ช่วงนี้คงล่วงเข้าสู่ วัสสานฤดู หรือล่วงเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ฤดูการปลูกธัญพืชต่างๆ ก็คงได้เวลาเริ่มแล้ว เพราะเพิ่งผ่านวันพืชมงคล หรือวันแรกนาขวัญ หรือพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งนับว่ามีมานานแล้ว พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นั้นประกอบไปด้วย 2 พิธีการคือ พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้างเหนียว ข้างฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และ ให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว (ข้อมูลจากเวป MThai) ขอเกริ่นเปิดเข้าสู่รายการ ทุกเช้า กิ่งโศก ขับรถออกจากบ้าน ย่านบางนา มุ่งไปยังดินแดนแห่งบูรพา ด้วยต้องไปทำมาหากินอยู่แถวนั้น ทุกเช้า จะเห็นเมฆครึ้ม ตอนเช้าตรู่ วันไหนโชคดี ก็เจอสายน้ำจากฟ้า มาชำระล้างรถที่ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดสักเท่าใด อาศัยน้ำจากฟ้านี่แหละ หรือช่วงเย็นๆ กลับบ้านก็ต้องคอยลุ้น ว่าจะถึงบ้านทันไหม ดีว่าที่พักกิ่งโศก อยู่ชานเมือง ดังนั้นการจรจาร จึงประสบในระยะสั้นๆ หรือหากเวลาติดสายโทรศัพท์ พอแลบ แปร๊บๆๆ ปลายสายต้องขอหยุดการสนทนาทุกที บอกว่ากลัวฟ้า ( ทั้งที่ไม่ได้สาบานอะไร 555) แต่เอาเถิด พอย่างเข้าหน้าฝน ก็นับว่าอย่างเข้าสู่ช่วงแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งอาหาร ( แต่ช่วงนี้ นักการเมืองก็พ่นน้ำลายผสมน้ำฝนกันให้ท่วมตาตุ่มไปหมด) กิ่งโศกชอบหน้าฝน เพราะความชุ่มชื้นย่อมดีกว่าความแห้งแล้ง แต่อย่ามามากเกินความต้องการ(น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง) ยิ่งนึกถึงสมัยวัยเยาว์ ที่ยืนมองผ่านหน้าต่างที่บ้านออกไปยังแนวป่าหลังบ้าน ภาพสายฝนกระหน่ำพร้อมพายุ ใบไม้ปลิว ต้นไม้ใหญ่เอน ต้นเล้กล้ม หักครืนลงมา แต่พอฝนหายพายุลาจาก กิ่งใบของเหล่าพฤษา ก็ผุด ผลิ แตกกิ่งใบสพรั่ง คืนความที่อาจมองว่าพายุร้ายกระหน่ำ แล้วตอบแทนด้วยความอุดมแห่งความมีชีวิต ความสุขใจเหล่านี้ ยื่งผนวกหนักด้วยบรรเลงบทเพลง สายฝน อันเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ ที่ฟังทีไร อิ่มใจ สุขใจทุกครั้ง ชักชวนให้ละและลืม สรรพสิ่งอันสับสนรอบๆตัวได้เพียงชั่วขณะหนึ่งได้ นานๆ ทีเดียว ลำนำแห่งเสียงเพลงครานี้กิ่งโศก ขออัญเชิญ บทเพลงพระราชนิพนธ์ ทำนองขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ กิ่งโศกถือว่าบทบทเพลงอันยิ่งใหญ่ และปีติสุขในหัวใจยิ่งแล้ว เรามาฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ เพียงนี้กันเถิด เฉพาะเพลงภาษาไทย ชื่อเพลง : สายฝน (ภาษาไทย) ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง : พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ปี : พ.