรรทุกด้านบน มองไปพบเห็นน้ำที่ท่วมขังในระดับเอว วัดจากคนที่กำลังเดินลุยน้ำ บ้านช่องห้องนอนยังจมอยู่ใต้ผืนน้ำ ชาวบ้านต่างออกมายืนชะเง้ออยู่บนชั้นสอง บนระเบียงด้านบน บางคน ตระโกนร้องขอถุงยังชีพ ...แต่..เนื่องจากถุงยังชีพบนรถของเราจำต้องไปแจกอีกยังชุมชนหนึ่ง ลึกไปข้างใน และได้ระบุจำนวนมาเรียบร้อยนั่นก็คือจะมีผู้นำชุมชนเช่น ผู้ใหญ่ บ้าน กำนัน อบต. ทำการแจกคูปองให้แต่ละครอบครับรอรับของล่วงหน้าอยู่แล้ว เราจึงได้แต่มองด้วยความเห็นใจซึ่ง อาจจะมีเสียงบ่น แว่วมาให้ได้ยินตามหลัง .. ครั้นเมื่อพวกเราไปถึงชุมชนในซอยที่มีน้ำท่วมขังรถบรรทุกเคลื่อนลุยสายน้ำเข้าไปแล้วจอด มื่อถึงที่หมายแล้ว นั่นก็คือแจกกันตรงกลางสายน้ำนั่นเลย ดีว่ามีการจัดทำระบบในการแจกเป็นคูปอง จึงพอจะดูเป็นระเบียบบ้างหมู่ผู้คนชาวบ้านต่างนั่งอยู่บนเรือเรียงแถวกันสลอน รอรับของแจก..ดูจากสีหน้าพวกเขาแล้วเราพบว่ายังคงอมทุกข์หม่นหมอง แต่เมื่อรับของพวกเขายังพอยิ้มแย้มได้บ้าง ..เหนื่อยครับงานนี้ แต่ภูมิใจมาก คุ้มค่ากับพละกำลังท่ได้ทุ่มเทไป และเจ้เพ็ญ (อิอิ พี่เพ็ญ) เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย เจ้ท่านยังคงประสานงานได้ดี และคอยแก้ปัญหา เมื่อมีชาวบ้านโวยวาย เพราะบางรายไม่ได้รับของแจกสืบเนื่องจากไม่มีคูปองและไม่มีชื่ออยู่ในกลุ่มที่แจก แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่สภากาชาดได้กระทำ และเป็นการควรค่าแก่การปฏิบัติหน้าที่ได้เต็ม นั่นคือเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยที่ได้กล่าวแก่ชาวบ้านที่มารอรับถุงบริจาคเพื่อยังชีพ ประทับใจกิ่งโศกคนยากคนนี้เป็นอย่างที่สุด นั่นคือถุงยังชีพเหล่านี้ของสภากาชาดนั้นเป็นสิ่งของพระราชทานโดยองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทั้งสองพระองค์ท่านทรงประทานมอบให้ กับ ลูกๆ ของพระองค์ที่เดือดร้อน เรา (สภากาชาดไม่ใช่มาจากรัฐบาล) มาในนามพพระราชดำริของพระองค์ทั้งสอง ขณะพูดทำให้สถาพที่กำลังจอแจวุ่นวาย คืนสู่ความสงัดสงบเงียบ ทุกคงน้อมรับฟังอย่างพร้อมเพรียงกัน ชาวบ้านบางคนบ่นกับกิ่งโศกว่า หน่วยงานรัฐไม่เคยมาเหลียวแลเลยร้องขอร้องเรียนไปก็แล้วแต่ไร้การตอบรับ (ประหนึ่งปลายสายไม่มีผู้รับ หุหุ) ส่วนมากจะมีแต่หน่วยงานอิสระ ภาคเอกชน หรือสถานีของทีวี ที่มาบริจาค กิ่งโศกก็คงได้แต่ปลอบใจปลอบโยนเขา ว่าคงอีกไม่นานก็คงมาช่วยเอง ขออย่าได้ท้อ สู้ๆๆ นะ วันนั้นรถคันกิ่งโศกและเหล่าเพื่อนๆจิตอาสา ได้แจกถุงยังชีพเป็นคันแรก กิ่งโศก ความประทับใจอีกด้านหนึ่งนั่นก็คือประทับใจในเพื่อนๆ จิตอาสาในกลุ่ม และในคันอื่นๆ ที่ลุยน้ำ มาช่วยจัดของส่งกันเป็นทอดๆ ..ภาพเหล่านี้คงตรึงและตราไว้ในใจกิ่งโศก ทั้งภาพประทับใจแลภาพชวนน่าเวทนา ผู้เดือดร้อนเหล่านี้ยังคงรอรับธารน้ำใจที่จะมาช่วยขับช่วยไล่น้ำครำที่กลายเป็นน้ำคร่ำ ให้เบาบาง เถิดเชิญชวนศรัทธาแห่งการเกื้อหนุนจุนเจือแด่คนทุกข์ยาก มาจับมาจูงพวกเขาให้มีที่ยึดถือพยุงชีพ ขณะที่เขากำลังถูกยื้อชีพ กันเถิดครับ สัปดาห์หน้าพวกเราคิดกันและหารือกันว่าคงจะได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้อีก ว่าแล้วก็พยายามหาบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับคูคลองหนองน้ำ ร่ำเสียงสำเนียงกล่อม หาชื่อเพลงที่พูดถึงงบคลองมหาสวัสดิ์ แต่ก็หามีไม่ อีกยังไม่เคยได้ยินได้สดับเมื่อครั้งใด จึงไม่รู้จะหาเพลงอะไรดี วันนี้มาคลองมหาสวัสด์ จึงขอจัดเพลงแห่งลำน้ำ เกี่ยวกับลำคลอง วันนี้เสนอเพลงอันคงความอมตะนิรันดร์กาล ชื่อเพลง คลองบางกอกน้อย คนร้องนั่นแทบจะไม่รู้จักชื่อเลยขอรับ หุหุหุ เพลง บางกอกน้อย ชัยชนะ บุญนะโชติ ขับร้อง พิพัฒน์ บริบูรณ์ คำร้อง/ทำนอง สุดคลองบางกอก น้อย พายเรือตามหาบัวลอย จนเหงื่อพี่ย้อยโทรมกาย ปากพี่ตะโกนกู่ ถึงยอดชู้เพื่อนร่วมกาย ไม่รู้ว่าเจ้าจมหาย ลอยไปแห่งใดเล่า หนา ใจพี่แทบขาดแล้ว มือคง ยังจ้ำยังแจว ตามหานางแก้วดวงตา ศพน้องเจ้าลอยล่อง อยู่ใต้ท้อง สุธารา หรือว่าลอยออกนอกเจ้าพระยา จึงค้นหาไม่ พบศพบัวลอย โถ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ยังลงว่ายเล่น เพียงเห็นชื่นเย็นนิดหน่อย น้ำเชี่ยวยิ่งเหลือ เจ้าจึงเป็นเหยื่อ คลองบางกอกน้อย จิตใจพี่ให้เศร้าสร้อย ถึงบัวลอย แม่จอมขวัญ สุดหล้า สุดฟ้าเขียว เธอเป็นแม่พระองค์เดียว ที่เหนี่ยวใจรักคงมั่น เจ้าสิ้นใจต่อหน้า ด้วยพี่คว้าเจ้าไม่ทัน เหมือนพี่พิฆาตเด็ดดวงชีวัน จอมขวัญนงนุช สุดบูชา กิ่งโศกคนยาก ฝากถ้อยท้าย.. ๏ ชลาร้อนเชี่ยวแล้ว ...........ล่มสรวง เปลื้องปัดขจัดปวง ............ ป่วนเร้า กมลสติดวง- ................ ประทีป ด่างดูรา ความจบคำรบเคล้า ...... เทวษคล้ำท่ามถอย ๚ะ๛ ๏ ชลจะเชี่ยวเจนเชิง..........จึ่งบ่าเทิงบทเริงทุ่ง น้ำฝั้นทะยานฟุ้ง ................. โลดแกมแล่นก้าวแดนรุก ๚ะ ๏ น้ำตายิ่งเต่อต่าง ............ รินหยาดยางเบื้องทางขุก- เข็ญย้อยระห้อยยุค- ........... กาลละล้างพึงม้างลาม ๚ะ ๏ แจรงกลบสยบเจ้า ....... รดีเคล้าจวนเจียนขาม- เข็ดข้อระย่อยาม .............. ยับกี่แคว้นเยินเกินอยู่ ๚ะ ๏ เปื้อนเปรอะเลอะแปรรก.......... สาดสาธกน้ำลายสู อาสาสร้างประตู .................... เหล่าผู้ศักดิ์ตระหนักโก้ ๚ะ ๏ บรรเลงบนเดือดร้อน.......... ระงมก้อนก่นบทโง่ เนื้อแท้บนถาดโป .................. ปลดลอกเปลือกจนแปรโปรย ๚ะ ๏ ชนรู้เช่นนิสัย ................ตะแบงไบบิดใบ้โบ้ย โถเอ๋ยเผยจะโอย ..............คิดจะแค่แส่เสียดคำ ๚ะ ๏ เทวษเวทนา ...............ปวงประชาแสนจะช้ำ พยักเพยิดยำ...............ยับเยินยิ่งประวิงวาร ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ภาพจิตอาสา เมื่อ 20 พ.ย.2554 ย่านคลองมหาสวัสดิ์ ( ส่วน ที่ชุมชนบ้านกระแชง ปทุมฯ 27 พ.ย. 2554 จะลงเป็นตอนต่อไปครับ อิอิอิ)
น้ำอดน้ำทน ของคนนั้นอยู่ที่พื้นฐานอารมณ์ และพื้นฐานจิตใจ ว่ามีความหนักแน่น ใจเย็นเพียงไร เมื่อมีแรงกระทบ จังหวะของความอดทน จะสำแดงให้ประจักษ์ หากเด้งมาก แสดงว่าความอดทน อดกลั้นบางเบา มาก หากเด้งน้อย หรือแค่พอสั่นๆ พอแค่รับรู้ หรือนิ่งดุษฎีย์ นั่นคือเป็นคนที่ ควบคุมอารมณ์ได้ดีเยี่ยม การแสดงออกของความอดทน มักจะสื่อ ออกมาจาก ท่าทาง หรือ สีหน้าแววตา หรือคำพูด น้ำเสียง หรือไม่เว้นแม้แต่น้ำตา ส่วนมากมักสื่อมาทางสายตา ว่ากร้าวแข็ง อ่อนโยน หรือน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก หรือนิ่มนวลอ่อนหวาน หรือแม้แต่ทางน้ำตาที่หลั่งเป็นสายเมื่อมีความปีติดีใจอย่างมากมาย หรือเสียใจอย่างสุดซึ้ง หากคนไร้ความอดทน มันก็จะขยับขั้นไปสู้ความท้อถอย ไร้พลังกาย ไร้พลังใจ แทบจะขยับเขยื้อนร่างกายไม่ไหว อาจมีเพียงลมหายใจแผ่วๆ ร่างกายคล้ายไม่มีความรู้สึกต่อสรรพสิ่งรอบตัว จิตใจดุจวางกอง หรืออยู่ในหลุมดำใหญ่ ๆ บางคนบอกปลิดชีพฉันเถิดไม่อยากอยู่ดูโลก ที่มีแต่ความโหดร้ายนี้อีกแล้ว ตายเสียดีกว่าอยู่ โอ เดวะเจ้า ใยไม่นิมิตรโลกอันสว่างไสวให้ข้าบ้าง ใยปล่อยจอมมารบัญชาชีวิตข้าทำไม ....