ศ.2489 เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว ต้นไม้พลิ้วลู่กิ่งใบ เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป แต่เหล่าไม้ยิ่งกลับงาม พระพรหมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง เพื่อประทังชีวิตมิทราม น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชุ่มธารา สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวทุ่ง แดดทอรุ้งอร่ามตา รุ้งเลื่อมลายพร่างพลายนภา ยามเมื่อฝนมาแต่ไกล พระพรหมช่วยอำนวยให้ชื่นฉ่ำ เพื่อจะนำดับความร้อนใจ น้ำฝนพลั่งลงมาจากฟ้าแดนไกล พืชพรรณไม้ชื่นยืนยง ..................................................................................................... ชื่อเพลง : Falling Rain ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง : ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ปี : พ.ศ.2489 Rain winds sweep across the plain. Thunder rumbles on high. Lightening flashes; Bows the grain. Birds in fright nestward fly. But the rain pours down in blessing; Filled with cheer our hearts expand. As the woods with notes of pleasure ring, Sunlight streams o'er the land. Bright the rainbow comes in view. All the world's cool and clean. Angels's tears the flowers renew. Nature glistens in green. Rain beads sparkle in your hair, love. Rainbows glitter when you smile. Thus we soon forget the clouds above ๏.. สัมผัส..วัสสะตฤดู.. ด้วยโคลงสองสุภาพ๏ ๏ พิรุณผลอยหล่นพื้น ........... ชำแรกล่วงลึกตื้น เฉกย้ำช้ำรอย ....... เก่าเฮย ๚ะ ๏ คอยคราวร้าวล่วงย้อน ....... ลิ่มยอกตอกย่ำต้อน ตริเปื้อนเตือนปราม ๚ะ ๏ หวามแปรรสเปลี่ยนลิ้น ..... ปร่าปลดกำสรดสิ้น ท่าวแล้วแผ่วโรยหลอน ...... ลวงนา ๚ะ ๏ นุชพรากจากพี่แล้ว .......... ประทีปดับดวงแก้ว หรี่เร้นเพ็ญแสง ............... ส่องแฮ ๚ะ ๏ แรงพิษฤทธิ์ผ่าวร้อน ......... รอซับระงับช้อน หยาดน้ำทิพย์โชลม ๚ะ ๏ เย็นบ่มล่มบ่ายอ้าว ........... ระอุหลุดหยุดน้าว รดล้างรอยแผล ๚ะ ๏ พิรุณร่วงหล่นพร้อม ......... ยะเยือกซ่านแทรกห้อม ปาดน้ำเปื้อนนอง ............. หน้าเทอญ ๚ะ๛ + กิ่งโศก +
วันนี้ ฟังเพลง พี่แอ๊ด คาราบาวมาลั่นรถตอนเช้า ขณะขับรถมาทำงาน ด้วยความคึกคัก มาชอบเอาเพลง เพลงหนึ่ง รีเพล์ ฟังหลายรอบ เพราะพี่ท่านร่ายเป็นกลอน ได้ ถูกใจโก๋เมรัย ยิ่งนักละครับ นี่คือ บทท่องกลอนตลาด ในเพลง ต้มยำกุ้ง ยิ้มเยาะ หัวเราะเย้ย เนื้อแดดเดียว เอื้อนเอ่ย สมน้ำหน้า ปลาแป๊ะซะถากถางด้วยหางตา อัศวิน สิ้นน้ำยา หมดท่าแมน อยากตะโกน ดังดัง กลางร้านเหล้า ว่าโคตรโศก โคตรเศร้า ร้าวเหลือแสน เฮ้ย ไอ้น้อง หนุ่มบาว ขอเหล้าแบน ดื่มให้โลก ที่ขาดแคลนคนจริงใจ ฮ่า ๆๆๆ ถูกใจจริงๆ คร๊าบ พี่น้องคร๊าบ ถือว่าเป็นบทกวี ที่ย่ำเยาะชายผู้อกหัก ขี้เหล้าได้ถึงใจนัก แลพร้อมไปกับเสียงเพลงในจังหวะสามช่า เร้าใจ หวนให้คิดถึง ว่าช่วงหนึ่งเราเคยเป็นแบบนี้ไหมหนอ ......ตั้งวงกินเหล้า เคาะ กระป๋อง กระแป๋ง กาละมัง แล้วแหกปาก ร้องเพลงรบกวนหูชาวบ้าน บางครั้งได้รางวัลเป็นก้อนหิน โยน(ขว้าง หรือเขี้ยวง) มากระทบฝาบ้าน(เช่า)..เมากันยันโต้รุ่ง ...หรือม่ายก็ มีตังค์หน่อยแถไปร้านอาหาร นั่งฟัง(มอง)นักร้องสาวๆ หรือหากอยากจะร้องเพลงขึ้นมาก็ไปต่อกันในห้องคาราโอเกะ..โอ้ชีวิต มีอะไรตั้งเยอะแยะ... ... ชีวิตหาใช่เสเพล เพียงแต่สนุกสนานกับชีวิตเท่านั้น ครั้นพออยู่ในช่วงเวลาทำงานเราก็ทำอย่างเต็มที่ บางทีแทบจะเกินเงินเดือนก็ซ้ำไป..หรือขยันเกินเหตุก็มี ..คืนวานทีผ่านแล้ว หากยังคงแว่วจดจำในช่วงแห่งความหฤหรรษ์ ช่วงนี้ ทาน ดื่มมากไม่ค่อยได้อะครับ เพราะมันจะทำให้เมา แล้วก็เปลือง หุหุหุ ฟังเพลงสบายๆ ทำให้คลายและผ่อนปรนกับปัญหาการทำงานที่มักจะติดตามเราออกมาทุกครั้ง ที่ก้าวออกนอกพ้นรั้วบริษัท อีตอนเลิกงาน มีบรรดาปรมาจารย์ นักเขียน รุ่นเดอะ รุ่นลายครามหลายท่านเคยวิจารณ์ หรือเขียนไว้ถึง รสน้ำอมฤตเมรัย ที่มีที่มาจากเกษียรสมุทร ณที่ประทับขององค์พระนารายณ์ นั้นมักจุดอารมณ์กวีให้เพลิดแพร้วยิ่ง ไหลลื่นดั่งหยาดทิพย์ ที่หลั่งรินลอยละล่อง ไปไร้จุดสิ้นสุด ท่านบรมครูกวี สุนทรภู่ ท่านก็นิยมเมรัย หรือแม้แต่นักเขียนชาวจีน เช่นท่านโกวเล้ง ก็นิยมฤทธิสุรายิ่งนัก มิตรภาพหมื่นผู้ ย่อมหาคู่ควรกับ สุราเลวเพียงครึ่งจอกไม่ หรือว่าแอลกอฮอล์มีประจุอัศจรรย์ ที่คอยจิ้มทิ่มแทง ให้เหล่าเมรัยริซึม มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มได้ปานนั้น แต่ก็ไม่เสมอไปนักหรอกครับ เพราะที่ไม่เมาสุรา แต่อาจเมาอย่างอื่นเช่น เมารัก มึนเมาเพราะอกหัก ยังสามารถ ประดิษฐ์ถ้อยร้อยอักษรให้อ่อนพลิ้วไหวมากมายยิ่งนัก งั้นเรามาลอง สนุกสนานกับจังหวะเพลงนี้กัน ราชันย์ฝันสลาย ของพี่แอ๊ด คาราบาว นักร้องเพื่อชีวิต (เพื่อชีวิตพี่แอ๊ด 55 ) แต่สไตล์ยังถูกวัยจิ๊กโก๋ ทุกระดับ ตั้งแต่ ต้นซอย ยันทะลุอีกสี่ห้าซอย เชิญม่วนกันได้เด้อๆๆๆๆ ราชันย์ฝันสลาย ที่เดียวไอ้น้อง คืนนี้พี่จองโต๊ะมุมด้านใน ขอมุมสลัวสลัว รู้ตัวว่าต้องร้องไห้ ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา อยากเมาให้พับ รถไม่ได้ขับจับแท๊กซี่มา หัวใจพี่โดนหักหลัง อกพังเสียไม่เป็นท่า พี่เลยจะมาเมาให้กระจาย * คืนนี้พี่เป็นราชา ราชันย์อกหัก แห่งอาณาจักรชื่อรักสลาย ไม่มีมเหสี