นั่นคือความรู้สึกที่ประสบพบของคนที่อยู่ในภวังค์อ้างว้าง เหลียวแลทางใดคล้ายดำมืดไปหมดทุกทิศทุกทาง ทรัพย์ศฤงคารอันกองท่วมหัว แลโภชนาอาหาร วางเรียงด้วยรอลิ้มชิมรส กับมิอาจจะสนองตอบ ต่อภาวะอันทดท้อนี้ได้ ข้าวสวยบนจานพูน เนื้อสัตว์ปรุงแต่งความโอชา เมรัยกลิ่นหอมกรุ่น เหล่านี้ยังไม่ยั้งรั้งดึงอารมณ์ในความท้อแท้ได้ การอัตนิบาตกรรมตัวเองนั้น ทางพุทธศานาแล้วย่อมคือบาปมหันต์ บาปยิ่งกว่าการทำร้ายเข่นฆ่าชีพอื่น นรกย่อมเปิดรออ้า พาเจ้าไปลงทัณฑ์ ดังนั้นเรามาขจัด ความท้อแท้ และรู้จักการอดกลั้นอดทน วางอารมณ์ไว้ ในช่องฟิช ให้เย็นเข้าไว้ ณ โยมนะ อันที่จริงแค่เบสิกปฏิบัติเช่นการนับเลข แค่นับหนึ่งถึงสิบก็ช่วยได้มากแล้วคือ ช่วยไม่ให้อารมณืเราพุ่งพรวด จิตจะไม่ซัดส่าย เมื่อจิตไม่ซัดส่าย อารมณ์แห่งแรงโกรธ เกลียด ร้าย จะหยุดชลอการพุงออกไป กิ่งโศก ที่จริงก็เป็นคนมีอารมณ์โลภ โกรธ หลงอยู่ เพียงแต่อาศัยว่า มีความโกรธช้า คือจะนึกก่อนว่าเอ จะโมโห โทโส ทำไม ได้อะไร คือ มองในมุม ว่า ได้อะไร ที่กล่าวมาก็หาใช่ทำได้ทุกครั้งนะครับ ก็มีหลุดบ่อย ๆ อิอิ งั้นครานี้เรามาลองฟังเพลง ที่เหล่าผู้คนที่คิดจะปลงกับชีวิตตัวเอง ไม่อยากอยู่ดูโลกใบนี้แล้ว เพราะอยู่ไป อาจไม่อยากเผชิญความเลวร้ายของมนุษย์ที่จ้องจะทำร้ายกันอย่างไร้ศิลไร้ธรรม มองแต่ประโยชน์ตน คนอื่นเดือดร้อนก็ช่างศรีษะใครปะไร ????? อยากล้มฟ้าล้มดิน ก็ ช่างเผือกปะไร ????? แลสังคมในทุกสังคมการฝ่าฝืนกติกา หรือกฎประเพณีใดๆกลายเป็นเรื่องปกติ ..โอ???? .อีแบบนี้ ฆ่าฉันให้ตายเถอะ เหอะๆๆๆ...หรือใครที่ถูกเชิดเป็นแค่ตุก๊ตา เดินตามหมากเกมส์อย่างเดียว เหนือ ใต้ออกตก อิฉันม่ายรู้ อิฉันม่ายเห็น หรือเห็นแล้วจนอดกลั้นไม่ไหว แอบร้องไห้ พร้อมบ่นว่า ฆ่าตรูให้ตายเทีเต๊อะ 5555 มามะ เพลงนี้ ชื่อ ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า เอาแบบต้นฉบับเลยนะครับ สวลี ผกาพันธ์ ร้องไว้ขณะที่กิ่งโศก ยังไม่ลืมตาดูโลกเลยมั้ง อิอิ เชิญ...สดับรับฟัง เถิดพี่น้อง.... ชื่อเพลง : ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า ขับร้อง : สวลี ผกาพันธ์ ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ใย ถึงไม่ เข่นฆ่า และไม่ ใยดี ทิ้งฉัน ขื่นขม สมใจ ผละหนี ฝากไว้ คือความ บัดสี ราคี ติดกาย ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ให้ พื้นดิน กลบหน้า พอจะ หลบอาย เศร้านัก ชาตินี้ รู้ดี เมื่อสาย เจ็บรัก หักทรวง สลาย โหดร้าย สิ้นดี ไม่ ปรารถนา แล้วมารักกัน ทำไม ฉันเลว อย่างไร ฉันเลว แค่ไหน กันนี่ ถึง สลัด รัก-ไม่ ปรานี ทำเสีย ป่นปี้ เหมือนฉัน ไม่มี หัวใจ ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ชีวิตนี้ ไร้ค่า จะมอง หน้าใคร ไม่รัก มาผลาญ ฉันใช่ เหล็กไหล อนิจจา ฉัน ทนไม่ไหว ต้องตาย ต้องตาย สักวัน ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ชีวิตนี้ ไร้ค่า จะมอง หน้าใคร ไม่รัก มาผลาญ ฉันใช่ เหล็กไหล อนิจจา ฉัน ทนไม่ไหว ต้องตาย ต้องตาย สักวัน... กิ่งโศก คนยากฝากถ้อย ร้อยความส่งท้าย ลำนำ..เถิดลงทัณฑ์... ๏ เถือด้วยทัณฑ์บั่นเศียรให้เหี้ยนสุด เหลือกอตอข้อคุดจนกุดขวัญ อย่าเร่เหลือเนื้อนามเศษกำนัล ฟอนไฟเกรียมประลัยกัลป์เถ้าผลาญกอง๚ะ๛ ๏ เถือทัณฑ์บั่นเถิดเงื้อ.......ศาสตรา ยกสับยับเยินสา.........นบชี้ พรากพิษฤทธิพา....ผลอยล่วง ราบแล อนาถอัดอั้นถี้(ที่)......อกท้อถ้อยถาง ๏ ชีพหวังสร้างวัฎซ้อน.....ส่อวาย มุ่งสู่หมู่สิหมาย.........ภพหน้า ปัจจุสมัยมลาย........มอดลับ รอเฮย จุติจิตจ่อจ้า.......เกิดแจ้งกำจาย ภพนี้สิหน่ายพ้อง......ภาพเนา ค่อนย่ำคำย้อนเขลา...ยอกคั้น พรูหลั่งพลั่งลู่เผา......ผลาญรุก รุมเนอ กรอกห่อกุมเหงกลั้น.....ก่นไห้กลายหน ๏ โลโภลาภะล้วน.......พูนรัง กระเซอะกระเซิงซัง....กุดฉ้อ- ฉลกลลุแก่ฝัง...... การใฝ่ เหตุแฮ จักสลัดสะบัดห้อ.....ห่อบ้ายหายบัน ๏ ลงทัณฑ์บั่นเถิดเงื้อ.......หงายคม คำเฮย สิ้นขาดธาตุสิ้นสม.......แส่ม้วย ใช่อาจผงาดเผลอ-งม....โง่ยิ่ง ยอมปลดปลงโยงย้วย.....บาปย้ำดำโดย ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ขอบคุณ ภาพ จากอินเทอเนตล้วนๆจ้า หากเพลงไม่ดังต้องขออภัย เพราะเวปฝากเพลง ล่ม อะ
วันอาทิตย์ ที่ผ่านมาข้าพเจ้า ตื่นสายเป็นพิเศษ ด้วยจำต้องไปทำหน้าที่ ยังต่างจังหวัด ณ ในช่วงบ่ายค่ำของวันเสาร์ ครั้นธุระเรียบร้อยจึงกลับมายังที่ซุกกายในเวลาดึกๆดื่นๆ ภาพที่ผ่านพบในชนบทสัมผัสทางสายตา จากที่เมืองไทยคือเมืองแห่งเกษตรสมบูรณ์ ในนามีข้าวในน้ำมีปลา (ตอนนี้ในนาย่อยยับด้วยสายน้ำ ฝูงปลาลอยหงายตายฟ่อง) สมบูรณ์พูนผลเอาเสียจริงหนอ....จากความเป็นเกษตรกรรมในอดีตตอนนี้กำลังผ่องถ่ายแปรเปลี่ยนก้าวไปสู่โลกอันศิวิไลรุ่งเรืองเฟื่องในภิภพ ในหลายสิบปีก่อน เรื่องการเปลี่ยนแปลงถูกจุด ด้วยคำ ว่าเป็นนิกส์ ซึ่งถุกปลุกฝังในสมองเพื่อให้ชิน จนข้าพเจ้ามึนงงไปเพราะยังเยาว์อยู่ แต่ข้าพเจ้า มีเพื่อนชื่อเจ้านิก เคยถามมันว่าทำไม ตรูต้องไปเป้นแกรด้วยฟระ มันก็เอ่อๆ เช่นกันมันบอก เฮ้ย เอ็งอย่ามาเป็นข้าเลยวะ ตูมันตัวดำ พ่อก็ไม่ได้เป็นตำหนวด ..ปัจจุบันเจ้านิกของกิ่งโศก มันก็ยังคงอยู่กับไร่กับนาเช่นเดิม ในขณะนี้ 555 แต่กระนั้นการซึมการแทรกของความอารยะวิไลกิเลสนิยม ก็ได้ซึมทีละน้อยๆ แปรเปลี่ยนจารีตหนึ่งถุกกลืนไปยังอีกจารีตหนึ่ง เกลียวสัมพันธ์ที่ผูกร้อยสำแดงความเป็นอัตลักษณ์แบบไทยค่อยๆคลายเกลียวฝั้นทีละเปลาะทีละปล้อง??? เหอๆๆ แถมเจ้านิก ของกิ่งโศกเดี๋ยวนี้ มันแต่งตัวโก้ขึ้น กิ่งโศกขำด้วยอารมณ์อันแหบแห้ง อารมณ์ถุกกระตุ้นด้วยภวังค์อันหวั่นกลัวด้วยภัยภิบัติ ที่กำลังชะล้างแผ่นดิน ล้างบาป ของมนุษย์ด้วยสายน้ำอยู่ในขณะนี้ ในยุควิถีการดำเนินชีวิตกำลังถูก วางให้เปลี่ยนแปลง เปลี่ยน? ไปแบบไหน อย่างไรลองหาอ่านกันเอาเถิดพี่น้อง หากมองเรื่องราวในการเปลี่ยนแปลงในแง่ร้าย ย่อมชวนตระหนกตกใจ ในแนวคิดแบบนี้ยิ่ง แต่อาจมีหลายเสียงสำเนียงเย้ยหยันในกรอบความคิดหัวอนุรักษ์แบบนี้ แต่กิ่งโศกยังคงมองถึงผลลบที่จะบังเกิดขึ้นนั้นมีมากว่าผลบวก หากจะมองในความเป็นชาวพุทธที่ไม่ได้ลึกซึ้งหรือบรรลุธรรม มองแบบชาวพุทธมามกะพื้นฐานธรรมดา มันก็คือห้วงกาลเวลาที่กำลังผันสู่วัฏจักรแห่งกรรม เท่านั้นเอง ..ฤา นี่คือลิขิตคนกำหนด หรือจะสู้ลิขิตแห่งฟ้ากำหนด ฟ้าผู้มองเห็นความเป็นไปทั้งในโลกหน้าแลโลกนี้ ยามบ้านเมืองที่ระส่ำระสาย ด้วยมหาภัยจากน้ำ น้ำที่เหนือกว่าการคาดหมาย หลังจากน้ำลด เราอาจเผชิญยุคข้าวยากหมากแพง ไข่แพง สาระพัดแพง ในหลายๆหย่อมหลายๆหญ้าคงเดือดร้อนกันมากมาย ...นี่คือการท้าทาย ผู้นำบ้านผู้นำเมือง ที่จะนำพาฝ่าฟันไปจากภัยพิบัตินี้ อย่าให้คำแช่งด่า ดูถูกสติปัญญา มาบั่นทอนกำลังใจ จงรีดเค้น ศักยภาพความสามารถของผู้นำสั่งการฉับๆๆ ด้วยภาวะตนเอง จงฉายแสงแห่งความเลอล้ำ ในสติปัญญาที่มองลอดพ้นเงาดำที่ปกปิด จงสำแดงความเข้มแข็งให้ ผู้ตามหลายล้านชีวิตได้อ่นุใจเถิด...แม่..น้ำตาให้มันตกเต็มอยู่ในอก อย่าให้มันย่ำย้อยบ่อยจนผู้ตามต้องหัวตก สิ้นหวัง..อนาถ(.