ไม่มีหญิงใด มีแต่เพื่อนใจชื่อว่าสุรา ** รีบชงไอ้น้อง คืนนี้ไม่กองไม่มีเลิกรา คบคนมันมีแต่ท้อ คบแอลกอฮอล์มันกว่า คำสั่งราชายกมาอีกแบน (ซ้ำทั้งหมด) (พูดเป็นกลอน) ต้มยำกุ้ง ยิ้มเยาะ หัวเราะเย้ย เนื้อแดดเดียว เอื้อนเอ่ย สมน้ำหน้า ปลาแป๊ะซะถากถางด้วยหางตา อัศวิน สิ้นน้ำยา หมดท่าแมน อยากตะโกน ดังดัง กลางร้านเหล้า ว่าโคตรโศก โคตรเศร้า ร้าวเหลือแสน เฮ้ย ไอ้น้อง หนุ่มบาว ขอเหล้าแบน ดื่มให้โลก ที่ขาดแคลนคนจริงใจ (ซ้ำ*,**) ๏ หมายร่ำตำจอกเย้ย ....... จอมยุทธ แม้นใหม่ใช่จักผุด ........... โผล่ได้ มั่นหมั่นฝึกแม้มุด- .......... ดำมั่ว กานท์นา ยังคิดจิตครึ้นไคล้ ........... จรดถ้อยร้อยทอ ๚ะ๛ ๏ ยกจอกร่ำตำย้อมมิออมเย้ย ด้วยจักเผยสหายชวนคล้ายหา รสนิยมกลั้วลิ้นกลิ่นสุรา เฝ้าตรึงตราฝังแน่นถึงแก่นน้าว ๏ ใต้โรงเตี๊ยมเปี่ยมปริสุนทรีย์แปล้ ครึกครื้นแท้คลั่งผวนอบอวลผ่าว เมรัยฟุ้งคลุ้งทั่วในตัวท้าว อัปสรสาวฟ้อนห้อมแลล้อมเฮ ๏ มวลหมู่ชนได้ชื่นยิ่งดื่นซ้อง สติต้องมนตร์ฉ่ำยิ่งย้ำเฉ วาดมือว่ายแหวกร่วนยิ่งรวนเร ก้าวโซเซปากป้องรำร้องเปิง ๏ บ้างว่าดื่มลืมหลงความคงหลัง ลืมรสชังรสเถื่อนเลอะเลือนเถิง ลืมหอทองห้องพรมจมใต้เพิง ลืมวังวนในเวิ้งระเริงวาร ๏ ฤทธิเมรัยใช่ลบประคบล้าง แผลคุหว่างไหม้คั่งรูปสังขาร เมื่อสร่างหายคลายเมากระเส่ามาน ยังเล็มเล้าเผาผลาญสะท้านโพลง ๚ะ๛ + กิ่งโศก +
..........กราบงามๆ สำหรับมิตรรักแฟนเพลง ที่รักทุกท่าน 5555 กว่าจะสลัดทิ้งหน้าที่ที่ผุกมัดได้ เหนื่อยเชียว อีกช่วงนี้ยังต้องฝืนสังขาร ที่กำลังอวบอิ่ม พริ้ม ไปด้วยความสมบูรณ์ของสรีระ แบบว่า ทานอะไรก็อร่อยไปหมด เครื่องเอ๊กเซอร์ไซ ที่ซื้อมา กำลังใช้ประโยชน์อย่างอื่นแทนเช่น ผึ่งวางผ้าเช็ดตัว หรือ อื่นๆๆๆ จะซื้อมาทำ...ไรนี่ เลยต้องมาสำรวจตรวจตัวเองสักนิดนึง เพราะเป็นอะไรไป คงช้ำใจแน่ๆ เพราะยังมีหลายเรื่องที่ ต้องจัดการในชีวิต และในงานในการ นะครับ เรื่องสุขภาพ เห็นว่าควรหันมาเอาใจส่ตัวเองกันบ้างแล้วละครับผมว่า ทานผัก ลดไขมัน ลดเนื้อ (ชอบอะ) ลดแอลกอฮอล์ (อันนี้ อืม อา...จะลดได้ไหม อิอิ) แต่ต้องลดละ อะครับ ด้วยที่ทำงานก่อนจะเริ่มงาน แปดโมง กิ่งโศกและพนักงานทุกคน ต้องวอร์มอัพ ร่างกาย โดย เต้น หรือออกกำลังตามเพลงที่บริษัทเปิด หลังเพลงชาติประมาณ 3 นาที แค่นี้ยังเหงื่อซึม หัวใจเต้นถี่ เร็วแรง เลยละครับ พูดถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ที่เปรียบดังปั๊มน้ำ ตัวหนึ่งของร่างกายที่ต้องปั๊มส่งเลือดให้ไปหล่อเลี้ยวเซลส์ต่างๆ ในร่างกายให้เกิดความมีชีวิต ชีวา หากเต้นเป็นปกติ นั้นแสดงว่าสุขภาพร่างกายท่านดี แต่บางครั้งก็มีหลากหลายสิ่ง ที่เข้ามามีส่วนให้หัวใจเต้น ในหลายๆ จังหวะ แปลกว่า