ใส่สระอา) อย่ายืนหยัดอยู่เพียงแค่ถ้อยสรรเสริญเยินยอด้วยคำพุดของบริวารสอพลอ จงยืนหยัดอยู่ด้วยดวงตาสว่างที่รู้แจ้งจริงต่อปัญหาและพร้อมจะเอื้มมือไปปลดสภาพความยุ่งเหยิงนั้น เมืองไทยยามนี้ ยามที่ผ้คนในศักราชนี้พึงจดจำไว้ อย่าได้ลืมเลือนเพราะเหตุแบบนี้มันไม่ได้มาง่ายๆ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้โทรศัพท์ไปพุดคุยกับคุณแบม ตามปกติตอนบ่ายโมง พบว่า คุณแบม (แก้วประภัสสร) ได้ไปช่วยแพ็คของอยู่ศูนย์สภากาชาดกับเพื่อนๆหลายคน คุณแบมบอกว่า มีคนมากันมากมาย มากกำลังใจ มากรอยยิ้ม มากความช่วยเหลือทั้งแรงกายแรงใจ มันทำให้ความห่อเหี่ยวเปลี่ยวใจในยามนี้ของกิ่งโศกพอจะยิ้มออก ยิ้มในน้ำใจชาวไทยยังไม่เลือนลางหายไปไหนยังคงมีอยู่ ขอปรบมือและคาราวะด้วยใจให้กับกลุ่ม จิตอาสา ที่มากด้วยน้ำใจ รวมทั้งกลุ่มทหารหาญ น้องๆนิสิตนักศึกษา ประชาชน องค์กรมูลนิธิ ที่ไม่มุ่งเอาผลตอบแทน มีแต่เนื้อแท้ ของการช่วยเหลือ ครั้นเมืองไทยที่จะกลายเป็นตลาดน้ำ รัฐน่าจะพลิกวิกฤต ห้เป็นโอกาส นำเสนอเมกะโปรเจค เอ๊ยเหล่งท่องเที่ยวหาเงินเพื่อนำมาฟื้นฟุประเทศ ให้นักการตลาดมือโปร... นำเสนอตลาดน้ำแห่งกรุงสยาม ....แทนน้ำอีกชนิดหนึ่งที่กำลังท่วมเมืองของนักการเมืองที่กำลังประดิษฐ์ตลาดน้ำลาย บ้านเมืองจึงรอล่มจมเพราะน้ำอย่างหลังนี่แหละ ..วันนี้เลยฟังคลื่นวิทยุเอเอ็ม จำคลื่นไม่ได้แล้ว เปิดเพลงลุกทุ่งเก่าๆ อาจจะถือว่าเก่าจากกลางๆ ไปหาต้นๆ ของความเก่า 55 ผมฟังเนื้อหา ดุจะเข้าท่าเข้าทางกับสถานะการณ์ขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง ขับร้องโดย เพลิน พรมแดน ชื่อเพลง อย่าลืมเมืองไทย ใครที่ไม่เคยฟังเพลงลูกทุ่ง ก็ลองทนฟังดูสักนิด๊ ก้ดีครับ เชิญ..รับชมรับฟัง ขอรับ เพลง อย่าลืมเมืองไทย ศิลปิน เพลิน พรหมแดน อย่าลืมเมืองไทย อย่าลืมเมืองไทย อย่าลืมเมืองไทย หนุ่มไทยสาวไทยเด็กไทย จำไว้ให้ดีทุกคน อย่าได้รังเกียจอย่าหยามหย่าเหยียด จะมีหรือจนหญิงชายชาวไทยทุกคนอย่าได้ลืมตนว่าเป็นคนไทย ได้อยู่เมืองกรุงเจริญดีจริง อย่าหยิ่งผยอง เห็นคนบ้านนาป่าคลองโง่งมเป็นดังเหมือนควาย กินหมูแก้มโป่งอย่าเมินคนกินหอยโข่งเผาไฟ นั่งโต๊ะเก้าอี้ยิ่งใหญ่อย่าข่มคนไทยหากินเช้าเย็น สะเน็คๆ ฟิตๆ งูๆ ปลาๆ ฟังเพลงไทยแล้วอย่าส่ายหน้า ฉันฟังเพลงไทยไม่เป็น ทีเพลงฝรั่งฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร นิยมว่าดีว่าเด่นอวดทำเป็นลืมของไทย แม่คุณทูนหัวได้ผัวต่างชาติต่างศาสนา อย่าลืมพระปฏิมาวัดวาอารามของไทย ไปเรียนเมืองนอกกลับมาบางกอก อย่าลืมหลงไปว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ฟุตฟิตโฟไฟจมลืมไทยแลนด์ กิ่งโศก คนยาก...ฝากถ้อยท้ายรำบายจิต ๏.. ลำนำ..น้ำตาฤาจะแก้ปัญหาได้.. ๏ ๏ ร่ำหาอย่าร่ำไห้......โหยลน ลานอา สร้างภาพแสร้งฉงน......ชะแง้ กระเส่ากระส่ากล..... ซ้อนซ่อน แฝงเนอ ลุเล่ห์ล้ำลึกแล้.......หลอกเร้นลวงหลอน ๚ะ๛ ๏ อย่าร่ำไห้สิ้นหัวระรัวหาย สำแดงฤทธิ์กรีดสายน้ำตาสา แล้วรั้งจับคันเหของเภตรา โยกคัดท้ายโถมฝ่ามหาภัย ๏ เลือกประดิษฐ์จิตเด่นดังเพ็ญดื่น อย่าได้ขืนกรอกคำตอกตำไข่ ให้ดูดีภาพโด่โก้อันใด หลอมหัวจิตหัวใจใฝ่ประจัญ ๏ จงตรองตนจนเต็มด้วยสติ อย่ามัวเมาเคล้าทิษฐิเริงสีสรร คำคนยอมักยกกระดกดัน ลบปากแดงแป้งปั้นขยันเป็น ๏ อย่าพึงฉวยเรื่องโฉ่ผลุบโผล่ฉุบ แอบริบห่อหาบหุบชนชุบเห็น เอาใจใส่บรรดาหัวกระเด็น ที่กระแซะฉาวเหม็นมิเว้นวาร ๏ สำแดงตัวให้กว้างท่ามกลางกล่าว- สัตย์สาบานเมื่อคราวที่เจ้าขาน ฟังสิเสียงก่นขึ้งอื้ออึงคาน รอเจ้าแก้ไขการอันบานเกิน ๏ อย่าร่ำไห้สิ้นหัวระรัวหาย เก็บน้ำตาที่ขายระบายเขิน ลบคำสบประมาสวิภาษเมิน อย่าเป็นเพียงเผอิญถูกเชิญ..เชิดเอว อิอิ ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ขอบคุณ ภาพ จากอินเทอเนตล้วนๆจ้า
.......ทะเล คือเวิ้งแห่งชลสถานอันเป็นที่รวมบรรดาของเหลวที่เราเรียกว่าน้ำ นั่นเองหรืออีกนัยหนึ่งคือกลุ่มมวลก้อนน้ำที่มีจำนวนอันมหาศาลมีอาณาบริเวณกว้างไกลสุดหล้าสุดลูกหูลูกตา หรือที่จะต้องเรียกว่ามหาสมุทร หรือท้องทะเลนั่นเอง ชาวเรือคงจะมีความรู้สึกอันซาบซึ้งดีว่า ยามอยู่ท่ามกลางทะเล เอาแค่เพียงในขณะที่ท้องทะเลยังราบเรียบสงบไร้พายุพัดกระพือ ภาพที่มองทอดไกลในครองจักษุที่แลเห็นพร้อมมองข้ามไปยังอีกยังขอบฟ้าอีกฟากนั้น จะพบเส้นโค้งมนเป็นวง สักครึ่งวงกลมโดยที่ตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง ภาพสีครามเป้นเส้นเห็นได้เด่นชัด ครั้นแลภาพผิวของผืนน้ำภาพที่ชคล้ายเทพแห่งวารีท่านสลักให้เราๆได้พึงยลย หรือครั้งคราวที่เราพบความระยิบระยับเต้นในจังหวะวิบๆวับๆ ริ้วคลื่นน้อยๆของผืนน้ำทแห่งท้องะเลต้องสะท้อนแสงสุรีย์ฉายฉาบทาบเร้นเค้นความงดงามตระกานตายิ่ง พร้อมๆอาจก่อบังเกิดจินตภาพอันเชิงวิจิตรพิศดาร หรืออีกในมุมหนึ่งบางครั้งเราอาจสัมผัสได้ถึงความรสชาติของความเปล่าเปลี่ยวเอกาในชีวิตยามยาก ความเวิ้งว้างที่เห็นไกลลิบๆนั้นอาจทำให้ตัวเราเป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่ไม่อาจต้านทานแรงเคลื่อนไหวใดๆ ได้ พลันจะบังเกิดเรียวเส้นของความอ้างว้างที่มักจะพุ่งแล่นจี๊ดวิ่งเข้าสู่กลางหัวใจ ความรู้สึกพึงวาบไหว จนเกิดหวั่นพรั่นสัมผัสพบ ในอนุสติของมนุษย์ตัวน้อยๆเฉกเช่นเรา ..อา...นี่แหละทะเลอันกว้างไกล ทะเล ในอีกหลายๆช่องหลายสิ่งถูกนำไปเปรียบเปรยในหลากหลายความหมาย บางครั้งนำไปเปรียบเทียบถึงสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจ หรือเป็นสิ่งที่น่ากลัว เช่น ผีทะเล หรือคนผีทะเล ที่สำแดงในเชิงว่ากล่าว หรือการต่อว่าอีกฝ่ายเหมือนเป็นคนบ้าๆบอๆ หรือบางทีก็นำไปเปรียบกับลักษณะนิสัยของผู้คน เช่นกับคนที่ประหยัดมัธยัตไม่สุรุ่ยสุร่าย ว่า โอ้โหพี่นี่โคตะระเค็มยิ่งกว่าทะเลซะอีก ความหมายก็คือเป็นคนขี้เหนียวนั่นเอง หรือแม้แต่คำเปรียบเปรยถึงคนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มากจิตมิตรใจมีจนมากมายมากล้นเกินกว่าจะกะเปรียบเทียบให้เท่าเทียมได้ เช่น มีน้ำใจท่านนั้นยิ่งกว่าทะเล อาจจะมีอีกในหลายๆสถานการณ์ ที่จะถูกนำมาเปรียบเปรยในทางที่ดูไม่ดี เช่น ออกทะเล อันบ่งบอกมีนัย ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย คือไม่มีแผนการปฏิบัติอันชัดเจน หมายถึงอาจนำพาฝ่าอุปสรรคไปหรือนำไปแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ทิศเหนือใต้ใดๆ คือไม่สามารถบอกได้ว่าข้างหน้า ข้างหลัง ซ้ายขวาคือทิศอะไร และจะพบเผชิญเจออะไรในข้างหน้าบ้าง หรือพาเข้ารกเข้าพงแทนที่จะเดินตามทางที่กำหนดให้เดิน ไปแบบผิดแผนผิดทาง ห่างไกลซึ่งเป้าหมายอยากนักที่จะบรรลุเป้าหมายได้ และนั่นคืออีกความหมายหนึ่งกับคำว่า ออกทะเล หากจะย้อนกล่าวเล่าถึงในเรื่องเล่าในวรรณคดีไทยหรือในนิทานปรัมปราของไทย มักผุกเรื่องราวถึงการลอยผุ้คนลงในทะเล เพราะถูกท่านมหาโหราจารณ์ ทำนายทายทักดวงชะตาหรือดวงชีวิตผุกกับดวงเมือง ว่าเป็นกาลกิณีต่อชาติต่อบ้านเมือง จึงจำต้องปล่อยลอยน้ำ ปล่อยลงทะเล เพราะแก้กรรมหรือสะเดาะเคราะห์ โดยในความหมายชัดๆก็คือปล่อยลงทะเลให้เผชิญโชคเผชิญพายุคลื่นแบบไม่รู้ชะตากรรม ภาพผู้คนบ้านเมืองเราตอนนี้กำลังอกสั่นขวัญแขวน กับอุทกภัย แนวทางในการแก้ไขป้องกันของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง และพวกไม่เกี่ยวข้องยังไม่เห็นความชัดเจนว่าดำเนินแก้ไขปัญหาที่ผุ้คนเผชิญอยู่ขณะนี้ นั้นมันมาถูกทางหรือยัง เพราะเท่าที่เห็นที่ผู้นำที่นำพาพวกเราย่างก้าวฝ่าฟัน คล้ายๆกับจะพาเข้ารกเข้าพงไปหลายรอบแล้ว หรือในบางคราวนำพาไปโน่นกลางทะเล หรือเรียกว่าพาออกทะเล เง้อ....