เพียงความรู้สึกที่เราไม่สามารถมองเห็น นี่กลับเป็นสิ่งกระตุ้นจังหวะการเต้นหัวใจไปได้ เพียงรู้สึกโกรธ หัวใจก็เต้นแรง ถึงแรงมาก หน้าแดง เพราะหัวใจปั๊มเลือดส่งไปที่ใบหน้า หรือ ดีใจ มากๆ หัวใจก็เต้นแรง เสียใจ หดหู่ แม้จังหวะหัวใจจะเต้นเบาๆแต่เต้นเร็วๆ กิ่งโศก กำลังไล่ที่มาที่ไปของจังหวะการเต้นของหัวใจเพียงสัมผัสความรู้สึก ก็เต้น ความรู้สึกมาจากไหน มาจากสิ่งเร้า สิ่งที่วิ่งมากระทบ จากภายนอก เช่นคำพูด ..ภาพที่เห็น...เสียง....สี....ความร้อน...ความเย็น ฯลฯ หรือแม้จากภายใน คือความคิดของเราเองก็ส่งผลกระทบให้เกิดความรู้สึก ต่างๆ เศร้า ดีใจ ได้ และจะไปกระตุ้นให้จังหวะหัวใจเต้นได้.....จะมีใครหนอ ที่จะควบคุมจังหวะการเต้นที่มีนัย มีที่มาเหล่านี้ได้ กิ่งโศก หาบทเพลงเก่าๆ ที่เกี่ยวกับหัวใจเต้น ไม่ค่อยมีนะครับ เลยนำเสนอเพลง คำคน เพราะคำคนก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนเป็นอย่างมากให้ใจเต้น เพลงนี้ นับอายุอานาม ก็มากโขอยู่แท้เทียวละครับ..มาฟังกันนะครับ เวอร์ชั่นเดิม น่าจะเป็นลุงสุเทพ วงก์คำแหง แต่ผมชอบเวอร์ชั่น ของกุ้ง กิตติคุณน ะครับ เพลง...คำคน . ..พี่ ระทม อยู่ เดียว ดาย ความ สุข ที่ หมาย คลาย คืน เจ้า ลืม รักเคยภิรมย์ ชม ชื่น เพียงฟังน้ำคำคนอื่น เจ้าคืนสัญญาแห่งใจ อันคำคน เวียนวน ลอย ลม ควรหรือเจ้ามาเศร้าตรม เอาอารมณ์ของตัวเป็นใหญ่ เก็บมาวู่วาม หลงลืมแม้ความยับยั้งชั่งใจ ตัด เยื่อ ตัด ใย ทอดทิ้งไป ให้พี่ ตรม ..เจ้า คิดเอาแต่ใจ ตน ลืม เหตุลืมผลงายงม แต่ เพียงน้ำคำวาจา ปรารมย์ ควรหรือยึดเอามาตรม ระทมแล้วเลยเปลี่ยนไป ..อัน อารมณ์ หากเหนือ เหตุ ผล ความ แค้นก็แน่นกมล กลายเป็นคนคิดสั้นไปได้ หัก ความระทม ยกเอาอารมณ์หนีให้ห่างไกล จะ เห็น หัว ใจ แล้วจะรักใคร เจ้าเอย """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""" ๏ สิ่งแทรกแรกลุสร้อย.................เรียงสาร จังหวะจะวางจาร .......................วาดแจ้ง บ่งห้วงบ่วงเห็นบาน ................... แบห่อ หลากแฮ ซ่อนหลากซากหลอนแสร้ง...........สดับซ้ำย้ำยิน ๚ะ๛ ๏ สิ่งที่แทรกชอนไชข้างในซ่อน สรรพร้อนเย็นหลากยั้งมากหลาย จึ่งไม่รู้เห็นการลึกชั้นกาย เปลวลามปลายนั้นแปรสิแผ่ปม ๏ แลระทึกครึกถ้วนเสียงป่วนทั่ว สนั่นรัวโครมครึ้นท่ามขื่นขม ทรวงคล้ายยอกเยินบ่าแบระบม ถูกทึ้งถมโหมถั่งประดังเท ๏ รั้งจิตแลแท้เห็นเสียงเต้นห้วง เบื้องหน้าเรียบรับช่วงไม่หน่วงเฉ ดุษฎียิ่งล้วนหา-รวน-เร ไร้ลมพัดซัดเพไม่เห-พา ๏ เพียงถ้อยทิ่มลิ่มแทงด้วยแรงทบ ใจสะท้านปานพบเขี้ยวขบผ่า แตกเสี่ยงเสี้ยวเรียวชิ้นเกินชินชา ดุจต้องโทษทัณฑ์ฟ้าใต้ฝ้าฟาง ๏ เจ็บในเนื้อผิวนอกมิชอกช้ำ ผีพรายกล้ำกลืนหมายเนื้อในหมาง ผ่าวรุ่มสุมเงื้อฆ่าจนระคาง รอยอำพรางพึงรู้ซุกอยู่ลึก ๏ บ้างท่วงเต้นปรีดาจังหวะด่ำ ช่วงถี่ย้ำเริงซ่านสำราญศึก ก้องเสียงโห่ในหูฟังรู้ฮึก ปัญจานึกขย่มผสมคลอ ๏ อาจทอดช้าโชนค้างในบางคร่าว เสียงสั้นยาวโยงท่าจังหวะถ่อ คือความมั่นลานแก่นบนแกนกอ- สมาธินิ่งทอ-บนล้อทาง ๏ ความใดซ่อนสื่อทาสศรัทธาท่วม สิ่งไหนร่วมเร้นแจงสำแดงจ่าง เบื้องหน้าบ่งเรียบเลือนเคลื่อนรางราง กี่เหลี่ยมข้างเกินรู้จักดูเดียว ๚ะ๛ + กิ่งโศก +
ยามลมหนาวโชยพัด ริมชายทุ่งหรือตามแถบริมป่า มักมองเห็นดอกสีม่วงอมขาว นวล สมัยเด็กๆ เวลาขี่หลังควายและเล็มหย้า มักจะได้กลิ่นดอก สาบเสือ ( ไม่แน่ใจว่าสาบเสือกลิ่นแบบนี้หรือเปล่า) หรือหากอยากจะสนุกสนาน ก็ เด็ดเอาใบสาบเสือ วางแปะตรงกำปั้น ( กำหลวมๆ ตั้งขึ้น ) แล้วก็ใช้ฝ่ามืออีกข้างตบลงไปตรงๆ จะเกิดเสียงดัง คล้ายตีกลอง ตอนเด็กๆ ก็แข่งขันกัน เป็นการละเล่นประสา เด็กบ้านป่าอย่างหนึ่ง และกีฬาอีกอย่างคือ นำใบมาทำก้อนกลมๆ เป็นกระสุน ในท่อไม้ซาง แล้วใช้ไม้แส้ กระแทกเป็นลูกกระสุน ยิงแทนปืนสมัยเด็กๆ เสียงดัง ปัง ๆๆ สนุกดีครับ นอกจากนี้ใบของต้นสาบเสือยังเป็นยาสมานแผลสด ห้ามเลือดได้ดีนักละครับ เวลาโดนมีดหรือของมีคม บาดเป็นแผลเลือดไหล นำใบของต้นสาบเสือ ขยี้ แล้วโปะ ลงบนแผล แสบน่าดูครับ ตอนโปะลงบนแผล เลือดจะค่อยๆ แข็งตัว หยุดไหล คาดว่าคงมีตัวยาทางการแพทย์ แต่ชาวบ้านป่าเช่นบ้านกิ่งโศก ก็ยังใช้กันอยู่เวลาไปทำไร่ ช่วงหน้าหนาวต้นสาบเสือ จะออกดอก มองไปคล้ายปุยสีม่วง วางทาบทุ่ง ดอกสาบเสือ ทางเหนือ เขาเรียกดอกแมงวาย เวลาเพื่อนๆ ไปเที่ยวช่วงนี้ ตามแถบป่า ภูเขา ทุ่งนา ลองมองหา ดอก แมงวาย กันดูนะครับ ว่าความงาม ของดอกแมงวาย นั้นงามกันไหน ขนาดที่ นำมาขับขานเป็นบทเพลง ไพเราะยิ่งเลยละครับ..มีนำไปแทรกไว้ในเพลง สันป่าตอง กลับทำให้นึกถึงเพลงสันป่าตองทีไร จะนึกเนื้อเพลงไม่ค่อยออก แต่ถ้า บอกว่าเนื้อเพลง ที่มีคำว่า.. ดอกแมงวาย คล้ายดั่งหัวใจอ้ายนา ยามสายลมพลิ้วมาแมงวายลิ่วถลา ล่องฟ้าสันป่าตอง ... คนขับร้องคือ คุณ วงจันทร์ ไพโรจน์ นักร้องที่ไม่ใช่คนเหนือ แต่ขับร้องเพลงเกี่ยวกับทางเหนือได้ จับใจมากครับ มาฟังเพลงนี้กันดู นะครับ เพลงสันป่าตอง ชื่อเพลง สันป่าตอง ชื่อนักร้อง วงจันทร์ ไพโรจน์ อ้ายเอยบ่มีใจฮักข้าเจ้าแล้วหนอ เฮาเคยจ๊อยซอดีดซึงที่สันป่าตอง เฮาต่างสัญญาฮักร่วมใจปอง อยู่สันป่าตองครองฮักสุขสันต์ อ้ายเคยอู้คำฝากฮักครั้งแอ่วปอยหลวง อู้คำหวานทรวงบ่ฮู้จักลวงหลอกกัน ข้าเจ้าฮักจริงเหนือยิ่งชีวัน บ่ฮู้บ่หันอ้ายนั้นกลับมา ***ดอกแมงวายคล้ายดั่งหัวใจอ้ายนา ยามสายลมพริ้วพาแมงวายลิ่วถลา ล่องฟ้าสันป่าตอง อ้ายทำบ่ฮู้บ่หันข้าเจ้าทั้งปวง ข้าเจ้าช้ำทรวงที่ฮักอ้ายลวงจักปอง อ้ายกลับหัวใจของอ้ายเคยครอง โอ้สันป่าตองหมองใจข้าเจ้าเอย..