เพ่น้องคร้าๆๆๆ ...อัตตาหิ อัตโนนาโถ เด้อคร่าๆๆ ว่ากันด้วยเรื่องเค็มๆ เกี่ยวกับทะเล กิ่งโศกเลยเชิญชวนบรรดาเพื่อนๆมากมิตรที่มีวัยอันควร 555 มาฟังเพลงแนวนาวีรัญจวน หรือชาวเรือ ชาวเล ตะหานน้ำ (ทหารเรือ) รัญจวนครวญกันอย่างได้อารมณ์ กับเพลงยุคสุนทราภรณ์กันเถิดลองฟังสิครับเพีบงประโยคนี้ ..มองเห็นริมฝั่งสักครั้งดีใจ มาบกทีไรให้แสนปรีดา...โอ้ประทับจิตกิ่งโศก คนยากคนนี้นักละครับ มะไปฟังพร้อมๆกันครับ พรานทะเล ( นักล่าแห่งมหานที) พรานทะเล สุนทราภรณ์ ..ชีวิตที่คร่ำ กลางน้ำเวียนวน ...ลอยล่องกลางชลไม่พ้นทนไป ...อยู่กับเรือเบื่อใจ ผองพรานทะเลเร่ไป อยู่ห่างไกลกลางสายชล ...มองน้ำตรงหน้า จรดฟ้าไกลไกล ...ว้าเหว่ดวงใจไม่เห็นผู้คน ...คลื่นและลม สู้ ทน ทุกข์ใจปานใดไม่บ่น สู้แดดฝนลำบาก กาย ...อยู่หว่างทะเล นาน นาน ท้องเรือเป็นบ้าน ท้องธารเรือนตาย ...สิ้นชีพสิ้นชนม์ เคราะห์ร้าย ศพฝังโดยง่าย ฝากเอาไว้ใต้ คงคา ...เพียงเห็นริมฝั่ง สักครั้งดีใจ ...มาบกทีไรให้แสนปรีดา ...ใกล้แผ่นดิน เข้า มา เหมือนมีวิมานตรงหน้า ปลื้มหนักหนา แทบจูบดิน กิ่งโศก คนยากฝากถ้อยท้าย ด้วย กลอนห่อโคลง ๐ ท่ามมหานที ๐ ๏ ชลนัยน์ไหลเนื่องนองสนาน สายนทีเฉกม่านวิกาลหมาย- คร่าสีคล้ำดำด่างจวนวางดาย สู่สุดท้ายทิ้งผลอยเฉกลอยแพ ๚ะ๛ ๏ ชลนัยน์ไหลเนื่องซ้อน ผสานนอง นทีเฮย ม่านโศกหมกสุมหมอง .. ทั่วแม้น ปุเลงปลาตปอง . ปุระ ป่นแล คล้ายวรรษคุเวิ้งแคว้น .. วับครื้นลื่นเขว ๚ะ ๏ เอกาอ้าเกร่อ้อม .. กอดอำ เฉกเดี่ยวเปลี่ยวแดสัม- . ผัสรู้ ระรัวระริกลัมพ์ . ลัยคต ความแฮ ผ่าวก่นโพ้นกล่าวผู้ โอดพ้อโอยเผา ๚ะ ๏ เนาพรากหนีพ่ายน้าว . พะเนียง นางนอ ร้าวปวดรวดเปรยเรียง ป่วนแล้ว ประดักประเดิดเดียง .. ดิ้นปร่า กะหย่งก่งเยี่ยงแก้ว แยกกร้อมย้อมราน ๚ะ ๏ กาลใดใกล้ด่าวดิ้น . แดโดย หันเหล่เหระโหย ลุห้อม อกแตกแอกตกโอย ระอุ อ่วมอา ริ้วเศษเหลือชุล้อม ชะล้างสางหลอม ๚ะ ๏ แลขอนรอนคุ้งลับ . ไรไร สิ้นหมดแสงสมัย . เสาะรู้ ทิศาท่าที่ใด . บ่พบ พานพ่อ ผ่าวอกผกอ้าวผู้ .. พิษเอื้อเถือแถ ๚ะ ๏ ลำแพลอยพรากพลิ้ว ..ยุดพราย ยั้งแฮ สู่กระแสกริ้วสาย .. สบแกล้ง ฤาจุติแตกตาย ต่อดับ ยมราชฤยั่วแย้ง ... หยิกเย้าวิญญาณ ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ขอบคุณ ภาพ จากอินเทอเนตล้วนๆจ้า
ในขณะที่คนเมืองและเหล่าคนนอกเมืองต่างก็จมจ่อมดิ่งดับด้วยความเย็นจนยะเยือกใจอารมณ์ด้วยสภาวะการจมน้ำ กันทั่วพารา หันหาไปทิศใดสุดเหนือสุดใต้ คืบก็น้ำ ศอกก็น้ำ วาก็น้ำ กิโลก็น้ำ น็อต ไมล์ เอเคอร์ก็คงมีแต่น้ำ จะเรียกเป็นสุภาษิตจะได้ไหมหนอ เพราะตอนนี้คลับคล้ายยังกะอยู่ใต้บาดาล บ้านเรือนผู้รากมากดี หรือไม่มากดีก็ตาม ต่างมิดน้ำอย่างมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีให้น้อยหน้า ทุกผู้ทุกคน ในช่วงทุกคืน ทุกค่ำ ทุกวันเลยก็เห็นจะได้ ดุเหมือนหน่วยลาดตะเวณกองทัพน้ำ จะจ้องคอยหาทางเจาะไช ทะลุทะลวง มุ่งหาอริศัตรูปานนั้น ยิ่งผู้นำนารีของเราหนีทัพไปหนทางไหนตำบลใด น้ำมันก็เกาะติดท่านนายก ยังกะเป็นคู่ตุนาหงันกันมาแต่ชาติปางก่อน สถานที่ราชการ โรงเรียน ไม่เว้นแม้แต่วัดวาอาราม ชุ่มฉ่ำจนโชก กันไปหมด รังนอนมลายพัง น้ำอารามแห่งศาสนจักรก็จม....