(***ซ้ำ) ๏ แมงวาย..ว้าง ใช่ใจว้าง ๏ ๏ รักพี่บ่เคยวาย แลจะบ่ายถวิลถึง ดอกรักสลักตรึง ตรากลีบบานเบื้องลานใจ ๚ะ๛ ๏ รักพี่สิบ่เว้น วางหาย ผลิช่อยอตะพาย พาดคล้อง- ใจแนบสนิทสาย สวาทมั่น กี่หับฤๅกี่ห้อง- จิตห้ามหนีถอย ๚ะ ๏ วางถ้อยร้อยพจน์ไว้ ชิดชวน คำหว่านขานกึ่งครวญ ขับเร้า วอนนุชหยุดบ่ายหวน หันเบี่ยง เพียงล่วงบ่วงรักเคล้า สื่อแจ้งสบจริง ๚ะ ๏ สรรพสิ่งยอบแล้ว สยบเลย ยอจับนับมิเฉย สบได้ จรดชิดจิตทรามเชย สุดสวาท เผยหว่างวางแดให้ พี่ห้อมล้อมหา ๚ะ ๏ แมงวายป่าดอกว้าง เริ่มวาย กลีบหล่นปนดินหาย เหือดเร้น กี่ชีพย่อมร่วงมลาย ผุป่น แปรเฮย ดอกรักสลักเต้น เต่งสล้างแต่งเฉลา ๚ะ ๏ เยือนเนาเหย้าเนื่องยั้ง นิ่งยล กลิ่นซ่านกลั่นโชยกล ชื่นแกล้ม ภาพตั้งพรั่งตราผล แต่งผลึก งามผลุดงุดเผยแง้ม ผลิง้ำพร้ำเงย ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔
ย้อนรอย ..ไปสักหลายปีมากๆๆ แล้ว ตอนที่ยังเรียนหนังสือ กิ่งโศก ไม่ใช่คนขยันเรียนสักเท่าใด เพราะจะอ่านหนังสือ ก็คือ อ่านคืนนี้ แล้วไปสอบพรุ่งนี้ ด้วยข้ออ้างว่าอ่านก่อนหน้าหลายวันเดี๋ยวจำไม่ได้ หุหุ สมัยนั้น บ้านกิ่งโศก ไฟฟ้ายังไม่มี จึงต้องใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด จุดเวลาอ่านหนังสือ หรือ ใช้เทียนจุดให้แสงสว่าง อ่านหนังสือ บางครั้งสะดุ้ง เมื่อเสียง ดังฉี่ๆๆๆๆ แล้วมีกลิ่นเหม็นคลุ้ง คือง่วงจนหัวผงก โดนไฟไหม้ผม หุหุ แลพวกเราชาวพุทธแล้ว เรามักจะคุ้นเคย กับการจุดเทียน จุดธูปไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ ตามวัดวาอาราม หรือศาสนาสถานต่างๆ อันถือเป็นจารีตประเพณี อย่างหนึ่งที่ควบคู่กันมาแต่ครั้งโบราณกาลเลย ส่วนการจุดเทียน เสี่ยงทาย เท่าที่พอจะนึกได้ในขณะนี้ ในวรรณคดี เรื่องอิเหนา ที่บุษบา (นางเอก ) ได้ทำการเสี่ยงเทียน ต่อองค์พระในวิหารบนภูเขา เพื่อเสี่ยงทายว่า นางจะคู่กับใครระหว่าง อิเหนา กะจรกา ( ทำไมต้องไปเสี่ยงทายด้วยก็ไม่รู้กะแค่หาสามี อะนะ แค่มองก็รู้แล้ว ฮ่าๆๆๆ) แต่ที่แสบไปกว่านั้น คืออิเหนาดันรู้ทัน ตามแบบฉบับเจ้าเล่ห์ เลยแอบไปซ่อนหลังองค์พระ ปลอมเสียงพระ( ช่วงนั้นไม่มีเครื่องจับเท็จ) ตอบบุษบาว่า ต้องอิเหนา เท่านั้น อีนางเอ๊ย หุหุหุ อีกเรื่องราวหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา ณ อุโบสถ ของวัดป่าแก้ว หรือวัดใหญ่ชัยมงคล ( อยุธยา) ครั้งพระเฑียรราชา ทรงผนวชเพื่อลี้ราชภัย ในยุค ท้าวศรีสุดาจันทร์ และขุนวรวงศานั้น ขุนพิเรนทรเทพ กับพวกคิดล้มล้าง ท้าวศรีสุดาจันทร์ และจะอัญเชิญพระเทียรราชา เสวยราชสมบัติด้วยทรงเป็นหน่อเชื้อราชวงค์ แต่ก่อนจะทำการ ได้จุดเทียนเสี่ยงทายสองเล่ม ให้เสี่ยงทายว่าเล่มไหนไม่ดับ คือเล่มหนึ่งเป็นตัวแทน พระเฑียรราชา อีกเล่มหนึ่ง เป็นของขุนวรวงศา ปรากฏว่า เล่มของขุนวรวงศาดับก่อน (ดูในภาพยนต์จะทราบนะครับ หุหุ) นี่ก็เป็นอีกความเชื่อหนึ่งที่ผูกโยงจิต วิญญาน ผูกดวงเบ้านดวงเมืองกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ในเทศกาลต่างๆ เช่น ลอยกระทง จุดเทียนอธิษฐาน ก่อนวางลงสายน้ำให้ลอยไปพร้อมแสง ประทีปที่โชติช่วง แต่บางทีมักมี มารผจญ หุหุ เคยไปลอย แม่น้ำแถววัด เพิ่งจะปล่อยจากมือไม่นาน มีมนุษย์ต่างดาว แย่งกันคว้ากระทงไปหาเหรียญที่ใส่ลงไปในกระทงแล้วก็โยนกระทงทิ้งแบบไม่ใยดี นี่น่าจะเป็นที่มากระทงหลงทาง เง้อ.. หรือพิธีไหลเรือไฟ แถบลุ่มน้ำโขง ก็มีการจุดเทียน แต่น่าจะเป็นการจุดเพื่อบูชา และผู้บูชาคงอธิษฐาน เช่นกัน เทียน แสงเทียน จึงมีส่วนร่วมพิธีกรรมความเชื่อต่างๆ ของคนไทยอยู่เนืองๆ บทเพลงเกี่ยวกับการเสี่ยงเทียน มีทั้งเพลงบรรเลง และเพลงขับร้อง กิ่งโศก นำเสนอนักร้องคนนี้ ครับ ไพโรจน์ วงจันทร์ นักร้องหญิง ยุคคุณแม่กิ่งโศกครับ นักร้องหญิงท่านนี้ ที่มีน้ำเสียงหวานปนเศร้า กังวานที่ไม่มีใครเลียนแบบได้เลย ได้ขับร้องเพลงนี้ไว้นานมากแล้วไพเราะมากครับ( ยืนยัน) บุษบาเสี่ยงเทียน บรรยายความจากเรื่องอิเหนานั่นแหละครับ ลองฟังกันดูนะครับ เพลง บุษบาเสี่ยงเทียน ..................................... บันทึกเสียงโดย..... คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ ทำนอง...... จากเพลงลาวเสี่ยงเทียนสองชั้น เนื้อเพลง เทียนจุดเวียนพระพุทธา ตัวข้า บุษบาขออธิษฐาน เทียนที่เวียนนมัสการ บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่ ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน * อ้า องค์พระพุทธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ ๏ อำไพเพรงเปล่งเพี้ยงผ่องเคียงทาบ เปลวไหววาบโชนส่ายดุจว่ายแสง คงมิหาญเทียมแขฤทธิ์จำแลง คงแอบแลลางแห่งทุกแพร่งลี้ ๏ หวังแต่เผยยามพลบคำรบพร่า ผกายก่ำเรื่อทาเคหาที่ อาบไออุ่นหนุนนำห้วงค่ำนี้ ใต้แสงคลี่ทอครื้นทุกคืนคอน ๏ เทียนหรี่แสงคล้ายลาครั้นคราดึก เปลือกตาต่ำย้ำลึกบรรจถรณ์ น้ำตาเทียนหยาดเกลื่อนหล่นตระกอน แก้มคนอาบเปียกปอนสะท้อนปราง ๏ แสงที่โชนมิฉายกำจายซับ ริ้วรอยยับแยงหม่นระคนหมาง กำสรดแทรกไล้ทรวงทุกท่วงทาง มิเคยว่างคั่นเว้นเบี่ยงเบนคลาย ๏ อำไพเพรงเปล่งเพี้ยงทาบเคียงส่อง สาดลอดช่องทอเส้นเป็นลำสาย แสงหรี่มอดมืดบ่าคลุมระบาย สัมผัสเศษสุดท้ายเพียงซากเทียน ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ เปลวปลายแห่งแสงเทียนแม้นน้อยนิด ก็พึงนับว่าเป็นแสงสว่างได้เช่นกัน จุดสว่างในกลางใจที่มืดมน ย่อมนับว่าทอความวิจิตร ในท่ามอนธกาลของดวงจิต