คำว่ารังวัด จึงผุดมาในหัวของกิ่งโศก รัง แปลว่าการสร้าง ปรุงแต่งในที่นี่คือที่ นอน ส่วนวัด คงเป็นที่สงบจิต สงบใจ และสุดท้ายเป็นที่นอนเมื่อตอนปลายชีวิต ยังงั้น คำที่ว่าเสียรังวัดนี่คงเป็นการเสียที่หลับที่นอน อันอบอุ่นละมุนเนื้อเป็นแน่แท้ น้ำมาทำให้หลายๆ คนเสียรังวัด กันจริงๆ นะนี่ นะ ....วันนี้ภาษาน้ำ เอ๊ย ภาษาไทย เสนอคำว่า เสียรังวัด 555 หากแต่เปิดพจนานุกรมฯ เสียรังวัด นี่เขาบอกว่า ไม่ทำเองแท้ๆ แต่ต้องมาพลอยรับผิดชอบ หุหุ กิ่งโศกก็กำลังสับสนยิ่งกว่าโฆษก ศุนย์ประสพภัยเองที่แถลงแต่ละครั้งขนาดตั้งใจฟังยัง งง ว่าตกลงชีวิตตรู จะอยู่ หรือจะไปกันดี แล้วในสิ่งที่ตัวเองทำเองแล้วมันเสียเองจะเรียกว่าอะไรดี ขอรับ คงไม่ใช่แค่พื้นที่วัด และรวมตัวอาคารวัด (กุฏิ) หรอกนะขอรับ มองในแง่ดีๆ ไว้บ้างคงเป็นเพราะผืนแผ่นพสุธาผืนใหญ่ผืนนี้ที่มนุษย์ได้อาศัยดำรงชีพอย่างผาสุก จนบางครั้งก็ยืนเหยียบ อาจถึงย่ำจนยีเลยก็มี ในช่วงนั้นอาจมีสิ่งที่เรียกว่าบาปมันหล่น กองสุมเกระกรัง เปียดเปื้อนหนาจน ในเนตรทิพย์แห่งองค์เทวะเจ้า คงแลเห็นว่าถึงเวลาอันควรแก่การชะล้าง ซะบ้าง จึงบัญชาพระแม่มาคงคา มาทำการชะล้าง แต่จอมเทพ คงไม่ได้ช็อตโน๊ต ว่าเวลาล้างก็สงสารมนุษย์มันบ้างนะ เลยเป็นอย่างที่เราพบเห็นกัน กิ่งโศกยังมองอีกมุมว่า น้ำมันคงไม่อยากอยู่กับเรานานๆหรอก เพราะมันคงไม่ชอบใจในความเป็นน้ำของมนุษย์เหมือนกัน เพราะมนุษย์เริ่มไร้น้ำใจ มนุษย์เริ่มไร้น้ำอดน้ำทน ตอนนี้ทุกถ้วนน้ำคำต่างแปรเป็นศัตราวุธห่ำหั่นกัน บางทีก็สมน้ำหน้ากันก้มี ดังนั้นเห็นว่า สายน้ำคงไม่อยากอยู่กับพวกเรา แน่ๆ มันคงจะพยายามหาช่องหารูเพื่อวิ่งไปรวมกับชนกลุ่มใหญ่ในมหาสมุทร น้ำมันไกลบ้านไกลรัง วันนี้เลยหาเพลง ไกลบ้าน เหมือนกลอน น้องมะกู๊ด อิอิ เอาแบบต้นฉบับมาสเตอร์เลยนะครับ ชรินทร์ ขับกล่อมเพลงนี้ ที่ทำเอาผู้คนที่อยู่ต่างประเทศร้องเพลงไป น้ำตาตกไป ด้วยอาลัย แห่งเคหสถาน ไกลบ้าน ครับ มอบแด่คนบ้านไกลด้วย ไกลบ้าน ชรินทร์ นันทนาคร Abดนตรี 3 Bars..1...2... 3....วิปโยคโศกใจ เหมือนเมื่อไกลบ้าน ไกลสถานพักพิง ยิ่งใจเหงา ห่างไกลหัวใจจำเศร้า เจ้าอยู่ดีเป็นไฉน พลัดที่พึ่งที่พิง ทิ้งที่พำนัก ไกลที่รักพักพา จะอาศัย เจ้ามีเพื่อนชมคนใหม่ แล้วทิ้งพี่ให้ชอกช้ำชีวี อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล ดนตรี 8 Bars 6...7... 8.อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล กิ่งโศก คนยากฝากถ้อย ในความท้าย ....ครั้ง....ที่เดียวดายและเดียวแด... ๏ บุรีล่มล่วงเร้น ..... ชลาลัย ล้วนเฮย นรสบไฉน ........... เหตุนี้ พิบากพรากบิภัย .... พอกบ่ม ลั่นระงมงุดลี้ ......... เภทเร้าภัยผลาญ ๚ะ๛ ๏ บุรีล่มจมบ่าทุกท่าถ้วน เสียงร่ำไห้ครางหวนคร่ำครวญโหย อนาถแท้อึงอัดระบัดโอย ฤดีแดประโดยระโหยดาล ๏ กาลวิบัติบ่งบอกกรรมบท ในเงื้อมหัตถ์รากษสพิโรธฉาน- เพลิงเริงสุมรุมรอเข้าจ่อราน หวังขย้ำยีมานเถือบั่นม้าง ๏ เหตุใดฟ้องคล้ายฟ้ากำหนดฝั้น- ขมึงเกลียวเรียวกลั้นสบั้นกร่าง ดื่มในฤทธิ์ฟาดฆ่าเงื้อง้าค้าง เมตตาต่างหมดตักประจักษ์ตรม ๏ จักอาดูรเจียรวายในว่ายเวิ้ง สิ้นแล้วเส้นสายเทิงเปิดเปิงถม ปลิววิญญานยู้ลู่พลิ้วพรูลม ให้ลิ่วคว้างลิ่มล่มเกินจมล้ำ ๏ เมื่อหันแลแดเดียวยิ่งเปลี่ยวดับ ไร้แสงโคมอัจกลับไหววับก่ำ- ขจายไล่มืดคืนม่านครื้นคล้ำ กฤติยายอกกล้ำระกำกอง ๏ จะแลรอบขอบข้างระคางขรม สายน้ำล่มลุพรากวิบากผอง คอชะเง้อเผลอตกผงกตรอง หวังมือใครคว้าคล้องพ้นปล่องโคลน ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ เครดิตภาพ จากอินเทอเนต